ไดอาน่าขมวดคิ้วเมื่อคิดถึงเกี่ยวกับมัน “แม้ว่าตระกูลพวกนี้จะมีเรื่องเข้าใจผิดกับตระกูลวู๊ด แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรเลวร้ายมากเกินไป ก่อนหน้านี้ บางตระกูลกดขี่พวกเขาและไม่อยากให้พวกเขามีฐานะสูงขึ้น แต่แนชก็จัดการกับปัญหาได้ดีจริง ๆ เขาสั่งสอนผู้ใต้บังคับบัญชาและหยุดพวกเขาไม่ให้ขัดแย้งกับคนอื่น ๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้พวกเขากับตระกูลวู๊ดเริ่มทำสงครามกันเพราะความเข้าใจผิดเพียงอย่างเดียว”นายใหญ่ลาโกริโอพยักหน้าเห็นด้วยและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง มันจะต้องมีโอกาสแน่ ไม่งั้นเราก็สร้างมันขึ้นมาเองสื”ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตระกูลลาโกริโอก็เตรียมตัวเพื่อเป็นศัตรูกับตระกูลวู๊ด...เฟนด์ตื่นแต่เช้าตรู่และไปอาบน้ำ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เดินไปที่สวน เขาสังเกตเห็นว่าไดอาเนียลล่ารอเขาอยู่ที่นั่นแล้วเฟนด์พูดยิ้ม ๆ ว่า “คุณหนูลำดับสามแห่งคาเบลโล คุณตื่นเช้าจัง!”“คิดว่าฉันจะตื่นเช้าไม่เป็นเหรอ? ฮึ่ม ถ้าฉันตื่นขึ้นมาทีหลังแล้วคุณแอบหนีไป ฉันจะทำยังไงล่ะ?” ไดอาเนียลล่าเม้มปากอันบอบบางของเธอและไขว้มือสองข้างไว้ข้างหลังก่อนจะพูดแทรกขึ้นมาว่า “ช่างเถอะ ฉันไม่สนหรอก ช่วงสองสามวันนี้ฉันจะติดตามคุณ
แม้ว่าเธอจะใช้ฉีไม่ได้ แต่ไดอาเนียลล่าก็ยังคงรักษาความแข็งแกร่งทางกายภาพของตัวเองไว้ไดอาเนียลล่าใช้มือข้างหนึ่งยกตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าและยิ้มให้เฟนด์ขณะที่เธอตะโกนออกมาว่า “ขึ้นมานั่งข้างหลังฉันสิ ฉันจะพาคุณไปเอง!”“นี่มันดูไม่ค่อยเหมาะสมเลยนะ แต่ว่า...?” เฟนด์รู้สึกเขินนิด ๆ เพราะพวกเขาต่างมีเพศต่างกัน คุณหนูลำดับที่สามแห่งคาเบลโลไม่เพียงแค่สวยเท่านั้น แต่เธอยังมีรูปร่างที่ดีอีกด้วย เฟนด์พยายามยับยั้งความคิดที่ไม่จำเป็นตอนที่เขาแบกเธอบนหลังเมื่อวาน แม้ว่าเขาจะยังหนุ่มและเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่ง แต่มันก็มีบางเวลาที่การยับยั้งความคิดของเขาหยุดชะงักไปบ้างถ้าเขาต้องนั่งข้างหลังไดอาเนียลล่าบนหลังม้าตัวนั้นตลอดการเดินทาง เขากลัวว่า...ส่วนอีกด้าน ไดอาเนียลล่าพยายามเก็บความสนใจในตัวเฟนด์ไว้เงียบ ๆ ตอนที่เธอสังเกตเห็นว่าเขาขี้อายขนาดไหนเมื่อมีโอกาสที่ค่อนข้าง ‘น่าดึงดูด’ ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนเธอกลอกตามองเฟนด์และพูดอย่างไม่พอใจว่า “คุณเป็นผู้ชายหรือเปล่า? แค่ความกล้าที่จะกระโดดขึ้นมาบนนี้คุณยังไม่มีเลย ฉันเต็มใจพาคุณไปด้วยก็เพราะว่าคุณแบกฉันลงมาจากภูเขาเมื่อวานนี้ ฉันแค่อยากจะตอบแทนการ
