เทรนตันรู้ดีอยู่ในใจว่าเขาไม่สามารถยอมรับได้ว่าลูกสาวของเขาบอกสี่ชนเผ่าโบราณเรื่องเจ็ดจุดอันตรายไป ถ้าตระกูลลึกลับเหล่านี้รู้เรื่องเข้า พวกเขาจะโยนความผิดทั้งหมดมาให้ตระกูลลาโกริโอ และนั่นจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับตระกูลของเขานายใหญ่ฮันท์จมดิ่งสู่ห้วงความคิดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มันไม่สำคัญหรอกว่าใครเป็นคนฉ้อฉล เรามาที่นี่ในวันนี้เพื่อหารือว่าเราควรจัดการกับเจ็ดจุดอันตรายอย่างไร สถานที่แต่ละแห่งในเจ็ดจุดอันตรายนั้นอันตรายและเสี่ยงอย่างยิ่ง และพวกเราก็ไม่เคยมีใครย่างกรายไปที่นั่นมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงจุดที่ลึกที่สุดของเจ็ดจุดอันตรายนั้นด้วยซ้ำ เราไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นอย่างไร และแม้ว่าแต่ละตระกูลลึกลับจะส่งอัจฉริยะชั้นยอดมาตระกูลละหนึ่งคนมารวมพลังกัน ผมก็ยังคิดว่ามันอันตรายอยู่ดี!” เขาแสดงความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับแผนการ“ผมสงสัยว่าจุดอันตรายทั้งเจ็ดบนแผนที่หมายถึงอะไร… อืมมม… ยิ่งกว่านั้น หากชนเผ่าโบราณทั้งสี่ได้ส่งคนออกไปสำรวจเจ็ดจุดอันตรายแล้ว เราก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาอยู่ในจุดใดบ้าง และหากพวกเขาจัดคนไว้เฝ้าสถานที่เหล่านั้นด้วยล่ะ?”หัวหน้าตระกูลชั้นสองพูดความในใจของเขาหลังจากใช้ความคิดบางอย่
บางคนในฝูงชนอ้าปากค้างกับสถานการณ์ตรงหน้า พวกเขากังวลแทนเฟนด์“ทำไมนายท่านตระกูลวู๊ดถึงไม่ปรามลูกชายเรื่องมารยาท? พวกเขาไม่กลัวว่าเจ้าตำหนักคอลลินส์จะโกรธและฆ่าลูกชายของเขาทันทีหรือ? แย่ไปกว่านั้น เจ้าตำหนักคอลลินส์อาจทำให้ตระกูลวู๊ดทั้งตระกูลต้องสูญสิ้น!”หัวหน้าตระกูลของตระกูลชั้นสามรู้สึกประหลาดใจที่เฟนด์ กล้าบ้าบิ่นและเอ่ยในสิ่งที่คิดเช่นเดียวกันกับคนอื่น ๆแม้ว่าทุกคนจะรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่ลิลลี่ทำ เรื่องที่ฉ้อฉลต่อพวกเขา แต่พวกเขาไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้ใส่โจเอล เจ้าตำหนักนภาอย่างแน่นอนทว่าสิ่งที่ฝูงชนไม่รู้ก็คืออีกฝ่ายเองรู้ว่าเฟนด์ลุกขึ้นเพราะเรื่องเมื่อตอนที่เฟนด์และอีกสองคนเข้าร่วมพิธีแต่งงานของลิลลี่และโจเอลที่ตำหนักนภา ถ้าเฟนด์ไม่หงายไพ่ที่ซ่อนอยู่ อีกฝ่ายคงฆ่าเฟนด์และพวกพ้องของเขาไปนานแล้ว และหากพวกเขาทั้งสามเสียชีวิต การคงอยู่ของตระกูลวู๊ดก็จะได้รับผลกระทบอย่างสาหัส ตระกูลวู๊ดอาจถึงคราวล่มสลายเมื่อเฟนด์นึกถึงวันที่ตำหนักนภาส่งนักสู้ชั้นยอดหกคนออกมาโจมตีพวกเขาทั้งสามคน ความโกรธแค้นก็ไหลผ่านร่างเขาราวกับลาวา“เฟนด์ คุณมันใจกล้าดีจริง ๆ คุณไม่รู้หรือว่าเขาเป็นใคร? เขา
