โยลันดาทำได้แค่ถอนหายใจในใจ แต่เธอไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากพยักหน้าเห็นด้วยเท่านั้นทว่า เธอไม่คิดเลยว่าคู่หูของเธอจะตอบรับไปอย่างทันควัน แถมยังส่งยิ้มให้กับนายหญิงลำดับหนึ่งอีก “แต่ว่า คุณน่าจะให้หญ้าวิญญาณกับเราก่อนไม่ใช่เหรอ นายหญิงลำดับหนึ่ง? สุดท้ายแล้ว เราจะทำงานใหญ่ ๆ แบบนี้ให้สำเร็จไม่ได้เลย ถ้าเราพัฒนาไปถึงขั้นกลางของเทพแท้จริง เราก็จะทำตามคำสั่งของคุณได้ดีมากยิ่งขึ้น!”“ปากหวานจริง ๆ เลยนะ!”ลิลลี่กลอกตา ก่อนจะหยิบหญ้าวิญญาณชั้นยอดระดับหนึ่งออกมาสองต้น “ฉันจะให้พวกเธอคนละต้น” เธอพูด “ทำงานเสร็จแล้วมาหาฉัน พวกเธอจะได้มากกว่านี้!”“ขอบคุณค่ะ/ครับ นายหญิงลำดับหนึ่ง!”ทั้งสองคนคำนับเธอทันที หลังจากได้รับหญ้าวิญญาณไม่นานหลังจากนั้น ทั้งคู่ก็ออกมาจากคฤหาสน์ของลิลลี่“จริงที่เฟนด์เก่งมาก แน่มันก็คงน่าเสียดายมาก ๆ ถ้าเขาต้องมาตาย!”หลังจากเดินออกมาได้ไกลพอสมควร ชายหนุ่มคนนั้นก็พูดกับโยลันดา “ทำไมต้องคิดมากด้วยล่ะ? นายหญิงลำดับหนึ่งเป็นนายหญิงของตระกูลนะ ถ้าเราไม่ช่วยเธอแล้วใครจะช่วยล่ะ? ฉันก็คิดนะ ว่าเธอออกจะใจร้ายไปหน่อย แต่ไม่มีทางที่ฉันจะไม่ทำแน่ โลกมันก็เป็นแบบนี้ เฟนด์ก็แ
เมื่อเธอได้ยินเรื่องทั้งหมด ลิลลี่ก็แสยะยิ้มอย่างรุนแรงเธอโบกมือหลังจากนั้นไม่นาน "ได้ ฉันเข้าใจแล้ว กลับไปตำแหน่งของนายก่อน!”“ครับ นายหญิงลำดับหนึ่ง!”ชายคนนั้นกำหมัดเคารพ ก่อนจะวิ่งลงเขา“ตอนนี้เราทำยังไงดี นายหญิงลำดับหนึ่ง? เขาไปตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้เราก็ฆ่าเขาไม่ได้แล้ว!”ชายหนุ่มจากตระกูลลาโกริโอยิ้มอย่างขมขื่น “เราคืนหญ้าวิญญาณที่คุณให้เราเมื่อวานนี้ไม่ได้ด้วย” เขาเตือนเธอ “มันเป็นเงินดาวน์!”โยลันดาเองก็ดีใจเช่นกัน ดูเหมือนว่าเธอไม่ต้องทำเรื่องสกปรกนั่นอีกต่อไปแล้วสุดท้ายแล้ว เธอคิดมาตลอดว่าแนชดูแลพวกเขาอย่างดี เธอเลยมีข้อกังขากับการฆ่าลูกชายของเขาเธอไม่คิดเลยว่าลิลลี่จะแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมาแทน “ทำไมไอ้เด็กเวรนั่นถึงรีบขนาดนั้น ออกไปก่อนตั้งเป็นวันแหนะ” เธอพูด “มันคงจะกลัวฉันส่งคนไปตามสินะ ถึงออกไปไวอย่างนั้น!”ลิลลี่หยุด ก่อนจะพูดต่อ “แต่ฉันรู้ว่ามันกำลังไปที่ไหน เพราะงั้นมันหนีไปไหนไม่ได้หรอก!”“คุณรู้เหรอว่าเขากำลังจะไปที่ไหน นายหญิงลำดับหนึ่ง?”ชายหนุ่มจากตระกูลลาโกริโอรู้สึกตกใจ “ดูเหมือนว่าเรายังต้องทำงานต่อสินะ!” เขาพูด พลางยิ้มอย่างขมขื่น“ไอ้เด็กเ
