“เจ้าตำหนัก เราไม่แน่ใจในเรื่องนี้ เราจึงยืนยันไม่ได้ พื้นที่นั้นล้อมรอบไปด้วยป่าไม้ และแทบจะไม่มีอะไรอยู่รอบ ๆ เลย เราจึงไม่มีทางตรวจสอบได้ว่าจริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น!”ชายชรายิ้มอย่างขมขื่น สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก “นั่นหมายความว่าสถานที่ที่ทั้งหกคนเลือกนั้นเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะวางกับดักและสังหารแนช วู๊ดกับพรรคพวก แต่ทำไมจู่ ๆ สัตว์อสูรจึงปรากฏตัวขึ้นและฆ่าพวกเขาไปจนหมดได้ มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!”ชายชราหยุดชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ "โอ้ ใช่แล้ว ความเสียหายในที่เกิดเหตุนั้นอาจบอกอะไรเราไม่ได้มากนัก เนื่องจากการต่อสู้ส่วนใหญ่น่าจะเกิดขึ้นบนท้องฟ้า”“สัตว์อสูรชนิดใดกันที่สามารถฆ่าพวกเขาทั้งหกคนได้? แม้ว่าสัตว์อสูรเหล่านี้จะมีอยู่ในระดับเทพแท้จริง แต่แน่นอนว่าคงไม่ง่ายที่จะฆ่าพวกเขาทั้งหกคนได้ แม้ว่าคนของเราอาจจะไม่สามารถเอาชนะสัตว์อสูรได้ แต่ก็น่าจะมีคนที่สามารถหลบหนีมาได้หากหนึ่งหรือสองคนในนั้นถ่วงเวลาสัตว์อสูรไว้ไม่ใช่หรือ? นี่หมายความว่าสัตว์อสูรตัวนั้นต้องมีพลังสูงกว่าพวกเขามาก!”โจเอลใบหน้าถอดสี นักสู้ทั้งหกของเขาเสียชีวิตไปเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ตำหนักนภาจะอ่อนแอที่สุดในบรรดาส
“ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าชายสามคนจากตระกูลวู๊ดเห็นศพของพวกเขา พวกนั้นคงจะเดาออกว่าผมส่งคนไปซุ่มโจมตีพวกมัน หากเป็นเช่นนั้น ต่อจากนี้ไปพวกมันจะระวังตัวแจอย่างแน่นอน!”ชายชรากล่าวเสริมหลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้"เอาล่ะ วันนี้ทุกคนคงเหนื่อยกันมามากแล้ว แยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อน!”โจเอลโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนลงไป“เฮ้อ การสูญเสียครั้งนี้มันมากเกินไป ด้วยเหตุนี้เราคงจะไม่อาจเชิดหน้าชูคอสู้กับอีกสามเผ่าโบราณที่เหลือได้!”หลังจากที่คนออกไปหมดแล้วโจเอลก็ถอนหายใจออกมา เขามองไปที่ลิลลี่และความเสียใจผุดขึ้นในหัวใจของเขา เธอเป็นคนสวย แต่น่าเสียดายที่ตำหนักของเขาต้องสูญเสียครั้งใหญ่เพราะเธอในที่สุดโจเอลก็นั่งลงข้าง ๆ “ขอบคุณพระเจ้าที่ยังมีคนในขั้นสูงของระดับเทพแท้จริงในตำหนักของเราอีกหลายคน” เขากล่าว “ในช่วงหลังมานี้พวกเขาฝึกยุทธอย่างหนัก หากมีสักหนึ่งหรือสองคนสามารถบรรลุไปอีกขั้นได้ก็คงจะดี”เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันเวลาล่วงเลยผ่านไปแปดวันก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางไปเยี่ยมตระกูลคาเบลโล จู่ ๆ ก็มีชายคนหนึ่งรีบวิ่งไปยืนหัวเราะอยู่กลางอากาศ “ฮ่าฮ่า นี่มันดีจริง ๆ ผมทำสำเร็จแล้ว ในที่สุดผมก็บรร
"ไม่มีทาง ผู้อาวุโสลำดับที่สองก็บรรลุเช่นกันเหรอ?”ทุกคนสูดหายใจเข้าอย่างแรงเมื่อจำคนที่วิ่งออกมาได้ เกิดอะไรขึ้นบนโลกนี้กัน? ผู้อาวุโสที่อยู่ขั้นสูงของระดับเทพแท้จริงสองคนบรรลุเข้าสู่ขั้นสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เนื่องจากยังไม่มีวิธีที่จะบรรลุเข้าสู่ระดับเทพสูงสุด ดังนั้นจุดสูงสุดของระดับเทพแท้จริงคือระดับการบ่มเพาะขั้นสูงสุด"อัศจรรย์นัก!"คนบางคนที่อยู่ขั้นกลางของระดับเทพแท้จริงชื่นชมพวกเขา ผู้ที่ไปถึงขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงได้นั้นเปรียบเสมือนเทพเจ้าสำหรับพวกเขา“คุณก็บรรลุแล้วเช่นกันหรือ?”ผู้อาวุโสลำดับที่สองเห็นแลนสล็อตและตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกตัว“ฮ่าฮ่า ผมเร็วกว่าคุณสักหนึ่งหรือสองนาทีได้ คุณออกมาหลังจากที่ผมทำสำเร็จแทบจะในทันที!”แลนสล็อตพูดพลางหัวเราะ“นี่เป็นสิ่งที่ดีมาก ฮ่า ๆ มันยอดเยี่ยมมาก! ไม่คิดว่าเราสองคนจะบรรลุไปได้ ถ้าเป็นแบบนี้เราจะไปกลัวใครทำไม เราไม่ต้องกลัวตระกูลฮันท์อีกต่อไปแล้ว ฮ่าฮ่า!”เวสตัน ผู้อาวุโสลำดับที่สองหัวเราะด้วยความอิ่มเอมใจ ในชั่วพริบตา พวกเขาก็มีนักสู้ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงเพิ่มขึ้นอีกสองคน พลังการต่อ
“ฮ่าฮ่า คุณยังไม่รู้ว่านี่มันหมายถึงอะไรเหรอ พ่อหนุ่ม? มันก็หมายความว่าตอนนี้คุณเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุชั้นนำแล้วอย่างไรเล่า!”ไททัสหัวเราะและพูดต่อผู้อาวุโสลำดับแรกเห็นว่าเฟนด์ดูเหมือนจะไม่เข้าใจสถานการณ์และอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ คนเพียงคนเดียวที่สามารถเล่นแร่แปรธาตุได้คือนายน้อยลำดับที่สองตระกูลฮันต์และผู้อาวุโสลำดับแรกตระกูลคาเบลโล เราชื่นชมพวกเขามาเป็นเวลานาน และเมื่อเราได้ยินว่าคุณฝึกเล่นแร่แปรธาตุด้วย เราก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่นายน้อยลำดับที่สองตระกูลฮันต์เสียชีวิต ก็มีเพียงคุณและผู้อาวุโสลำดับแรกของตระกูลคาเบลโลเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลืออยู่ก็เป็นเพียงนักเล่นแร่แปรธาตุฝึกหัดเท่านั้น!”ตอนนั้นเอง ผู้อาวุโสลำดับแรกหยุดชั่วขณะก่อนที่จะพูดต่อ “ผู้อาวุโสลำดับแรกของตระกูลคาเบลโลเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นต้นระดับสอง ซึ่งก็น่าประทับใจพอแล้ว แต่ตอนนี้คุณกลับเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นกลางระดับสอง ก็หมายความว่าตอนนี้คุณเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่เหรอ?”"ไม่มีทาง ผมคิดว่าผู้อาวุโสลำดับแรกของตระกูลคาเบลโลอยู่ในระดับที่สูงมาก!”หลังจากที่เฟนด์ได้ยินเรื่องน
ว่ากันตามตรง ซาเวียร์รู้สึกกังวลเพราะเมื่อพลังของลิลลี่หมดลง เขาก็กังวลว่าเธอจะถูกฆ่าโดยใครบางคนบนท้องถนน หรือเธออาจจะประสบอุบัติเหตุ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาส่งเธอกลับไปในระหว่างทาง บางครั้งเขาก็พยายามแลกเปลี่ยนความรู้สึกบางอย่างกับลิลลี่ โดยหวังว่าเธอจะไม่เก็บงำความขุ่นเคืองใจต่อตระกูลวู๊ดไว้ เขาบอกเธอว่าเธอทำผิด และหวังว่าทั้งสองตระกูลจะลืมเรื่องนี้ไปทว่าลิลลี่ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เธอจมอยู่ในความโศกเศร้า และเขาไม่รู้ว่าคำพูดของเขามีผลกระทบต่อลิลลี่หรือไม่ถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าไม่เพียงแต่ลิลลี่จะไม่ใส่ใจคำพูดของเขา แต่เธอยังเกลียดตระกูลวู๊ดมากจนอยากจะฆ่าล้างตระกูลนี้เขาหมดหนทาง เขารู้ว่าแนชเป็นคนดี แต่เขาก็กลัวว่าสมาชิกในตระกูลวู๊ดจะไม่พอใจกับเขา เพราะเขาพาลิลลี่กลับบ้านแต่หลังจากที่เขากลับมา เขาตระหนักได้บางอย่างว่าสมาชิกในตระกูลวู๊ด ดูเหมือนจะไม่โกรธเคืองเขาเพราะเรื่องนี้แม้แต่น้อย พวกเขายังให้ทรัพยากรยุทธที่เขาต้องการ และตอนนี้เขายังได้เป็นผู้พิทักษ์ อีก นอกจากนี้เขายังบรรลุเข้าสู่ขั้นต้นของระดับเทพแท้จริงเมื่อเดือนที่แล้วนี้ด้วยเฟนด์มองไปที่เขาและพูดว่า "เอาล่ะ ผู้
ซาเวียร์ยิ้มอย่างขมขื่น เขาตระหนักดีในขอบเขตความสามารถของตนและคิดว่าในช่วงชีวิตปัจจุบันนี้เขาไม่มีความหวังมากนัก นอกจากนี้ แม้ว่าเฟนด์จะเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ แต่เขาก็คงไม่อาจทนที่จะเสียโอสถที่ได้ไป“ทุกคนควรมีเป้าหมาย ไม่งั้นเราจะต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว ทุกคนไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?”เฟนด์มองไปที่ฝูงชนและพูดในขณะที่หัวเราะ"ใช่ ฮ่าฮ่า!”ทุกคนหัวเราะ อนาคตทั้งหมดของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวัง“ลูกให้โอสถแก่ทุกคน แล้วตอนนี้ลูกจะใช้อะไรเพื่อฝึกฝนตัวเองล่ะ? ลูกไม่ได้พูดว่าลูกจะบรรลุไปยังขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงก่อนที่จะไปที่เขตของตระกูลคาเบลโลเหรอ?”แนชมองไปที่เฟนด์และยิ้มอย่างขมขื่น“อย่ากังวลไปเลยพ่อ ผมยังพอมีเวลาอีกหน่อยไม่ใช่หรือ? วันนี้และพรุ่งนี้ผมจะบ่มเพาะโอสถอีกสองสามเม็ด จากนั้นผมก็จะพยายามฝึกยุทธต่อไป ผมตัดสินใจแล้วว่าแม้ว่าผมจะล้มเหลวในครั้งนี้ก็ไม่เป็นไร ผมจะลองอีกรอบในครั้งต่อไป!”เฟนด์ยิ้มหวานและถามทุกคนอีกครั้ง "โอ้ ใช่ ผมคิดว่าคงจะไม่มีข่าวอะไรอีกแล้วใช่ไหม? หากไม่มี ทุกคนควรฝึกฝนให้หนักกับเวลาที่เหลืออยู่ สำหรับผู้ที่สามารถก้าวไปสู่อีกระดับหนึ่งได้ จงสร้างความก้าวหน
สองวันก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางไปยังเขตของตระกูลคาเบลโล แนชและผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งกำลังรออยู่ที่ประตูอย่างใจจดใจจ่อพวกเขาทุกคนอยากรู้ว่าเฟนด์จะทำสำเร็จหรือไม่ ในเมื่อเขาต้องฝึกฝนการเล่นแร่แปรธาตุและพยายามฝึกยุทธให้ก้าวหน้าภายในเวลาอันสั้นอีกอย่างหนึ่ง หากเขาออกเดินทางช้าไปกว่านี้ พวกเขาก็จะไม่สามารถไปถึงที่หมายได้ทันเวลา เพราะเขตที่ดินของตระกูลคาเบลโลนั้นอยู่ห่างจากที่ดินของตระกูลวู๊ดเป็นระยะทางไกลพอสมควรขณะที่ความวิตกกังวลกำลังเข้าครอบงำพวกเขา ในที่สุดประตูก็ค่อย ๆ แง้มเปิดออก เฟนด์เดินออกมา“นายน้อยเฟนด์ในที่สุดคุณก็ออกมาแล้ว คุณบรรลุไปอีกขั้นแล้วหรือยัง?”ผู้อาวุโสลำดับแรก พ่อบ้านไททัสและคนอื่น ๆ ต่างก็จ้องมองที่เฟนด์อย่างคาดหวัง พวกเขาทุกคนรู้ว่าเฟนด์มีความสามารถในการต่อสู้ที่น่ากลัว หากเฟนด์สามารถบรรลุเข้าสู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงได้ พวกเขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัวในขณะที่สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่เขา เฟนด์ก็พยักหน้าเล็กน้อย “ฮ่าฮ่า ไม่ต้องกังวล ผมทำได้แล้ว!”ขณะที่เฟนด์พูด เขาค่อย ๆ ปล่อยรัศมีในร่างกายของเขาออกมา ให้มันกระจายออกไปในบรรยากาศ“พระเจ้า รุนแรงเหลือเกิน! นี่
"แน่นอน ฮ่า ๆ โดยเฉพาะตระกูลลาโกริโอ เราจะกวาดล้างพวกเขาหากพวกเขากล้าสร้างปัญหาให้กับเรา มาดูกันว่าพวกเขาจะกล้ามายุ่มย่ามเราไหม!”ผู้อาวุโสลำดับแรกก็หัวเราะออกมาเช่นกัน ทุกคนเกลียดตระกูลลาโกริโอ โดยเฉพาะลิลลี่ ลาโกริโอ แม้ว่าเธอจะก่ออาชญากรรมที่แสนเลวร้ายลงไป เธอก็ยังกล้าประกาศว่าเธอจะแก้แค้นอีกแถมไม่เพียงแต่เธอจะไม่กลับใจเท่านั้น เธอยังพยายามใช้ตำหนักนภามากำจัดตระกูลวู๊ดอีก และหากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเฟนด์มีไพ่ตายที่ทรงพลังในการรับมือกับเขา พวกเขาทั้งสามคนอาจจะถูกนักสู้ทั้งหกคนฆ่าตายไปแล้ว หากพวกเขาทั้งสามเสียชีวิต ตระกูลลาโกริโอคงไม่ไว้ชีวิตสมาชิกในตระกูลวู๊ด เลยแม้แต่คนเดียว“ผู้ที่อยู่ในระดับเทพแท้จริงและระดับกึ่งเทพสามารถไปได้ทุกคน แต่เรายังคงต้องเหลือนักสู้ที่อยู่ในระดับเทพแท้จริงไว้เบื้องหลังจำนวนแปดคน และคนที่อยู่ในระดับกึ่งเทพอีกมากกว่าสิบคน พวกเขาจะต้องอยู่เพื่อปกป้องอาณาเขตของตระกูลวู๊ด!”เฟนด์พูดหลังจากที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในไม่ช้าเฟนด์ก็เลือกคนที่จะต้องรั้งอยู่ที่นี่ เขายังเลือกให้แลนสล็อตอยู่ที่นี่แม้ว่าเขาจะเพิ่งเข้าสู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงก็ตาม ด
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