“เจ้าหนุ่ม อย่ากล่าวหาเราโดยไม่มีหลักฐาน!” ผู้อาวุโสจากตำหนักนภาก้าวออกมาปกป้องเสียงดังในทันที “เรารู้ว่ามีสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏตัวขึ้นในป่าแห่งนั้น เราจึงส่งคนของเราไปฆ่ามัน เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์อสูรเข้ามาในหมู่บ้านหรือเมืองใกล้เคียงและทำร้ายผู้บริสุทธิ์ที่นั่น! แต่เราไม่ได้คาดหวังว่าสัตว์อสูรจะทรงพลังและมีกรงเล็บที่แหลมคมมากเช่นนั้น! มันฆ่าผู้อาวุโสทั้งหกของตำหนักนภา!” "เป็นไปไม่ได้! มีสัตว์อสูรที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่ในป่าแห่งนั้นด้วยหรือ?” “พระเจ้า! ผู้อาวุโสทั้งหก! ผู้ที่สามารถเป็นผู้อาวุโสของตำหนักนภาได้จะต้องบรรลุผ่านไปสู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริง! ทั้งที่มีความแข็งแกร่งและความกล้าหาญในการต่อสู้เช่นนั้น พวกเขากลับถูกฆ่าโดยสัตว์อสูร?” หลายคนอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำนี้ พวกเขาตกใจกับข่าวนี้ “สัตว์อสูร?” เฟนด์และแนชสบตากันและสีหน้าของพวกเขาก็แปลกไป ตำหนักนภาไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสของพวกเขาถูกฆ่าโดยคนทั้งสามจากตระกูลวู๊ด และพวกเขาคิดว่าผู้อาวุโสทั้งหกได้พบกับสัตว์อสูรที่ทรงพลังและถูกมันฆ่า! แต่เหตุผลของพวกเขาก็ไม่ผิดไปเสียทีเดียว ท้ายที่สุดเฟนด์ก็กลายร่างเป็นมังก
ไม่ใช่เฟนด์ที่ควรจะถูกทำให้ปลิวไปหรอกหรือ? ทำไมถึงกลายเป็นเจ้าตำหนักคอลลินส์ที่สูงส่งและทรงพลังของตำหนักนภาได้?“พรวด!”สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือเจ้าตำหนักนภาถูกเหวี่ยงออกไปหนึ่งร้อยฟุต ก่อนที่เขาจะทรงตัวบนพื้นได้ไหว ทว่าเขาไม่สามารถต้านทานพลังนั้นได้ เขากระอักเลือดสด ๆ ออกมาเต็มปาก และใบหน้าของเขาก็ขาวซีดทันที“ไม่มีทาง! เขาบาดเจ็บ!”ดาเนียลล่าจากตระกูลคาเบลโลและคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง ก่อนหน้านี้ ในตอนที่พวกเขาเห็นว่าเฟนด์พูดกับโจเอลอย่างไม่สุภาพ พวกเขาเป็นห่วงเฟนด์จริง ๆและเมื่อโจเอลพุ่งเข้าหาแนช และเฟนด์รีบออกไปเพื่อสกัดกั้นการโจมตี ดาเนียลล่ากลัวจนเกือบเป็นลม เธอนึกไม่ออกว่าเขาจะกังวลแค่ไหน เฟนด์พยายามต่อสู้กับการโจมตีของเจ้าตำหนักคอลลินส์ เขาไม่ได้กำลังหาเรื่องตายใช่ไหม?แต่ตอนนี้ ภาพตรงหน้าของเธอกลับบอกเป็นอย่างอื่น!“เฟนด์ ไอ้ส*รเลวนี่มีพลังมากกว่าเจ้าตำหนักคอลลินส์งั้นเหรอ?”อเล็กซานเดอร์ยิ่งกลัวจนควบคุมไม่ได้ เขาได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ จากนั้นเขาก็หันไปหาแนชและถามว่า นายท่านวู๊ด “ลูก… ลูกชายของคุณ… เขาอยู่ในระดับพลังยุทธขั้นใดในตอนนี้ อย่าบอกนะว่าเขาบรรลุไปอีกขั้น
