“ฮู้ว...”
ผู้จัดการร้านกินดื่มคนเก่งหลังจากอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวเสร็จก็พรูลมหายใจด้วยความโล่ง ในตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มตรงซึ่งพี่ตำรวจควรจะกลับมาบ้าน หากแต่นั้นเป็นในยามปกติทว่าวันนี้พี่พูนเดินมาบอกถึงสถานีในตอนเย็นว่าจะกลับดึกราวห้าทุ่มเที่ยงคืนเพราะมีประชุมซึ่งจะมีคนใหญ่คนโตมาร่วมงาน อาจจะต้องใช้เวลาไปกับพิธีรีตองสักนิด ซึ่งเขาก็เข้าใจดีเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องนอนคนเดียว
แผนคิดพลางจัดคอปกเสื้อนอนก่อนจะเดินมาหย่อนกายนั่งระหว่างนั้นพลอยคิดไปถึงเรื่องการรับเด็กสักคนเข้ามาอยู่ในการดูแลจากสถานเด็กกำพร้าที่เคยไปดูด้วยกันมา ซึ่งดูจากสถานการณ์คาดว่าคงจะเป็นภายในไม่เกินปีนี้เสียแล้ว
ไอ้เขาก็คิดอยู่นานตั้งแต่รับเจ้าเงินกับเจ้าสำลีมาเลี้ยง ด้วยทุนทรัพย์และพื้นที่บ้านทำให้พวกมันสามารถไปหาสัตวแพทย์หรือมีสนามหญ้าสนามดินหลังบ้านให้วิ่งเล่นโดยที่ยังมีเงินเหลือเกินพอ ไหนพี่พูนที่อดีตเป็นคนชอบเที่ยวร้านสังสรรค์กับเพื่อนกับฝูงก็เริ่มค่อย ๆ ปรับนิสัยให้ตรงกลับบ้านมากขึ้น
คงเพราะเขาบอกพี่พูนไปว่าเด็ก ๆ ต้องการเวลาจากผู้ปกครองมากกว่าที่คิด เด็ก ๆ จะเหงาไหมห
เนื่องจากร้านลุงเริงกำลังอยู่ในช่วงขยายร้านและปรับปรุงพัฒนา น้องแผนจึงต้องทำงานหนักเป็นพิเศษเพื่อให้กระบวนการทุกอย่างผ่านได้อย่างราบรื่นจนบางครั้งกว่าจะหยุดจับปากกาดินสอได้ก็ปาไปตีหนึ่งตีสองถึงจะได้เอนตัวนอน พูนในฐานะคนรักคนหล่อย่อมเชื่อว่าคนขยันอย่างน้องแผนย่อมทำมันออกมาได้เป็นอย่างไร้ที่ติแน่นอนแต่นั่นเองคือปัญหา เพราะเวลาขยายสาขามันกินเวลาหลายเดือนซึ่งความอดทนในการเห็นน้องแผนนอนดึกตื่นเช้ามันใกล้จะหมดลงแล้ว“แผนครับ มานอนเร็ว ดึกมากแล้วนะ”เสียงทุ้มของนายตำรวจสะลึมสะลือขึ้นมากลางดึกราวเที่ยงคืนก็ยังเห็นน้องแผนนั่งเขียนอะไรขยุกขยิกอยู่ที่โต๊ะทำงานโดยพึ่งแสงจากตะเกียงที่เจ้าน้องเปิดมาตั้งแต่หนึ่งทุ่มจนแสงมันหรี่ลงอย่างเห็นได้ชัด แบบนี้สงสัยไม่วันมะรืนนี้ก็พรุ่งนี้คงจะได้เติมน้ำมันเป็นแน่“เดี๋ยวนอน”แผนครับ ก่อนพี่จะนอนเราบอกกับพี่แบบนี้มา ๕ รอบติดแล้วนะครับ บอกตั้งแต่สามทุ่มจนเที่ยงคืนตีหนึ่งก็ยังบอกเดี๋ยวนอนอยู่เลยและด้วยความเป็นห่วงกลางดึกคืนไหนที่เขาเห็นน้องแผนนอนน้อยเย็นวันนั้นเขาจะรีบมารับตัวน้องนายสถานีด้วยความเป็นห่ว
“อะ...อื้อ!!!!”หลังจากที่กิจกรรมอันเร่าร้อนดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุด ร่างบอบบางที่ควบเอวอยู่บนตักพี่ตำรวจก็เหนื่อยหอบโน้มตัวลงมาขอจูบผ่อนคลายจากคนรักอย่างออดอ้อน พลางไล่จับสัมผัสตามสัดส่วนกำยำที่เป็นของตนแต่เพียงผู้เดียวพูนซึ่งไม่ได้มีปัญหาอันใดหากน้องแผนจะมือซน กระนั้นเขาก็จับสังเกตพฤติกรรมได้ว่านอกจากตามรอยสักยันต์บนอกแล้วสิ่งที่ปลายนิ้วนุ่มนิ่มเหล่านั้นมักจะไปอยู่คือบริเวณกล้ามเนื้อหน้าท้องทั้งหกจุดไม่ว่าจะเป็นตอนร่วมรักหรือว่าในยามนอนปกติหากสบโอกาสน้องแผนก็มักจะส่งมือมาลูบ ๆ คลำ ๆ ก่อนจะผล็อยหลับไปคล้ายกับตัวเขาในตอนนี้เป็นตุ๊กตาเดินได้อย่างไรอย่างนั้น หรืออีกสถานการณ์หนึ่งที่พบเห็นได้บ่อยคือการที่จู่ ๆ เขาก็โดนจกพุงโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แม้จะมีสะดุ้งบ้างแต่มันก็เป็นการกระทำที่น่ารักน่าชังในสายตาเขานักของมันแน่นอนว่าความชอบแบบนี้นั้น น้องแผนไม่มีทางบอกคำว่า ‘ชอบ’ ออกมาตรง ๆ หรอกดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเขาหลังทราบเรื่องที่ต้องดูแลตัวเองขึ้นมาอีกระดับเพื่อความสุขของน้องแผน พี่พูนทำให้ได้อยู่แล้วครับณ วันหยุดในฤดูหนาว ตัวเขาที่ทานมื
ในยามสายของวันหยุดปิดเทอมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูสดใสและชัดเจนจากแสงอาทิตย์ในหน้าร้อน ท้องฟ้าเข้มมีเมฆขาวลอยเป็นหย่อม ๆ อยู่ห่างไกลโดยลมพัดมาเป็นระยะ เหงื่อเริ่มซึมออกมาจากผิวหนังแม้จะอยู่ในร่มยิ่งโดยเฉพาะเมื่อมาอยู่หน้าเตาไฟในครัวควันหอมกรุ่นของน้ำเคี่ยวพริกแกงส้มลอยฟุ้งผ่านช่องหน้าต่างบานเกล็ดโชยพัดกลิ่นเครื่องปรุงขึ้นมาให้คุณพ่อตำรวจของบ้านได้รับรู้ พูนในชุดไปรเวทเสื้อคอกลมนั่งผ้าขาวม้าคว้าช้อนจากในตะแกรงตากมาตักน้ำแกงชิมรสชาติด้วยความชำนาญก่อนจะหันลงไปมองเด็กชายตัวจิ๋วที่ยืนเกาะโต๊ะครัวหลังช่วยเขาฉีกเนื้อปลาลงหม้อ“รบ ลงไปเรียกป๊ากับพี่ขึ้นมาได้เลย”“จ้ะ!”เสียงใสที่เริ่มแปรเปลี่ยนจากร่างกายซึ่งเติบโตขึ้นตอบรับพร้อมแววตาเป็นประกายสดใส ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกจากครัวลงบ้านไปเมื่อปลายปีที่แล้วพวกเขาตัดสินใจได้ว่าจะรับเด็กมาเลี้ยงตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ จนได้มีเด็กเข้ามาอยู่ในบ้านถึงสองคนซึ่งเป็นพี่น้องที่อายุต่างกันหนึ่งปีเศษ โดยสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่พวกเขาไปมาเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรและกำลังอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมไ
วันสงกรานต์ วันทรหดที่พนักงานทุกคนหัวหมุนแจกตั๋วโบกธงสัญญาณท่ามกลางผู้คนอันเบียดเสียด ไหนจะตัวเปียกตัวเปื้อนจากผู้โดยสารบางท่านที่ไปเล่นน้ำมาแล้วเดินมาชน หรือไม่บางคนก็ฝ่าฝืนกฎมาเล่นน้ำในเขตสถานีที่สถานีกรุงเทพฯ เส้นทางคมนาคมหลักแห่งนี้ ที่ผู้คนหลากหลายวัยต่างมุ่งหน้าเข้าสถานีเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดหรือไปเยี่ยมญาติพี่น้อง บรรยากาศในสถานีเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของผู้โดยสาร เสียงประกาศจากลำโพง และเสียงล้อรถไฟที่เสียดสีกับรางเหล็กเมื่อสิ้นเสียงหวูดภายในสถานี ผู้โดยสารนั่งกันเต็มพื้นที่ รอขึ้นรถไฟที่แน่นขนัด บางคนนั่งจับกลุ่มคุยกันบนพื้น บ้างก็กำลังยืนต่อแถวรอซื้อตั๋ว มีผู้คนมากมายที่ขนของพะรุงพะรัง ทั้งกระเป๋าเดินทาง ตะกร้าใส่ของกิน ของใช้ หรือแม้กระทั่งกรงสัตว์เล็ก ๆ ที่จะนำกลับไปด้วยแผนแทบไม่มีเวลามานั่งพักเสียด้วยซ้ำเมื่อรถไฟออกก็ต้องมาช่วยพี่ ๆ ตอบคำถามหรือถึงขั้นจัดแจงเอกสารจำหน่ายตั๋วแทนในกรณีที่บางคนไปเข้าห้องน้ำ เพราะการขาดใครไปแม้เพียงคนเดียวการสัญจรของผู้โดยสารจะติดขัดทันที และมันยิ่งวุ่นวายขึ้นเมื่อขบวนรถไฟมาถึง ผู้คนเร่งรีบเข้ามาแย่งชิงท
คุณพ่อเล็กในชุดไปรเวทเดินไขประตูรั้วเข้ามาในบ้านหลังกลับมาจากการดูร้านเหล้าสาขา ๒ ของลุงเริง พวกเขาทำงานด้วยกันมานานจนจะเข้าปีที่ ๒๐ แล้วส่วนเรื่องหลานชายที่คิดว่าจะส่งต่อให้กลับล้มเหลว เพราะเจ้าตัวดันออกไปเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง ดังนั้นลุงเริงจึงเรียกเขาเข้าไปคุยถึงเรื่องการส่งต่อร้าน เพราะลุงแกก็อายุมากขึ้นทุกปีจึงอยากได้คนมาสานต่อธุรกิจที่ตนตั้งใจทำมาตั้งแต่ยังหนุ่ม และคนนั้นคือตัวเขาซึ่งเป็นพนักงานที่เก่าแก่และได้รับความไว้วางใจมากที่สุดการส่งต่อนั้นไม่สามารถทำให้จบได้ภายในวันเดียว ยังคงมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างให้เขาต้องเรียนรู้อีกเยอะ ดังนั้นวันนี้เขาจึงได้ทราบเรื่องและลงมาตรวจสอบโกดังสินค้าอีกนิดหน่อยแล้วก็สามารถกลับบ้านได้ด้วยเหตุนั้นก่อนที่แผนจะพักหลังจากทักทายคุณพ่อยามบ่ายจึงขึ้นมาหาเด็ก ๆ และพี่พูนที่กำลังช่วยกันถูบ้านเป็นอันดับแรกเพื่อจะบอกว่าปะป๊าอาจจะกลับดึกในช่วงนี้สักหน่อย เพราะมีภาระที่ต้องไปทำแต่หากสามารถจัดการได้แล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เผลอ ๆ อาจจะได้เวลากลับมาเยอะกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ“จริงเหรอ!?” แต่
1. นิยายเรื่องนี้อิงประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาปีพ.ศ.2485 ทุกตัวละคร และ'บาง'สถานการณ์ที่เอ่ยถึงกล่าวถึงเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงเท่านั้น ซึ่งไม่มีเจตนาดูหมิ่นไม่ว่าจะในเชิงส่วนบุคคลหรือสถาบันเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนหาข้อมูล และเกลาเนื้อหาขึ้นด้วยความเคารพในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง2. บางส่วนของนิยายอาจมีเนื้อหาเกินความเป็นจริงเพื่ออรรถรสในการอ่าน โปรดใช้วิจารณญาณในการแยกแยะข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น หรือเรื่องราวซึ่งเป็นเพียงจินตนาการ3. นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบ/สนใจคู่ที่มีอายุ (วัยทำงาน)4. บางส่วนในนิยายมีการกล่าวถึง