ลาน่าอดถามเฟนด์ไม่ได้ หลังจากครุ่นคิดก่อนที่เฟนด์จะตอบ อีธานก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าผมเดาไม่ผิด อาจารย์คงอยากจะกินข้าวแล้วก็พักผ่อนที่นี่ แล้วเราค่อยซื้อตั๋วไปเมืองวิญญาณใช่ไหมครับ”เฟนด์พยักหน้า “เราจะซื้อตั๋วในวันพรุ่งนี้หลังจากพักที่นี่สักพัก เมืองวิญญาณเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และสมุนไพรหายากมากมาย ฉันอาจจะเจอสิ่งที่ฉันต้องการก็ได้!”"เอาล่ะ เรารีบมากเมื่อวานนี้ วันนี้ก็เลยเหนื่อยกันหน่อย มันจะดีมากถ้าเราจะเริ่มเดินทางกันในวันพรุ่งนี้!"อีธานพยักหน้า พลางยิ้มลาน่ามองไปที่เมืองที่เต็มไปด้วยเสียงจอแจ ถนนที่แออัด และเสียงอึกทึกครึกโครม เธออดที่จะอุทานออกมาไม่ได้ว่า “ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมตระกูลลึกลับอย่างตระกูลวู๊ดถึงเกลียดโลกมนุษย์ สุดท้ายแล้ว ภูเขาทั้งหลายมีจุดของพลังฉีที่หนาแน่น ในขณะเดียวกัน เราไม่ได้พลังฉีในที่ ๆ มีฝุ่นเยอะ อากาศที่นี่โคตรแย่เลย!”"จริง!"เฟนด์อดไม่ได้ที่จะดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของภูเขา “ตอนนี้มีที่ที่เหมาะจะฝึกด้วยตัวเองน้อยลงแล้ว ฉันว่ามันคงยากแน่ ๆ ถ้าคนรุ่นต่อไปอยากจะบรรลุระดับเทพแท้จริง สุดท้ายแล้ว มันยากมากที่จะได้หญ้าวิญญาณมา ถ้าธรรมชาติมีฉีไ
เฟนด์มองไปที่ผู้หญิงที่ยโสโอหังตรงหน้าของเขา เขาถึงกับพูดไม่ออกเธอเป็นคนหาเรื่องก่อนโดยเรียกพวกเขาอย่างติดตลกว่าลุง เขาเลยเอาคืนด้วยการเรียกเธอว่า ‘ป้า’ทุกคนตกใจมาก ผู้หญิงคนนี้อ่อนไหวมาก เมื่อเธอได้ยินคำว่า ‘ป้า’ เธอก็เตะเข้ามาทันทีผู้หญิงคนนี้ใส่รองเท่าส้นสูง และส้นของมันคือส้นเข็ม ถ้าเฟนด์โดนรองเท้านั่นซัดเข้า เขาคง...ส้นสูงนั่นกำลังจะโดนเขา เฟนด์หงายหลังนิดหน่อย ก่อนจะจับเท้าของเธอด้วยมือข้างเดียว ก่อนจะดึงมันเบา ๆ ให้เข้ามาชิดเขา"อ๊า!"สาวสวยทรงตัวไม่อยู่ เธอล้มตัวเข้าไปหาเฟนด์ เท้าอีกข้างของเธอพลิก และส้นสูงของเธอก็พัง“ปล่อยฉันนะ ไอ้เลว!”สาวสวยคนนั้นล้มลงในอ้อมกอดของเฟนด์อย่างนุ่มนวล แก้มของเธอกลายเป็นสีชมพู เธอสบถใส่เฟนด์พลางรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แก้มของเธอทันใดนั้นเอง เฟนด์ก็ปล่อยอีกฝ่ายลง ก่อนจะพูดว่า “คุณผู้หญิง จำไว้ว่านี่คือบทเรียนของคุณวันนี้! ส้นสูงนี่คมมาก อย่าไปเตะใครเข้าล่ะในอนาคต!”“เด็กนี่ รู้ไหมว่าฉันคือใคร? ฉันมาจากตระกูลแลนแคสเตอร์ แล้วพ่อของฉันก็จะมารับฉันพร้อมบอดี้การ์ดอีกเพียบ อีกไม่นานเกินรอ! นายกล้าดียังไงมาเอาเปรียบฉัน! วันนี้นายสมควรกินหม
