“เป็นอะไรไป? คุณไม่รู้เหรอ ว่าเฟนด์เป็นลูกชายของฉันน่ะ?”แนชเลิกคิ้ว เขางงกับสถานการณ์ปัจจุบัน ไดอาเนียลล่าตามลูกชายของเขากลับมาที่ตระกูลวู๊ด แต่กลับไม่รู้ว่าเฟนด์เป็นลูกชายของเขางั้นเหรอ? ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะไม่มีพิษภัยอะไรสินะบางที เฟนด์อาจจะรู้ก็ได้ว่าเธอเป็นคนจิตใจดี และไม่ได้มีความคิดชั่วร้ายอะไรเลยยอมให้เธอมากับเขาด้วย“ฉันไม่รู้ค่ะ! เขาไม่บอกฉันเลย!”ไดอาเนียลล่ากลอกตามองเฟนด์อีกครั้ง “เอ๊ะ? เดี๋ยวนะคะ! คุณมีลูกชายคนเดียว ชื่อแลนซ์ วู๊ด ไม่ใช่เหรอคะ?”“คุณคาเบลโล ผมจะอธิบายให้คุณฟังเป็นการส่วนตัวทีหลัง ส่วนเรื่องที่ไม่ได้บอกว่าเป็นลูกของหัวหน้าตระกูล ก็เพราะคุณไม่ได้ถามนี่!”เฟนด์ยิ้มหวานและตอบกลับไปไดอาเนียลล่าหัวเราะ “ฉันคิดว่าคุณอาจจะเป็นลูกชายของผู้อาวุโสหรือผู้พิทักษ์ ฉันไม่คิดว่าคุณจะสูงส่งขนาดนี้จริง ๆ !”“ยังไงก็เถอะ คุณคาเบลโล ขอฉันทราบหน่อยสิ ว่ามาทำอะไรที่ตระกูลวู๊ด?”แนชเผยความสงสัยในใจออกมาพลางยิ้มจาง ๆ“ฉันบังเอิญไปเจอโจรชั่วเข้าค่ะ ระหว่างเดินทาง พวกเขาจับตัวฉัน และนายน้อยเฟนด์ก็เข้ามาช่วยฉันจากเงื้อมมือพวกเขา อีกอย่าง ฉันสงสัยด้วยค่ะ ว่าตระกูลวู๊ดอย
“เฮ้ ไม่มีอะไรหรอกน่า เฟนด์เคยช่วยชีวิตฉันไว้ ตอนนี้เขาเป็นเหมือนพี่ชายของฉัน เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน! ถือว่ามันเป็นรางวัลสำหรับสิ่งที่เฟนด์เคยทำก็แล้วกัน อย่าใส่ใจนักเลยค่ะ!” ไดอาเนียลล่าหัวเราะเบา ๆ ขณะอธิบาย เธอวางมือบนไหล่ของเฟนด์พลางยิ้มกว้างออกมาบนใบหน้า ราวกับว่าพวกเขาเป็นพี่น้องในสนามรบกัน “คุณกำลังพูดถึงน้ำชำระล้างไขกระดูกใช่ไหม? น้ำนี่มันล้ำค่าเกินไป! แม้ว่าคนในตระกูลคาเบลโลที่เริ่มฝึกฝนตั้งแต่เด็กก็ยังไม่ได้รับน้ำนี่เลย บ่อน้ำอันล้ำค่าของตระกูลคาเบลโลก็ไม่ได้ผลิตน้ำได้มากขนาดนั้นในหนึ่งปีสำหรับพวกเขา จริงไหม? ยิ่งไปกว่านั้น น้ำชนิดนี้เหมาะสำหรับผู้ฝึกวรยุทธ ใครก็ตามที่ได้รับมันจะทำให้ระดับพลังยุทธของพวกเขาก้าวหน้าขึ้นมาก!” แนชประหลาดใจกับข้อเสนอของไดอาเนียลล่าที่จะให้น้ำชำระล้างไขกระดูกบางส่วนแก่พวกเขา คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน เขาพูดต่อว่า “ตระกูลคาเบลโลคงจะต้องเก็บสมบัติดังกล่าวไว้อย่างปลอดภัย และมอบให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญเท่านั้น อีกอย่าง บ่อน้ำนั่นก็สามารถผลิตน้ำได้เพียงแค่สำหรับห้าถึงหกคนต่อปีไม่ใช่เหรอ? ฉันเกรงว่าพ่อของคุณจะไม่เห็นด้วยกับความคิดง่าย ๆ แบ