สิ่งเสพติด/อบายมุข, การพนัน, ความรุนแรง, การข่มขู่, คำหยาบคาย, นายเอกมีความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นนอกเหนือไปจากพระเอก, ฉากล่อแหลมทางเพศ และฉากโจ่งแจ้งทางเพศ (Anal sex, Bare breaking, Blowjob, Clothed sex, Cum drinking, Hand job, Semi-Outdoor, Vanilla)โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เขาเป็นเด็กที่เกิดมาท่ามกลางสภาวะสงคราม แม้ผ่านมาเพียงสองปีมันจะจบลงทว่ามันไม่แปลว่าเศรษฐกิจจะฟื้นฟูขึ้นมาในชั่วพริบตา เพราะมันเป็นช่วงเวลาอันไกลพ้นและสั้นกุด เขาจึงไม่สามารถจำหน้าพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองได้ ญาติหลายต่อหลายคนที่มาร่วมงานศพขนาดย่อมในวัดเล็ก ๆ กลางพระนครต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพ่อแม่ซึ่งป่วยออด ๆ แอด ๆ ของเขาตั้งใจเลี้ยงดูลูกชายเพียงคนเดียวมากแค่ไหน สิ่งที่พวกท่านหลงเหลืออยู่คงจะเป็นเลือดที่ไหลเวียนอยู่และชื่อสกุลพูนไม่อาจจำได้ว่าตัวเองเมื่อครั้งอายุสิบขวบรู้สึกเศร้าโศกขนาดไหน บางทีอาจจะไม่สมควรเป็นวัยที่รู้จักความเศร้าจากความสูญเสียด้วยซ้ำไป งานวันนั้นเขาถูกจับแต่งตัวจากคุณย่าที่ยังไม่คุ้นหน้า และถูกจูงมางานเมื่อถึงเวลา ร่วมงานสีดำตั้งแต่ต้นจนจบโดยที่ในหัวมันรู้สึกว่างเปล่าพิกล รู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเองเลย‘น่าสงสาร เด็กตัวแค่นี้เอง’‘แล้วใครจะรับไปเลี้ยงต่อล่ะ’‘วัยกำลังโตเสียด้วย’พูนในวัยเด็กพร้อมชุดเสื้อสีดำนั่งแกว่งขามองพื้นศาลาขณะรอกลับในช่วงค่ำหลังจากร้องไห้จนไม่มีน้ำตาหลงเหลืออยู่ เขาเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าต
“พ่อ ฉันวางจานเอาไว้ตรงนี้นะจ๊ะ”พูนในวัยสิบห้าย่างสิบหกหยิบยกตะแกรงซึ่งเต็มไปด้วยจานที่ล้างเสร็จหมาด ๆ มาวางไว้บนโต๊ะหินหน้าบ้าน จนถึงตอนนี้ผ่านมาหลักปีเขาก็ยังนึกถึงน้องชายคนนั้นอยู่ตลอด ด้วยว่ายกให้เป็นเพื่อนสนิทคนแรกหลังต้องย้ายมาจากพระนครเด็กหนุ่มยืนจัดเรียงจานให้เข้าที่ แม้เป็นเวลาเพียงสามปีส่วนสูงกลับเพิ่มขึ้นจนจะเท่าคนเป็นพ่ออยู่แล้วเชียว กิจการช่วงนี้ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเช่นเคย รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องคอยปรามพ่อไม่ให้เอาเขียงทุบหัวลูกค้า“เฮ้อ...”พูนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย หากน้องเจ้ายังอยู่ละก็เขาคงมีที่ระบายเพิ่มขึ้น เพราะตั้งแต่วางแผนว่าจะสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ ชีวิตเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเพราะเมืองพิษณุโลกไม่มีโรงเรียนตำรวจ มีเพียงสถานีไม้เล็ก ๆ ให้ชาวบ้านไปไกล่เกลี่ยกับตำรวจไม่กี่นาย หากจะเรียนก็ต้องเตรียมตัวสอบข้อเขียนประกอบกับวัดสมรรถภาพร่างกาย ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะหนักแค่ไหน หรือเขาต้องรู้อะไรก่อนไปสอบบ้าง“ป๊าจ๊ะ ฉันออกไปวิ่งก่อนนะจ๊ะ”“ช่วงนี้มืดเร็ว กลับมาก่อนค่ำนะจ๊ะ”“จ้า”
