หลินหว่านหรูมาที่ตึกสี่ฤดูและเดินเข้าไปในห้องทานอาหารส่วนตัวก็เพราะการบังคับคนที่บ้าน ในตอนที่เธอรู้เลขห้องอาหารก็รีบส่งให้เย่เทียนหยู่ เพราะเย่เทียนหยู่บอกว่าต้องส่งที่อยู่ให้กับเขา “หว่านหรู มาแล้วเหรอ” เห็นหลานสาวของตัวเองเข้ามาแล้วนายท่านหลินก็ถอนหายใจก่อนจะรีบพูด พ่อและแม่ของเธอเองก็ดีใจมากๆ นอกจากพวกเขาสามคนยังมีหลี่ว์เจิ้งอยู่ด้วย บนใบหน้ามีร่องรอยเหมือนถูกทำร้ายมา เพราะว่ามีการจัดการแล้วจึงไม่สามารถมั่นใจได้ว่าถูกทำร้ายมาจริงไหม หลี่ว์เจิ้งเห็นว่าหลินหว่านหรูมาแล้วก็อดจะตาลุกวาวไม่ได้ เพราะว่าการปรากฏตัวของเย่เทียนหยู่ ทำให้เขาไม่สามารถฮุบตระกูลซ่งและตัวซ่งหลิงมาครองไว้ได้ แต่ว่าการที่จะได้คนที่สวยมากๆอย่างหลินหว่านหรูกลับเป็นเรื่องที่โชคดี ทำให้เขารู้สึกชอบมากขึ้นกว่าเดิม เพราะว่าหลินหว่าหรูดีกว่าซ่งหลิงมากอีกฝ่ายก็เหมือนแค่ต้องการเข้ามาหลอกเอาเงินเขาก็เท่านั้น หลี่ว์เจิ้งพยายามเก็บอาการเขามองไปทางด้านขวาของตัวเองหน้านิ่งก็จะพูดออกมายิ้มๆ“หว่านหรู มานั่งทางนี้สิ” หว่านหรูมองไปทางนั้นก่อนจะพูด “ไม่ล่ะค่ะ ฉันขอนั่งข้างๆแม่ของฉันดีกว่า” พูดจบก็เดินมานั่งลงตร
ที่เคยเสียหน้าไปก่อนหน้านี้ เขาจะต้องทวงคืนกลับมาให้หมด เขาตอบปฏิเสธออกมาหน้าตาเฉย “แน่นอนว่าไม่ใช่!” แต่เมื่อตอบคำนี้ออกมา นายท่านหลินก็ช็อคไปเหมือนกัน แบบนี้ไม่ให้เกียรติกันเลยนี่นา พ่อแม่ของเธอเองก็ชะงักไป แต่ว่าพวกเขาก็ลังเลเล็กน้อย และยังคงอยากจะทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น เพราะนี่ถือว่าเป็นโอกาสที่จะได้เปลี่ยนชีวิต ถ้าลูกสาวของพวกเขาได้แต่งงานกับคนรวยของเมืองหลงตู สถานะทางสังคมของพวกเขาทั้งสองคนก็จะสูงตามไปด้วย หลี่ว์เจิ้งปฏิเสธเสร็จก็ไม่รอให้คนอื่นได้พูดอะไรต่อ “นายท่านหลิน พูดกันตามจริงนะ พรุ่งนี้ผมก็จะไปจากเมืองเทียนไห่แล้ว” “วันนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกคุณ” “ที่ผมมาที่นี่ก็เพราะหว่านหรู ผมหวังว่าพรุ่งนี้เธอจะไปจากที่นี่พร้อมกับผมได้” ตอนแรกหลี่ว์เจิ้งไม่ได้คิดเช่นนี้ แต่ยิ่งเห็นว่าตระกูลหลินกลัวตัวเองมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งได้คืบจะเอาศอกมาเท่านั้น คนในตระกูลหลินได้ฟังก็ชะงักไป เพราะไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ หลินหว่านหรูสีหน้าเปลี่ยนไป ช่วงนี้เธอได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลหลี่ว์มามากมาย ตอนนี้หลี่ว์เจิ้งกำลังวางท่าทางว่าพรุ่งนี้จะพาตนเองไปให้ได้ แน่นอนว่าเธอไม