เมื่อโจเอลพูดจบประโยค น้ำเสียงของเขาก็ดูเย่อหยิ่งและเจ้าเล่ห์ ไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น คนส่วนใหญ่ของตำหนักนภายังคิดว่าเจ้าตำหนักของพวกเขาประมาทเลินเล่อ เพราะประเมินเฟนด์ต่ำเกินไป แถมไม่ได้ใช้กำลังอย่างเต็มที่ นั่นเป็นสาเหตุที่เฟนด์มีโอกาสทำร้ายเขาได้ ผู้คนของตำหนักนภามีความไว้วางใจและมั่นใจในทักษะการต่อสู้ของเจ้าตำหนักคอลลินส์ ฝูงชนที่ประกอบด้วยผู้คนจากตระกูลลึกลับนั้นไม่ได้โง่ บุคคลที่สูงส่งและทรงพลังอย่างเจ้าตำหนักคอลลินส์แห่งตำหนักนภาได้รับบาดเจ็บจากเฟนด์ ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่คิดจะสู้ต่อ! เห็นได้ชัดว่าโจเอลกลัวความแข็งแกร่งของเฟนด์ในระดับหนึ่ง จากพฤติกรรมเหล่านี้ของโจเอล ฝูงชนเข้าใจว่าความแข็งแกร่งและความสามารถในการต่อสู้ของเฟนด์นั้นแข็งแกร่งอย่างที่สุด “นายท่านฮันท์ สถานการณ์ยิ่งเฉลยให้เรารู้เกี่ยวกับการตายของนายน้อยมากขึ้น นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่านายน้อยของเราถูกเจ้าหมอนี่ฆ่าจริง ๆ!” ผู้อาวุโสจากตระกูลฮันท์โน้มตัวไปหาเควนติน และกระซิบข้างหูเขาเบา ๆ "ใช่ พลังการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งกว่าที่เราคาดไว้มาก แถมยังแข็งแกร่งกว่าระดับพลังยุทธในปัจจุบ
“ตำหนักเทพยดาจะมาแน่ แต่ผมไม่แน่ใจว่าวิหารแห่งทวยเทพและราชาจะมาด้วยไหม?” เชลบี้เย้ยหยันด้วยรอยยิ้มห่างเหิน “วิหารแห่งทวยเทพและราชาได้ส่งนักสู้ชั้นยอดเข้าไปในเจ็ดจุดอันตรายแล้ว ฉันเพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อสองสามวันก่อน!” เจ้าตำหนักอินทรีทะยานแทบสำลักกับข่าวที่ได้รับ มุมปากของเขากระตุกหลายครั้งอย่างอดไม่ได้ "ฮึ! วิหารแห่งทวยเทพและราชา พวกทรยศ! ลิลลี่แจ้งให้เราเรื่องวันเวลาและสถานที่ของการประชุม โดยบอกว่าทุกตระกูลจะมารวมตัวกันที่คฤหาสน์คาเบลโลก่อนที่จะเข้าสู่เจ็ดจุดอันตราย พวกเขาทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างไร?” เจ้าตำหนักอินทรีทะยานเคยลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุดเขาก็ล้มเลิกความคิดที่คล้ายกันนี้เพราะกลัวว่าจะทำให้สาธารณชนโกรธ ถ้าเขารู้ว่าวิหารแห่งทวยเทพและราชาได้ลงมือไปแล้ว เขาคงไม่ลังเลที่จะส่งคนของเขาออกไปสำรวจเจ็ดจุดอันตรายทันที! หลังจากผ่านไปหลายนาที เจ้าตำหนักเทพยดาก็มาถึงพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ “ดูเหมือนว่าเราจะไม่ใช่กลุ่มสุดท้าย! วิหารแห่งทวยเทพและราชายังไม่มา!” “อ๋อ พวกเขาคงไม่มาหรอก พวกเขาได้ส่งคนเข้าไปยังเจ็ดจุดอันตรายแล้ว และฉันก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ล่าสุดที่นั่นเป็นอย่างไร” เจ
“อย่างนั้นเหรอ? ขอแสดงความยินดีกับคุณที่มีความก้าวหน้าสู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพที่แท้จริงในช่วงเวลานี้ถึงสองครั้งด้วย!” ออเรียล ฮอฟฟ์แมนจากตำหนักเทพยดาแสดงความยินดี ขณะที่เธอยิ้มเล็ก ๆ “เฮ้อ… ก่อนหน้านี้ตระกูลของเรามีคนในขั้นสูงสุดของระดับเทพที่แท้จริงสิบสี่คนเช่นเดียวกับเผ่าของคุณ แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้เรามีคนที่ก้าวเข้าสู่ชั้นสูงสุดเพิ่มอีกหนึ่งคน ดังนั้นตอนนี้เรามีกันสิบห้าคนแล้ว!”เห็นได้ชัดว่าออเรียลโอ้อวดความจริงราวกับว่าเธอกำลังบอกอีกฝ่ายว่า ตำหนักเทพยดาของพวกเธอแข็งแกร่งขึ้นในขณะที่ตำหนักนภาได้กลับถดถอยลง ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องตกลำดับลงเล็กน้อยในอนาคตกริฟเฟนด์ แลงลีย์ไม่อยากถูกเหน็บแนม จึงประกาศความแข็งแกร่งของเผ่าของตน “ฮ่าฮ่า… บังเอิญจริง ชนเผ่าของเราก็มีคนที่บรรลุถึงขั้นสูงสุดของระดับเทแท้จริงอีกสองคนเช่นนั้น และด้วยสิ่งนั้น เราจึงมีคนเพิ่มจากสิบสี่เป็นสิบหกคนแล้ว ดูเหมือนว่าเผ่าของเรามีผู้อาวุโสในขั้นสูงสุดของระดับเทพที่แท้จริงมากขึ้น!”สีหน้าของโจเอลมืดมน ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยแสดงความคิดเห็นว่า “การมีนักสู้ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงจะมีประโยชน์อะไร? ผมคิดว่
แนชพยักหน้าทันที “มันเป็นไปได้ พวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าเรารู้แล้วว่าพวกเขาส่งสมาชิกไปที่นั่น”ครู่ต่อมา สมาชิกของวิหารแห่งทวยเทพและราชาก็บินมาและลงจอดต่อหน้าพวกเขาออเรียลขมวดคิ้วและเป็นคนแรกที่ถาม “เจ้าวิหารแฮรี่ พวกคุณ...?”แฮร์รี่กวาดสายตามองฝูงชนก่อนที่เขาจะพูดด้วยใบหน้าที่ขมวดคิ้ว “พูดตามตรง คนของเราได้แยกออกเป็นสามกลุ่มแล้ว และมุ่งหน้าไปยังพื้นที่อันตรายสามแห่งเพื่อตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ และพวกเขาก็กลับมาแล้ว”“ฮ่า ฮ่า…! เราคิดว่าคุณจะไม่ยอมรับเรื่องนั้นเสียอีก อาจารย์แฮรี่ แต่นี่คุณยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเลย ลิลลี่บอกผมว่าเธอแจ้งให้ชนเผ่าคุณทราบว่าจะมารวมตัวกันที่นี่เมื่อใด และเราจะเข้าสู่เจ็ดจุดอันตราย ด้วยกัน ใครจะรู้ว่าคุณจะลงมืออย่างรวดเร็ว คุณยังสารภาพออกมาเสียอีก!” โจเอลพูดพลางหัวเราะเบา ๆ แม้ว่าความไม่พอใจจะแผดเผาอยู่ในอกของเขาก็ตามแฮร์รี่ยิ้มอย่างขมขื่นอีกครั้ง “คนของเรากลับมาจากพื้นที่อันตรายสามแห่งแล้ว แต่เราต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก เนื่องจากคนในระดับเทพแท้จริงและระดับกึ่งเทพเสียชีวิตไปแล้วเป็นจำนวนมาก คนที่อยู่ในขั้นกลางและขั้นสูงของระดับเทพแท้จริงได้ตายไปหลายคนแล้ว เช่
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