คุณพ่อเล็กในชุดไปรเวทเดินไขประตูรั้วเข้ามาในบ้านหลังกลับมาจากการดูร้านเหล้าสาขา ๒ ของลุงเริง พวกเขาทำงานด้วยกันมานานจนจะเข้าปีที่ ๒๐ แล้วส่วนเรื่องหลานชายที่คิดว่าจะส่งต่อให้กลับล้มเหลว เพราะเจ้าตัวดันออกไปเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง ดังนั้นลุงเริงจึงเรียกเขาเข้าไปคุยถึงเรื่องการส่งต่อร้าน เพราะลุงแกก็อายุมากขึ้นทุกปีจึงอยากได้คนมาสานต่อธุรกิจที่ตนตั้งใจทำมาตั้งแต่ยังหนุ่ม และคนนั้นคือตัวเขาซึ่งเป็นพนักงานที่เก่าแก่และได้รับความไว้วางใจมากที่สุดการส่งต่อนั้นไม่สามารถทำให้จบได้ภายในวันเดียว ยังคงมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างให้เขาต้องเรียนรู้อีกเยอะ ดังนั้นวันนี้เขาจึงได้ทราบเรื่องและลงมาตรวจสอบโกดังสินค้าอีกนิดหน่อยแล้วก็สามารถกลับบ้านได้ด้วยเหตุนั้นก่อนที่แผนจะพักหลังจากทักทายคุณพ่อยามบ่ายจึงขึ้นมาหาเด็ก ๆ และพี่พูนที่กำลังช่วยกันถูบ้านเป็นอันดับแรกเพื่อจะบอกว่าปะป๊าอาจจะกลับดึกในช่วงนี้สักหน่อย เพราะมีภาระที่ต้องไปทำแต่หากสามารถจัดการได้แล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เผลอ ๆ อาจจะได้เวลากลับมาเยอะกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ“จริงเหรอ!?” แต่
วันสงกรานต์ วันทรหดที่พนักงานทุกคนหัวหมุนแจกตั๋วโบกธงสัญญาณท่ามกลางผู้คนอันเบียดเสียด ไหนจะตัวเปียกตัวเปื้อนจากผู้โดยสารบางท่านที่ไปเล่นน้ำมาแล้วเดินมาชน หรือไม่บางคนก็ฝ่าฝืนกฎมาเล่นน้ำในเขตสถานีที่สถานีกรุงเทพฯ เส้นทางคมนาคมหลักแห่งนี้ ที่ผู้คนหลากหลายวัยต่างมุ่งหน้าเข้าสถานีเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดหรือไปเยี่ยมญาติพี่น้อง บรรยากาศในสถานีเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของผู้โดยสาร เสียงประกาศจากลำโพง และเสียงล้อรถไฟที่เสียดสีกับรางเหล็กเมื่อสิ้นเสียงหวูดภายในสถานี ผู้โดยสารนั่งกันเต็มพื้นที่ รอขึ้นรถไฟที่แน่นขนัด บางคนนั่งจับกลุ่มคุยกันบนพื้น บ้างก็กำลังยืนต่อแถวรอซื้อตั๋ว มีผู้คนมากมายที่ขนของพะรุงพะรัง ทั้งกระเป๋าเดินทาง ตะกร้าใส่ของกิน ของใช้ หรือแม้กระทั่งกรงสัตว์เล็ก ๆ ที่จะนำกลับไปด้วยแผนแทบไม่มีเวลามานั่งพักเสียด้วยซ้ำเมื่อรถไฟออกก็ต้องมาช่วยพี่ ๆ ตอบคำถามหรือถึงขั้นจัดแจงเอกสารจำหน่ายตั๋วแทนในกรณีที่บางคนไปเข้าห้องน้ำ เพราะการขาดใครไปแม้เพียงคนเดียวการสัญจรของผู้โดยสารจะติดขัดทันที และมันยิ่งวุ่นวายขึ้นเมื่อขบวนรถไฟมาถึง ผู้คนเร่งรีบเข้ามาแย่งชิงท
ในยามสายของวันหยุดปิดเทอมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูสดใสและชัดเจนจากแสงอาทิตย์ในหน้าร้อน ท้องฟ้าเข้มมีเมฆขาวลอยเป็นหย่อม ๆ อยู่ห่างไกลโดยลมพัดมาเป็นระยะ เหงื่อเริ่มซึมออกมาจากผิวหนังแม้จะอยู่ในร่มยิ่งโดยเฉพาะเมื่อมาอยู่หน้าเตาไฟในครัวควันหอมกรุ่นของน้ำเคี่ยวพริกแกงส้มลอยฟุ้งผ่านช่องหน้าต่างบานเกล็ดโชยพัดกลิ่นเครื่องปรุงขึ้นมาให้คุณพ่อตำรวจของบ้านได้รับรู้ พูนในชุดไปรเวทเสื้อคอกลมนั่งผ้าขาวม้าคว้าช้อนจากในตะแกรงตากมาตักน้ำแกงชิมรสชาติด้วยความชำนาญก่อนจะหันลงไปมองเด็กชายตัวจิ๋วที่ยืนเกาะโต๊ะครัวหลังช่วยเขาฉีกเนื้อปลาลงหม้อ“รบ ลงไปเรียกป๊ากับพี่ขึ้นมาได้เลย”“จ้ะ!”เสียงใสที่เริ่มแปรเปลี่ยนจากร่างกายซึ่งเติบโตขึ้นตอบรับพร้อมแววตาเป็นประกายสดใส ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกจากครัวลงบ้านไปเมื่อปลายปีที่แล้วพวกเขาตัดสินใจได้ว่าจะรับเด็กมาเลี้ยงตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ จนได้มีเด็กเข้ามาอยู่ในบ้านถึงสองคนซึ่งเป็นพี่น้องที่อายุต่างกันหนึ่งปีเศษ โดยสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่พวกเขาไปมาเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรและกำลังอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมไ
“อะ...อื้อ!!!!”หลังจากที่กิจกรรมอันเร่าร้อนดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุด ร่างบอบบางที่ควบเอวอยู่บนตักพี่ตำรวจก็เหนื่อยหอบโน้มตัวลงมาขอจูบผ่อนคลายจากคนรักอย่างออดอ้อน พลางไล่จับสัมผัสตามสัดส่วนกำยำที่เป็นของตนแต่เพียงผู้เดียวพูนซึ่งไม่ได้มีปัญหาอันใดหากน้องแผนจะมือซน กระนั้นเขาก็จับสังเกตพฤติกรรมได้ว่านอกจากตามรอยสักยันต์บนอกแล้วสิ่งที่ปลายนิ้วนุ่มนิ่มเหล่านั้นมักจะไปอยู่คือบริเวณกล้ามเนื้อหน้าท้องทั้งหกจุดไม่ว่าจะเป็นตอนร่วมรักหรือว่าในยามนอนปกติหากสบโอกาสน้องแผนก็มักจะส่งมือมาลูบ ๆ คลำ ๆ ก่อนจะผล็อยหลับไปคล้ายกับตัวเขาในตอนนี้เป็นตุ๊กตาเดินได้อย่างไรอย่างนั้น หรืออีกสถานการณ์หนึ่งที่พบเห็นได้บ่อยคือการที่จู่ ๆ เขาก็โดนจกพุงโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แม้จะมีสะดุ้งบ้างแต่มันก็เป็นการกระทำที่น่ารักน่าชังในสายตาเขานักของมันแน่นอนว่าความชอบแบบนี้นั้น น้องแผนไม่มีทางบอกคำว่า ‘ชอบ’ ออกมาตรง ๆ หรอกดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเขาหลังทราบเรื่องที่ต้องดูแลตัวเองขึ้นมาอีกระดับเพื่อความสุขของน้องแผน พี่พูนทำให้ได้อยู่แล้วครับณ วันหยุดในฤดูหนาว ตัวเขาที่ทานมื
เนื่องจากร้านลุงเริงกำลังอยู่ในช่วงขยายร้านและปรับปรุงพัฒนา น้องแผนจึงต้องทำงานหนักเป็นพิเศษเพื่อให้กระบวนการทุกอย่างผ่านได้อย่างราบรื่นจนบางครั้งกว่าจะหยุดจับปากกาดินสอได้ก็ปาไปตีหนึ่งตีสองถึงจะได้เอนตัวนอน พูนในฐานะคนรักคนหล่อย่อมเชื่อว่าคนขยันอย่างน้องแผนย่อมทำมันออกมาได้เป็นอย่างไร้ที่ติแน่นอนแต่นั่นเองคือปัญหา เพราะเวลาขยายสาขามันกินเวลาหลายเดือนซึ่งความอดทนในการเห็นน้องแผนนอนดึกตื่นเช้ามันใกล้จะหมดลงแล้ว“แผนครับ มานอนเร็ว ดึกมากแล้วนะ”เสียงทุ้มของนายตำรวจสะลึมสะลือขึ้นมากลางดึกราวเที่ยงคืนก็ยังเห็นน้องแผนนั่งเขียนอะไรขยุกขยิกอยู่ที่โต๊ะทำงานโดยพึ่งแสงจากตะเกียงที่เจ้าน้องเปิดมาตั้งแต่หนึ่งทุ่มจนแสงมันหรี่ลงอย่างเห็นได้ชัด แบบนี้สงสัยไม่วันมะรืนนี้ก็พรุ่งนี้คงจะได้เติมน้ำมันเป็นแน่“เดี๋ยวนอน”แผนครับ ก่อนพี่จะนอนเราบอกกับพี่แบบนี้มา ๕ รอบติดแล้วนะครับ บอกตั้งแต่สามทุ่มจนเที่ยงคืนตีหนึ่งก็ยังบอกเดี๋ยวนอนอยู่เลยและด้วยความเป็นห่วงกลางดึกคืนไหนที่เขาเห็นน้องแผนนอนน้อยเย็นวันนั้นเขาจะรีบมารับตัวน้องนายสถานีด้วยความเป็นห่ว
“ฮู้ว...”ผู้จัดการร้านกินดื่มคนเก่งหลังจากอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวเสร็จก็พรูลมหายใจด้วยความโล่ง ในตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มตรงซึ่งพี่ตำรวจควรจะกลับมาบ้าน หากแต่นั้นเป็นในยามปกติทว่าวันนี้พี่พูนเดินมาบอกถึงสถานีในตอนเย็นว่าจะกลับดึกราวห้าทุ่มเที่ยงคืนเพราะมีประชุมซึ่งจะมีคนใหญ่คนโตมาร่วมงาน อาจจะต้องใช้เวลาไปกับพิธีรีตองสักนิด ซึ่งเขาก็เข้าใจดีเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องนอนคนเดียวแผนคิดพลางจัดคอปกเสื้อนอนก่อนจะเดินมาหย่อนกายนั่งระหว่างนั้นพลอยคิดไปถึงเรื่องการรับเด็กสักคนเข้ามาอยู่ในการดูแลจากสถานเด็กกำพร้าที่เคยไปดูด้วยกันมา ซึ่งดูจากสถานการณ์คาดว่าคงจะเป็นภายในไม่เกินปีนี้เสียแล้วไอ้เขาก็คิดอยู่นานตั้งแต่รับเจ้าเงินกับเจ้าสำลีมาเลี้ยง ด้วยทุนทรัพย์และพื้นที่บ้านทำให้พวกมันสามารถไปหาสัตวแพทย์หรือมีสนามหญ้าสนามดินหลังบ้านให้วิ่งเล่นโดยที่ยังมีเงินเหลือเกินพอ ไหนพี่พูนที่อดีตเป็นคนชอบเที่ยวร้านสังสรรค์กับเพื่อนกับฝูงก็เริ่มค่อย ๆ ปรับนิสัยให้ตรงกลับบ้านมากขึ้นคงเพราะเขาบอกพี่พูนไปว่าเด็ก ๆ ต้องการเวลาจากผู้ปกครองมากกว่าที่คิด เด็ก ๆ จะเหงาไหมห
พูนจับสังเกตตัวเองมานานสักพักถึงรสนิยมความชอบที่ตัวเองมีต่อน้องแผน หรือหากระบุเจาะจงลงไปกว่านั้นคือเขาชอบสัดส่วนไหนของน้องแผนมากที่สุดในตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานของพวกเขาทั้งคู่ซึ่งถูกปรับเลื่อนลดเวลาทำงานลงมาใกล้เคียงกันมากขึ้นแล้วคือหนึ่งทุ่มตรง คงต้องขอบคุณความพยายามในการต่อรองกับน้องแผนที่มีต่อความงอแงเป็นเด็กของเขาที่พร่ำบ่นว่า เป็นห่วง ๆ จะไปส่ง ๆ อยู่ทุกวี่ทุกวันพูนในขณะที่กำลังเก็บจานข้าวมื้อเย็นก็เหลือบตามองน้องนายสถานีที่เดินลงมาจากชั้นสองเพราะเขาบอกให้ไปอาบน้ำก่อนได้เลย น้องนายสถานีเดินลงมาในชุดเสื้อกางเกงขาสั้นพลางถามไถ่เรื่องจาน เรื่องอาหารมื้อถัด ๆ ไปรวมไปถึงเรื่องคุณพ่อและเรื่องอื่น ๆ“แล้วก็ผลไม้ขึ้นหิ้งพระพรุ่งนี้เดี๋ยวผมซื้อเองนะ”“ครับ”“ชาในตู้จะหมดแล้ว แถวสน.พี่มีร้านหรือเปล่า?”“ครับ...”“พี่? เหม่ออะไรเนี่ย”พูนในตอนนี้เอาแต่ให้ความสนใจไปกับสิ่งอื่นจึงได้แต่ตอบอย่างผิวเผินและพยักหงึก ๆ เนื่องจากมันเริ่มจะมีความคิดพิสดารโผล่ขึ้นมาแล้วหากมันไม่เหลือบ่ากว่าแรงน้องแผนคงจะยอมทำให้เ