เย่เทียนหยู่มาทันช่วงเวลาที่สำคัญพอดี มาในตอนที่หลินหว่านหรูรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจ นายท่านหลินพูดจบก็มองไปทางหลานสาวตาไม่กระพริบเพราะรู้ว่าเรื่องนี้มันมีผลต่อเธอมากๆ แต่ว่าเขาเองก็ไม่มีหนทางที่ดีกว่านี้ อีกอย่าง ในอนาคตหลานของเขาจะต้องเข้าใจแน่ๆ พอถึงตอนนั้นหลานของเขาจะต้องรู้สึกขอบคุณเขาแน่ๆที่ทำเพื่อเธอในวันนี้ ส่วนหลี่ว์เจิ้งก็ตั้งตารอยิ่งกว่าใครเพราะว่าคนสวยตรงหน้าจะกลายเป็นคนของเขาแล้ว ทำให้สิ่งที่ทำให้เขาอารมณ์เสียก่อนหน้านี้หายไปจนหมด แต่ในตอนนี้กลับมีเสียงของเย่เทียนหยู่ลอยมา อะไรกัน ไม่ตกลงงั้นเหรอ? ไอ่บ้าคนไหนที่มันกล้าเขามาขัดขวางกัน แต่ลองฟังดูเสียงนี้ช่างฟังดูคุ้นเคย สีหน้าของนายท่านหลินเปลี่ยนไป พ่อและแม่ของหลินหว่านหรูเองก็เช่นกัน ให้ตายเถอะ เย่เทียนหยู่มาได้ยังไงกัน เหมือนวิญญาณที่ตามติดเลย เขามาก็ไม่รู้จะมาสร้างเรื่องอะไร ถ้าทำให้คุณชายหลี่ว์โมโหแล้วจะทำยังไงดี แต่จากท่าทีของครอบครัวของเธอเมื่อสักครู่ก็ทำให้ใจของเธอด้านชาไปแล้ว อย่างน้อยในตอนนี้เธอไม่อยากสนใจอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าเย่เทียนหยู่จะทำอะไรเธอก็สนับสนุนทั้งนั้น ในตอนที่ทุกคนต่
“หว่านหรู นี่ลูกพูดอะไรออกมา?” “ทำไมถึงไปนอนกับไอ่สวะนี่ได้?” “ลูกนอนที่บ้านตลอดไม่เคยออกไปไหน แม่รู้นะว่าลูกกำลังพูดเพื่อมันถึงได้พูดแบบนี้” “นี่แกบ้าหรือเปล่า ถ้าคุณชายหลี่ว์เข้าใจผิดจะทำยังไง” “คนอย่างเย่เทียนหยู่ทั้งชาติตระกูลและความหล่อเหลาก็สู้คุณชายหลี่ว์ไม่ได้ ถ้าเทียบกันมันก็ไม่ต่างจากขยะ แกชอบอะไรมัน” แม่ของเธอพูดออกมาไม่หยุด หลินหว่านหรูได้ฟังก็ตั้งท่าจะเถียงกลับเรื่องที่เธอนอนกับเย่เทียนหยู่เป็นเพราะถูกคนวางยา เธอไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด แต่ในตอนนี้หลี่ว์เจิ้งก็ได้สติกลับมา ที่แท้คุณชายเย่ชื่อว่าเย่เทียนหยู่ จึงรีบเอ่ยขัด “นายท่านหลิน คุณน้าพวกคุณเข้าใจผิดแล้วนะครับ ผมไม่เคยคิดว่าจะคบกับหลินหว่านหรู” “คุณชายหลี่ว์ นี่คุณ…?” “ที่ผมมาในวันนี้ก็เพราะว่านายท่านหลินเอาแต่รบเร้าให้ผมมาเจอเธอ ผมถึงได้มาแต่ไม่ได้คิดอะไรเลยแน่นอน” “เพราะว่าคนที่สวยจนโลกตะลึงอย่างคุณหลินถึงเหมาะกับคนที่หล่อเหลาอย่างคุณชายเย่” “ผมจะนับว่าเป็นอะไรได้ ถ้าเทียบกับเขาผมก็ไม่ต่างจากขยะ เป็นแค่คนไร้ค่าจะไปกล้าคิดอะไรแบบนั้นกับคุณหลินได้ยังไง” หลี่ว์เจิ้งแทบจะยกคำชมทั้งหมดออกมาพูดชมอีกฝ
