“แกไม่สนใจเหรอ?”“เย่เทียนหยู่ นี่แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร สมองน้ำเข้ารึไงถึงกล้าไม่สนใจตระกูลกงซุน?”“ทำไม หรือแกยังคิดจะอาศัยความดีความชอบที่ช่วยเหลือลูกสาวประธานหยางไปขอให้ประธานหยางช่วยแกอีก? ไม่เห็นเหรอว่าประธานหยางไม่มีทางช่วยแก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ให้ลูกสาวไปแต่งงานกับคนอื่นหรอก”“อีกอย่างนะ ต่อให้ประธานหยางยอมช่วย เกรงว่าก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี หรือดีไม่ดีพอรู้ว่าแกไปหาเรื่องตระกูลกงซุนหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมือง เขาอาจจะไปร่วมด้วยช่วยกันจัดการแกก็ได้”คุณแม่ตระกูลหลินพ่นคำพูดมากมายใส่เขาจนน้ำลายกระเด็นไปทั่วทุกทิศคุณปู่หลินเองก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “เย่เทียนหยู่ เรื่องมาถึงตรงนี้แล้วไม่ใช่เวลาให้มาคุยโวโอ้อวดแล้วนะ ตระกูลกงซุนไม่ใช่สิ่งที่คนอย่างแกจะต้านได้หรอกนะ”“วิธีการที่ถูกต้องที่สุดสำหรับแกตอนนี้คือตามหากงซุนจื้อ คุกเข่าลงและขอโทษเขาซะ ขอร้องให้เขาไว้ชีวิตแกสักครั้ง ไม่อย่างนั้นแกตายแน่”“อย่าหวังว่าจะโชคดีหนีไปได้เหมือนคราวที่แล้วนะ คราวที่แล้วเป็นเพราะตระกูลซาโหดเหี้ยมมาก เดิมทีก็มีเรื่องไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นแกเหรอจะโชคดีได้ขนาดนั้น”“ตระกูลก
ทันทีที่สิ้นคำพูดเหล่านี้ หลินหว่านหรูก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อยใช่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่เคยเชื่อเลยสักครั้ง แต่เรื่องจริงก็พิสูจน์แล้วว่า ทุกสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดนั้นเป็นเรื่องจริงแม้ว่าหลาย ๆ ครั้งจะเป็นเพราะโชคช่วย หรือบังเอิญมีคนช่วยเหลือก็ตาม แต่สุดท้ายเขาก็ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ทุกครั้ง“นาย นายมีวิธีการอะไร?” หลินหว่านหรูอดไม่ได้ที่จะถาม“ผมมีข้อมูลภายในอยู่ ตระกูลกงซุนทำความผิดไว้หลายอย่างและตระกูลของพวกเขาก็มีปัญหาใหญ่ อีกไม่นานพวกเขาต้องพินาศแน่นอนครับ” เย่เทียนหยู่กล่าวอันที่จริง ตระกูลของพวกจอมยุทธแบบตระกูลกงซุนมีเหรอจะไม่ก่ออาชญากรรมถ้าให้พูดตรง เหตุผลหลัก ๆ ที่แท้จริงก็คือตระกูลกงซุนทำให้เย่เทียนหยู่ขุ่นเคือง และถูกกำหนดให้มีแต่ต้องพินาศไปเท่านั้นหลินหว่านหรูตะลึงไปเล็กน้อย เธอไม่ค่อยเชื่อเขาเลยจริง ๆ ตามความเข้าใจของเธอ ตระกูลกงซุนเจริญรุ่งเรืองมาก สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือพวกเขาไม่เหมือนกับตระกูลหลิวในอดีต เพราะพวกเขามีอำนาจกว่านั้นมาก“นายไปได้ข่าวนี้มาจากไหน”“จากหลงตู”เย่เทียนหยู่ตอบตามตรง“นี่นายรู้