เชอร์ลี่ย์กัดฟันแน่น เมื่อเธอเห็นว่าเศรษฐีหนุ่มนั่นกำลังเดินมาหาเธออย่างกระฟัดกระเฟียด เธอเปลี่ยนอารมณ์ทันที “ไม่มีทาง ฉัน เชอร์ลี่ย์ แลนแคสเตอร์ ทำอะไรไม่เคยมาเสียใจทีหลัง นายกล้าบอกชื่อฉันไหมล่ะ?” เชอร์ลี่ย์ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่นแบบแกล้ง ๆ “เฟนด์ วู๊ด!”เฟนด์ยิ้มอย่างเยือกเย็น ก่อนจะพูดอีกว่า “เฟนด์ วู๊ด คือชื่อของฉัน และฉันก็ภูมิใจในชื่อนี้ด้วย ทำไมจะไม่กล้าบอกล่ะ!”"ก็ดีแล้ว!"สาวสวยยิ้มแห้ง หลังจากสังเหตเห็นว่าเศรษฐีหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา เธอเลยทักทายเขา “สวัสดีนายน้อยนอร์ตัน ไม่เจอกันนานเลยนะ! มาทำอะไรที่นี่ล่ะ? มารอรับใครเหรอ?”เมื่อนายน้อยนอร์ตันเห็นท่าทีสนิทสนมของทั้งสอง เขาก็แสยะยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนทันทีหน้าของเขาเศร้าและหม่นหมองมาก เขามองไปที่เชอร์ลี่ย์ก่อนจะพูดว่า “เชอร์ลี่ย์ แลนแคสเตอร์ ไอ้เวรนี่ใคร? เธอเป็นคู่หมั้นของฉันนะ เราหมั้นกันแล้ว! ฉันมารับใครงั้นเหรอ? เธอก็รู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่รึไง?”เฟนด์ได้ยินพวกเขาคุยกัน เขาถึงกับพูดไม่ออก เขาไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างงี้ เขาไม่คิดเลยว่าไอ้หมอนี่จะเป็นคู่หมั้นของเชอร์ลี่ย์จริง ๆอย่างไรก็ตาม จากที่ดู ๆ แ
เฟนด์หน้าเหวอทันที เมื่อเขาได้ยินคำพูดของวิลตัน อะไรวะเนี่ย? เขาเพิ่งจะนั่งเครื่องมานานแสนนาน แล้วเพิ่งจะลงจอดที่เมืองวิญญาณ เขาไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเล่นละครเรื่องนี้ด้วยตอนแรก เขาคิดว่าแค่ช่วยผู้หญิงที่น่าสงสารคนนี้เท่านั้น แค่แกล้ง ๆ ทำให้แฟนของเธอโมโหจนจากไปไม่คิดเลยว่านายน้อยคนนี้จะขอให้พวกเขาจูบกันตรงหน้าเขาจริง ๆ ไม่งั้นเขาไม่มีทางเชื่อแต่พอลองคิดดูแล้ว เชอร์ลี่ย์ไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลย แล้วจู่ ๆ ก็มาพูดว่าตัวเองมีแฟน? สำหรับเฟนด์เองเขาก็ยังไม่เชื่อเลยเชอร์ลี่ย์หน้าแดงก่ำ เธอหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความโมโห เธอกำลังตกที่นั่งลำบากในตอนนี้อย่างไรก็ตาม เฟนด์จับแขนของเธอ แถมยังใช้แขนที่แข็งแกร่งของเขาโอบเอวเธออีกต่างหาก ถ้าเธอบอกว่าเฟนด์ไม่ใช่แฟนของเธอในตอนนี้ ความพยายามที่แล้ว ๆ มาของเธอก็จะหมดความหมายทันที นอกจากนี้แล้ว เธอห่วงชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของเธออย่างมาก และตอนนี้ เธอก็ไม่มีทางให้ถอยแล้วเมื่อมองหน้าที่ว่างเปล่า และหม่นหมองของเชอร์ลี่ย์ วิลตันก็หัวเราะ ก่อนจะพูดกระแนะกระแหนด้วยน้ำเสียงเสียดสีว่า “โอ้? อะไรกัน? ฉันพูดถูกสินะ ฮ่าฮ่าฮ่า! เชอร์ลี่ย์ ฉันไม่ได้โง่นะ เธอมาหลอกฉ
“เธอผิดแล้ว ฉันไม่ใช่คนใจดีหรือคนใจกว้างเลย เธอเป็นคู่หมั้นของฉันแต่ไอ้เศษสวะนี่กลับมานอนกับเธอ! ถ้าวันนี้ฉันไม่อัดมันจนตาย ฉันก็ไม่ใช่วิลตัน นอร์ตันแล้ว!” วิลตันโมโหจนเลือดขึ้นหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ “เชอร์ลี่ย์ แลงคาสเตอร์ สงสัยฉันคงดีกับเธอมากเกินไป เธอทำให้ความเมตตาที่ผมมีให้เธอสูญเปล่า! กล้าดียังไงถึงมานอนกับผู้ชายคนอื่น กล้าดียังไงถึงทำตัวสำส่อนแบบนี้! ฉันไม่เกรงกลัวตระกูลแลงคาสเตอร์หรอกนะ! อย่าลืมว่าตระกูลแลงคาสเตอร์เป็นเพียงแค่ตระกูลชนชั้นสาม แต่ตระกูลนอร์ตันเป็นตระกูลชั้นสอง! ตระกูลชนชั้นสามไม่อาจทำอะไรกับตระกูลชนชั้นสองได้!” วิลตันตะโกนออกมาขณะที่จ้องเชอร์ลีย์อย่างดุเดือด “ฉัน...ฉันขอโทษ เฟนด์ ฉันไม่คิดว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้...” ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเชอร์ลี่ย์ขณะที่เธอได้ยินคำพูดของวิลตัน เธอเริ่มคิดว่า เธอควรจะบอกความจริงกับเขาดีหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม เฟนด์ก็พูดเบา ๆ และปลอบเธออย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไร เขามีบอดี้การ์ด ผมก็มีบอดี้การ์ดสองคนเหมือนกัน!” อีธานและลาน่าลุกขึ้นทันทีเมื่อถูกเรียกตัว “เฮ้ พวกแมลง แกอยากตายเหรอ? กล้าดียังไงมาทำให้นายน
“แก ครั้งนี้ฉันจะปล่อยให้แกชนะก็ได้!” วิลตันถอนหายใจออกมาทั้ง ๆ ที่ภายในใจยังโกรธอยู่ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เลย เขาไม่คิดว่า ในฐานะนายน้อยของตระกูลชนชั้นสอง เขาจะทำอะไรกับสถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้เลย คู่หมั้นของเขาอยู่กับผู้ชายอีกคนหนึ่งและเขาก็ไม่สามารถสอนบทเรียนให้กับหมอนี่ได้ ที่แย่ไปกว่านั้น เขายังถูกหมอนี่ข่มขู่อีก! เขากัดฟันและกำหมัดแน่น เขาพาคนของเขาออกจากที่เกิดเหตุ เขารู้ว่าถ้าเขายังอยู่ที่นี่ต่อ มันมีแต่จะทำให้เขามีปัญหามากขึ้น “ฟู่!” หลังจากที่อีกฝ่ายออกไป ก้อนหินในใจของเชอร์ลี่ย์ก็ถูกยกออก เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วพูดว่า “ฉันพนันได้เลยว่าเขาคงไม่กล้ามารบกวนฉันอีก! ขอบคุณมากนะ!” เฟนด์คลายวงแขนรอบเอวของเชอร์ลี่ย์ออก เขายิ้มให้เธอและพูดว่า “คุณแลงคาสเตอร์ ครั้งนี้ผมพยายามทำดีที่สุดแล้ว แต่ดูจากสีหน้าของวิลตัน ผมพนันได้เลยว่าเขาคงจะโกรธเคืองผมมาก แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะผมไม่กลัวอยู่แล้ว!” เฟนด์หยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ผมช่วยคุณแล้ว แล้วคุณล่ะจะตอบแทนผมยังไงดี?” “ฉัน…” ตอนแรกเชอร์ลี่ย์คิดว่าเฟนด์เป็นคนจิตใจดี เธอไม่คิดว่าเฟนด์จะขอให้เธอตอบแทน เธอรู้สึกได้ถึงความโกรธ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