“นี่…นี่” “ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้?” เพียงเท่านี้ทุกคนต่างก็พากันงงงวยไปตามๆกัน ทุกคนต่างก็ไม่เชื่อสายตาของตัวเอง นี่มันเกินสิ่งที่พวกเขาจินตนาการไปมาก พ่อแม่ของเธอตาโตก่อนจะอ้าปากกว้างเหมือนอยากจะพูดแต่พูดไม่ออก ถึงแม้หลี่ว์เจิ้งจะรู้สึกอับอายมากๆ แต่เมื่อลอดตัวเสร็จก็ไม่กล้าออกไป ได้แต่มองหน้าเย่เทียนหยู่อยู่แบบนั้น “คะ…คุณเย่เชื่อผมแล้วใช่ไหม?” “อืม เชื่อแล้วล่ะ” “นายไสหัวไปได้แล้ว!” “ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้ ขอบคุณคุณเย่มากครับ” หลังพูดคำนี้จบหลี่ว์เจิ้งก็รีบออกไปจากห้องอาหารแล้วก็รีบจากไปในทันที เห็นได้ชัดว่าเขากลัวมากจริงๆ เขาไม่เคยมีครั้งไหนที่จะกลัวเท่าครั้งนี้เลย ต่อให้เป็นเมื่อวานก็ยังดีกว่าวันนี้ เพราะเขารู้ดีว่าเรื่องที่ทำในวันนี้อาจจะทำให้เขาตายไปเลยก็ได้ เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นภรรยาของเขาเชียวนะ นี่มันผิดมากๆ ในตอนที่ออกจากตึกสี่ฤดู หลี่ว์เจิ้งก็รีบจากไป ในตอนนี้ก็มีวัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาคือหม่าเผิง เขาพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “คุณชายหลี่ว์ สวัสดีครับ!” เขาอุตส่าห์ได้ยินมาว่าอีกฝ่ายจะมาที่ตึกสี่ฤดูก็รีบมาดักทางไว้ “นายเป็นใคร?” ในใจของเขาเต็มไป
“ได้เลยครับ!” “คือมันเป็นแบบนี้…” หม่าเผิงอธิบายว่าเย่เทียนหยู่เข้ามายึดตระกูลแล้วยังถือดีรังแกคนอื่นๆ อยากให้หลี่ว์เจิ้งช่วยเขาทวงคืนสมบัติของตระกูล หลี่ว์เจิ้งได้ฟังก็รีบพูด “มีคนแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย แต่ว่านะเขายึดเอาบริษัทในเครือของตระกูลหม่าไปจนหมด ถ้าจะให้ฉันช่วยทวงคืนกลับมา ให้แค่ร้อยล้านมันน้อยไปหรือเปล่า?” “งั้นคุณชายหลี่ว์อยากได้เท่าไหร่?” “อย่างน้อยก็สักพันล้าน!” หลี่ว์เจิ้งพูด ครั้งนี้เขาอับอายมากเกินไปถ้าก่อนกลับยังทำเงินได้สักร้อยล้าน ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี และยังมีเหตุผลไปอธิบายให้คุณปู่ฟังด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นเรื่องที่เขาไปรุกล้ำราชามังกรก็มากพอให้เขาถูกปู่จัดการอย่างหนักหน่วงแล้ว อะไรนะ! พันล้าน! หม่าเผิงหน้าเปลี่ยนสี ให้เขาจ่ายพันล้านเพื่อที่จะได้หงหม่ากรุ๊ปกลับคืนมา นี่มันไม่คุ้มเอาซะเลย และเงินจำนวนมากมายขนาดนั้นเขาก็ไม่มีด้วย แต่เขาคิดแล้วว่าถ้าเอาบริษัทกลับคืนมาได้ก็ค่อยหาทางขายทอดตลาด ต่อให้เขาจะขาดทุนหน่อยก็ไม่เป็นไร ขอแค่อย่าให้เย่เทียนหยู่ได้รับมันไปฟรีๆก็พอ เพราะอย่างนั้นหม่าเผิงจึงรีบพูด “ไม่มีปัญหา แต่ผมไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นในตอนนี้