“ฮ่า ๆ ขอบคุณมาก! งั้นฉันขอไปดูที่พักก่อน!” ไดอาเนียลล่าตะโกนออกมาอย่างมีความสุขราวกับว่าเธอเป็นเด็กที่ได้รับคำชมจากพ่อแม่ “งั้นก็ไปกันเถอะ เฟนด์พาคุณหนูคาเบลโลกลับไปพักผ่อนก่อน พวกลูกคงจะเหนื่อยจากการรีบเดินทางกลับมาที่นี่!” แนชพยักหน้าอย่างพึงพอใจและสั่งลูกชายของเขา จากนั้นเฟนด์ก็ส่งไคลี่ให้โจแอน และออกไปพร้อมไดอาเนียลล่า หลังจากที่เงาของทั้งสองคนหายไปจากสายตาของคนกลุ่มนั้น โจแอนก็หัวเราะและแสดงความเห็นออกมาว่า “คุณหนูคาเบลโลเป็นคนใจกว้างและมีน้ำใจจริง ๆ เธอได้มอบหญ้าวิญญาณให้กับเราเพื่อตอบแทนที่เฟนด์ช่วยเหลือเธอไว้ แต่เธอก็ยังจะสัญญาว่าจะเอาสมบัติของตระกูลคาเบลโลมาให้เราด้วย! ผู้หญิงคนนี้ช่างเป็นคนอบอุ่นจริง ๆ!” แต่แนชไม่คิดอย่างนั้น “ทำไมผมรู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นระหว่างมิตรภาพของเฟนด์กับคุณหนูคาเบลโล? มันเหมือนไม่ใช่แค่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เพราะยังไงซะ น้ำชำระล้างไขกระดูกก็ไม่ใช่สมบัติธรรมดา เธอยังเต็มใจที่จะขโมยมันมาให้เราอีก ยิ่งไปกว่านั้น มันตั้งสามส่วน! เห็นได้ชัดว่าการกระทำดังกล่าวนั้นมันมากกว่ามิตรภาพธรรมดา ๆ คุณไม่คิดงั้นเหรอ?” เขาอธิบายด้วยใบหน้าที่มีรอยย
อีธานกับแซมก็รู้สึกประหลาดใจเหมือนกันเมื่อเห็นว่าอาจารย์ของพวกเขากลับมาแล้ว มุมปากของพวกเขาโค้งขึ้น เผยให้เห็นฟันสีขาวมุก“พี่เขย ทำไมพี่ถึงพาสาวสวยกลับมาด้วยล่ะ? จุ๊ ๆ แถมเธอยังสวยมาอีกด้วย! อย่าบอกนะว่า พี่ออกไปเที่ยวแล้วพาเมียน้อยกลับมาด้วย?” เอเลนสังเกตเห็นการปรากฏตัวของไดอาเนียลล่าข้าง ๆ เฟนด์และแซวทั้งคู่อย่างติดตลก แต่ทว่าสีหน้าของเฟนด์กลับมืดลงทันที “เธอกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร? นี่คือนายหญิงน้อยลำดับที่สามของตระกูลคาเบลโล! บังเอิญพี่ช่วยชีวิตเธอไว้จากพวกโจรในระหว่างเดินทาง ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจตามพี่มาเที่ยวที่ตระกูลวู๊ด และอีกไม่กี่วันจะออกเดินทางไปพร้อมเราเพื่อไปงานประลองยุทธ ตระกูลคาเบลโลก็เข้าร่วมการประลองครั้งนี้ด้วย!” “ฮ่า ๆ! ดูสิ ทำไมพี่ต้องกังวลด้วยล่ะ? ฉันแค่ล้อเล่น เธอสวยมากและมีเสน่ห์จริง ๆ!” เอเลนพูดพลางหัวเราะเบา ๆ กับการตอบสนองครั้งใหญ่ของเฟนด์ “สาวสวยคนนี้คือภรรยาของคุณเหรอ?” ไดอาเนียลล่าก้าวออกมาข้างหน้าสองก้าวและมองพิจารณาเซเลน่าตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างระมัดระวัง เธอสัมผัสได้ว่าเซเลน่านอกจากจะหน้าตาสวยและงดงามแล้ว ยังเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเธออีกด้วย เซ
ไม่นานตอนเย็นก็มาถึง เฟนด์พาทุกคนไปที่เมืองเพื่อทานอาหารอร่อย ๆ และเดินเล่นในยามค่ำคืนเมืองนี้เจริญรุ่งเรืองและพัฒนาไปมาก แถมยังมีโรงเรียนอยู่ในเมืองด้วย เฟนด์วางแผนจะให้ไคลี่ฝึกฝนอยู่ที่บ้านของตระกูลวู๊ด และให้เธอเข้าเรียนที่โรงเรียนในเมืองเพื่อเรียนรู้ได้ด้วย ฟังดูเป็นแผนที่สมบูรณ์แบบครูในโรงเรียนก็สอนตามหลักสูตรที่กำหนดไว้และกระตือรือร้นที่จะถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกให้กับเด็ก ๆ ด้วยอย่างเช่น นักเรียนได้รับการสอนให้รู้จักหญ้าวิญญาณระดับหนึ่งหรือหญ้าวิญญาณระดับสอง มีการสอนความรู้พื้นฐานของการฝึกวรยุทธ ตลอดจนลักษณะของสัตว์อสูรบางชนิดในป่าเพราะยังไงซะ เด็ก ๆ ที่เข้าเรียนในโรงเรียนนี้ก็มักจะเป็นเด็กที่มาจากครอบครัวชาวยุทธ และเมื่อโตขึ้น พวกเขาก็จะฝึกฝนจนกลายเป็นผู้ฝึกยุทธในที่สุดกลุ่มคนทั้งหมดกลับไปที่บ้านของตระกูลวู๊ดในตอนค่ำ เฟนด์เหนื่อยจากงานที่ยุ่งตลอดทั้งวัน เขาล้มตัวลงนอนและไม่นานก็หลับไปเช้าวันรุ่งขึ้น เฟนด์ตื่นขึ้นและถามเซเลน่าว่า “ที่รัก ช่วงนี้คุณฝึกวรยุทธเป็นยังไงบ้าง? ผมไม่อยู่มาสักพักแล้ว และคุณแค่ต้องไปรับไคลี่จากโรงเรียนเท่านั้น ดังนั้นมันก็ไม่น่าจะใช้เ
“ไม่เป็นไรเลย ผู้ฝึกยุทธมักจะต้องแยกตัวไปฝึกฝนอย่างโดดเดี่ยวเป็นเวลาหลายเดือน มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หนิ จริงไหม?” เซเลน่ายิ้มพลางตอบกลับ “เอาล่ะ ฝึกฝนให้ดีนะที่รัก ฉันจะหยุดรบกวนคุณตั้งแต่ตอนนี้เลย ฮ่า ๆ!” ไม่นานเซเลน่าก็เดินออกมาจากบ้านพัก จากนั้นเฟนด์ก็พลิกฝ่ามือแล้วหยิบโอสถออกมาสามเม็ด ทั้งสามเม็ดเป็นโอสถระดับกลางขั้นหนึ่งที่ใช้ในการฝึกฝน! เฟนด์ยิ้มขณะที่มองโอสถสามเม็ดที่อยู่ตรงหน้า โอสถทั้งสามเม็ดนี้จะช่วยให้เขาทะลวงเข้าไปสู่ระดับเทพแท้จริงขั้นกลางได้ เพราะยังไงซะ ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากขั้นกลางไม่มากนัก จากนั้นเฟนด์ก็เอาโอสถเม็ดหนึ่งเข้าปากแล้วกลืนเข้าไป พลังหนาแน่นและไม่มีที่สิ้นสุดกระจายออกมาจากช่องท้องของเฟนด์ทันที เป็นพลังมหาศาลและในขณะเดียวกันก็รุนแรงมาก รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฟนด์เมื่อเขารู้สึกถึงพลังในตัวของเขา เขาหลับตาลงและเริ่มควบคุมพลังในร่างกาย นำพลังฉีมารวบรวมไว้ในช่องท้องของเขา พลังฉีก่อตัวขึ้นหนุมเวียนในช่องท้องอย่างกับว่ามีพายุทอร์นาโดลูกเล็ก ๆ อยู่ในร่างกายของเขา พลังที่หนุนเวียนเล็ก ๆ ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ความแข็งแกร่งและพลังโดยรวมของเฟน
