“อะไรนะ!”คุณปู่ตระกูลหลินนึกว่าเขาฟังผิด เขาโกรธมากจนเรียกชื่อเธอแล้วพูดตะคอก “หลินหว่านหรู หลานหมายความว่ายังไง? หลานไม่สนใจเลยเหรอว่าตระกูลหลินจะเป็นตายร้ายดียังไง?”“หนูไม่เพิกเฉยหรอก แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นการแต่งงานกับกงซุนจื้อค่ะ” หลินหว่านหรูตอบ“หรือหลานยังมีวิธีการอื่นอีกเหรอ?”“ใช่ค่ะ!”“วิธีการอะไร?”“ในอนาคตพวกคุณจะรู้เองค่ะ” จู่ ๆ หลินหว่านหรูก็นึกถึงสารพัดวิธีที่จะช่วยให้เย่เทียนหยู่เพิ่มอำนาจของตัวเอง“จะรู้เองในอนาคตอะไรกัน นี่มันเวลาอะไรแล้ว ตระกูลหลินของเราจะพินาศอยู่แล้วนะ” คุณปู่หลินพูดด้วยความโกรธ“นั่นสิ หว่านหรู รู้หรือเปล่าว่าตัวเองกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? เย่เทียนหยู่หลอกอะไรลูกอีกแล้วใช่ไหม?” คุณแม่ตระกูลหลินถาม“เป็นไปไม่ได้ เทียนหยู่ไม่มีทางตบตาเราแน่”“เอาล่ะ หนูจะบอก เทียนหยู่บอกว่าเขาจะทำลายกิจการของตระกูลกงซุน แต่เขาจะใช้เวลาสองสามวัน เพราะอย่างนั้นเราแค่ต้องอดทนรอ”หลินหว่านหรูพูดเสียงดังฟังชัด เพราะถึงยังไงหากตระกูลกงซุนเกิดเรื่อง ก็จะบอกได้ว่าเย่เทียนหยู่อยู่เบื้องหลังถ้าเป็นแบบนี้ละก็ ตระกูลของเธอจะได้มองเย่เทียนหยู่ด้วยความชื่นชมแต่เธอไม่
ในขณะนี้มีเสียงการต่อสู้ดังขึ้นจากด้านนอกเดิมทีหลินหว่านหรูคิดจะกลับไปที่ห้อง แต่เมื่อเธอได้ยินเสียง เธอก็คิดได้ว่าเย่เทียนหยู่เพิ่งออกจากห้องโถง บางทีปู่อาจให้ใครมาล้อมเขาแม้ว่าวรยุทธ์ของเย่เทียนหยู่จะพอใช้ได้ แต่การจะเอาชนะด้วยสี่มือกับสองหมัดมันก็คงยากมากหากอีกฝ่ายมีคนมาก ดังนั้นเธอจึงอยากรีบไปดูขณะที่เย่เทียนหยู่ออกจากห้องโถง กลุ่มชายหกคนก็เข้ามาขวางเขาเอาไว้โดยที่เขายังไม่ทันได้ออกจากวิลล่าด้วยซ้ำ“เย่เทียนหยู่ มึงเกิดปีเต่าหรือไงวะ? ถึงได้หดหัวซ่อนตัวเก่งขนาดนี้ ทำเอากูหามึงไม่เจอซะตั้งนาน” ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำมองไปที่เย่เทียนหยู่ ก่อนจะด่าเขาอย่างดุเดือดเย่เทียนหยู่ขมวดคิ้วและถามว่า “ตามหาผมเหรอ?”“เหลวไหล ไม่ตามหามึงแล้วกูจะตามหาใครละวะ แต่ว่าหาแทบตายหาไม่เจอ แต่จู่ ๆ กลับดันมาเจอมึงที่นี่ซะงั้น”“มึงนี่มันสมควรโชคร้ายจริงๆเลย”“มึงกินอะไรเข้าไปวะ ถึงกล้าไปยั่วยุตระกูลหลิน วันนี้ละ ที่กูจะได้สอนบทเรียนหนัก ๆ ให้มึง” ชายหนุ่มพูดอย่างภาคภูมิใจเย่เทียนหยู่ถึงกับพูดไม่ออก เขาหันไปมองวิลล่าตระกูลหลิน และพูดอย่างใจเย็น: “ถ้างั้น ตระกูลหลินส่งมาเหรอ?”“ใช่แล้วจะทำไม!”
เมื่อคุณแม่ตระกูลหลินได้ยินแบบนั้น เธอก็จ้องไปที่เย่เทียนหยู่ทันที และพูดด้วยความโกรธ: “เย่เทียนหยู่ แกคิดจะทำอะไรฮะ ใครอนุญาตให้แกมาทำเรื่องสุ่มสี่สุ่มห้าฆ่าคนแบบนี้”“ใครอนุญาตเหรอ?”เย่เทียนหยู่หัวเราะเบา ๆ แล้วชี้ไปที่หลิวเหมี่ยว ก่อนจะพูดเสียงเรียบว่า “แน่นอนว่าเป็นเขา เขาจะฆ่าผมนะ ผมควรยืนเฉยแล้วให้เขาทำแบบนั้นหรือไง?”“ไร้สาระ!”คุณแม่ตระกูลหลินโต้กลับทันที “หลิวเหมี่ยวไม่ใช่ศัตรูกับแก แล้วทำไมเขาถึงโจมตีแกด้วย?” “งั้นคุณคงต้องถามเขา”เย่เทียนหยู่มองไปที่หลิวเหมี่ยวและพูดอย่างเย็นชา: “บอกทุกคนไปสิว่าทำถึงต้องลงมือทำร้ายผม? ทางที่ดีควรพูดความจริงซะ ไม่อย่างนั้นละก็ เหอะ!”แม้ว่าจะไม่มีคำพูดข่มขู่ แต่แค่เสียงเหอะก็ทำให้หลิวเหมี่ยวหวาดกลัว เป็นความกลัวที่อธิบายไม่ได้ซึ่งยังคงอยู่ในใจของเขาและเพราะเมื่อครู่เย่เทียนหยู่จงใจส่งเสียงเหอะ จงใจทำให้อีกฝ่ายกลัวเสียหน่อยเมื่อคุณแม่ตระกูลหลินได้ยินดังนั้น เธอก็รีบเตือน: “หลิวเหมี่ยว อย่าไปกลัวเขา ค่อย ๆ พูดนะ มีป้าอยู่ที่นี่ ไม่มีใครกล้ารังแกหลานแน่”น่าเสียดายที่หลิวเหมี่ยวรู้สึกหวาดกลัวกับเย่เทียนหยู่และพูดตรงๆ: “เป็นป้าครับ ป
“ขอบคุณฉันทำไม ตระกูลหลินต่างหากที่ต้องขอโทษนาย แต่ว่า พวกเขาไม่เหมือนซูถิงนะ เพราะลึกๆ ในใจยังดีกับฉัน ฉันทำอะไรพวกเขาไม่ได้น่ะ”“ผมเข้าใจครับ ไม่ต้องกังวล ตระกูลกงซุนสร้างปัญหาอะไรไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่มั่นใจ“อืม!”“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะรอข่าวดีของนายนะ”“ครับ”เย่เทียนหยู่ขึ้นรถ เขาสตาร์ทรถแล้วขับออกไปเมื่อหลินหว่านหรูมองดูเย่เทียนหยู่จากไปแล้ว เธอก็เดินกลับ คราวนี้เธอไม่แม้แต่จะพูดกับคนในตระกูลของเธอ และเดินตรงกลับไปที่ห้องด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอหยิบจี้หยกรูปมีดออกจากห้องอีกครั้งเดี๋ยวก่อน พอมองไปที่จี้หยกรูปมีด หลินหว่านหรูก็นึกถึงคำถามสำคัญข้อหนึ่งขึ้นมาทันทีถ้าของกงซุนจื้อเป็นของปลอม แล้วเขาจะมีจี้หยกที่คล้ายกันได้ยังไง หรือจะเป็นซูถิงบอกให้กงซุนจื้อจงใจทำมันขึ้นมาแต่นั่นแบบนั้นก็ไม่ถูกอยู่ดี!จำได้ว่าตอนนั้นเธอเป็นคนขอให้กงซุนจื้อถอดจี้หยกออกมา พอเธอสัมพัสมันแล้ว วัสดุของมันเป็นแบบเดียวกับจี้หยกในมือเธอแม้ว่าเธอจะไม่ได้เข้าใจเรื่องหยกมากนัก แต่เธอก็สัมผัสจี้หยกของเธอมาหลายปีแต่ปัญหาก็คือ ถึงเธอจะเล่าเรื่องสมัยเด็กของเธอให้ซูถิงฟัง แต่ซูถิงไม่เคยเห็นจี้หยกใกล้
หลินหว่านหรูจะไม่รู้ว่ากงซุนจื้อกำลังคิดอะไรอยู่ได้ยังไงถ้าฟังจากคำพูดเขา สีหน้ารังเกียจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอทันทีเธอเปลี่ยนจากไม่ชอบเป็นน่ารังเกียจเขาสุดๆ เมื่อสิ้นคำพูดเมื่อครู่ เธอก็รู้สึกรังเกียจมากยิ่งขึ้น“ทำไมคุณไม่พูดอะไรหน่อยล่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมจะวางแล้ว” กงซุนจื้อดูเย่อหยิ่งและภาคภูมิใจมาก มาขอร้องกันถึงที่ขนาดนี้ ยังแกล้งทำเป็นบริสุทธิ์ไร้เดียงสา“ถ้างั้นก็วางเถอะ”หลินหว่านหรูไม่อยากพูดอะไรอีก เธอวางสายโทรศัพท์ไปทันทีคุยกับคนแบบนี้เท่าไหร่ก็ไม่มีประโยชน์กงซุนจื้อดูตกตะลึงและสับสนอยู่ครู่หนึ่ง เธอไม่ควรขอร้องเขาเหรอ หรืออาจะเป็นการริเริ่มมาหาเขาแล้วยอมให้เขาเล่นกับเธอยังไงก็ได้?เขามีสีหน้าโกรธเคืองปนเปไปกับความประหลาดใจ ดูเหมือนว่าหลินหว่านหรูจะไม่ได้ตระหนักถึงความน่ากลัวของอำนาจเขาเลยสินะรอก่อน ผมจะทำให้คุณเสียใจขณะที่กงซุนจื้อโกรธมากจนแทบอาเจียนเป็นเลือด เขาก็ได้รับโทรศัพท์ ความประหลาดใจปรากฏบนใบหน้าของเขา “อะไรนะ คุณปู่ยง คุณจะมาที่นี่ตอนหกโมงเย็นเหรอครับ?”“ครับ ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้”น้ำเสียงของกงซุนยงไม่ดีนัก การต่อสู้กับตระกูลไป๋เพิ่งสิ้นสุดลง และเข
เขารู้สึกว่าปัญหาต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้น ตอนที่ตระกูลกงซุนลงมือจริง ๆ ตระกูลหลินได้เจอหายนะแน่ทันทีที่คุณปู่หลินมาถึงประตูโรงแรม เขาก็พบว่ากงซุนจื้อเองก็อยู่ตรงประตูด้วย เขาตกใจเล็กน้อยก่อนจะรีบรุดหน้าเข้าไปเรียกเขา “คุณชายกงซุน!”“คุณมาทำอะไรที่นี่” กงซุนจื้อถามด้วยท่าทีหงุดหงิด อีกไม่นานคุณปู่ของเขาก็ใหล้จะมาแล้ว ไม่สิ รถคันหน้านี่ก็มาแล้ว“คือผมอยากคุยกับคุณเรื่องหลานสาวของผมน่ะครับ” คุณปู่ตระกูลหลินรีบพูดขึ้นมาทันที“ไม่มีเวลา!”“ตอนนี้ผมไม่มีเวลาให้เรื่องไร้สาระนั่น”กงซุนจื้อไม่สนใจเขาและรีบไปข้างหน้าคุณปู่หลินรู้สึกสับสนเล็กน้อย เรื่องที่หลานสาวจะแต่งงานกับเขากลายเป็นเรื่องไม่สำคัญอย่างนั้นเหรอ?แต่ในไม่ช้าเขาก็ได้เข้าใจ เพราะเขาเห็นกงซุนจื้อทักทายท่านปู่ที่กำลังลงจากรถด้วยความเคารพ และพูดอย่างมีความสุข: “คุณปู่ยง!”เมื่อเห็นสีหน้าแสดงความเคารพของกงซุนจื้อ รวมกับที่เขาเรียกคุณปู่ยง จากการตรวจสอบของเขา คนที่ทำให้กงซุนจื้อยอมเรียกเขาว่าปู่ยงได้ก็คือ กงซุนยง บุคคลระดับสูงของตระกูลกงซุนนั่นคือบุคคลที่ทรงพลังติดอันดับหนึ่งในห้าของตระกูลกงซุนจบกัน เ
“ไม่ใช่!”“อย่านะคะ!”หลินหว่านหรูตกใจมาก เธอจะให้ปู่คุกเข่าต่อหน้าเธอได้ยังไง “ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ หนูจะไม่ทิ้งตระกูลหลินแน่นอน” เธอรีบพูดทันที“ก็แค่ เรารอดูไประยะหนึ่งก่อนได้ไหมคะ รออีกสักหน่อย!”“ไม่ได้นะ ไม่เห็นที่ปู่พูดหรือไง กงซุนจื้อให้เวลาเรามาแล้ว ถ้าคืนนี้หลานไม่ไป พรุ่งนี้เช้าตระกูลหลินของเราต้องราบเป็นหน้ากลอง”คุณแม่ตระกูลหลินพูดทันที“ไม่ ยังมีวิธีอื่นอยู่อีกนะ”คุณปู่ตระกูลหลินเห็นหลานสาวไม่เต็มใจ จึงเกิดความคิดขึ้นมา: “เราลองทำแบบนี้ก็ได้นะ หว่านหรู คืนนี้หลานไปจัดการกับกงซุนจื้อ ให้เขาทนรอสักสองสามวัน”“หลานรับปากเขาให้หมดทุกอย่าง แต่ต้องรออีกสองสามวันถึงจะมีอะไรกันได้ ถ้าอย่างนั้นละก็ ถ้าอีกไม่กี่วันเย่เทียนหยู่จัดการตระกูลกงซุนได้ ทุกอย่างก็จะคลี่คลาย”“ถ้าไม่ มันก็พิสูจน์ได้ว่าเย่เทียนหยู่เป็นคนโกหก เขาหลอกลูก และใช้โอกาสนี้ทำร้ายตระกูลหลินของเราด้วย”“ถ้าเป็นแบบนั้นละก็ การแต่งงานกับกงซุนจื้อคือตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุด”เมื่อคุณแม่ตระกูลหลินได้ยินแบบนั้น เธอก็ตอบตกลงทันที “ใช่ ๆ เป็นความคิดที่ดีมากเลย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว จะได้เห็นใบหน้าแท้จริงอุบ
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลของกงซุนจื้อเองก็ทรงพลังมากในขณะนี้กงซุนจื้อกำลังปรนิบัติกงซุนยงด้วยไวน์ชั้นเลิศกับอาหารแสนอร่อยเขาไม่กล้าอวดตัวต่อหน้ากงซุนยง เพราะยังไง กงซุนยงก็เป็นปรมาจารย์ระดับพลังผลัดเปลี่ยนขั้นปลาย คนที่มีสถานะแบบนี้ ไม่ว่าจะอยู่ไหนก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งจนน่ากลัวหลังจากการต้อนรับ กงซุนกยงก็รู้สึกดีขึ้นมาก: “เสี่ยวจื้อ เด็กหนุ่มผู้ทรงพลังอะไรกัน ถึงขนาดขอให้หัวหน้าตระกูลส่งผมมาช่วย?” เขาพูดอย่างเหยียดหยามทันทีที่กงซุนจื้อได้ยินแบบนั้น เขาก็รีบอธิบายสถานการณ์ทันที โดยเฉพาะเรื่องของ หูเหยียนลี่ บอดี้การ์ดของเขาที่ถูกอีกฝ่ายจัดการเขายังบอกให้ผู้เฒ่าหวังไปก่อกวนเย่เทียนหยู่ด้วย แต่เขาก็หายตัวไปทันที สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเย่เทียนหยู่ยังโทรมาเยาะเย้ยเขา“หมายถึงหวังหย่งรึ ปกติแล้วเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไร จะถูกคู่ต่อสู้ฆ่าก็ไม่แปลกหรอก”“เด็กนั่นเก่งกาจมาก แล้วมันก็บ้าบิ่นมากด้วยครับ”กงซุนจื้อพูดด้วยความหงุดหงิด “หลังอาหารเย็น ข้าจะไปจัดการกับเขาเอง เขาก็แค่เด็กหนุ่ม ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็เป็นเรื่องง่ายจะจัดการอยู่ดี”“ใช่แล้วครับ คุณปู่ยงลงมือเอง ต่อให้เด็กนั่นเป
ทันทีที่เดินไปถึงข้างรถ เย่เทียนหยู่ก็สังเกตเห็นว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านใน การแต่งตัวค่อนข้างประหลาด เสื้อเชิ้ตเปิดออกเล็กน้อย ท่าทางก็ดูหยิ่งยโสไม่เกรงกลัวใคร“ไอ้หนู แกรู้ไหมว่าแกทำผิดพลาดอะไรไป?”ชายหนุ่มที่ว่าคือไป๋หยาง เขามองไปยังเย่เทียนหยู่ และเล่นกับไม้เบสบอลในมือด้วยท่าทางที่ดูชั่วร้าย พร้อมกับถามคำถามออกมา“ไม่รู้”เย่เทียนหยู่ส่ายหัว เขาไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ นั่นแหละ แล้วก็ไม่ได้มีใครบอกเขาด้วย“แกไม่รู้งั้นเหรอ?”“ไอ้หนู แกทำอะไรลงไปบ้าง แกจะบอกว่าไม่รู้เลยงั้นเหรอ?” ชายคนที่เพิ่งพาตัวเย่เทียนหยู่มากล่าวด้วยความโกรธเคือง หากไม่ใช่เพราะยังไม่ได้รับคำสั่งจากคุณชายไป๋ เขาคงจะลงมือไปนานแล้วเย่เทียนหยู่ขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาขึ้นว่า “มีอะไรก็เชิญพูดมาตรง ๆ เถอะ ฉันไม่ได้มีเวลามามัวไร้สาระกับพวกแกมากขนาดนั้น!”“โอ้ ไอ้เด็กนี่ยังทำตัวหยิ่งอีกด้วย”ชายหนุ่มโกรธจัด ขณะที่เขาเตรียมจะลงมือแต่คุณชายไป๋ก็ได้โบกมือไปมา และพูดเยาะเย้ยขึ้นว่า “ดูสีหน้าท่าทางของไอ้เด็กนี่สิ เกรงว่ามันคงจะไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองทำอะไรลงไป หรือเผลอไปล่วงเกินใครเขาเข้า”“ก็คงใช่ ถ
หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น ปิงเยว่ก็รีบพูดขึ้นทันที “คุณเองก็ไม่เลว คุณสามารถยับยั้งเขตแดนแรงกดดันของฉันได้ในทันที ไม่ทราบว่าพอจะบอกได้ไหม ว่าความแข็งแกร่งของคุณอยู่ในระดับไหน?”ตรงไปตรงมาขนาดนี้เลยเหรอ แน่นอนว่าเย่เทียนหยู่จะไม่บอกเธอ เขายิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะพูดออกไปว่า “ก็แค่เทคนิคเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้สำคัญอะไร”ปิงเยว่ที่ได้ยินเช่นนนั้น เธอก็รู้แล้วว่าตนนั้นเดาไม่ผิด ว่ามันเป็นแค่เทคนิคอะไรบางอย่างจริง ๆ ขณะที่เธอกำลังจะพูดในตอนนั้นเอง ก็มีรถสีดำคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดเทียบข้าง ๆ หน้าต่างรถถูกลดระดับลง เห็นได้ชัดว่ามารับพวกปิงเยว่ทั้งสองคนเธอไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนที่จะรีบขึ้นรถไปพร้อมกับเสี่ยวลู่ขณะที่มองดูทั้งสองคนเดินจากไป สีหน้าของเย่เทียนหยู่ดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวขึ้นว่า “หลิวหลี ผู้หญิงคนนั้นไม่ธรรมดา ส่งคนไปตรวจสอบพวกเขาหน่อย ดูว่าพวกเธอกำลังทำอะไรกันแน่”“อืม!”“ฉันส่งคนไปตรวจสอบเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ” จูเก่อหลิวหลียกโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอยังได้ทำการแอบถ่ายรูปของทั้งสองคนเอาไว้อีกด้วยเย่เทียนหยู่ไม่สามารถหุบยิ้มได้ “คุณนี่ฉ
“จริงสิ สืบเรื่องผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ เขาด้วย ถ้าพวกเธอเป็นคนของเขาจริง ๆ ก็จับพวกเธอมาด้วย” ดวงตาของหนานกงเล่อเต็มไปด้วยความชั่วร้ายแม้จะได้เห็นพวกเธอผ่านแค่ในจอเท่านั้น แต่ก็สามารถเห็นถึงความสมบูรณ์แบบของหญิงสาวทั้งสองได้ ซึ่งก็ใกล้เคียงกับเทพธิดาในใจของเขาอย่างเฟยเฟยด้วยเช่นกัน แน่นอน ว่าในใจของเขา ไม่ว่ายังไงเทพธิดาเฟยเฟยก็สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับเขา“ได้ครับ!”