สองวันก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางไปยังเขตของตระกูลคาเบลโล แนชและผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งกำลังรออยู่ที่ประตูอย่างใจจดใจจ่อพวกเขาทุกคนอยากรู้ว่าเฟนด์จะทำสำเร็จหรือไม่ ในเมื่อเขาต้องฝึกฝนการเล่นแร่แปรธาตุและพยายามฝึกยุทธให้ก้าวหน้าภายในเวลาอันสั้นอีกอย่างหนึ่ง หากเขาออกเดินทางช้าไปกว่านี้ พวกเขาก็จะไม่สามารถไปถึงที่หมายได้ทันเวลา เพราะเขตที่ดินของตระกูลคาเบลโลนั้นอยู่ห่างจากที่ดินของตระกูลวู๊ดเป็นระยะทางไกลพอสมควรขณะที่ความวิตกกังวลกำลังเข้าครอบงำพวกเขา ในที่สุดประตูก็ค่อย ๆ แง้มเปิดออก เฟนด์เดินออกมา“นายน้อยเฟนด์ในที่สุดคุณก็ออกมาแล้ว คุณบรรลุไปอีกขั้นแล้วหรือยัง?”ผู้อาวุโสลำดับแรก พ่อบ้านไททัสและคนอื่น ๆ ต่างก็จ้องมองที่เฟนด์อย่างคาดหวัง พวกเขาทุกคนรู้ว่าเฟนด์มีความสามารถในการต่อสู้ที่น่ากลัว หากเฟนด์สามารถบรรลุเข้าสู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงได้ พวกเขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัวในขณะที่สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่เขา เฟนด์ก็พยักหน้าเล็กน้อย “ฮ่าฮ่า ไม่ต้องกังวล ผมทำได้แล้ว!”ขณะที่เฟนด์พูด เขาค่อย ๆ ปล่อยรัศมีในร่างกายของเขาออกมา ให้มันกระจายออกไปในบรรยากาศ“พระเจ้า รุนแรงเหลือเกิน! นี่
"แน่นอน ฮ่า ๆ โดยเฉพาะตระกูลลาโกริโอ เราจะกวาดล้างพวกเขาหากพวกเขากล้าสร้างปัญหาให้กับเรา มาดูกันว่าพวกเขาจะกล้ามายุ่มย่ามเราไหม!”ผู้อาวุโสลำดับแรกก็หัวเราะออกมาเช่นกัน ทุกคนเกลียดตระกูลลาโกริโอ โดยเฉพาะลิลลี่ ลาโกริโอ แม้ว่าเธอจะก่ออาชญากรรมที่แสนเลวร้ายลงไป เธอก็ยังกล้าประกาศว่าเธอจะแก้แค้นอีกแถมไม่เพียงแต่เธอจะไม่กลับใจเท่านั้น เธอยังพยายามใช้ตำหนักนภามากำจัดตระกูลวู๊ดอีก และหากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเฟนด์มีไพ่ตายที่ทรงพลังในการรับมือกับเขา พวกเขาทั้งสามคนอาจจะถูกนักสู้ทั้งหกคนฆ่าตายไปแล้ว หากพวกเขาทั้งสามเสียชีวิต ตระกูลลาโกริโอคงไม่ไว้ชีวิตสมาชิกในตระกูลวู๊ด เลยแม้แต่คนเดียว“ผู้ที่อยู่ในระดับเทพแท้จริงและระดับกึ่งเทพสามารถไปได้ทุกคน แต่เรายังคงต้องเหลือนักสู้ที่อยู่ในระดับเทพแท้จริงไว้เบื้องหลังจำนวนแปดคน และคนที่อยู่ในระดับกึ่งเทพอีกมากกว่าสิบคน พวกเขาจะต้องอยู่เพื่อปกป้องอาณาเขตของตระกูลวู๊ด!”เฟนด์พูดหลังจากที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในไม่ช้าเฟนด์ก็เลือกคนที่จะต้องรั้งอยู่ที่นี่ เขายังเลือกให้แลนสล็อตอยู่ที่นี่แม้ว่าเขาจะเพิ่งเข้าสู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงก็ตาม ด
“โอ้ เธอตั้งใจฝึกอย่างหนักมากเพราะหมอนั่น ต้องยอมรับเลยว่าพลังแห่งรักนั้นน่าทึ่งมาก!”เฮเลน่ามองไปที่ดาเนียลล่าและอดไม่ได้ที่จะแซวเธอว่า “จริงสิ วันพรุ่งนี้คนที่เธอชอบอาจจะมาถึงแล้ว ตอนนี้เธอรู้สึกยังไง? ประหม่าไหม? หรือตื่นเต้น?"ดาเนียลล่าเขินอายมากขึ้นเมื่อพี่สาวหยอกเย้าเธอแบบนั้น เธอหรี่ตาลงและก้มศีรษะ "แน่นอนฉันจะทั้งตื่นเต้นและประหม่าในเวลาเดียวกันไม่ได้เหรอ? ฉันสงสัยว่าเขาจะดีใจไหมที่เห็นว่าฉันประสบความสำเร็จอย่างนี้!”“หึ.. เธอมีความสัมพันธ์กับแม้จะยังเก็บมันไว้เป็นความลับก็เถอะ แต่แน่นอนว่าเขาจะต้องดีใจที่เธอประสบความสำเร็จ!”เฮเลน่ายิ้ม เธอชื่นชมอยู่ในใจ เธอดีใจแทนน้องสาวคนที่สามของเธอที่สามารถหาผู้ชายที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ได้ ทว่าเธอไม่รู้ว่าทำไมความรู้สึกอิจฉาทำให้หัวใจเธอบิดเร่าเช่นนี้“ความสัมพันธ์อะไร? พี่ต่างหากที่มีความสัมพันธ์กับเขา ทุกคนยอมรับพี่แล้วด้วยซ้ำ! ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่เราจะสามารถเปิดเผยความสัมพันธ์ของเราได้?”ดาเนียลล่าเม้มปาก นั่งลงใต้ศาลาหิน “พี่เซเลน่าค่อนข้างดีกับฉัน และเฟนด์ก็บอกฉันว่าเซเลน่ายอมรับฉันแล้ว ฉันมีความสุขเพราะเรื่องนั้น แต่ตอนนี้
เฮเลน่ากลอกตาไปที่ดาเนียลล่า “ฉันบอกพ่อว่าเธอสัญญาว่าจะให้น้ำศักดิ์สิทธิ์แก่ตระกูลวู๊ด” เธอกล่าว “ความคิดที่จะขโมยของเธอมันผิด แม้ว่ามันจะเป็นสมบัติของตระกูลเราเองก็เถอะ นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันบอกพ่อ ฉันก็ไม่คิดว่าเขาจะยอมง่าย ๆ แถมเขายังบอกอีกด้วยว่าเนื่องจากเราไม่ได้รับข่าวว่านายท่านวู๊ดถูกสังหาร นั่นหมายความว่าสมาชิกในตระกูลวู๊ดสามารถป้องกันการซุ่มโจมตีได้ เราไม่อาจดูถูกตระกูลวู๊ดได้อีกต่อไป และเราควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาด้วย!”“พ่อเป็นคนให้สิ่งนี้มา ช่างดีเหลือเกิน ฉันคิดว่าเขาจะโกรธด้วยซ้ำหากเขารู้ ฉันไม่คิดว่าเขาจะให้น้ำศักดิ์สิทธิ์มากขนาดนี้เลย!”ดาเนียลล่ามีความสุขมากยิ่งขึ้น เธอตื่นเต้นราวกับเด็กที่เพิ่งได้ของกิน“หึ.. พ่อบอกว่าเฟนด์ช่วยเราฆ่านายน้อยลำดับที่หนึ่งตระกูลฮันท์ และช่วยชีวิตคนของเราจำนวนมาก ดังนั้นเราต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตระกูลของเขา เขายังแนะนำฉันแบบนี้ด้วยซ้ำ…”ขณะที่เธอพูด สีหน้าของเฮเลน่าก็เขินอายมากขึ้น เธออายที่จะพูดต่อไป“แนะนำพี่? พ่อแนะนำอะไรพี่บ้าง?”ดาเนียลล่าขมวดคิ้ว เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมของพี่สาวคนโตของเธอแล้ว ดูเหมือนว่ามันเ