“ระดับเทพแท้จริงขั้นกลาง?” ไดอาเนียลล่าที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งคู่ เธอตกใจกับสิ่งที่ได้ยินและอุทานออกมาอย่างดีใจ “คุณเก่งมากจริง ๆ! ความเร็วในการฝึกฝนและการดูดซับพลังจากโอสถของคุณเร็วเกินไป! คนอื่น ๆ อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์หรือนานกว่านั้นเพื่อทะลวงเข้าสู่ระดับเทพแท้จริงขั้นกลาง! แต่คุณใช้เวลาเพียงสองวันก็ทำสำเร็จแล้ว!” ในตอนนี้ ภายในใจของไดอาเนียลล่ารู้สึกชื่นชมเฟนด์มากขึ้นและลึกซึ้งยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เธอถึงกับจินตนาการว่า ถ้าเธอมีโอกาสแนะนำเฟนด์ให้พ่อของเธอได้รู้จักในฐานะแฟน พ่อของเธอจะคิดยังไง? “โอ้ ผมก็แค่โชคดีกว่าคนอื่นนิดน้อย!” เฟนด์หัวเราะออกมาและพูดอย่างสุภาพ “สุดยอดไปเลย! มันสุดยอดมากจริง ๆ! ด้วยระดับพลังยุทธและความสามารถในการต่อสู้ในปัจจุบันของคุณ คุณอาจจะคว้าเอามาได้สักอันดับจากการประลองยุทธที่กำลังจะมาถึง! ในที่สุดคุณก็สามารถนำความรุ่งโรจน์มาสู่ตระกูลวู๊ดได้!” ไดอาเนียลล่ามองไปที่เฟนด์ ดวงตาของเธอเป็นประกายแบบที่อธิบายไม่ได้ “แม้ว่าคุณจะไม่ได้อันดับที่หนึ่ง แต่คุณต้องติดอยู่ในสามอันดับแรกแน่นอน!” “สามอันดับแรก?” เฟนด์อึ้งนิดห
ไดอาเนียลล่าไม่คิดว่าคำพูดดังกล่าวจะออกมาจากปากเซเลน่าอย่างกะทันหัน เธอยืนนิ่งไปสักพักก่อนจะมองไปที่เฟนด์ “ไม่ต้องห่วง ฉันกับเฟนด์เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เราจะดูแลกันและกันอย่างแน่นอน! ฉันจะขอให้พี่สาวของฉันเล่นงานเฟนด์น้อย ๆ ในระหว่างการประลอง!” ไดอาเนียลล่าพยักหน้า “พี่สาวของคุณแข็งแกร่งมากไหม?” เฟนด์ขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน ตามคำพูดและน้ำเสียงของไดอาเนียลล่า ดูเหมือนพี่สาวของเธอจะเป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่ง และระดับพลังยุทธของเธอก็น่าจะสูง “สำหรับการประลองนี้ ตราบใดที่คุณมาจากตระกูลชาวยุทธและอายุต่ำกว่าสามสิบปี คุณก็มีสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันได้ ฉันยังเด็กอยู่ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่ฉันยังมีระดับพลังยุทธต่ำอยู่” ไดอาเนียลล่ายิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดต่อว่า “แต่พี่สาวคนที่สองของฉัน เธออยู่ในระดับเทพแท้จริงขั้นต้น ส่วนพี่สาวคนโตของฉัน เธออยู่ในระดับเทพแท้จริงขั้นกลางแล้ว แม้ว่าเธอจะอยู่ระดับเดียวกับคุณ แต่ในขั้นกลาง เธอก็อยู่ห่างจากระดับเทพแท้จริงขั้นสูงเพียงก้าวเดียว เธออาจจะทะลวงเข้าสู่ระดับเทพแท้จริงขั้นสูงได้ทุกเมื่อ ความสามารถและพลังยุทธของเธออยู่ในระดับสูงสุดของผู้ที่อยู่ในระดับเทพ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