ไป๋หยางพยักหน้า แต่ในใจลึก ๆ ของเขากลับแอบหดหู่ เขารู้สึกซาบซึ้งใจเมื่อได้เห็นสิ่งนี้ เดิมทีเขาตั้งใจจะเก็บเอาไว้เอง แต่คิดไม่ถึงว่าคุณชายหนานกงจะโลภมากขนาดนี้ ถึงกับจะฮุบเอาไว้หมดคนเดียวไม่คิดจะเหลือไว้ให้เขาเลยสักคำแต่ถึงยังไงนั่นก็เป็นคุณชายแห่งตระกูลหนานกง เพราะงั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งเฉินเฟยเฟยไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย เธอขยับเข้าไปหาเย่เทียนหยู่ แล้วกระซิบว่า “พี่เย่คะ อีกเดี๋ยวพองานจบ ฉันขอเลี้ยงมื้อดึกพี่นะคะ”เย่เทียนหยู่มองออกว่าเฉินเฟยเฟยคิดยังไงกับตน เขาเลยกลัวว่ามันอาจจะถลำลึกลงไปมากกว่านี้ เขาจึงปฏิเสธออกไปอย่างรวดเร็ว “เอ่อคือ อีกเดี๋ยวฉันยังมีธุระอยู่ เลยไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ไว
ท่ามกลางเสียงร้องฮึกเหิมของฝูงชน ในที่สุดเพลงก็จบลง และคอนเสิร์ตเองก็ได้สิ้นสุดลงเช่นกันปิงเยว่ค่อย ๆ กลับมามีสติอีกครั้ง เธอเติบโตมากับอาจารย์ของเธอ เธอจึงไม่รู้จักเพลงนี้จริง ๆแต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อฟังพวกเขาร้องเพลง เธอถึงได้รู้สึกว่าเลือดของเธอนั้นเริ่มเดือดพล่านขึ้นมา ราวกับว่าความยากลำบากต่าง ๆ นั้นไม่ได้รู้สึกยากลำบากอีกต่อไปเมื่อมองไปยังเย่เทียนหยู่ที่อยู่บนเวทีอีกครั้ง เธอก็กลับไม่รู้สึกเกลียดเขาอีกต่อไป อย่างน้อยผู้ชายน่ารังเกียจคนนี้ ก็เหมือนจะต่างจากผู้ชายน่ารังเกียจคนอื่นอยู่บ้างแน่นอน ว่าเขาก็ยังคงเป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจอยู่เหมือนเดิม เขาไม่คู่ควรที่จะมีความสัมพันธ์ใด ๆ กับตนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งมีควรค่าให้เพ้อฝันถึงตนด้วยซ้ำ“ต้องขอบคุณเพื่อนคนนี้มากเลยนะคะ เขาทำให้พวกเรามีช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุดในคอนเสิร์ตนี้” ทันทีที่เฉินเฟยเฟยพูดจบ เธอก็เดินไปข้างหน้า ก่อนที่จะอ้าแขนโอบกอดเย่เทียนหยู่หลังจากได้ยินสิ่งที่เฉินเฟยเฟยพูด ทุกคนต่างก็เห็นด้วย กระทั่งตอนที่เฉินเฟยเฟยเป็นฝ่ายเริ่มกอดชายบนเวทีก่อน พวกเขาก็กลับรู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งที่รับได้ต้องเข้าใจก่อนว
ปิงเยว่และจูเก่อหลิวหลีต่างก็อยู่ในระดับปรมาจารย์ที่ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ธรรมดา เสียงมากมายเหล่านั้นพวกเธอย่อมได้ยินอย่างชัดเจนพอได้ยินคำพูดที่ว่ามีสาวให้โอบซ้ายกอดขวาอะไรนั่นแล้ว จูเก่อหลิวหลีก็รู้สึกพอใจอย่างมาก เธอแทบอยากจะประกาศออกไปเสียด้วยซ้ำถูกต้องแล้ว ฉันเป็นผู้หญิงของคุณชายแต่ปิงเยว่กลับแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด เธอยิ่งฟังมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นเท่านั้นไอ้ผู้ชายน่ารังเกียจที่นั่งอยู่ข้าง ๆ คนนี้ คิดอยากจะโอบกอดตนงั้นเหรอ ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียจริงหากไม่ใช่เพราะสถานที่ไม่เอื้ออำนวย เธอคงฆ่าคนไปนานแล้ว!ไร้สาระทั้งเพ!เฉินเฟยเฟยเองก็สังเกตเห็นปฏิกิริยาของฝูงชนด้วยเช่นกัน และให้ความสนใจกับสาวงามที่ไม่อาจมีใครทัดเทียมทั้งสองคนที่อยู่ข้าง ๆ เย่เทียนหยู่มากขึ้น คนอื่น ๆ ก็แค่คาดเดาแต่เธอกลับรู้สึกว่า สองคนนี้อาจจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับพี่เย่อยู่จริง ๆแต่ยิ่งเหตุการณ์เป็นแบบนี้มากเท่าไหร่ เฉินเฟยเฟยไม่แค่ไม่อิจฉา กลับกัน เธอยิ่งชอบมากกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะเธอรู้ดี ว่าตัวเธอเองก็มีเสน่ห์เหมือนกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีผู้ชายคนไหนต้องการเธอส่ว
“ไม่ได้ ถ้าเป็นเธอ งั้นก็ช่างเถอะ อย่างเธอน่ะนะ เธอจะทำให้คุณชายของฉันตกใจเสียเปล่า” จูเก่อหลิวหลีพูดประชดประชัน“เธอ!”เสี่ยวลู่รู้สึกโกรธอย่างมาก“หลิวหลี ช่างมันเถอะ” เย่เทียนหยู่เองก็หมดคำจะพูด มันยิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตนจะถูกเชิญขึ้นไปมากขึ้นเรื่อย ๆ ยัยเด็กคนนี้ ถึงขั้นเล่นไม้นี้เลยงั้นเหรอ“เป็นพวกเธอต่างหากที่มั่นหน้าเกินไป แถมยังคิดเองเออเองอีกว่าคุณชายชอบพวกเธอ” จูเก่อหลิวหลีขมวดคิ้วอย่างเย็นชา“คุณชักจะล้ำเส้นเกินไปแล้วนะ!”ปิงเยว่โกรธจัด รัศมีเย็นยะเยือกก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเธอ อุณหภูมิรอบตัวลดลงสิบองศาได้ในพริบตา จนทำให้เธอรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งตัวจูเก่อหลิวหลีรู้สึกตกตะลึงที่ผู้หญิงคนนี้มีพลังที่น่ากลัวมากขนาดนี้ ที่แท้ความรู้สึกเมื่อสักครู่ก็เป็นเรื่องจริง อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าตนเสียอีกตอนนี้ตัวเองก็อยู่ระดับปรมาจารย์แล้ว แต่เธอกลับแข็งแกร่งกว่าตนอีก ความแข็งแกร่งของเธอจะน่ากลัวขนาดไหนกัน“พอแค่นี้เถอะ!”ในตอนนั้นเอง เย่เทียนหยู่ก็รีบพูดขึ้นมา ทันทีที่เขาเปิดปาก ความเย็นยะเยือกในอากาศทั้งหมดก็หายไป และกลับคืนสู่ภาวะปกติหลายคนที่อยู่รอบ ๆ ก็รู้สึก
“ไม่หรอกมั้ง เขาก็ดูใช้ได้อยู่นะ” จางผิงรีบตอบทันที“เป็นแบบนั้นที่ไหนกัน ฉันว่าเขาดูเหมือนคนโรคจิตมากกว่า” เหอฉุนโต้แย้ง“เอ่อ ไม่น่าจะเป็นงั้นนะ ถ้าเขาเป็นคนเลวขนาดนั้น พี่เฟยเฟยก็คงเสียความบริสุทธิ์ไปนานแล้ว”“หมายความว่ายังไง?”“เธอก็ถามพี่เฟยเฟยเองเถอะ” จางผิงไม่ได้พูดอะไรอีกแต่เหอฉุนกลับส่ายหัว เธอมักจะรู้สึกว่าทั้งสองคงยังอ่อนต่อโลกเกินไป เลยอาจจะถูกเย่เทียนหยู่หลอกก็ได้หลังจากนั้นไม่นาน เฉินเฟยเฟยก็ได้เริ่มร้องเพลงที่สองของเธอ สไตล์ของเพลงนี้แตกต่างไปเล็กน้อย แต่ก็ยังคงไพเราะจับใจเช่นเดิมเวลาได้ผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ในขณะที่ผู้คนต่างก็กำลังหลงใหลและเพลิดเพลินอย่างสุดขีด มันก็ค่อย ๆ เริ่มเข้าสู่ช่วงท้ายของคอนเสิร์ตอย่างช้า ๆ“คืนนี้ได้มีโอกาสมาพบกับทุกคนที่นี่ ฉันรู้สึกดีใจมากจริง ๆ ค่ะ แต่เวลาก็กลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว การพบกันย่อมมีวันสิ้นสุดเสมอ”“แต่การจากลาในวันนี้ ก็เพื่อที่เราจะได้พบกันใหม่ในวันหน้า ขอส่งบทเพลงแห่งความสุขนี้ให้กับทุกคนค่ะ!”เมื่อเสียงของเธอสิ้นสุดลง เสียงที่ไพเราะของเธอก็ดังออกมา ทำให้ทุกคนกลับเข้าสู่บรรยากาศนั้นอีกครั้ง ค่อย ๆ ผ่านไปช้า
ขณะที่ริมฝีปากของเธอเปิดออก คำพูดที่อ่อนโยนและชวนให้ลุ่มหลงก็หลุดออกมา กระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ และถูกสุ่งให้ไปถึงหูของทุกคนทุกคนต่างก็พากันโบกแท่งเรืองแสงไปมา ขณะที่กำลังฟังเสียงร้องอันไพเราะและสมบูรณ์แบบของเธอ ทุกคนต่างก็พากันร้องตามไปด้วยเป็นเพลงที่ค่อนข้างจะเรียบง่าย แต่เมื่อมันออกมาจากปากของเฉินเฟยเฟย มันก็กลับสมบูรณ์จนทำให้ผู้ฟังรู้สึกติดหูมากเสียงอันไพเราะและอ่อนหวานของเธอแทรกซึมเข้าไปในหูของทุก ๆ คน จนทำให้ทุกคนรู้สึกตามอย่างไม่อาจควบคุมได้ และจมดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆในตอนนั้นเอง ใบหน้าของเย่เทียนหยู่ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว เขารู้สึกแค่ว่าตนได้จมดิ่งเข้าไปอย่างสมบูรณ์แล้วในขณะเดียวกัน เย่เทียนหยู่ก็เข้าใจได้ในที่สุด ว่าทำไมทุกคนถึงได้คลั่งไคล้มากขนาดนี้ เพราะเสียงนี้ของเธอนั้นดูสมจริงและไพเราะมากนี่ถือว่าเป็นเสียงที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาก็จมอยู่กับมันด้วยเช่นกัน สีหน้าและอารมณ์เองก็ดูแตกต่างออกไปจากเดิมบางทีอาจเพราะจมดิ่งกับมันมากเกินไป หรืออาจเพราะรู้สึกชอบมันมาก เลยไม่ทันได้สังเกตว่าตั้งแต่ที่เฉินเฟยเฟยเดินออกมา เธอก็เหมือนจะกำลังมอ
ทันใดนั้นผู้หญิงชุดเขียวก็รู้สึกโกรธ และกำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมาแต่หญิงสาวที่อยู่ด้านหน้ากลับดุขึ้นมาทันที “เสี่ยวลู่ เธอเป็นคนผิดก่อนนะ ช่างมันเถอะ”“ค่ะ นายท่าน!”ผู้หญิงชุดสีเขียวพยักหน้า และไม่พูดอะไรอีกไม่รู้ว่าอาจเพราะเธอกลัวจะเกิดความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย หญิงสาวคนนั้นจึงนั่งลงตรงที่นั่งที่อยู่ข้าง ๆ เย่เทียนหยู่ ซึ่งหมายความว่า ที่นั่งของเธออยู่ด้านหลังเยื้องไปทางด้านซ้ายของเย่เทียนหยู่ และผู้หญิงชุดเขียวเองก็นั่งลงตรงที่นั่งซ้ายมือของเธอเช่นกันเย่เทียนหยู่ตกตะลึงไปชั่วขณะ เดิมทีการปรากฏตัวของหญิงสาวลึกลับเช่นนี้ก็ทำให้เขาประหลาดใจมากพออยู่แล้ว และตอนนี้เธอก็กลับมานั่งอยู่ข้าง ๆ เขาหลังจากนั่งลงแล้ว หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมองเย่เทียนหยู่ แต่ก็เบือนหน้าหนีแทบจะในทันทีในสายตาของเธอ เย่เทียนหยู่หล่อมากจริง ๆ แต่นั่นก็มีเพียงเท่านั้นตั้งแต่ที่เธอเริ่มฝึกฝนอย่างหนักจนทำให้หลงลืมอารมณ์ความรู้สึกไป ตัวเธอเองก็เริ่มสนใจเรื่องความรู้สึกน้อยลงไปเรื่อย ๆ เธออุทิศตนให้กับการฝึกฝน และนั่นก็ทำให้เธอไม่รู้สึกสนใจผู้ชายคนไหนเลยนอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว สิ่งเดียวที่สามารถทำให