แผนควรโทษตัวเองหรือไม่ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เพราะการกระทำอันไร้ซึ่งการไตร่ตรองจึงนำพาสถานการณ์มาถึงจุดนี้ ทีแรกคิดว่าอากาศในบ้านกำลังเย็นสบายทว่าจู่ ๆ มันกลับร้อนรุ่มเมื่อตัวเองต้องสบสายตากับชายที่พร่ำบอกรักตัวเองเสมอมา
“พี่...ขอเป็นฝ่ายจูบเราบ้างได้ไหมครับ?”
มันผิด...ผิดที่บ้านเงียบเกินไป เขาจึงได้ยินเสียงทุ้มต่ำชัดขนาดนี้ ปกติพี่พูนไม่ใช่คนแบบนี้นี่ ปกติต้องทำให้เขารำคาญหรือไม่ก็สะดิ้งไปมาเหมือนพวกลูกสุนัขตาดำ ๆ แต่ทำไมตอนนี้เขากลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกไล่ต้อนเข้ามาเรื่อย ๆ
“ลามปามนะ”
นายสถานียกฝ่ามือขึ้นประสานคั่นระหว่างใบหน้าทั้งสอง ทว่ามันกลับผิดแปลกไปจากเมื่อครั้งที่มีคนอื่นเคยขอ คราวนี้เขารู้สึกว่าจิตใจตัวเองกำลังไม่มั่นคง อีกใจก็คิดว่ามันคงเร็วไปหากจะวางใจ อีกใจกลับอนุญาตโดยที่เผลอ ๆ ต้องการเร่งเร้าเสียด้วยซ้ำไป
“ถือเป็นรางวัลให้พี่ได้ไหมครับ”
“เรื่องอะไรล่ะ?”
“เรื่องแม่เราเมื่อเย็น”
“ผมคิดว่าตัวเองตอบแทนโดยการทำแผลไปแล้วนะ”
ยิ่งต่อบทสนทนาคล้ายว่าแผนกำลังได้เปรียบ ตรงข้ามกับพี
แผนไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลองีบหลับไปตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีตัวเองก็มานอนอยู่ในมุ้งแล้วพี่ชายนายสถานีกะพริบตาถี่ก่อนจะขยับเขยื้อนร่างกายเพื่อบิดขี้เกียจพลางมองสภาพแวดล้อมที่เวลานี้ฟ้ายังคงมืดอยู่ ทว่าพลิกตัวไปทางซ้ายกลับไม่เห็นเพียง มีแต่ผ้าผวยซึ่งถูกพับเก็บเรียบร้อยไว้ ณ หัวเตียง ตอนนี้คงเป็นช่วงตีสี่ตีห้าแล้ว เพราะเขาได้ยินเสียงน้ำกระทบพื้นแว่วมาเจ้าของบ้านสะลึมสะลือตื่นขึ้นพร้อมกระชับเสื้อกันหนาวให้แนบผิว ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนโพรงจมูกแห้งผากเพราะหายใจเอาลมหนาวเข้าไปทั้งคืน นี่ขนาดเขาปิดประตูหน้าต่างครบทุกบานแล้วนะ สงสัยการอาบน้ำในเช้านี้คงต้องตั้งเตาต้มน้ำร้อนไปเทใส่โอ่งเสียแล้วแผนลุกขึ้นมานั่งพักพอให้กล้ามเนื้อคลาย พลางมองหาคนที่ควรจะนอนอยู่อย่างน้อยก็หน้าห้องน้ำทว่ากลับไม่มี สักพักเมื่อร่างกายปรับตัวได้แล้วเขาจึงลุกขึ้นมาม้วนเก็บมุ้งเข้าที่ จัดแจงพับผ้าห่มวางบนหัวเตียงอย่างน้องสาวก่อนจะเดินออกมาด้อม ๆ มอง ๆ ยังส่วนกลางของบ้านซึ่งเหล่าขนมและตะเกียงเจ้าพายุถูกเก็บทำความสะอาดเป็นที่เป็นทางเรียบร้อย“ถ้าน้าพูนละก็ออกไปก่อนพี่ตื่นสักพักแล้
‘เรือนจำพิเศษพระนคร’ เป็นที่ที่บิดาของเขาถูกกุมขังเอาไว้เนื่องด้วยเจ้าตัวถูกตรวจว่ามีโรคประจำตัวนอกจากนี้ยังติดสุราเรื้อรังจนส่งผลต่อสภาวะทางจิตทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับนักโทษปกติได้ ซึ่งตัวเขาตั้งเป้าหมายว่าจะมาที่นี่อย่างน้อยเดือนละครั้งถ้าไม่ติดธุระด่วนอะไรภายนอกอาคารถูกก่อขึ้นเป็นโครงเสาปูนขนาดใหญ่สีขาว