“ม้าตัวนี้วิ่งเร็วมาก!” ไดอาเนียลล่าเคยขี่ม้ามังกรโลหิตมาหลายตัวตอนที่เธอยังเด็ก แม้ว่าตอนที่เธอโตขึ้นเธอจะเลิกขี่ไปแล้ว และหันมาฝึกวรยุทธแทนไม่เคยมีผู้ชายคนไหนนั่งข้างหลังเธอพร้อมกับเอาแขนโอบรอบเอวของเธอ เธอไม่คิดว่าจะมีวันแบบนั้นเหมือนกันหัวใจของเธอเต้นรัวกระแทกกับซี่โครง มันรู้สึกเหมือนจะกระโดดออกมาจากอกของเธอทั้งหมดที่ไดอาเนียลล่าทำได้คือทำตัวปกติและพูดตามปกติ ด้วยหน้าอกของเฟนด์ที่แนบกับแผ่นหลัง เธอรู้สึกอายมากกว่าตอนที่เฟนด์แบกเธอเมื่อวานอีกไม่นานนักเมื่อเฟนด์ตระหนักได้ถึงบางอย่าง เขาก็เตือนไดอาเนียลล่าอย่างรวดเร็วว่า “ไม่ ไม่ใช่ทางนั้น เรากำลังไปผิดทาง ไปทางขวา!”นั่นทำให้ไดอาเนียลล่าสับสน “แล้วทำไมคุณไม่พูดให้เร็วกว่านี้? ฉันไม่รู้ว่าตระกูลสาขาถัดไปของคุณตั้งอยู่ที่ไหน!” เธอไม่รู้ว่าจะต้องไปทางไหน เธอรู้เพียงว่าต้องวิ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องและลืมถามเฟนด์ว่าควรจะไปทางไหน“มีกองกำลังเล็ก ๆ ที่พึ่งพาตระกูลของเราอาศัยอยู่ที่นั่น แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่สมาชิกในตระกูลสาขาของตระกูลวู๊ด แต่พวกเขาก็ปฏิบัติต่อตระกูลวู๊ดอย่างดี พวกเขาส่งทรัพยากรตามเปอร์เซ็นต์ที่เราร้องขอเสมอ เราไ
ทั้งเฟนด์กับไดอาเนียลล่าลงมาจากหลังม้าทันทีหลังจากที่มันหยุดไดอาเนียลล่าที่หน้าแดงเดินไปผูกม้าไว้ใต้ต้นไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก ก่อนที่เธอจะเดินกลับมาหาเฟนด์ “ไง? ประสบการณ์การขี่ม้าครั้งแรกของคุณเป็นยังไงบ้าง?” เธอพยายามพูดเพื่อกระจายบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจ แต่เพียงครู่เดียวเธอก็รู้ตัวว่าพูดผิดไปเธอเพิ่งถามเฟนด์ออกไปว่าเขารู้สึกยังไง?เพื่อคลายความตึงเครียด เฟนด์จึงตอบอย่างเป็นกันเองว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ผมขี่ม้า ตอนแรกผมรู้สึกค่อนข้างกังวล แต่หลังจากนั้นไม่นานมันก็น่าตื่นเต้น!”เฟนด์สังเกตเห็นว่าหน้าของไดอาเนียลล่ากลายเป็นสีแดงเข้มหลังจากที่เขาพูดจบ ขณะที่เธอก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาเขา“เอาล่ะ! เข้าไปกันเถอะ!” พฤติกรรมของเฟนด์ทำให้เธอสับสน ผู้ชายคนนี้เพิ่งพูดอย่างชัดเจนว่า “น่าตื่นเต้น” โรคจิตมาก! แล้วมันจะเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงในเมื่อเขากอดเอวเธอไว้? เฟนด์อาจจะชอบเธอ แต่เขาปฏิเสธที่จะยอมรับมันเฟนด์พูดไม่ออกเพราะเขารู้ว่าสุดท้ายจะต้องเข้าใจเขาผิดแน่ แต่เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายตัวเองยังไง ทำไมเมื่อกี้เขาถึงพูดออกมาว่ามัน 'น่าตื่นเต้น' นะ?ไม่นานหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในหมู่บ้าน ช
“โอ้ ภรรยาของนายน้อยเฟนด์เขินมากจนหน้าแดงเหมือนสาวน้อยเลย! แต่ทว่าเธอก็ยังคงดูอ่อนหวาน ไม่แปลกใจเลยที่นายน้อยเฟนด์เลือกคุณ!” ผู้อาวุโสกล่าวเสริมซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนความเห็นนั้นยิ่งทำให้ไดอาเนียลล่ามีความสุขมากเธอกลอกตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาพราวเสน่ห์ก่อนจะพูดว่า “คุณพูดถูกที่บอกว่าฉันสวย แต่ฉันไม่ใช่ภรรยาของเขาหรอก”“อ...อะไรนะ?” ผู้อาวุโสรู้สึกเขินอายเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาเข้าใจผิดไปเองทั้งหมดเหรอ?เฟนด์ยิ้มอย่างอึดอัดก่อนจะก้าวออกมาข้างหน้าเพื่ออธิบาย “นี่คือคุณหนูลำดับที่สามของตระกูลคาเบลโล ชื่อคุณไดอาเนียลล่า โปรดอย่าเข้าใจเราผิด”ผู้อาวุโสตกใจเมื่อได้ยินคำอธิบายของเฟนด์ “คุณหนูลำดับที่สามของตระกูลคาเบลโล? เธอเป็นคนหนึ่งที่หน้าตาสวยงามมากเลยทีเดียว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมเข้าใจฐานะของเธอผิดไป เพราะยังไงซะ ผมก็ได้ยินมาว่าภรรยาของนายน้อยเฟนด์ก็งดงามมากเช่นกัน และนั่นจึงสาเหตุที่ผมเข้าใจผิด คุณหนูลำดับที่สาม ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย!”“ช่างมันเถอะ คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด! เพราะยังไงซะคุณก็ไม่เคยเจอฉันมาก่อนหนิ!” ไดอาเนียลล่าโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ แม้ว่าเธอจะมีความสุขที่ได้ยินแบบ
ผู้อาวุโสคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้าและมองมาที่เฟนด์อย่างคาดหวังเฟนด์เหลือบมองชายหนุ่มกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เขาคิดเกี่ยวกับมันและพูดว่า “เอาแบบนี้ ฉันจะไปพักผ่อนก่อน แต่พวกเธอทั้งสองคนช่วยมาพบฉันที่ห้องในอีกหนึ่งชั่วโมงได้ไหม?”“ได้ครับ/ค่ะ นายน้อยเฟนด์!” ชายหนุ่มกับหญิงสาวมองหน้ากัน แม้ว่าพวกเขาจะงงนิดหน่อย แต่พวกเขาก็พยักหน้าตกลงไม่นาน ตระกูลโอเวนส์ก็จัดที่พักให้เฟนด์กับไดอาเนียลล่าในสวนที่เงียบสงบ“เราไม่ได้รีบอยู่หรอกเหรอ? ทำไมตอนนี้ไม่รีบล่ะ?” ไดอาเนียลล่าเหลือบมองเฟนด์และพูดอย่างสงสัย “ทำไมคุณถึงบอกให้อัจฉริยะของตระกูลนี้มาพบคุณที่ห้องในภายหลัง? มีเรื่องที่คุณอยากบอกพวกเขาเป็นการส่วนตัวเหรอ?”“ทั้งสองคนเป็นปรมาจารย์ระดับเก้า พวกเขาอยู่ห่างจากระดับกึ่งเทพขั้นต้นเพียงขั้นเดียว” เฟนด์อธิบายให้เธอฟัง “ผมบังเอิญมีวัตถุดิบหลายอย่างที่ใช้ปรุงโอสถได้ ผมสามารถบ่มเพาะมันให้แต่ละคนได้ และช่วยให้พวกเขาทะทวงเข้าสู่ระดับกึ่งเทพขั้นต้น”“คุณ... คุณรู้วิธีบ่มเพาะโอสถด้วยเหรอ?” ไดอาเนียลล่าตกใจกับเรื่องที่ได้รู้ เธอไม่คิดว่าเฟนด์จะบ่มเพาะโอสถเป็นด้วยเพราะยังไงซะ การเล่นแร่แปรธาตุก็ไม่ใช
อย่างไรก็ตาม หญิงสาวกลอกตามองไปที่ชายหนุ่ม “นายพูดเรื่องอะไรน่ะ? แล้วทำไมเขาถึงบอกให้นายไปด้วยล่ะถ้าเขาสนใจแค่ฉัน? งั้นนายก็ไม่จำเป็นต้องไปด้วยสิ จริงไหม? เขาจะบอกให้นายมองเราตอนที่เขาเอาเปรียบฉันงั้นเหรอ?”ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันเป็นห่วงเพราะเธอหน้าตาสวยมาก จะเกิดอะไรขึ้นถ้านายน้อยเฟนด์อ้างแบบนั้นเพราะทุกคนอยู่ตรงนั้น รวมถึงหัวหน้าตระกูลก็อยู่ตรงนั้นด้วย ถ้าหลังจากที่เราทั้งคู่ไปหาเขา แล้วเขาสั่งให้ฉันออกมาทีหลังล่ะ? ถ้าเขาชวนเธอเข้าไปในห้องคนเดียวล่ะ? เราไม่มีทางรู้หรอก!”“นายพูดเรื่องอะไร? นายน้อยเฟนด์ไม่ใช่คนแบบนั้น!” หญิงสาวกลอกตามองชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนที่จะยิ้มหวานออกมา “มันคงจะดีถ้าผู้ชายที่มีความสามารถอย่างนายน้อยเฟนด์สนใจในตัวฉัน... แต่ฉันได้ยินมาว่าภรรยาของเขาสวยมาก นายก็เห็นความงามของคุณหนูลำดับที่สามของตระกูลคาเบลโลแล้วหนิ ฉันคิดว่าสองคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน อาจอธิบายได้ว่าสวรรค์เต็มใจสร้างพวกเขาขึ้นมา!”ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “พวกเขาก็พูดออกมาแล้วไม่ใช่เหรอ? ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ภรรยาของเขา พวกเขาเป็นแค่เพื่อนกัน!”“นายนี่โง่จริง ๆ ?” หญิงสาวบ่น “ลองคิดดู
หลังจากที่ทั้งคู่พักได้สักสองสามนาที ไม่นานอัจฉริยะของตระกูลโอเวนส์ก็มาที่ห้องของเฟนด์“นายน้อยเฟนด์ มีอะไรสำคัญเหรอคุณถึงบอกให้พวกเรามาพบ?” ทั้งคู่ถามออกมาด้วยความสงสัย เหลือบตามองกันเมื่อพวกเขารู้ตัวว่าไดอาเนียลล่าก็อยู่ในห้องด้วยเฟนด์เพิ่งบ่มเพาะโอสถระดับกลางขั้นหนึ่งห้าเม็ดเมื่อกี้ เขาพลิกมือแล้วหยิบมันออกมาสองเม็ดและพูดว่า “นี่ให้พวกเธอคนละเม็ด พวกนี้เป็นโอสถระดับกลางขั้นหนึ่งที่ใช้เพื่อเพิ่มพลังยุทธ มันจะช่วยให้พวกเธอสองคนทะลวงและบรรลุระดับกึ่งเทพขั้นต้นได้ ฉันแนะนำให้พวกเธอทั้งคู่ฝึกฝนอยู่ที่นี่และค่อยไปที่ตระกูลหลักหลังจากที่พวกเธอทะลวงผ่านได้แล้ว นั่นจะช่วยเพิ่มความเร็วของพวกเธอในการเดินทาง”“อ-อะไรนะ? นี่...นี่สำหรับพวกเราเหรอ?” ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย สงสัยว่าเขาได้ยินผิดไปหรือเปล่า นี่คือโอสถ และการได้มันมาดีกว่าการได้หญ้าวิญญาณอีกเพราะเหตุนี้เอง โอสถจึงเป็นของล้ำค่ามากและหาได้ยากเฟนด์เอาของหายากสองชิ้นมาให้พวกเขาทั้งคู่จริง ๆ!“ขอบคุณมากครับ/ค่ะ นายน้อย!” หญิงสาวกินยาเข้าไปพลางขมวดคิ้วออกมานิด ๆ ก่อนที่สีหน้าของเธอจะเปลี่ยนไปอึ้งและตกใจสุด ๆ “ทำไม... ทำไมมันยังร้อนอยู่
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