“ผู้อาวุโสฮันท์ ผมไม่คิดว่าสิ่งที่ลูกชายผมพูดจะมีปัญหาตรงไหน ก่อนหน้านี้ในการแข่งขัน กฎชีวิตหรือความตายถูกเน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากปากของตระกูลฮันท์เอง เราก็แค่ปฏิบัติตามกฎนั้น อย่าบอกนะว่าคุณต้องการโยนความผิดทั้งหมดไปที่ลูกชายของผม และล้างแค้นให้หลานชายของคุณ หืม?” แนชยิ้มอย่างอ่อนโยนในขณะที่โต้ตอบนายใหญ่ฮันท์ หากสิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาก่อนที่เฟนด์จะปรากฏตัวในชีวิตของเขา เขาคงจะไม่กล้าพูดอย่างมั่นใจต่อหน้าตระกูลฮันท์เช่นนี้ “พวกคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่?” ก่อนที่นายใหญ่ฮันท์จะพูดอะไรไปมากกว่านี้ อเล็กซานเดอร์ก็ก้าวเข้ามาไกล่เกลี่ยสถานการณ์ทันที “การแข่งขันได้ผ่านพ้นไปนานแล้ว และบุตรชายของตระกูลอื่น ๆ ก็เสียชีวิตในการแข่งขันนั้น พวกเขาต่างก็เป็นสิ่งล้ำค่าของตระกูลตัวเองเช่นกัน แต่หัวข้อหลักสำหรับวันนี้คือการพูดคุยถึงวิธีการบุกเข้าไปในเจ็ดจุดอันตรายและหาทางบรรลุไปสู่ระดับเทพสูงสุดไม่ใช่หรือ? นี่คือสิ่งที่เราควรคุยกัน!” “นายท่านคาเบลโลพูดถูก อย่ามาทะเลาะกันเรื่องนี้เลย เข้าใจไหม?” เชลบี้ แลงคาสเตอร์ นายหญิงตระกูลแลงคาสเตอร์ก้าวขึ้นมาและเปล่งเสียงออกมา “จริง ๆ แล้
เทรนตันรู้ดีอยู่ในใจว่าเขาไม่สามารถยอมรับได้ว่าลูกสาวของเขาบอกสี่ชนเผ่าโบราณเรื่องเจ็ดจุดอันตรายไป ถ้าตระกูลลึกลับเหล่านี้รู้เรื่องเข้า พวกเขาจะโยนความผิดทั้งหมดมาให้ตระกูลลาโกริโอ และนั่นจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับตระกูลของเขานายใหญ่ฮันท์จมดิ่งสู่ห้วงความคิดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มันไม่สำคัญหรอกว่าใครเป็นคนฉ้อฉล เรามาที่นี่ในวันนี้เพื่อหารือว่าเราควรจัดการกับเจ็ดจุดอันตรายอย่างไร สถานที่แต่ละแห่งในเจ็ดจุดอันตรายนั้นอันตรายและเสี่ยงอย่างยิ่ง และพวกเราก็ไม่เคยมีใครย่างกรายไปที่นั่นมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงจุดที่ลึกที่สุดของเจ็ดจุดอันตรายนั้นด้วยซ้ำ เราไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นอย่างไร และแม้ว่าแต่ละตระกูลลึกลับจะส่งอัจฉริยะชั้นยอดมาตระกูลละหนึ่งคนมารวมพลังกัน ผมก็ยังคิดว่ามันอันตรายอยู่ดี!” เขาแสดงความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับแผนการ“ผมสงสัยว่าจุดอันตรายทั้งเจ็ดบนแผนที่หมายถึงอะไร… อืมมม… ยิ่งกว่านั้น หากชนเผ่าโบราณทั้งสี่ได้ส่งคนออกไปสำรวจเจ็ดจุดอันตรายแล้ว เราก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาอยู่ในจุดใดบ้าง และหากพวกเขาจัดคนไว้เฝ้าสถานที่เหล่านั้นด้วยล่ะ?”หัวหน้าตระกูลชั้นสองพูดความในใจของเขาหลังจากใช้ความคิดบางอย่