“แผนครับ พี่ฝากหยิบกุญแจบ้านทีสิ”เจ้าของชื่อพยักหน้าก่อนจะก้มลงค้นหาลูกกุญแจในกระเป๋า ทว่ามันหาใช่ลูกกุญแจของบ้านในพระนครไม่ ทว่ากลับเป็นบ้านเก่าที่พิษณุโลกร่มคันใหญ่ที่เคยตั้งเรียงรายกันแดดกันฝนตามโต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน ผ่านมาหลายปีนับตั้งแต่พี่พูนย้ายที่อยู่ พวกมันก็ถูกพับเก็บอยู่ยังมุมหนึ่งของหน้าบ้าน บรรยากาศที่ร่มรื่นมากกว่าแต่ก่อนเนื่องจากต้นไม้ต้นใหญ่ไม่ได้ถูกตัดแต่งกิ่งเมื่อหลายฤดูเปลี่ยนผ่านใบไม้ที่หมดอายุขัยจึงร่วงลงมากองเต็มพื้น ในสมัยเด็กเขาเคยมองว่าที่นี่ใหญ่มาก ทว่าการที่ตัวสูงขึ้นไม่ได้ทำให้เขาเปลี่ยนความคิดนั้นได้เลยพี่พูนบอกว่าจะขึ้นไปจัดเก็บกระเป๋าที่ชั้นสองให้และจะพาเขาไปเที่ยวชนบทเพื่อเปิดหูเปิดตา เขาจึงได้เวลาพักหลังจากเดินทางข้ามจังหวัดมาเหนื่อย ๆ ว่าแล้วก็สอดส่องสายตามองไปรอบตัวบ้านด้วยความสนอกสนใจเรือนไม้ไทยประยุกต์หลังนี้เป็นบ้านไม้หลังใหญ่ สร้างจากไม้เนื้อดีอย่างไม้สักที่มีความคงทนมันจึงยังดูสวยแม้ผ่านเวลามานานหลายสิบปีแล้วก็ตาม หลังคาบ้านมุงกระเบื้องลอนสีหม่นป้องกันแดดฝน หน้าต่างเป็นบานเกล็ดไม้ผสมกับลูกกรงโลหะลายด
พูนรู้ว่าน้องแผนชอบให้อุ้มเดินไปไหนมาไหน คล้ายว่าจะชอบมองนู่นมองนี่ผ่านมุมสูง หรือไม่ก็แค่ไม่อยากเดินด้วยตัวเองเพราะความเหนื่อยหรืออะไรก็ตามเพราะเขาไม่สนใจมันหรอก ไม่ว่าน้องแผนจะชอบมันด้วยเหตุผลใดเขาก็ชอบอยู่ดีที่ได้อุ้มคนรักเดินไปทั่วบ้าน ทว่าเขาจะทำมันในทุกครั้งไม่ได้ ต้องรอโอกาสเหมาะ ๆ หรือในขณะที่เจ้าน้องกำลังเอาสมาธิไปอยู่กับสิ่งอื่น ซึ่งแน่นอนว่าคนปากแข็งอย่างน้องแผนไม่มีทางเอ่ยขอหรอก“พี่ วันอาทิตย์นี้เราไปซื้อปลอกคอมาให้สองตัวดีไหม?”นายสถานีควบตำแหน่งผู้จัดการร้านกินดื่มกล่าวขึ้นหลังกลับมาจากการตรวจตราสินค้าในคลัง ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปอุ้มเจ้าแมวสำลีมาอยู่ในอ้อมแขนเนื่องจากเห็นมันกำลังก้าวขาขึ้นบันไดชั้นสอง“ก็ดีนะครับ ถ้ามีพวกชามน้ำชามข้าวก็ซื้อมาด้วยเลย”เป็นจังหวะเหมาะให้พูนเดินเข้าไปช้อนร่างเล็กมาไว้ในครอบครอง โดยที่น้องแผนก็ยังไม่โวยวายทั้งยังต่อบทสนทนาเจื้อยแจ้วในขณะที่เขาพาเจ้าตัวมานั่งยังเก้าอี้บุนวมอย่างเป็นธรรมชาติ การได้มองน้องน้อยในอ้อมกอดพร้อมสัตว์ขนฟูนี่มันช่างชวนให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจเสียจริงไม่ว่าจะเป็น