ประตูกั้นภายในเป็นซี่โลหะประดับลวดลายเรียบง่ายอยู่ลึกเข้าไปในอุโมงค์ประตูขนาดย่อมซึ่งน่ากลัวสำหรับเขาในตอนที่มาเป็นครั้งแรก ทว่าดีที่คุณลุงพนักงานแกไม่ได้ดุ มิหนำซ้ำครั้งนั้นยังอาสานำทางให้เขายื่นบัตรประชาชนให้เจ้าหน้าที่สำหรับบันทึกข้อมูลบุคคลไว้เป็นหลักฐาน ก่อนเดินเข้ามานั่งรอเจ้าพนักงานดำเนินการยังส่วนรับรองที่ถูกกั้นเอาไว้เพียงรั้วไม้สูงเท่าเอว มีพื้นที่พอจุคนได้ไม่ถึงยี่สิบคนเสียด้วยซ้ำกระมัง แต่ก็เป็นมุมที่ดูน่ารักเรียบง่ายขัดจากภาพลักษณ์ที่เขาเคยจินตนาการไว้ในช่วงแรก ๆ ที่พ่อเข้าคุก เขาจะมาค่อนข้างบ่อย ต่อให้มาแล้วจะโดนก่นด่า หรือสาปแช่งแต่เพราะข้างในลึก ๆ เองในฐานะลูกมันก็เหงาเมื่อรู้ว่ากลับบ้านมาแล้วไม่เจอบิดานอนอยู่ยังที่ที่เดิม จนต
ตลอดการใช้ชีวิตที่ผ่านมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่ตัวเขาไม่สำเหนียกตัวเอง รู้ว่าเกิดมาในครอบครัวยาจก รู้ว่าไม่มีทางมีชีวิตที่ดีไปกว่านี้แม้อดีตจะผ่านมานานแค่ไหนแล้วก็ตาม ตัวเขาก็ไม่สามารถสลัดคราบนั้นออกไปได้ แน่นอนว่ารวมไปถึงชีวิตบัดซบอย่างที่เขาเป็นตลอดมา และกำลังเป็นอยู่มันกำลังตอกย้ำว่าตัวเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับมาซึ่งความสุข ทุกความพยายามที่ทำมา หากมันเป็นไปเพื่อคนอื่น มันย่อมมีหนทางที่ราบรื่นเฝ้ารออยู่หลังผ่านมรสุมไปได้ ทว่าหากตัวเขาเริ่มหาสุขใส่ตัวเองเมื่อใด ความทุกข์จะไล่ตามมาประหนึ่งเป็นของคู่กันดังเช่นเรื่องราวในวันนี้ ที่เขาคาดหวังให้มันเป็นเพียงวันปกติ เป็นตัวเขาที่ตื่นมาหายใจได้อย่างปกติไปจนเข้านอนอีกครั้ง ทว่าก้าวแรกที่ได้เข้าไปยังห้องเล็ก ๆ ในทัณฑสถาน เขาควรจะเอะใจเมื่อไม่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายที่ดังมาจากทางเดิน ควรสงสัยสีหน้าของเจ้าพนักงานที่ทำกิริยาแปลกพิกลแล้วบอกให้เขาทำใจดี ๆเมื่อออกมาโดยมีเบื้องหลังเป็นเรือนจำพิเศษสีขาวและเสียงครูดของประตูโลหะสนิมเขรอะ ตัวเขานั้นแทบล้มทั้งยืน ภาพที่ดวงตาเห็นมันคลอนไปมาอย่างเห็นได้ชัดคล้ายมันพ
‘อีกคนก็...เพิ่ม...พี่ชายเราใช่ไหมครับ’‘ใช่ คนที่พี่บอกว่าชอบ’‘เราอย่าพูดแบบนี้สิ พี่น้อยใจนะ’บทสนทนาอันสนิทสนมเกินกว่าคนรู้จัก กล่าวถึงบุคคลที่สามซึ่งถูกมารดาสั่งให้เงี่ยหูฟังเจ้าบ้านซอมซ่อนั่นเป็นเวลากว่าครึ่งคืนจนได้ทราบถึงความลับอันน่าขยะแขยงเหล่านั้นเพิ่ม ตั้งแต่มารดาพามาอยู่กับพ่อเลี้ยงที่มีฐานะก็หลงลืมความทรงจำในวัยเด็กไปจนสิ้น ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาหาสังคมใหม่ที่แตกต่างไปจากชีวิตยาจกอย่างที่ผ่านมา ทว่าเมื่อลองนึกอย่างถี่ถ้วนผู้ชายคนนี้คล้ายว่าจะเป็นลูกชายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ตัวเองเคยสนิทสนมด้วย ไม่คิดว่าจะเคยมีใจให้ตัวเขาซึ่งเป็นเพศเดียวกัน...ยิ่งคิดก็ยิ่งขนลุกและมันยิ่งน่าขนลุกไปอีกกับสิ่งที่มารดาสั่งเขาไปทำหลังจากรู้เรื่องนี้“แม่ ฉันไม่ทำหรอก! มันเป็นผู้ชายนะแม่!”เมื่อกลับมายังห้องพักรูหนูคนเป็นลูกก็ตะคอกใส่มารดาอย่างไม่เกรงใจขณะเจ้าหล่อนกำลังถอดต่างหูกำไลลงกล่อง เพราะแม่สั่งให้เขาไปยั่วยวนไอ้ผู้ชายคนนั้นมาเป็นคนของตัวเอง“แกก็ได้ยินใช่ไหม? มันเป็นวิธีที่เร็วที่สุด”