“อะไรนะ!”คุณปู่ตระกูลหลินนึกว่าเขาฟังผิด เขาโกรธมากจนเรียกชื่อเธอแล้วพูดตะคอก “หลินหว่านหรู หลานหมายความว่ายังไง? หลานไม่สนใจเลยเหรอว่าตระกูลหลินจะเป็นตายร้ายดียังไง?”“หนูไม่เพิกเฉยหรอก แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นการแต่งงานกับกงซุนจื้อค่ะ” หลินหว่านหรูตอบ“หรือหลานยังมีวิธีการอื่นอีกเหรอ?”“ใช่ค่ะ!”“วิธีการอะไร?”“ในอนาคตพวกคุณจะรู้เองค่ะ” จู่ ๆ หลินหว่านหรูก็นึกถึงสารพัดวิธีที่จะช่วยให้เย่เทียนหยู่เพิ่มอำนาจของตัวเอง“จะรู้เองในอนาคตอะไรกัน นี่มันเวลาอะไรแล้ว ตระกูลหลินของเราจะพินาศอยู่แล้วนะ” คุณปู่หลินพูดด้วยความโกรธ“นั่นสิ หว่านหรู รู้หรือเปล่าว่าตัวเองกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? เย่เทียนหยู่หลอกอะไรลูกอีกแล้วใช่ไหม?” คุณแม่ตระกูลหลินถาม“เป็นไปไม่ได้ เทียนหยู่ไม่มีทางตบตาเราแน่”“เอาล่ะ หนูจะบอก เทียนหยู่บอกว่าเขาจะทำลายกิจการของตระกูลกงซุน แต่เขาจะใช้เวลาสองสามวัน เพราะอย่างนั้นเราแค่ต้องอดทนรอ”หลินหว่านหรูพูดเสียงดังฟังชัด เพราะถึงยังไงหากตระกูลกงซุนเกิดเรื่อง ก็จะบอกได้ว่าเย่เทียนหยู่อยู่เบื้องหลังถ้าเป็นแบบนี้ละก็ ตระกูลของเธอจะได้มองเย่เทียนหยู่ด้วยความชื่นชมแต่เธอไม่
ในขณะนี้มีเสียงการต่อสู้ดังขึ้นจากด้านนอกเดิมทีหลินหว่านหรูคิดจะกลับไปที่ห้อง แต่เมื่อเธอได้ยินเสียง เธอก็คิดได้ว่าเย่เทียนหยู่เพิ่งออกจากห้องโถง บางทีปู่อาจให้ใครมาล้อมเขาแม้ว่าวรยุทธ์ของเย่เทียนหยู่จะพอใช้ได้ แต่การจะเอาชนะด้วยสี่มือกับสองหมัดมันก็คงยากมากหากอีกฝ่ายมีคนมาก ดังนั้นเธอจึงอยากรีบไปดูขณะที่เย่เทียนหยู่ออกจากห้องโถง กลุ่มชายหกคนก็เข้ามาขวางเขาเอาไว้โดยที่เขายังไม่ทันได้ออกจากวิลล่าด้วยซ้ำ“เย่เทียนหยู่ มึงเกิดปีเต่าหรือไงวะ? ถึงได้หดหัวซ่อนตัวเก่งขนาดนี้ ทำเอากูหามึงไม่เจอซะตั้งนาน” ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำมองไปที่เย่เทียนหยู่ ก่อนจะด่าเขาอย่างดุเดือดเย่เทียนหยู่ขมวดคิ้วและถามว่า “ตามหาผมเหรอ?”“เหลวไหล ไม่ตามหามึงแล้วกูจะตามหาใครละวะ แต่ว่าหาแทบตายหาไม่เจอ แต่จู่ ๆ กลับดันมาเจอมึงที่นี่ซะงั้น”“มึงนี่มันสมควรโชคร้ายจริงๆเลย”“มึงกินอะไรเข้าไปวะ ถึงกล้าไปยั่วยุตระกูลหลิน วันนี้ละ ที่กูจะได้สอนบทเรียนหนัก ๆ ให้มึง” ชายหนุ่มพูดอย่างภาคภูมิใจเย่เทียนหยู่ถึงกับพูดไม่ออก เขาหันไปมองวิลล่าตระกูลหลิน และพูดอย่างใจเย็น: “ถ้างั้น ตระกูลหลินส่งมาเหรอ?”“ใช่แล้วจะทำไม!”
เมื่อคุณแม่ตระกูลหลินได้ยินแบบนั้น เธอก็จ้องไปที่เย่เทียนหยู่ทันที และพูดด้วยความโกรธ: “เย่เทียนหยู่ แกคิดจะทำอะไรฮะ ใครอนุญาตให้แกมาทำเรื่องสุ่มสี่สุ่มห้าฆ่าคนแบบนี้”“ใครอนุญาตเหรอ?”เย่เทียนหยู่หัวเราะเบา ๆ แล้วชี้ไปที่หลิวเหมี่ยว ก่อนจะพูดเสียงเรียบว่า “แน่นอนว่าเป็นเขา เขาจะฆ่าผมนะ ผมควรยืนเฉยแล้วให้เขาทำแบบนั้นหรือไง?”“ไร้สาระ!”คุณแม่ตระกูลหลินโต้กลับทันที “หลิวเหมี่ยวไม่ใช่ศัตรูกับแก แล้วทำไมเขาถึงโจมตีแกด้วย?” “งั้นคุณคงต้องถามเขา”เย่เทียนหยู่มองไปที่หลิวเหมี่ยวและพูดอย่างเย็นชา: “บอกทุกคนไปสิว่าทำถึงต้องลงมือทำร้ายผม? ทางที่ดีควรพูดความจริงซะ ไม่อย่างนั้นละก็ เหอะ!”แม้ว่าจะไม่มีคำพูดข่มขู่ แต่แค่เสียงเหอะก็ทำให้หลิวเหมี่ยวหวาดกลัว เป็นความกลัวที่อธิบายไม่ได้ซึ่งยังคงอยู่ในใจของเขาและเพราะเมื่อครู่เย่เทียนหยู่จงใจส่งเสียงเหอะ จงใจทำให้อีกฝ่ายกลัวเสียหน่อยเมื่อคุณแม่ตระกูลหลินได้ยินดังนั้น เธอก็รีบเตือน: “หลิวเหมี่ยว อย่าไปกลัวเขา ค่อย ๆ พูดนะ มีป้าอยู่ที่นี่ ไม่มีใครกล้ารังแกหลานแน่”น่าเสียดายที่หลิวเหมี่ยวรู้สึกหวาดกลัวกับเย่เทียนหยู่และพูดตรงๆ: “เป็นป้าครับ ป
“ขอบคุณฉันทำไม ตระกูลหลินต่างหากที่ต้องขอโทษนาย แต่ว่า พวกเขาไม่เหมือนซูถิงนะ เพราะลึกๆ ในใจยังดีกับฉัน ฉันทำอะไรพวกเขาไม่ได้น่ะ”“ผมเข้าใจครับ ไม่ต้องกังวล ตระกูลกงซุนสร้างปัญหาอะไรไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่มั่นใจ“อืม!”“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะรอข่าวดีของนายนะ”“ครับ”เย่เทียนหยู่ขึ้นรถ เขาสตาร์ทรถแล้วขับออกไปเมื่อหลินหว่านหรูมองดูเย่เทียนหยู่จากไปแล้ว เธอก็เดินกลับ คราวนี้เธอไม่แม้แต่จะพูดกับคนในตระกูลของเธอ และเดินตรงกลับไปที่ห้องด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอหยิบจี้หยกรูปมีดออกจากห้องอีกครั้งเดี๋ยวก่อน พอมองไปที่จี้หยกรูปมีด หลินหว่านหรูก็นึกถึงคำถามสำคัญข้อหนึ่งขึ้นมาทันทีถ้าของกงซุนจื้อเป็นของปลอม แล้วเขาจะมีจี้หยกที่คล้ายกันได้ยังไง หรือจะเป็นซูถิงบอกให้กงซุนจื้อจงใจทำมันขึ้นมาแต่นั่นแบบนั้นก็ไม่ถูกอยู่ดี!จำได้ว่าตอนนั้นเธอเป็นคนขอให้กงซุนจื้อถอดจี้หยกออกมา พอเธอสัมพัสมันแล้ว วัสดุของมันเป็นแบบเดียวกับจี้หยกในมือเธอแม้ว่าเธอจะไม่ได้เข้าใจเรื่องหยกมากนัก แต่เธอก็สัมผัสจี้หยกของเธอมาหลายปีแต่ปัญหาก็คือ ถึงเธอจะเล่าเรื่องสมัยเด็กของเธอให้ซูถิงฟัง แต่ซูถิงไม่เคยเห็นจี้หยกใกล้
หลินหว่านหรูจะไม่รู้ว่ากงซุนจื้อกำลังคิดอะไรอยู่ได้ยังไงถ้าฟังจากคำพูดเขา สีหน้ารังเกียจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอทันทีเธอเปลี่ยนจากไม่ชอบเป็นน่ารังเกียจเขาสุดๆ เมื่อสิ้นคำพูดเมื่อครู่ เธอก็รู้สึกรังเกียจมากยิ่งขึ้น“ทำไมคุณไม่พูดอะไรหน่อยล่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมจะวางแล้ว” กงซุนจื้อดูเย่อหยิ่งและภาคภูมิใจมาก มาขอร้องกันถึงที่ขนาดนี้ ยังแกล้งทำเป็นบริสุทธิ์ไร้เดียงสา“ถ้างั้นก็วางเถอะ”หลินหว่านหรูไม่อยากพูดอะไรอีก เธอวางสายโทรศัพท์ไปทันทีคุยกับคนแบบนี้เท่าไหร่ก็ไม่มีประโยชน์กงซุนจื้อดูตกตะลึงและสับสนอยู่ครู่หนึ่ง เธอไม่ควรขอร้องเขาเหรอ หรืออาจะเป็นการริเริ่มมาหาเขาแล้วยอมให้เขาเล่นกับเธอยังไงก็ได้?เขามีสีหน้าโกรธเคืองปนเปไปกับความประหลาดใจ ดูเหมือนว่าหลินหว่านหรูจะไม่ได้ตระหนักถึงความน่ากลัวของอำนาจเขาเลยสินะรอก่อน ผมจะทำให้คุณเสียใจขณะที่กงซุนจื้อโกรธมากจนแทบอาเจียนเป็นเลือด เขาก็ได้รับโทรศัพท์ ความประหลาดใจปรากฏบนใบหน้าของเขา “อะไรนะ คุณปู่ยง คุณจะมาที่นี่ตอนหกโมงเย็นเหรอครับ?”“ครับ ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้”น้ำเสียงของกงซุนยงไม่ดีนัก การต่อสู้กับตระกูลไป๋เพิ่งสิ้นสุดลง และเข
เขารู้สึกว่าปัญหาต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้น ตอนที่ตระกูลกงซุนลงมือจริง ๆ ตระกูลหลินได้เจอหายนะแน่ทันทีที่คุณปู่หลินมาถึงประตูโรงแรม เขาก็พบว่ากงซุนจื้อเองก็อยู่ตรงประตูด้วย เขาตกใจเล็กน้อยก่อนจะรีบรุดหน้าเข้าไปเรียกเขา “คุณชายกงซุน!”“คุณมาทำอะไรที่นี่” กงซุนจื้อถามด้วยท่าทีหงุดหงิด อีกไม่นานคุณปู่ของเขาก็ใหล้จะมาแล้ว ไม่สิ รถคันหน้านี่ก็มาแล้ว“คือผมอยากคุยกับคุณเรื่องหลานสาวของผมน่ะครับ” คุณปู่ตระกูลหลินรีบพูดขึ้นมาทันที“ไม่มีเวลา!”“ตอนนี้ผมไม่มีเวลาให้เรื่องไร้สาระนั่น”กงซุนจื้อไม่สนใจเขาและรีบไปข้างหน้าคุณปู่หลินรู้สึกสับสนเล็กน้อย เรื่องที่หลานสาวจะแต่งงานกับเขากลายเป็นเรื่องไม่สำคัญอย่างนั้นเหรอ?แต่ในไม่ช้าเขาก็ได้เข้าใจ เพราะเขาเห็นกงซุนจื้อทักทายท่านปู่ที่กำลังลงจากรถด้วยความเคารพ และพูดอย่างมีความสุข: “คุณปู่ยง!”เมื่อเห็นสีหน้าแสดงความเคารพของกงซุนจื้อ รวมกับที่เขาเรียกคุณปู่ยง จากการตรวจสอบของเขา คนที่ทำให้กงซุนจื้อยอมเรียกเขาว่าปู่ยงได้ก็คือ กงซุนยง บุคคลระดับสูงของตระกูลกงซุนนั่นคือบุคคลที่ทรงพลังติดอันดับหนึ่งในห้าของตระกูลกงซุนจบกัน เ
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป