“อย่างนั้นเหรอ? ขอแสดงความยินดีกับคุณที่มีความก้าวหน้าสู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพที่แท้จริงในช่วงเวลานี้ถึงสองครั้งด้วย!” ออเรียล ฮอฟฟ์แมนจากตำหนักเทพยดาแสดงความยินดี ขณะที่เธอยิ้มเล็ก ๆ “เฮ้อ… ก่อนหน้านี้ตระกูลของเรามีคนในขั้นสูงสุดของระดับเทพที่แท้จริงสิบสี่คนเช่นเดียวกับเผ่าของคุณ แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้เรามีคนที่ก้าวเข้าสู่ชั้นสูงสุดเพิ่มอีกหนึ่งคน ดังนั้นตอนนี้เรามีกันสิบห้าคนแล้ว!”เห็นได้ชัดว่าออเรียลโอ้อวดความจริงราวกับว่าเธอกำลังบอกอีกฝ่ายว่า ตำหนักเทพยดาของพวกเธอแข็งแกร่งขึ้นในขณะที่ตำหนักนภาได้กลับถดถอยลง ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องตกลำดับลงเล็กน้อยในอนาคตกริฟเฟนด์ แลงลีย์ไม่อยากถูกเหน็บแนม จึงประกาศความแข็งแกร่งของเผ่าของตน “ฮ่าฮ่า… บังเอิญจริง ชนเผ่าของเราก็มีคนที่บรรลุถึงขั้นสูงสุดของระดับเทแท้จริงอีกสองคนเช่นนั้น และด้วยสิ่งนั้น เราจึงมีคนเพิ่มจากสิบสี่เป็นสิบหกคนแล้ว ดูเหมือนว่าเผ่าของเรามีผู้อาวุโสในขั้นสูงสุดของระดับเทพที่แท้จริงมากขึ้น!”สีหน้าของโจเอลมืดมน ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยแสดงความคิดเห็นว่า “การมีนักสู้ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงจะมีประโยชน์อะไร? ผมคิดว่
แนชพยักหน้าทันที “มันเป็นไปได้ พวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าเรารู้แล้วว่าพวกเขาส่งสมาชิกไปที่นั่น”ครู่ต่อมา สมาชิกของวิหารแห่งทวยเทพและราชาก็บินมาและลงจอดต่อหน้าพวกเขาออเรียลขมวดคิ้วและเป็นคนแรกที่ถาม “เจ้าวิหารแฮรี่ พวกคุณ...?”แฮร์รี่กวาดสายตามองฝูงชนก่อนที่เขาจะพูดด้วยใบหน้าที่ขมวดคิ้ว “พูดตามตรง คนของเราได้แยกออกเป็นสามกลุ่มแล้ว และมุ่งหน้าไปยังพื้นที่อันตรายสามแห่งเพื่อตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ และพวกเขาก็กลับมาแล้ว”“ฮ่า ฮ่า…! เราคิดว่าคุณจะไม่ยอมรับเรื่องนั้นเสียอีก อาจารย์แฮรี่ แต่นี่คุณยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเลย ลิลลี่บอกผมว่าเธอแจ้งให้ชนเผ่าคุณทราบว่าจะมารวมตัวกันที่นี่เมื่อใด และเราจะเข้าสู่เจ็ดจุดอันตราย ด้วยกัน ใครจะรู้ว่าคุณจะลงมืออย่างรวดเร็ว คุณยังสารภาพออกมาเสียอีก!” โจเอลพูดพลางหัวเราะเบา ๆ แม้ว่าความไม่พอใจจะแผดเผาอยู่ในอกของเขาก็ตามแฮร์รี่ยิ้มอย่างขมขื่นอีกครั้ง “คนของเรากลับมาจากพื้นที่อันตรายสามแห่งแล้ว แต่เราต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก เนื่องจากคนในระดับเทพแท้จริงและระดับกึ่งเทพเสียชีวิตไปแล้วเป็นจำนวนมาก คนที่อยู่ในขั้นกลางและขั้นสูงของระดับเทพแท้จริงได้ตายไปหลายคนแล้ว เช่
โจเอลตกตะลึงชั่วครู่ ก่อนหันไปหาแฮร์รี่ขณะที่เขาพูดอย่างยิ้มแย้ม “เจ้าตำหนักแฮร์รี่ ขอผมดูมันใกล้ ๆ ได้ไหม? นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นสิ่งนี้!”ทว่าแฮร์รี่กลับยิ้มอย่างเย็นชา “ที่ผมมาที่นี่และถ่ายทอดข้อมูลบางอย่างก็มากพอแล้ว แต่คุณยังอยากให้ผมเอาให้คุณดูอีกหรือ ฮ่าฮ่า… ผมเสียสละคนของผมไปมากมายเพื่อให้ได้สิ่งนี้มา หลังจากตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ถ้าคุณไม่ส่งคืนให้แล้วผมจะทำอย่างไร? ตอนนี้ผู้อาวุโสของชนเผ่าเราตายไปมากแล้ว คุณต้องให้ผมสู้กับคุณไหม? ถ้าคุณไม่คืนมัน”“เอ่อ… คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เผ่าของเราโชคร้ายเพราะเราพบกับสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัว ทำให้นักสู้ในขั้นสูงสุดของระดับเทพที่แท้จริงเสียชีวิตไปหกคน” แฮร์รี่ทำให้โจเอลดูลนลาน เขาไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนเรื่องนี้ไว้เพราะชนเผ่าอื่นก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน“คนของคุณเสียชีวิตไปหกคนเหรอ?” แฮร์รี่มองดูผู้คนจากด้านข้างของตำหนักนภาอย่างระมัดระวัง และดูเหมือนว่าผู้อาวุโสที่มีอำนาจหลายคนจะหายไปอย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธคำขออย่างยิ้มแย้ม “นั่นไม่ได้ผลกับเราหรอก เราได้สิ่งนี้มาด้วยความยากลำบากแสนสาหัส และแม้ว่าจะศึกษามันตลอดทั้งคืนเมื
ผู้อาวุโสลำดับแรกของวิหารแห่งทวยเทพและราชาออกมาในขณะนั้นและกล่าวว่า “ผมแน่ใจว่าทุกคนที่นี่คงไม่เชื่อเรา ดังนั้นพวกคุณทุกคนจะลองดูด้วยตัวเองก็ย่อมได้ เราใจดีพอที่จะแจ้งให้คุณทราบ แต่หากคุณไม่เชื่อ และต้องการให้มีคนตายมากกว่านี้ เราก็จะไม่ห้ามคุณ”“ผมเชื่อในตัวคุณ ท่านผู้อาวุโส!” เฟนด์ทำความเคารพเขาอีกครั้งและยังคงโค้งคำนับเล็กน้อยก่อนถามว่า "ผมหวังว่าเจ้าวิหารแฮร์รี่ และท่านผู้ทรงเกียรติจะบอกเราได้ว่าจุดอันตรายทั้งสามแห่งที่คุณไปคือที่ใดบ้าง?"“ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนที่มีมารยาทดีจริง ๆ” ผู้อาวุโสลำดับแรกของวิหารแห่งทวยเทพและราชาพยักหน้า “เราไปยังจุดอันตรายสามแห่งซึ่งอยู่ใกล้วิหารแห่งทวยเทพและราชาที่สุด อีกสี่แห่งที่เรายังไม่เคยไป ได้แก่ ผืนป่ารัตติกาล เขาทมิฬเศียรมังกร เขาเหมันต์กระจ่าง และเกาะวายุมืด จัดการเอาเองได้เลย”“เอาล่ะ เราพูดทุกอย่างที่จำเป็นต้องพูดแล้ว ผมหวังว่าทุกคนจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเราหลังจากได้รับลูกบอลแปลก ๆ เช่นนี้ แล้วเกิดสังเกตเห็นอะไรเข้า เราจะลากันเดี๋ยวนี้” เจ้าวิหารแฮร์รี่แห่งวิหารแห่งทวยเทพและราชาเก็บลูกบอลหินในมือไว้ก่อนจะจากไปพร้อมกับผู้ติดตามหลังจากที่ผู้ค
ในขณะนั้นเอง หญิงชราอีกคนจากตำหนักอินทรีทะยานเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน “ตระกูลลึกลับของพวกคุณไม่มีคุณสมบัติพอที่จะต่อรองกับเรา ขอเพียงแค่เห็นด้วย พวกคุณก็ยังพอมีโอกาส แม้จะค่อนข้างเล็กน้อยก็ตาม เพราะเรามอบโอกาสให้พวกคุณทุกคน ปล่อยวางเสียเถอะ ตระกูลไหนในหมู่พวกคุณที่กล้าจะแข่งกับเราในเรื่องจำนวนของผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพที่แท้จริงได้?”เฟนด์ยิ้มอย่างเย็นชาหลังจากได้ยินสิ่งนี้ เขาเดินไปข้างหน้าและพูดกับหญิงชราว่า “ผู้อาวุโสที่เคารพ สิ่งที่คุณพูดฟังดูไม่ถูกต้องเลย หากเราเปรียบเทียบเป็นรายบุคคล จำนวนปรมาจารย์ของเราที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงย่อมไม่สามารถเทียบได้กับเผ่าโบราณของพวกคุณ แต่ถ้าเราเปรียบเทียบจำนวนทั้งหมดล่ะ? มีตระกูลมากมายอยู่ที่นี่ และตระกูลชั้นสองบางตระกูลของเราก็มีผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงด้วย ถ้าเรารวมทั้งหมดเข้าด้วยกันคุณว่าจะเป็นอย่างไร? เรายังน้อยไปอีกหรือ?”เฟนด์หยุดชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “นอกเหนือจากนั้น การที่คุณจะให้จุดอันตรายเพียงแห่งเดียวแก่เราในขณะที่เรามีหลายตระกูลนั้นมันไม่เหมาะสมมิใช่หรือ? หากคุณยืนกรานตาม
หมัดของเฟนด์ทำให้ผู้อาวุโสลำดับที่สามกระเด็นถอยหลังไปไกลเธอกระเด็นไปไกลประมาณ 100 เมตรก่อนที่เธอจะตั้งหลักได้อีกครั้ง"โอ๊ย!" ผู้อาวุโสลำดับที่สามจับแขนขวาของเธอด้วยแขนข้างซ้าย แขนขวาของเธอหักเนื่องจากแรงกระแทกทำให้กระดูกแตกออกเป็นชิ้นเล้กชิ้นน้อย“เป็นไปได้อย่างไร? ผู้อาวุโสลำดับที่สามบาดเจ็บ!”“ดูเหมือนว่าแขนของคุณจะหักใช่ไหม? จุ๊ จุ๊ จุ๊! แม้ว่าคุณจะกินยาเพื่อรักษาบาดแผล แต่กว่าคุณจะรักษาหายก็คงใช้เวลาราวแปดถึงสิบวันนั่นแหละ!”“โอ้… พลังการต่อสู้ของชายหนุ่มผู้นั้นมันยังไงกัน? ผู้อาวุโสลำดับที่สามเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีพลังการต่อสู้สูงในชนเผ่าโบราณของเรา แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับเอาชนะเธอได้อย่างง่ายดาย? พลังการต่อสู้ของเธอเป็นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธสูงสุดในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริง!”เหล่าผู้ติดตามจากตำหนักอินทรีทะยานตกตะลึงจนตาแทบถลนออกมาจากเบ้า สิ่งที่เกิดขึ้นได้เปลี่ยนการรับรู้ของพวกเขาโดยสิ้นเชิงในความเห็นของพวกเขา เป็นไปไม่ได้ที่เหล่าอัจฉริยะรุ่นใหม่จะสู้กับปรมาจารย์มือฉมังได้ ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ทว่าไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงเท่านั้น แต่พวก
เจ้าตำหนักอินทรีทะยานพยายามทรงตัวด้วยความยากลำบากอย่างมากก่อนที่จะโบกมือที่มึนงงเล็กน้อยอย่างแรง ท่าทางเขาดูมืดมน แข็งกระด้างแม้จะใช้พลังฉีตรงไปที่นั่น แต่เขากลับถูกผลักให้ลอยไปในอากาศ นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าพลังฉีของเฟนด์มีมากเพียงใด และพลังงานของเขาก็น่ากลัวมากเช่นกันในที่สุด กริฟฟินก็ยอมสงบลงชั่วคราว เขายิ้มให้เฟนด์อย่างไม่แยแสและพูดว่า “งั้นบอกเราหน่อยว่าวิธีไหนจะเหมาะสมกว่ากัน พ่อหนุ่ม ที่นี่มีกองกำลังจำนวนมาก การจะจัดแจงแบ่งสัดส่วนนั้นไม่ง่ายเลย เราเสนอแผนก่อนหน้าโดยคำนึงถึงตระกูลลึกลับของพวกคุณ ดังนั้นเมื่อเข้าสู่จุดอันตรายแล้วหากคุณสูญเสียคนไปมาก ก็อย่าหาว่าฉันไม่ได้เตือน เป็นพวกคุณเองที่ไม่เห็นถึงความหวังดีของเรา”สมาชิกหลายคนจากตระกูลลึกลับรู้สึกงงงวยที่ได้รู้ว่าเฟนด์แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ และมันก็ค่อนข้างน่ากลัวด้วย เจ้าตำหนักนภาและเจ้าตำหนักอินทรีทะยาน ทำได้เพียงแค่ยอมล่าถอยให้เท่านั้น เนื่องจากพวกเขาไม่ได้อะไรจากการต่อสู้ทุกคนหันไปหาเฟนด์โดยรู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะแบ่งฝ่ายและจัดการเรื่องนี้ อีกทั้งมีกองกำลังมากเกินไปและเป็นการยากที่จะจัดการให้เท่าเทียมกันเฟนด์คิดเ
อีกสองคนก็พยักหน้าเช่นกันเฟนด์ และคนอื่น ๆ ทำได้เพียงแค่พยักหน้าหลังจากที่พวกเขามองหน้ากัน “เอาล่ะ เราจะไปที่เขาเหมันต์กระจ่างและเกาะวายุมืด”“แยกย้ายกันเถอะ” ผู้คนจากสามเผ่าโบราณออกจากพื้นที่ขณะที่พวกเขาโบกมือหลังจากที่พวกเขาจากไป เควนตินก็พูดด้วยความโกรธว่า “พวกจิ้งจอกพวกนั้นคิดจะเอาเปรียบเราทุกทาง!”"ใช่ ในบรรดาจุดอันตรายทั้งสี่นั้น ผืนป่ารัตติกาลและเขาทมิฬเศียรมังกร ไม่อันตรายเท่าเขาเหมันต์กระจ่างและเกาะวายุมืด คนหน้าด้านพวกนั้นทิ้งจุดอันตรายสองแห่งไว้ให้เรา!” ผู้อาวุโสอีกคนจากตระกูลฮันต์ดูไม่สบอารมณ์“ทำใจเสียเถอะ ถ้าไม่ใช่เพราะพลังการต่อสู้อันแข็งแกร่งของน้องชายเฟนด์ที่ต่อสู้เพื่อให้ได้จุดอันตรายสองแห่ง เราคงได้รับเพียงแห่งเดียว!” นายท่านซีเมเนสเอ่ยขัดด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ต่อไปเราจะแบ่งกันอย่างไรดี?”“เช่นนี้ดีไหม? ทุกคนได้เห็นพลังการต่อสู้ของอัจฉริยะในตระกูลวู๊ดแล้วในตอนนี้ และตระกูลวู๊ดกำลังพัฒนาในอัตราที่น่าประทับใจอีกด้วย ดังนั้นผมจึงคิดว่าจะเป็นการดีที่สุดหากตระกูลวู๊ดไปที่เกาะวายุมืด หากตระกูลไหนอยากไปที่นั่นก็ไปได้เลย” เควนตินแนะนำอย่างยิ้ม ๆ หลังจากครุ่นคิดเกี่ยว
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