วันรุ่งขึ้นจากที่พวกเขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะไปทานมื้อพิเศษ กลายเป็นสิ้นปีนี้เขากลับต้องมานั่งเจรจาถกปัญหากับมารดาโดยสวมชุดดำไว้อาลัยให้กับบิดาซึ่งจะมีพิธีในคืนนี้ แผนนั่งประสานมือบนตักมองแม่ที่ถูกเชิญเข้ามานั่งในบ้านครั้งแรกซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดีหน่อยที่วันนี้แฝดพี่มีงานประจำที่ต้องไปทำ จะได้ไม่มีตัวปัญหาเพิ่มมาอีกคนแผนตั้งใจอยากให้วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราเจอกัน ดังนั้นต่อให้ต้องตัดแม่ตัดลูกเขาก็ยินดี เพราะมันไม่มีอะไรจะมากระทบความรู้สึกของเขาไปได้มากกว่านี้แล้ว“มีอะไรก็ว่ามา”แผนวางแก้วน้ำอุ่นลงกับโต๊ะเตี้ยเมื่อจิบเสร็จ เหลือบมองผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยหนีครอบครัวไปอย่างไม่ไยดี น่าเสียดายที่เจ้าหล่อนจากไปในวัยที่เขายังโหยหาความรักจากมารดา ข้างในลึก ๆ มันจึงอ่อนยวบอยู่แบบนี้ ทว่าลองทิ้งไปไม่ช้าก็เร็วกว่านั้นอีกสักหน่อยเขาคงหนักแน่นกว่าตอนนี้มาก“คือที่แม่แค่คิดถึง-“หยุดตอแหลได้แล้ว อยากได้อะไร”“…”‘หนี้ ๑๐,๐๐๐ บาท’ แลกกับอิสระของเจ้าหล่อนและพี่ชายของเขา และมัน...ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเขาเลยสักนิดทุกอย่างมันเร
“ไม่ได้คิดอะไรกับเด็กคนนั้นจริง ๆ นะครับ”“พี่ ผมจะสามสิบแล้วนะคิดบ้างสิ”ที่พี่พูนเอาแต่ถามถึงเด็กดนัยนั่นเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเดินมาคุยกับเขาถึงโต๊ะขณะเขาฝากพี่พูนไปซื้อน้ำ เขาก็บอกตลอดทางมาวัดแล้วว่าเขาไม่ได้คิดอะไร มิหนำซ้ำยังรู้สึกไม่ชอบเสียด้วยซ้ำที่เด็กมันมุ่งจะจีบน้องสาวเขา หากเขาบอกว่าเพียงเรียนอยู่ในอาคารคงจะขึ้นไปหาเลยกระมัง ไม่คิดเลยว่าเจ้าของร้านทองจะมีสามีเป็นหมอทำงานอยู่ที่เดียวกัน โลกกลมจริง ๆ“จริง ๆ นะ”“ผมไม่ชอบคนเด็กกว่า”“แสดงว่าชอบคนแก่กว่าใช่ไหม?”“ใช่”นายสถานีตอบฉะฉานขณะยื่นแจกันดอกไม้มายัดใส่มือนายตำรวจ ก่อนจะส่งมือมาจับปลายคางทู่นั้นด้วยความมันเขี้ยว แล้วจึงจัดแจงสั่งให้เอาแจกันนั้นไปวางยังตำแหน่งของมัน พูนจึงทำตามคำสั่งนำดอกไม้ตั้งยังโต๊ะหมู่บูชา ก่อนจะขอไปไหว้ศพคุณปู่คนนั้นก่อนที่ตัวเองจะต้องไปช่วยงานน้องแผนต่อในงานนี้ไม่มีใครมาร่วมนอกเสียจากคนในครอบครัวจำนวนสองคนและตัวเขาซึ่งอาสามาช่วยเหลือหากมีสิ่งใดขาดตก พิธีสีดำนี้เรียบง่าย ไร้ซึ่งการตกแต่งด้วยพวงหรีดมากมาย มีเพียงโลงสีขาวตั้งตระหง่