“แต่นายน้อยลำดับแรกและลำดับที่สองของตระกูลฮันท์เสียชีวิตไม่นานมานี้ สมาชิกในตระกูลฮันท์อาจพยายามสืบหาว่าใครเป็นคนฆ่าพวกเขา ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ฉันจะประกาศเลิกกับเฟนด์จริง ๆ!”เฮเลน่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดในสิ่งที่คิดเมื่อเธอได้ยินสิ่งนี้ ดาเนียลล่าก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบว่า “นั่นไม่สำคัญหรอก อย่างไรเสีย นายน้อยลำดับที่สองตระกูลก็จะไม่อาจกวนใจพี่ได้อีกต่อไป เมื่อเวลาผ่านไปผู้คนจะเริ่มลืมเรื่องนี้ ถ้ามีใครถามพี่ ก็แค่บอกว่าพวกพี่สองคนเลิกกันเพราะต่างเข้ากันไม่ได้!”“เธอก็แค่รอให้เรื่องความสัมพันธ์จอมปลอมของเราจบลง เพื่อที่ตัวเองจะได้อยู่กับเฟนด์ใช่ไหม?”เฮเลน่ากลอกตาไปที่ดาเนียลล่า แล้วพูดติดตลกว่า “เอาจริงนะ บางทีฉันควรเก็บเขาไว้คนเดียว คนรักของเธอเป็นคนรักตัวอย่างเลยทีเดียว!”“พี่ใหญ่ พี่ พี่ ถ้าพี่ทำอย่างนั้น ฉันคงทนไม่ได้แน่ ๆ!”ดาเนียลล่ากระทืบเท้า ทำตัวน่ารักต่อหน้าพี่สาว“หึ.. ฉันแค่ล้อเล่น ฉันแค่อยากเห็นการตอบสนองของเธอ!”เฮเลน่าตอบพร้อมหัวเราะเบา ๆเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช้าวันต่อมา ตระกูลคาเบลโลก็เริ่มตื่นเต้นในไม่ช้าสมาชิกในตร
“จริงสิ มันแปลกนะ ไม่มีข่าวจากตำหนักนภาเช่นกัน ว่ากันตามเหตุผลแล้วลิลลี่ ลาโกริโอต้องแต่งงานกับเจ้าตำหนักเพื่อโจมตีตระกูลวู๊ดแน่ แม้แต่คนไม่ฉลาดนักยังมองออก!”อเล็กซานเดอร์ขมวดคิ้ว ทั้งสองบินลงจากภูเขาอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นไม่นาน อีกเจ็ดตระกูลชั้นหนึ่งก็มาถึงอย่างช้า ๆเมื่อนายท่านฮันท์เห็นเฟนและคนอื่น ๆ สีหน้าของเขาก็มืดลง เขานึกอยากจะถลกหนังเฟนด์ทั้งเป็น“นายท่านวู๊ด ผมไม่คิดว่าลูกชายของคุณจะมีความสามารถขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะเรียกเขาว่าอัจฉริยะใช่ไหม?”นายใหญ่ฮันท์แสดงความคิดเห็นหลังจากเห็นแนช“หึ.. ผมไม่รู้ว่าคุณหมายถึงอะไร นายใหญ่ฮันท์!”แนชหัวเราะเบา ๆ หลังจากได้ยินเช่นนั้น หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงจะกังวลกับคำพูดของชายชรา ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลัวตระกูลฮันท์อีก“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก เราเพิ่งได้ยินข่าวลือว่าลูกชายของคุณฆ่าหลานชายทั้งสองคนของผม!”นายใหญ่ฮันท์ยิ้มอย่างเย็นชา “ด้วยพลังการต่อสู้นั้น ลูกชายของคุณคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง จะมีใครอีกที่มีสิทธิ์ใช้ฉายานั้น”เมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ แนชไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติ หลั
“ไม่สำคัญเหรอว่าใครเป็นคนฆ่าพวกเขา? แนช วู๊ด พวกเขาเป็นลูกชายของนายท่านฮันท์ ลูกชายอัจฉริยะถึงสองคน! ตอนนี้พวกเขาตายไปแล้ว! และคุณคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่เหรอ?” ผู้อาวุโสของตระกูลฮันท์ก้าวไปข้างหน้าและตะคอกใส่แนช น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทและความเกลียดชัง และใบหน้าของเขาก็แดงจัดราวกับกำลังโกรธอย่างมาก ชายชราคนนี้จะพูดด้วยน้ำเสียงเมินเฉยเช่นนี้ได้อย่างไร? ชายชราลืมสถานะของตระกูลฮันท์ในโลกของการต่อสู้นี้ไปแล้วหรือ? ผู้อาวุโสอีกคนของตระกูลฮันท์พูดขึ้นและเย้ยหยัน “แนช วู๊ด ดูเหมือนว่าคุณจะไม่รู้ถึงพลังของตระกูลฮันท์ใช่ไหม? ผมจะบอกให้เอาบุญว่าผู้อาวุโสอีกคนในตระกูลฮันท์ได้ทะลวงไปสู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงเมื่อเร็ว ๆ นี้ไปแล้ว!” ผู้อาวุโสเชิดหน้าขึ้นสูงในขณะที่เขาคุยโม้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจราวกับว่าตระกูลฮันท์กำลังครองโลก ความแข็งแกร่งของตระกูลขึ้นอยู่กับจำนวนนักสู้ชั้นยอดที่มี เมื่อมีคนที่บรรลุสู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงในตระกูลฮันท์ ตำแหน่งของตระกูลฮันท์ในบรรดาตระกูลลึกลับนั้นย่อมสูงส่งมั่นคงกว่าเมื่อก่อนอย่างแน่นอน "อะไรกัน? เพิ่มอีกคนหนึ่งเหร
“ผู้อาวุโสฮันท์ ผมไม่คิดว่าสิ่งที่ลูกชายผมพูดจะมีปัญหาตรงไหน ก่อนหน้านี้ในการแข่งขัน กฎชีวิตหรือความตายถูกเน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากปากของตระกูลฮันท์เอง เราก็แค่ปฏิบัติตามกฎนั้น อย่าบอกนะว่าคุณต้องการโยนความผิดทั้งหมดไปที่ลูกชายของผม และล้างแค้นให้หลานชายของคุณ หืม?” แนชยิ้มอย่างอ่อนโยนในขณะที่โต้ตอบนายใหญ่ฮันท์ หากสิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาก่อนที่เฟนด์จะปรากฏตัวในชีวิตของเขา เขาคงจะไม่กล้าพูดอย่างมั่นใจต่อหน้าตระกูลฮันท์เช่นนี้ “พวกคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่?” ก่อนที่นายใหญ่ฮันท์จะพูดอะไรไปมากกว่านี้ อเล็กซานเดอร์ก็ก้าวเข้ามาไกล่เกลี่ยสถานการณ์ทันที “การแข่งขันได้ผ่านพ้นไปนานแล้ว และบุตรชายของตระกูลอื่น ๆ ก็เสียชีวิตในการแข่งขันนั้น พวกเขาต่างก็เป็นสิ่งล้ำค่าของตระกูลตัวเองเช่นกัน แต่หัวข้อหลักสำหรับวันนี้คือการพูดคุยถึงวิธีการบุกเข้าไปในเจ็ดจุดอันตรายและหาทางบรรลุไปสู่ระดับเทพสูงสุดไม่ใช่หรือ? นี่คือสิ่งที่เราควรคุยกัน!” “นายท่านคาเบลโลพูดถูก อย่ามาทะเลาะกันเรื่องนี้เลย เข้าใจไหม?” เชลบี้ แลงคาสเตอร์ นายหญิงตระกูลแลงคาสเตอร์ก้าวขึ้นมาและเปล่งเสียงออกมา “จริง ๆ แล้
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