เมื่อคำพูดที่โมโหหงุดหงิดนี้ของหลี่ว์เจิ้งพูดออกมา ก็ทำให้ลูกน้องที่ช่วยจองตั๋วต่างงุนงงกันไปหมด ทราบว่าในอดีต ไม่ว่าหลี่ว์เจิ้งจะไปที่ไหน หากไม่ใช่ชั้นเฟิร์สคลาสก็จะไม่นั่งอย่างเด็ดขาดหลายปีมานี้ ก็ยังคงรักษาความเคยชินเช่นนี้มาตลอด ก่อนหน้านี้ มีคนๆ หนึ่งที่ไม่สามารถจองชั้นเฟิร์สคลาสได้เนื่องจากคุณชายหลี่ว์นั้นรีบร้อน ดังนั้นเขาจึงจองที่นั่งชั้นประหยัดแทน เป็นผลให้เขาถูกคุณชายหลี่ว์ทุบตีอย่างรุนแรงเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง และขาของเขาก็หัก ทำให้เดินกะเผลกตลอดเวลา ตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม แม้ว่าจะต้องจ่ายในราคาที่สูงกว่าสิบเท่า ก็ยังต้องจองที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสให้ได้ วันนี้คุณชายหลี่ว์ทำไมนิสัยเปลี่ยนไป ในเมื่อคุณชายหลี่ว์พูดเช่นนั้นแล้ว ลูกน้องเขาจึงไปจัดการทันที บังเอิญว่ามีเที่ยวบินเร็วสุดแต่คุณชายหลี่ว์ต้องรีบไปที่สนามบินทันที เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่ว์เจิ้งก็ชมลูกน้องของเขาอย่างมากและรีบนั่งแท็กซี่ไปสนามบินด้วยตัวเอง ยอดฝีมือที่พามาเมื่อครั้งก่อน แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาด้วยกัน เหล่าลูกน้องล้วนสับสนกันหมด ไม่สามารถจองชั้นเฟิร์สคลาสได้ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ถูกด่า แต
เย่เทียนหยู่มองดูท่าทางโกรธแค้นของคนเหล่านี้แล้วรู้สึกหมดหนทาง จึงพูดอย่างใจเย็นว่า “ทำไมพวกคุณถึงมั่นใจนักว่าตระกูลหลี่ว์ไม่รู้เรื่องนี้เหล่านี้ ?” ทำไมถึงไม่คิดว่า นายท่านหลี่ว์รู้เรื่องทั้งหมดนี้แต่ตระกูลหลี่ว์ไม่มีทางมาแก้แค้นด้วยซ้ำ” “หยิ่งผยอง” คุณแม่หลินพูดอย่างโกรธจัด “เย่เทียนหยู่ ต่อให้นายท่านหลี่ว์จะเป็นเทพ เรื่องเพิ่งจะเกิดเมื่อซักครู่นี้ แต่เขาก็ไม่มีทางที่ทราบเรื่องได้ทันที ถึงตอนนี้ คุณยังมาโอ้อวดอยู่ที่นี่” “อย่างไรก็ตาม เธออย่าคิดว่าแบบนี้แล้วจะพาเราติดร่างแหไปด้วย พอถึงเวลานั้น จะอธิบายทุกอย่าง อย่างแน่นอน ว่าตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเรานั้นอยู่เคียงข้างนายน้อยหลี่ว์” “เธอก็รอความตายโดยไม่มีที่ฝังศพเถอะ” ยังไม่มีความสามารถนี้” “ยังคงพูดจาโอหัง” “โอเค ฉันจะรอและดูว่าคุณตายยังไง” นายท่านหลินพูดอย่างโกรธจัด เขาเชื่อว่าด้วยความสัมพันธ์ของเขากับนายท่านหลี่ว์ แค่เพียงอธิบายก็คงไม่เป็นอะไรแล้ว “โอเค ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็จะได้เห็นกัน” “หว่านหรู ฉันจะไปแล้ว คุณจะไปกับผมไหม” “ไม่ไป” “ไป” คนที่บอกว่าไม่ไปคือคุณแม่ของหลิน ส่วนคนที่บอกว่าไป แน่นอนว่าคือหลินหว่าน
หลังจากที่คำพูดนั้นถูกพูดออกมา คนจากสำนักเจวี๋ยฉิงต่างก็พากันตกตะลึงเจ้าตำหนักหยู่คนนี้ กล้ายอมรับคำท้าจริง ๆ อย่างนั้นน่ะเหรอ?หรือพวกเขามองผิดกันไปเองจริง ๆ?เยว่เหลียนหานและคนในสำนักดอกไม้ต่างก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อสายตามากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงเวลานี้ พวกเธอเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ไพ่ตายของมู่หรงอินไม่ใช่เย่เทียนหยู่แห่งพรรคมังการตั้งแต่แรกแล้ว แต่คือเจ้าตำหนักหยู่ผู้ลึกลับคนนี้ต่างหากอย่าว่าแต่พลังที่แท้จริงเป็นอย่างไรเลย แค่มีคนที่น่ากลัวอย่างหยางผั่วจวินเป็นลูกน้องก็เพียงพอแล้วยิ่งไปกว่านั้น เขายังกล้าตอบรับคำท้าจากประมุกสำนักเจวี๋ยฉิงอย่างเด็ดเดี่ยวอีกต่างหากในเวลานี้ เธอรู้สึกคาดหวังมากจริง ๆ คาดหวังว่าความสามารถของเจ้าตำหนักหยู่จะอยู่ในระดับไหนกันแน่แววตามู่หรงอินและจูเก่อหลิวหลีต่างก็ส่องประกายออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเธอคาดหวังให้เย่เทียนหยู่แสดงฝีมือมาโดยตลอดมีเพียงหยางผั่วจวินเท่านั้นที่สีหน้าดูหม่นหมอง เดิมทีนี่คือโอกาสที่เขาจะได้ต่อสู้ แต่ตอนนี้กลับไม่มีอีกแล้ว เขาได้สูญเสียโอกาสประลองฝีมือไปแล้วอีกครั้งหนึ่งยังมีหลินเจวี๋ยอีกคนที่สีหน้าดูซีดเซียว แต่พอเห็
พวกเขาต่างเข้าใจตรงกันว่าคนผู้นี้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเย่เทียนหยู่ แต่กลับไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะน่ากลัวขนาดนี้ ดูจากความน่าเกรงขามแล้ว เกรงว่าคงไม่ได้ด้อยไปกว่าเจวี๋ยเทียนเลยด้วยซ้ำซึ่งนี่มันก็ทำให้ความหวังของทูตใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเยว่เหลียนหานเองก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นหยางผั่วจวินแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ของเขาออกมา เพราะนั่นหมายความว่า พวกเธอยังไม่ได้หมดหวังไปเลยเสียทีเดียวสีหน้าของเจวี๋ยเทียนดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ พลังความแข็งแกร่งของหยางผั่วจวินคนนี้เกินกว่าที่ตนคาดการเอาไว้มาก เมื่อเทียบกับตนแล้ว เกรงว่าคงทำไม่ได้มากขนาดนี้แน่หยางผั่วจวินยังคงยืนอยู่กับที่ ราวกับว่าเขาคือเทพสงคราม ออร่าบนตัวเขาพุ่งพล่านออกมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชาออกไปว่า “วันนี้ ใครกล้าแตะต้องเจ้านายของฉัน ฉันก็จะเอาชีวิตคนผู้นั้นซะ!”สีหน้าเจวี๋ยเทียนและคนอื่น ๆ ดูแย่มาก จากนั้นเขาจึงพูดออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ประมุกหยาง ทั้งที่คุณแข็งแกร่งมากขนาดนี้ เหตุใดต้องยกสวะคนอย่างเขาเป็นนายด้วย คุณช่วยบอกผมหน่อยสิ ว่าเขาใช้กลอุบายข่มขู่คุณอย่างไร ผมจะช่วยคุณจัดการเอง”“ไร้สมอง!”
ปฏิกิริยาของทุกคนตอบสนองขึ้นพร้อมกัน และอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเย่เทียนหยู่เจ้าตำหนักหยู่คนนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเจ้านายของประมุกหยาง ทำไมถึงรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลกันเลยล่ะ ดูปลอมเกินไปรึเปล่าเยว่เหลียนหานตกตะลึงไปชั่วขณะ เธอเคยตรวจสอบความแข็งแกร่งของหยางผั่วจวินมาแล้ว เกรงว่าคงไม่ได้ด้วยไปกว่าตนเลย ส่วนเรื่องที่ว่าเขาแข็งแกร่งมากแค่ไหนนั้น เธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน อย่างน้อยก็คงแข็งแกร่งกว่าเจ้าตำหนักหยู่แน่นอนแต่ที่คาดไม่ถึงเลยก็คือ เขาจะเป็นลูกน้องของเจ้าตำหนักหยู่ได้ ทั้งยังเคารพเจ้าตำหนักหยู่มากอีกด้วย นี่กำลังเข้าใจอะไรผิดไปอยู่รึเปล่านะ?ยิ่งไปกว่านั้น ประมุกมู่หรงเองก็เป็นคนพูดเอง ว่าพวกเธอและประมุกราชาปีศาจได้ทำการร่วมมือกับตำหนักซิวหลัวเรียบร้อยแล้ว หรือพวกเขาต้องการที่จะช่วยให้เจ้าตำหนักหยู่ขึ้นรับตำแหน่งผู้นำจริง ๆ?อย่าว่าแต่พวกเขาเลย หลินเจวี๋ยเองก็สับสนเช่นกัน เขาเคยตรวจสอบความแข็งแกร่งมาแล้ว เขาไม่สามารถคาดเดาหยางผั่วจวินคนนี้ได้เลยจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายจะต้องแข็งแกร่งกว่าตนแน่นอนหลังจากที่เจวี๋ยเทียนถูกด่า สีหน้าก็ดูน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ใ
“ใช่!”ครั้งนี้ มู่หรงอินพยักหน้าโดยที่ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยเยว่เหลียนหานตกตะลึงไปชั่วขณะ เรื่องเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง เดี๋ยวนะ หรือว่ามู่หรงอินไม่คิดที่จะให้เย่เทียนหยู่มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตอนนี้เธอเลือกคนใหม่แล้วงั้นเหรอและคนที่เธอเลือกก็คือเจ้าตำหนักหยู่!แต่คำถามก็คือ เจ้าตำหนักหยู่เป็นแค่ปรมาจารย์ขั้นสุดท้าย เขาจะทำอะไรได้ ใช้เขาเป็นโล่กำบังให้ตัวเองอย่างนั้นเหรอ?“ประมุกเยว่ คุณล่ะ คุณเองก็สนับสนุนเจ้าตำหนักหยู่ด้วยอย่างนั้นเหรอ?” เจวี๋ยเทียนค่อย ๆ ไล่ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาไปเรื่อย ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร ราวกับว่าถ้าเธอยอมรับ อนาคตเธอก็จะต้องเผชิญหน้ากับการแก้แค้นของสำนักเจวี๋ยฉิงยังไงอย่างงั้นสีหน้าของเยว่เหลียนหานเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอรู้สึกลังเล ก่อนจะเหลือบมองไปที่มู่หรงอินมู่หรงอินไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแค่พยักหน้าให้เท่านั้นนี่เป็นการส่งสัญญาณว่า เยว่เหลียนหานควรเลือกสนับสนุนเจ้าตำหนักซิวหลัวเจวี๋ยเทียนเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน จิตสังหารฉายแววออกมาจากดวงตาของเขา ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาออกมาว่า “ประมุกเยว่ ทางที่ดีคุณก็ลองพิจารณาดูให้ดีก่อนเถอะ โดยเฉพาะ ตัวของคุณตอน
หลังจากที่พูดจจบ ทุกคนต่างก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่สายตาของทุกคนจะจ้องมองไปทางเขาเจ้าตำหนักคนนี้พูดพล่ามอะไรอยู่ เขามาเพื่อเป็นผู้นำสำนักงั้นเหรอ?นี่มันไร้สาระสิ้นดี!หลินเจวี๋ยรู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก เมื่อเขาได้ยินคำพูดที่เจ้าตำหนักพูดกับเจวี๋ยเทียน เขาก็คิดแล้วว่า ทุกอย่างคงจบสิ้นแล้วจริง ๆ จบเห่แล้วแน่ ๆ เจ้าตำหนักอย่าได้พูดเหลวไหลอีกเลยนะกลับคิดไม่ถึงเลยว่า คำพูดต่อมาของเจ้าตำหนักจะบ้าบิ่นมากขึ้นกว่าเดิม เขากล้าพูดว่าตนจะขึ้นรับตำแหน่งผู้นำสำนักจริง ๆ นี่เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่เห็นทุกคนอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อยรวมถึงสำนักเจวี๋ยงฉิงเองก็ด้วยราชาสวรรค์ทั้งสองที่มากับหลินเจวี๋ยเองก็สับสนด้วยเช่นกัน นี่ใช่เจ้าตำหนักของพวกเขาจริง ๆ น่ะเหรอ นี่เขากำลังรนหาที่ตายชัด ๆเมื่อเห็นสายตาอันน่าสะพรึงกลัวของทุกคนที่มองมา ซึ่งเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านออกมาพวกเขาต่างก็รู้สึกกลัวจนตัวสั่น!วันนี้ เกรงว่าคงได้ตายจริง ๆ แน่!เยว่เหลียนหานและคนอื่น ๆ จากสำนักดอกไม้เองก็รู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะเช่นกัน บุตรแห่งสวรรค์ผู้ที่มู่หรงอินภาคภูมิใจยังไม่ทันได้ปรากฏตัว ก็กลับมีเจ้าตำหนักที่ไม่
“เพราะเหตุนี้ ผมจึงได้เชิญทุกท่านมาที่นี่ในวันนี้ เพื่อจัดการประชุมศักดิ์สิทธิ์นี้ขึ้น!”คำพูดง่าย ๆ เหล่านี้ นับว่าเป็นการอธิบายเรื่องทั้งหมดได้อย่างคร่าว ๆ เจวี๋ยเทียนยิ้มเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “นอกจากนี้ ทุกท่านสบายใจได้ ที่ผมเชิญทุกท่านมา ไม่ใช่เพื่อให้ทุกท่านมาก้มหัวเคารพผมโดยตรง”“แต่เราจะเลือกผู้ที่มีความสามารถสูงสุดในหมู่พวกเรา เพื่อขึ้นเป็นผู้ชี้นำทุกคนให้ก้าวไปข้างหน้าต่างหาก นั่นหมายความว่า ทุกคนจะได้รับความยุติธรรมและโอกาสที่เท่าเทียมกัน”หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ เยว่เหลียนหานกลับแอบส่ายหัวเบา ๆ การแข่งขันที่ยุติธรรมอะไรกัน ทุกคนต่างก็มีโอกาสเท่ากันงั้นเหรอ พวกเขามีโอกาสที่ไหนกันถ้าจะให้พูดตรง ๆ ก็คือเจวี๋ยเทียนเชื่อมั่นในพลังของตัวเองอย่างมาก ว่าจะไม่มีใครที่สามารถหยุดเขาจากการขึ้นเป็นผู้นำของสำนักศักดิ์สิทธิ์ได้สิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรม ก็แค่การที่ปล่อยให้พวกเขาตกเป็นเหยื่อให้ถูกโจมตีเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้นทุก ๆ คนต่างก็มีความคิดที่คล้าย ๆ กัน แต่อีกฝ่ายก็มีความแข็งแกร่งมากจริง ๆ พวกเขาแทบไม่มีทางเลือกเลยด้วยซ้ำการประชุมในวันนี้ หากพวกเขาไม่มาก็ต้องตายสถานเดียว แ
“ฮ่า ๆ ต้องขออภัยทุกท่านด้วยนะ พอดีเมื่อกี้มีธุระนิดหน่อย เลยทำให้มาช้า”ทั้งสองคนแต่งตัวค่อนข้างเรียบร้อย ทั้งดูดีและมีเกียรติมากโดยเฉพาะเจวี๋ยเทียน เขาสวมชุดสีม่วง ท่าเดินก็ดูองอาจ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยรัศมีแห่งความยิ่งใหญ่และความสง่างามเครื่องแต่งกายของเขาค่อนข้างคล้ายคลึงกับชุดที่มู่หรงชิงเคยสวมใส่ในตอนนั้น ซึ่งทำให้สีหน้าของมู่หรงอินดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่เมื่อเห็นทั้งสองคนปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของหยางผั่วจวินก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังพวกเขาในทันที และพร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อร่องรอยที่เจวี๋ยเทียนเคยทิ้งเอาไว้ในตอนที่เขาไปเยือนสำนักราชาผี ซึ่งนั่นก็ทำให้หยางผั่วจวินตกตะลึงอย่างมากหยางผั่วจวินเองก็สัมผัสได้ ไม่ว่ายังไงตนในตอนนั้นก็ไม่มีทางสู้อีกฝ่ายได้แต่ก่อนที่จะมาที่นี่ หลังจากที่เย่เทียนหยู่ใช้ของวิเศษของพรรคมารช่วยให้เขาพัฒนาตนเอง เขาก็สามารถทะลุจนเลื่อนขั้นสู่ปรมาจารย์ขั้นสูงสุดได้แล้ว แถมยังทะลุไปถึงคอขวด จนเกือบจะถึงจุดที่สามารถเลื่อนขั้นได้แล้วด้วยซ้ำตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขา นับว่าอยู่ในจุดที่ไม่ธรรมดาแล้วดังนั้น เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้เห็นคู่ต่อสู้ที
เขาไม่อาจเรียกเธอว่านายน้อยได้ แต่ให้เรียกว่าคุณหนูก็ถือยังทำได้อยู่อีกสองคนยังคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็กลับยืนนิ่ว และกว่าวทักทายออกมาว่า “คารวะคุณหนู!”มู่หรงอินขมวดคิ้วอย่างเย็นชา ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีที่ดูเมินเฉยว่า “เหอะ ในสายตาของพวกท่านยังเห็นข้าเป็นคุณหนูอยู่ด้วยงั้นเหรอ?”เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็มืดมนลงเล็กน้อย โดยเฉพาะตู๋เปียนฝู เขาพูดอย่างเย็นชาออกไปว่า “มู่หรงอิน การที่พวกเรายอมเรียกเธอว่าคุณหนู ก็เพื่อเป็นการไว้หน้าผู้นำคนเก่า อย่าได้เหลิงไปหน่อยเลย!”หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ มู่หรงอินก็กลับไม่ได้โกรธอะไร กลับกัน สีหน้าของเย่เทียนหยู่กลับดูเย็นชาขึ้นมา จิตสังหารที่เย็นยะเยือกก็เกือบจะเผลอทะลักออกมา หากยังต้องทนฟังคำพูดของตู๋เปียนฝูต่อไป มู่หรงอินเกรงว่าเย่เทียนหยู่อาจจะเผลอทำอะไรที่หุนหันพันแล่นออกไปได้ เธอจึงรีบส่งสัญญาณด้วยสายตาเพื่อหยุดเขาในทันที เพราะตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาเปิดเผยความแข็งแกร่งออกมาเมื่อเห็นสายตาแจ้งเตือนให้ยั้งมือของแม่ เย่เทียนหยู่ก็รีบระงับพลังเอาไว้ทันที ทันใดนั้นจิตสังหารก็หายไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากพลังที่เขาใช้ปกปิดนั้นค่อ
“ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอก หากตอนนั้นพวกเราทั้งสี่คนร่วมมือกัน พวกเราคงครอบครองโลกใบนี้ไปแล้ว ใครกันจะกล้าขวาง!”ในขณะเดียวกันนี้เอง ชายชรารูปร่างผอมบางคนหนึ่ง ใบหน้าดูเศร้าหมอง ริมฝีปากเรียวเล็กก็ปรากฏตัวขึ้น“ตู๋เปียนฝู?”ในใจทูตใหญ่รู้สึกตกตะลึง“ยังมีข้าอีกคน บรรพจารย์หวงเฉวียน!”หลังจากที่ทั้งสี่ก้าวออกมาพูด สีหน้าของทูตใหญ่ก็ดูไม่ค่อนสู้ดีมากนัก สมญานามของพวกเขาในปีนั้นคือสี่ทูตใหญ่แห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์ แต่ละคนต่างก็มีความแข็งแกร่งที่ทรงพลังมากการดำรงอยู่ของอำนาจพวกเขาเป็นรองก็แค่ผู้นำสำนักศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้นำสำนักเลยแม้แต่น้อย กระทั่งอาจจะแข็งแกร่งกว่าเสียด้วยซ้ำคิดไม่ถึงเลยว่าอีกสามคนที่เหลือจะอยู่ที่นี่กันหมด และดูจากท่าทีของพวกเขาแล้ว เหมือนว่าพลังจะมีการพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ละคนต่างก็อยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดกันทั้งนั้นในกรณีนี้ แทบจะเท่ากับว่าผู้นำของนิกายจืดจางคือผู้นำที่แท้จริงของนิกายศักดิ์สิทธิ์แล้วในสถานการณ์เช่นนี้ แทบจะเท่ากับว่าตำแหน่งผู้นำสำนักศักดิ์สิทธิ์จะต้องตกเป็นของผู้นำสำนักเจวี๋ยฉิงยังไงอย่างงั้นเมื่อสองพี่น้อง