ก้อนผ้าห่มผืนบางในม่านมุ้งขยับยุกยิกเมื่อใกล้เวลาแสงแรกของวัน ก่อนที่เจ้าของร่างจะสะลึมสะลือโผล่ศีรษะพ้นผ้าผวยชำเลืองมองคุณตำรวจซึ่งนอนอล่างฉ่างกินที่เสียเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นคือการเอาแขนมาพาดเหมือนเขาเป็นหมอนข้างอีกแล้วเจ้าของบ้านอย่างแผนยกท่อนแขนบึกบึนบนเอวออกโดยไม่กลัวว่าพี่ตำรวจแกจะตื่น แล้วจึงหยิบผ้าห่มคลุมตัวมาจุดเตาอั้งโล่เพื่อนำน้ำร้อนไปเทใส่โอ่งคลายความหนาวยามต้องชำระร่างกาย แผนนั่งมองเปลวไฟใต้หม้ออย่างเหม่อลอยพลางนึกถึงเมื่อคืนเขาเล่าทุกเรื่องให้ฟังในขณะที่พี่พูนเจ้าหอบเอากล่องปฐมพยาบาลมานั่งทายาให้เพราะกลัวว่าคนจะเห็นรอยช้ำตอนใส่เครื่องแบบนายสถานีซึ่งเป็นแขนสั้น ไม่ว่าจะนึกกลับไปกี่ทีก็น่าตกใจที่ลูกค้ามาบอกรักอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หากเขาไม่ชิงหนีลงมาก่อนแล้วละก็ไม่แน่ตัวเองอาจโดนขืนใจทั้ง ๆ อย่างนั้นเลยก็เป็นได้ว่าแล้วก็เหลือบมองพี่พูนที่ยังหลับปุ๋ยอยู่ในมุ้งบนฟูกนอน ดีนะเขาตื่นมาก่อนเพียง ไม่อย่างนั้นเด็กสาวคงได้เห็นภาพเขาถูกกอดเป็นแน่พี่บอกว่าวันนี้เป็นวันหยุดตรงกับเขาพอดีจึงสามารถนอนตื่นสายได้ เขาเตรียมดูเลยถึงคำว่าสาย
แผนต่อให้เมื่อวานพี่ตำรวจจะไม่สามารถเดินไปรับไปส่งได้ แต่เช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าตัวไม่พลาดในการมารับถึงหน้าบ้าน เอาเข้าจริงเมื่อคืนที่ร้านเขาก็หวาดเสียวอยู่เหมือนกันว่าไอ้คุณรัญชน์จะมาตามมาตอแยถึงร้านหรือเปล่า แต่คืนสุดท้ายที่ร้านสุราลัยนั้นผ่านไปได้อย่างราบรื่นโดยไร้ซึ่งปัญหาใด ๆ และจากที่มารดาจะขอมาอยู่ ก็กลับคำบอกว่าจัดการปัญหาได้แล้วเสียอย่างนั้น ต่อให้จะมีข้อสงสัยเล็ก ๆ ถึงเงินก้อนที่แม่ได้มาบริหารเรื่องที่อยู่ ทว่าเรื่องของคนอื่นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญเท่ากับครอบครัวของเขาเอง“พี่ไม่เหนื่อยเหรอ?”“พี่เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ”“แรงดีจังเลยนะ”แผนกล่าวแซวพี่พูน ตำรวจผู้เหนือมนุษย์ ไม่รู้ไปเอากำลังมาจากไหนเยอะแยะ แค่เขาเดินไปเดินมาในสถานีไม่ต้องวิ่งไล่จับโจรหรือลงพื้นที่ก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้ว“รับงานพี่ไอ้ด้วงมาทำต่อไม่หนักเลยเหรอ?”“หนักสิ แต่ถ้าไม่ขี้เกียจก็ไม่ยากอะไรนะ”“แสดงว่าที่ผ่านมาคือขี้เกียจสินะ”“เขาเรียกว่าเก็บแรงไว้ใช้ทีหลังต่างหากล่ะจ้ะ”ถึงพี่ตำรวจแกจะติดเล่นไปสักหน่อยแต่แผนก็เห็นถึงถุ
เหตุผลที่พูนยังไม่ให้ศรีภรรยาไปพบพ่อกับป๊านั้นนอกจากอาการน้องน้อยไม่ค่อยจะสู้ดีแล้ว ทั้งสองคนเองก็ไม่ว่างเช่นกันเพราะช่วงนี้เป็นช่วงเวลาจบการศึกษาของโรงเรียนกลาง การไปมอบประกาศณีบัตรหรือการพูดสุนทรพจน์จึงจำเป็นต่อการส่งต่อเจตนารมณ์ ส่วนเขาก็ได้แต่นั่งทำงานงก ๆ อยู่ในห้อง