บางคนในฝูงชนอ้าปากค้างกับสถานการณ์ตรงหน้า พวกเขากังวลแทนเฟนด์“ทำไมนายท่านตระกูลวู๊ดถึงไม่ปรามลูกชายเรื่องมารยาท? พวกเขาไม่กลัวว่าเจ้าตำหนักคอลลินส์จะโกรธและฆ่าลูกชายของเขาทันทีหรือ? แย่ไปกว่านั้น เจ้าตำหนักคอลลินส์อาจทำให้ตระกูลวู๊ดทั้งตระกูลต้องสูญสิ้น!”หัวหน้าตระกูลของตระกูลชั้นสามรู้สึกประหลาดใจที่เฟนด์ กล้าบ้าบิ่นและเอ่ยในสิ่งที่คิดเช่นเดียวกันกับคนอื่น ๆแม้ว่าทุกคนจะรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่ลิลลี่ทำ เรื่องที่ฉ้อฉลต่อพวกเขา แต่พวกเขาไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้ใส่โจเอล เจ้าตำหนักนภาอย่างแน่นอนทว่าสิ่งที่ฝูงชนไม่รู้ก็คืออีกฝ่ายเองรู้ว่าเฟนด์ลุกขึ้นเพราะเรื่องเมื่อตอนที่เฟนด์และอีกสองคนเข้าร่วมพิธีแต่งงานของลิลลี่และโจเอลที่ตำหนักนภา ถ้าเฟนด์ไม่หงายไพ่ที่ซ่อนอยู่ อีกฝ่ายคงฆ่าเฟนด์และพวกพ้องของเขาไปนานแล้ว และหากพวกเขาทั้งสามเสียชีวิต การคงอยู่ของตระกูลวู๊ดก็จะได้รับผลกระทบอย่างสาหัส ตระกูลวู๊ดอาจถึงคราวล่มสลายเมื่อเฟนด์นึกถึงวันที่ตำหนักนภาส่งนักสู้ชั้นยอดหกคนออกมาโจมตีพวกเขาทั้งสามคน ความโกรธแค้นก็ไหลผ่านร่างเขาราวกับลาวา“เฟนด์ คุณมันใจกล้าดีจริง ๆ คุณไม่รู้หรือว่าเขาเป็นใคร? เขา
“เจ้าหนุ่ม อย่ากล่าวหาเราโดยไม่มีหลักฐาน!” ผู้อาวุโสจากตำหนักนภาก้าวออกมาปกป้องเสียงดังในทันที “เรารู้ว่ามีสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏตัวขึ้นในป่าแห่งนั้น เราจึงส่งคนของเราไปฆ่ามัน เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์อสูรเข้ามาในหมู่บ้านหรือเมืองใกล้เคียงและทำร้ายผู้บริสุทธิ์ที่นั่น! แต่เราไม่ได้คาดหวังว่าสัตว์อสูรจะทรงพลังและมีกรงเล็บที่แหลมคมมากเช่นนั้น! มันฆ่าผู้อาวุโสทั้งหกของตำหนักนภา!” "เป็นไปไม่ได้! มีสัตว์อสูรที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่ในป่าแห่งนั้นด้วยหรือ?” “พระเจ้า! ผู้อาวุโสทั้งหก! ผู้ที่สามารถเป็นผู้อาวุโสของตำหนักนภาได้จะต้องบรรลุผ่านไปสู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริง! ทั้งที่มีความแข็งแกร่งและความกล้าหาญในการต่อสู้เช่นนั้น พวกเขากลับถูกฆ่าโดยสัตว์อสูร?” หลายคนอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำนี้ พวกเขาตกใจกับข่าวนี้ “สัตว์อสูร?” เฟนด์และแนชสบตากันและสีหน้าของพวกเขาก็แปลกไป ตำหนักนภาไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสของพวกเขาถูกฆ่าโดยคนทั้งสามจากตระกูลวู๊ด และพวกเขาคิดว่าผู้อาวุโสทั้งหกได้พบกับสัตว์อสูรที่ทรงพลังและถูกมันฆ่า! แต่เหตุผลของพวกเขาก็ไม่ผิดไปเสียทีเดียว ท้ายที่สุดเฟนด์ก็กลายร่างเป็นมังก
ไม่ใช่เฟนด์ที่ควรจะถูกทำให้ปลิวไปหรอกหรือ? ทำไมถึงกลายเป็นเจ้าตำหนักคอลลินส์ที่สูงส่งและทรงพลังของตำหนักนภาได้?“พรวด!”สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือเจ้าตำหนักนภาถูกเหวี่ยงออกไปหนึ่งร้อยฟุต ก่อนที่เขาจะทรงตัวบนพื้นได้ไหว ทว่าเขาไม่สามารถต้านทานพลังนั้นได้ เขากระอักเลือดสด ๆ ออกมาเต็มปาก และใบหน้าของเขาก็ขาวซีดทันที“ไม่มีทาง! เขาบาดเจ็บ!”ดาเนียลล่าจากตระกูลคาเบลโลและคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง ก่อนหน้านี้ ในตอนที่พวกเขาเห็นว่าเฟนด์พูดกับโจเอลอย่างไม่สุภาพ พวกเขาเป็นห่วงเฟนด์จริง ๆและเมื่อโจเอลพุ่งเข้าหาแนช และเฟนด์รีบออกไปเพื่อสกัดกั้นการโจมตี ดาเนียลล่ากลัวจนเกือบเป็นลม เธอนึกไม่ออกว่าเขาจะกังวลแค่ไหน เฟนด์พยายามต่อสู้กับการโจมตีของเจ้าตำหนักคอลลินส์ เขาไม่ได้กำลังหาเรื่องตายใช่ไหม?แต่ตอนนี้ ภาพตรงหน้าของเธอกลับบอกเป็นอย่างอื่น!“เฟนด์ ไอ้ส*รเลวนี่มีพลังมากกว่าเจ้าตำหนักคอลลินส์งั้นเหรอ?”อเล็กซานเดอร์ยิ่งกลัวจนควบคุมไม่ได้ เขาได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ จากนั้นเขาก็หันไปหาแนชและถามว่า นายท่านวู๊ด “ลูก… ลูกชายของคุณ… เขาอยู่ในระดับพลังยุทธขั้นใดในตอนนี้ อย่าบอกนะว่าเขาบรรลุไปอีกขั้น
เมื่อโจเอลพูดจบประโยค น้ำเสียงของเขาก็ดูเย่อหยิ่งและเจ้าเล่ห์ ไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น คนส่วนใหญ่ของตำหนักนภายังคิดว่าเจ้าตำหนักของพวกเขาประมาทเลินเล่อ เพราะประเมินเฟนด์ต่ำเกินไป แถมไม่ได้ใช้กำลังอย่างเต็มที่ นั่นเป็นสาเหตุที่เฟนด์มีโอกาสทำร้ายเขาได้ ผู้คนของตำหนักนภามีความไว้วางใจและมั่นใจในทักษะการต่อสู้ของเจ้าตำหนักคอลลินส์ ฝูงชนที่ประกอบด้วยผู้คนจากตระกูลลึกลับนั้นไม่ได้โง่ บุคคลที่สูงส่งและทรงพลังอย่างเจ้าตำหนักคอลลินส์แห่งตำหนักนภาได้รับบาดเจ็บจากเฟนด์ ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่คิดจะสู้ต่อ! เห็นได้ชัดว่าโจเอลกลัวความแข็งแกร่งของเฟนด์ในระดับหนึ่ง จากพฤติกรรมเหล่านี้ของโจเอล ฝูงชนเข้าใจว่าความแข็งแกร่งและความสามารถในการต่อสู้ของเฟนด์นั้นแข็งแกร่งอย่างที่สุด “นายท่านฮันท์ สถานการณ์ยิ่งเฉลยให้เรารู้เกี่ยวกับการตายของนายน้อยมากขึ้น นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่านายน้อยของเราถูกเจ้าหมอนี่ฆ่าจริง ๆ!” ผู้อาวุโสจากตระกูลฮันท์โน้มตัวไปหาเควนติน และกระซิบข้างหูเขาเบา ๆ "ใช่ พลังการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งกว่าที่เราคาดไว้มาก แถมยังแข็งแกร่งกว่าระดับพลังยุทธในปัจจุบ
“ตำหนักเทพยดาจะมาแน่ แต่ผมไม่แน่ใจว่าวิหารแห่งทวยเทพและราชาจะมาด้วยไหม?” เชลบี้เย้ยหยันด้วยรอยยิ้มห่างเหิน “วิหารแห่งทวยเทพและราชาได้ส่งนักสู้ชั้นยอดเข้าไปในเจ็ดจุดอันตรายแล้ว ฉันเพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อสองสามวันก่อน!” เจ้าตำหนักอินทรีทะยานแทบสำลักกับข่าวที่ได้รับ มุมปากของเขากระตุกหลายครั้งอย่างอดไม่ได้ "ฮึ! วิหารแห่งทวยเทพและราชา พวกทรยศ! ลิลลี่แจ้งให้เราเรื่องวันเวลาและสถานที่ของการประชุม โดยบอกว่าทุกตระกูลจะมารวมตัวกันที่คฤหาสน์คาเบลโลก่อนที่จะเข้าสู่เจ็ดจุดอันตราย พวกเขาทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างไร?” เจ้าตำหนักอินทรีทะยานเคยลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุดเขาก็ล้มเลิกความคิดที่คล้ายกันนี้เพราะกลัวว่าจะทำให้สาธารณชนโกรธ ถ้าเขารู้ว่าวิหารแห่งทวยเทพและราชาได้ลงมือไปแล้ว เขาคงไม่ลังเลที่จะส่งคนของเขาออกไปสำรวจเจ็ดจุดอันตรายทันที! หลังจากผ่านไปหลายนาที เจ้าตำหนักเทพยดาก็มาถึงพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ “ดูเหมือนว่าเราจะไม่ใช่กลุ่มสุดท้าย! วิหารแห่งทวยเทพและราชายังไม่มา!” “อ๋อ พวกเขาคงไม่มาหรอก พวกเขาได้ส่งคนเข้าไปยังเจ็ดจุดอันตรายแล้ว และฉันก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ล่าสุดที่นั่นเป็นอย่างไร” เจ
“อย่างนั้นเหรอ? ขอแสดงความยินดีกับคุณที่มีความก้าวหน้าสู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพที่แท้จริงในช่วงเวลานี้ถึงสองครั้งด้วย!” ออเรียล ฮอฟฟ์แมนจากตำหนักเทพยดาแสดงความยินดี ขณะที่เธอยิ้มเล็ก ๆ “เฮ้อ… ก่อนหน้านี้ตระกูลของเรามีคนในขั้นสูงสุดของระดับเทพที่แท้จริงสิบสี่คนเช่นเดียวกับเผ่าของคุณ แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้เรามีคนที่ก้าวเข้าสู่ชั้นสูงสุดเพิ่มอีกหนึ่งคน ดังนั้นตอนนี้เรามีกันสิบห้าคนแล้ว!”เห็นได้ชัดว่าออเรียลโอ้อวดความจริงราวกับว่าเธอกำลังบอกอีกฝ่ายว่า ตำหนักเทพยดาของพวกเธอแข็งแกร่งขึ้นในขณะที่ตำหนักนภาได้กลับถดถอยลง ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องตกลำดับลงเล็กน้อยในอนาคตกริฟเฟนด์ แลงลีย์ไม่อยากถูกเหน็บแนม จึงประกาศความแข็งแกร่งของเผ่าของตน “ฮ่าฮ่า… บังเอิญจริง ชนเผ่าของเราก็มีคนที่บรรลุถึงขั้นสูงสุดของระดับเทแท้จริงอีกสองคนเช่นนั้น และด้วยสิ่งนั้น เราจึงมีคนเพิ่มจากสิบสี่เป็นสิบหกคนแล้ว ดูเหมือนว่าเผ่าของเรามีผู้อาวุโสในขั้นสูงสุดของระดับเทพที่แท้จริงมากขึ้น!”สีหน้าของโจเอลมืดมน ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยแสดงความคิดเห็นว่า “การมีนักสู้ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงจะมีประโยชน์อะไร? ผมคิดว่