การมาฟูเหรินได้วันละครั้งแบบนี้ก็ถือว่าบุญหัวแล้วตอนนี้เป็นยามเย็นของวันซึ่งเขาชวนภรรยามาเดินเล่นในสวนตำหนักมุกอันใกล้ถึงจะไม่ได้ใหญ่เมื่อเทียบกับสวนสาธารณะกลางหรือป่าเขาที่ชาวบ้านชอบไปเดินเก็บพืชผักแต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าอุดอู้อยู่ในตำหนักเขาทราบมาจากหัวหน้าช่างแต่งกายว่าฟูเหรินวันทั้งวันไม่ยอมออกมาจากนอกห้องเลยนอกจากจะมีอาจารย์มาสอนหนังสือ ซ้ำยังมีบางครั้งที่แอบไปร้องไห้อยู่คนเดียว พอชาวใช้จะขอเข้าไปทำความสะอาดเพื่อแอบดูอาการเจ้าตัวก็เงียบไม่ยอมเปิดห้อง ซ้ำยังบอกให้สาวใช้วางถังน้ำอุปกรณ์เอาทิ้งเอาไว้จะทำเองอีกต่างหากและวันนี้ตอนมาถึง ก่อนที่จะเอ่ยเรียกเขาพึ่งมาได้ยินเสียงร้องไห้นั้นชัด ๆ มันไม่มีคำตัดพ้อหรือเรื่องราวที่ถูกพูดออกมาระบายความเศร้า มีเพียงสะอื้นไห้แต่เพียงเท
สถานที่อันลึกลับและแฝงไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนจากไฟสลัวในอาคารไม้หลังเก่า ตกแต่งปิดบังอายุด้วยการตกแต่งด้วยผ้าหลากสีสัน เสียงดนตรีจีนวัยเยาว์ออกมาจากห้องซึ่งมีราคาสูงโดยที่แผนนั้นรู้ดีว่ามันกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครวญครางในไม่ช้าเขาเดินเข้ายังภายในร้านแน่นอนว่าหากไปพบขุนนางในสภาพชุดเก่าเยินแบบนี้ละก็จากที่จะได้เงินคงจะได้คำเหยียดหยามด่าทอมาแทน ดังนั้นเขาจึงมาขอยืมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มีสารร่างที่พอจะดูได้ขึ้นมาบ้าง กระนั้นที่แห่งนี้ก็ใช่ว่าจะมีเงินถุงเงินถังมาซื้อเครื่องประดับหรือผ้าดี ๆ มาตัดเย็บนักหรอกผ้าเนื้อหยาบสีสดใสถูกสวมแทนที่เสื้อใยฝ้ายใกล้ขาด ใบหน้าเปื้อนดินเปื้อนผงถ่านถูกทำความสะอาดและแต่งแต้มด้วยผงสี จนในตอนนี้ตัวเขาในกระจกกลายเป็นคนละคนกับชาวนาทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินคนนั้นอย่างสิ้นเชิงพรมลายดอกไม้พื้นเก่าเกิดเสียงแผ่วเบาเมื่อฝ่าเท้าเปล่าคู่บางก้าวผ่านธรณีประตูออกมาจากห้อง ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าราวกับจงใจให้เวลาล่วงผ่านไปเพื่อสัมผัสความสงบตระเตรียมใจ ก่อนจะเผชิญกับพายุโหมกระหน่ำ บรรยากาศที่เย็นเยือกยามราตรีส่งให้ทุกอย่างดู
แดนแห่งเสรีชน แดนอันเปิดกว้างสำหรับความคิดและการแสดงออกอย่างเสรีท่ามกลางวัฒนธรรมอันเคร่งครัดของสังคมจีน สถานที่ที่ผู้คนสามารถดำรงชีวิตตามวิถีทางของตนเองได้โดยปราศจากการกดขี่ ประหนึ่งสรวงสวรรค์ของผู้ที่ต้องการความเป็นอิสระในการเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง ความคิดสร้างสรรค์และความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้รับการยอมรับและเฉลิมฉลอง เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และให้โอกาสทุกคนในการเลือกทางเดินชีวิตของตนเองกระนั้นที่ใดมีปวงชนที่นั่นย่อมมีผู้นำ ดินแดนอันกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ถูกปกครองด้วยกษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ถูกคัดเลือก เป็นผู้เดินนำหน้าทุกผู้ทุกคนมายังดินแดนอันเคยแร้นแค้นแห่งนี้และยืนหยัดเพื่ออุดมการณ์ของตนเอง กษัตริย์ปกครองเคียงคู่พระมเหสีเพียงพระองค์เดี๋ยวโดยไร้ซึ่งอนุ สำหรับอาณาจักรอื่นแล้วการมีสนมคือการถ่วงอำนาจ คือการคัดเลือกวัตถุดิบชั้นเลิศในด้านหน้าตาและคุณภาพขึ้นมาวางบนจานเพื่อให้รสชาติอาหารออกมากลมกล่อม แต่แดนเสรีชนไม่ใช่แบบนั้นหากสามัญชนผู้ใดมีชู้จะถูกประณาม หากเศรษฐีผู้มั่งคั่งมีอนุจะถูกผู้คนทอดท
เทียบ × อำพัน“ป๊า ฉันขอลาออกจากคณะ” คนเป็นพ่อซึ่งนั่งจิบเหล้าแกล้มยำแตงกวาถึงกับไอสำลักเมื่อไอ้ลูกชายหลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานก็ดันมาขอลาออก พวกเขายังเหลืองานที่นี่อีกตั้งหลายวันกว่าจะหมดสัญญา แถมงานต่อไปยังเป็นการไปแสดงถึงใจกลางประเทศอย่างพระนคร อนาคตสดใสแบบนี้ทำไมอาไจ่มันถึงมาลาออก“ลื๊อมีคนมาทาบทามรึ?”“ไม่จ้ะ ฉันจะออกมีผัว”“แค่ก!...แค่ก!...”พ่อเฉิงคราวนี้นอกจากจะไอโขลกแล้วยังตกใจตาโตมองเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่แววตาไม่สั่นคลอนสักนิด ไอ้เขาอยู่กับมันมาก็หลายปี รู้หมดนั่นแหละว่ามันชอบอะไรไม่ชอบอะไร แต่จู่ ๆ มาบอกลาออกกะทันหันด้วยเหตุผลนั้นใครเขาจะไม่ตกใจกันบ้างเล่า!นอกจากพ่อเฉิงจื่อที่รู้เรื่องแล้วคนอื่น ๆ บางส่วนในคณะก็บังเอิญมาได้ยินบทสนทนาก่อนจะกวักมือเรียกเพื่อน ๆ นักแสดงคนงานมาดูสถานการณ์ด้วยโดยมีหัวหอกคืออาเจ๊ใหญ่ไพลินที่จับตามองน้องชายผู้จะออกไปล่าฝัน เก่งมากอาตี๋! ขนาดเจ๊อยากมีผัวก็ยังไม่สามารถมุ่งมั่นได้ขนาดนี้เลย!“แล้วใครจะมาเป็นผ
เทียบ × อำพันแสงไฟจากโคมกระดาษสีแดงสดส่องสว่างรอบเวทีไม้ที่ถูกสร้างขึ้นซึ่งประดับประดาไปด้วยป้ายแขวนเครื่องเงินเครื่องทองเทียมเล่นแสงเติมเต็มความมีชีวิตชีวา กลิ่นธูปหอมอบอวลในอากาศสร้างบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนในชุมชนทั้งเด็กผู้ใหญ่ต่างนั่งล้อมวงกันบนเสื่อกกทอมือหรือเก้าอี้ไม้เก่า มองดูเวทีที่พาดแขวนตกแต่งด้วยผ้าแพรสีแดงสดพร้อมฉากหลังที่วาดภาพทิวทัศน์ในฝันอย่างวิจิตรถึงทิวทัศน์อันงดงามของสวนจีนโบราณซึ่งประกอบขึ้นมาจากเส้นหมึกอันละเอียดอ่อนของพู่กัน สร้างความลึกซึ้งซึ่งสื่อถึงความพิถีพิถันในทุกมุมของภาพวาดเสียงกลองและฉาบดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ผู้คนต่างพากันรวมตัวหน้าศาล บรรยากาศรอบเวทีเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยที่เจือไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อม่านเปิดออก นักแสดงงิ้วในชุดเสื้อผ้าอันงดงามปักลวดลายทองคำสีสันสดใสดึงดูดสายตา ก้าวออกมาด้วยท่วงท่างามสง่า เสียงร้องของนักแสดงที่ไพเราะทรงพลังดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ เรียกความสนใจจากผู้คนเดินไปมาและตรึงผู้ชมหน้าเวทีได้อย่างไม่ยากเย็น“林妹妹,你總是這麼憂愁,何必呢?”
ตั้งแต่รับสองเด็กเข้ามาพวกเขาก็มีโอกาสได้ตระเวนเที่ยวต่างจังหวัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพิษณุโลกบ้านของพี่พูน นครปฐมซึ่งเป็นจังหวัดใกล้เคียง หรือจะทะเลที่สมุทรปราการพวกเขาก็พาเด็ก ๆ ไปเปิดหูเปิดตามาแล้วยิ่งในพระนครยิ่งไม่เหลือ รบรามที่ได้เข้าไปดูงานเขียน งานสถาปัตยกรรมในวัดวาอารามค่อนข้างตื่นตาตื่นใจ รวมไปถึงการได้วิ่งเล่นว่าวในสนามหลวงกับพ่อก็เป็นกิจกรรมที่เด็ก ๆ โปรดปรานเช่นกันในวันนี้เองก็เป็นการพักผ่อนอีกครั้งซึ่งพวกเขาจะเดินทางขึ้นเหนือไปเที่ยวดูธรรมชาติที่เชียงใหม่ ถึงคุณปู่จะสุขภาพถดถอยไปตามวัยแต่เด็ก ๆ ก็รับปากแล้วว่าจะซื้อโปสต์การ์ดซื้อของท้องถิ่นกลับมาฝากแน่นอน“เด็ก ๆ แปรงฟันมาแล้ว ห้ามกินขนมแล้วนะ”“จ้ะ/คร้าบ”รบตอบฉะฉานในขณะที่พี่ชายอย่างรามกล่าวด้วยความไม่สบายอารมณ์เท่าไรนักเพราะเจ้าตัวบ่นกระปอดกระแปดว่าอยากกินทองม้วนที่ซื้อมาเมื่อหลายวันก่อน แต่ด้วยเวลารถไฟที่ใกล้เข้ามา พวกเขาจึงไม่มีเวลามาเอ้อระเหยสุดท้ายสองเด็กก็ถูกจับให้แปรงฟันและออกมาในทันที แม้จะน่าเศร้าสำหรับลูกราม แต่เดี๋ยวเช้าพรุ่งนี้ก็กินขนมที่พกมาได้แล้วกา
คุณพ่อเล็กในชุดไปรเวทเดินไขประตูรั้วเข้ามาในบ้านหลังกลับมาจากการดูร้านเหล้าสาขา ๒ ของลุงเริง พวกเขาทำงานด้วยกันมานานจนจะเข้าปีที่ ๒๐ แล้วส่วนเรื่องหลานชายที่คิดว่าจะส่งต่อให้กลับล้มเหลว เพราะเจ้าตัวดันออกไปเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง ดังนั้นลุงเริงจึงเรียกเขาเข้าไปคุยถึงเรื่องการส่งต่อร้าน เพราะลุงแกก็อายุมากขึ้นทุกปีจึงอยากได้คนมาสานต่อธุรกิจที่ตนตั้งใจทำมาตั้งแต่ยังหนุ่ม และคนนั้นคือตัวเขาซึ่งเป็นพนักงานที่เก่าแก่และได้รับความไว้วางใจมากที่สุดการส่งต่อนั้นไม่สามารถทำให้จบได้ภายในวันเดียว ยังคงมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างให้เขาต้องเรียนรู้อีกเยอะ ดังนั้นวันนี้เขาจึงได้ทราบเรื่องและลงมาตรวจสอบโกดังสินค้าอีกนิดหน่อยแล้วก็สามารถกลับบ้านได้ด้วยเหตุนั้นก่อนที่แผนจะพักหลังจากทักทายคุณพ่อยามบ่ายจึงขึ้นมาหาเด็ก ๆ และพี่พูนที่กำลังช่วยกันถูบ้านเป็นอันดับแรกเพื่อจะบอกว่าปะป๊าอาจจะกลับดึกในช่วงนี้สักหน่อย เพราะมีภาระที่ต้องไปทำแต่หากสามารถจัดการได้แล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เผลอ ๆ อาจจะได้เวลากลับมาเยอะกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ“จริงเหรอ!?” แต่
วันสงกรานต์ วันทรหดที่พนักงานทุกคนหัวหมุนแจกตั๋วโบกธงสัญญาณท่ามกลางผู้คนอันเบียดเสียด ไหนจะตัวเปียกตัวเปื้อนจากผู้โดยสารบางท่านที่ไปเล่นน้ำมาแล้วเดินมาชน หรือไม่บางคนก็ฝ่าฝืนกฎมาเล่นน้ำในเขตสถานีที่สถานีกรุงเทพฯ เส้นทางคมนาคมหลักแห่งนี้ ที่ผู้คนหลากหลายวัยต่างมุ่งหน้าเข้าสถานีเพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดหรือไปเยี่ยมญาติพี่น้อง บรรยากาศในสถานีเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของผู้โดยสาร เสียงประกาศจากลำโพง และเสียงล้อรถไฟที่เสียดสีกับรางเหล็กเมื่อสิ้นเสียงหวูดภายในสถานี ผู้โดยสารนั่งกันเต็มพื้นที่ รอขึ้นรถไฟที่แน่นขนัด บางคนนั่งจับกลุ่มคุยกันบนพื้น บ้างก็กำลังยืนต่อแถวรอซื้อตั๋ว มีผู้คนมากมายที่ขนของพะรุงพะรัง ทั้งกระเป๋าเดินทาง ตะกร้าใส่ของกิน ของใช้ หรือแม้กระทั่งกรงสัตว์เล็ก ๆ ที่จะนำกลับไปด้วยแผนแทบไม่มีเวลามานั่งพักเสียด้วยซ้ำเมื่อรถไฟออกก็ต้องมาช่วยพี่ ๆ ตอบคำถามหรือถึงขั้นจัดแจงเอกสารจำหน่ายตั๋วแทนในกรณีที่บางคนไปเข้าห้องน้ำ เพราะการขาดใครไปแม้เพียงคนเดียวการสัญจรของผู้โดยสารจะติดขัดทันที และมันยิ่งวุ่นวายขึ้นเมื่อขบวนรถไฟมาถึง ผู้คนเร่งรีบเข้ามาแย่งชิงท
ในยามสายของวันหยุดปิดเทอมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูสดใสและชัดเจนจากแสงอาทิตย์ในหน้าร้อน ท้องฟ้าเข้มมีเมฆขาวลอยเป็นหย่อม ๆ อยู่ห่างไกลโดยลมพัดมาเป็นระยะ เหงื่อเริ่มซึมออกมาจากผิวหนังแม้จะอยู่ในร่มยิ่งโดยเฉพาะเมื่อมาอยู่หน้าเตาไฟในครัวควันหอมกรุ่นของน้ำเคี่ยวพริกแกงส้มลอยฟุ้งผ่านช่องหน้าต่างบานเกล็ดโชยพัดกลิ่นเครื่องปรุงขึ้นมาให้คุณพ่อตำรวจของบ้านได้รับรู้ พูนในชุดไปรเวทเสื้อคอกลมนั่งผ้าขาวม้าคว้าช้อนจากในตะแกรงตากมาตักน้ำแกงชิมรสชาติด้วยความชำนาญก่อนจะหันลงไปมองเด็กชายตัวจิ๋วที่ยืนเกาะโต๊ะครัวหลังช่วยเขาฉีกเนื้อปลาลงหม้อ“รบ ลงไปเรียกป๊ากับพี่ขึ้นมาได้เลย”“จ้ะ!”เสียงใสที่เริ่มแปรเปลี่ยนจากร่างกายซึ่งเติบโตขึ้นตอบรับพร้อมแววตาเป็นประกายสดใส ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกจากครัวลงบ้านไปเมื่อปลายปีที่แล้วพวกเขาตัดสินใจได้ว่าจะรับเด็กมาเลี้ยงตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ จนได้มีเด็กเข้ามาอยู่ในบ้านถึงสองคนซึ่งเป็นพี่น้องที่อายุต่างกันหนึ่งปีเศษ โดยสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่พวกเขาไปมาเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรและกำลังอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมไ