เวลา 11.30 น. ในตอนเช้า หลินหว่านหรูได้ขับรถเย่เทียนหยู่ไปที่ร้านอาหารเถาหยวนและเห็นซูถิงที่กำลังรออยู่เมื่อซูถิงเห็นเย่เทียนหยู่เธอก็ถามคำถามของเธอทันที: “เย่เทียนหยู่ฉันได้ยินหว่านหรูพูดว่านายพักที่วิลล่าสกายพาเลซหมายเลขหนึ่งในเทียนไห่เมื่อคืนนี้”เย่เทียนหยู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าและพูดว่า “ครับ”“แล้วคุณรู้จักประธานหยางไหม” ซูถิงถามหลินหว่านหรูตกตะลึง เย่เทียนหยู่รู้จักประธานหยางได้ยังไง ซูถิงเชื่อจริง ๆ ว่าเย่เทียนหยู่จะอาศัยอยู่ที่นั่น เธอสติไม่ดีไปหรือเปล่า?แต่เย่เทียนหยู่ตอบว่า: “ผมรู้จักเขา”“รู้จักกันจริง ๆ เหรอ?” ซูถิงตกตะลึง“อือ เขาเป็นลูกน้องของผมครับ”เย่เทียนหยู่พยักหน้าเมื่อได้ยินดังนั้นทั้งสองก็พูดไม่ออกพวกเธอเคยเห็นคนคุยโวมากก็มาก แต่ไม่เคยเจอใครเป็นหนักขนาดนี้มาก่อนเลยหลินหว่านหรูอยากจะทุบเขาสักทีจริง ๆซูถิงยังพูดว่า: “สงสัยฉันจะสมองเพี้ยน ดันไปคิดว่าตาหมอนี่จะพักอยู่ที่วิลล่าสกายพาเลซหมายเลขหนึ่งที่เทียนไห่จริง ๆ เนี่ย”ตอนนี้เธอมั่นใจมากว่าเดิม ว่าคืนวานซืนนั้นเธอคงตาพร่ามัวไปจริง ๆเย่เทียนหยู่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ทำไมไม่มี
“จางลี่ คุณเป็นหนี้ตระกูลหลินห้าสิบล้านและยังไม่ได้จ่ายคืน เรื่องเมื่อวันก่อนฉันยังไม่ได้คิดบัญชีเลย คุณกล้าดียังไงมาปรากฏตัวอีก?” หลินว่านหยูถามด้วยความโกรธ“ผมมีเงินห้าสิบล้านนั่นอยู่แล้ว แต่คุณไม่ไปที่บ้านของผมเพื่อรับมันเอง!”“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน พูดไปมันก็ทำให้ผมหงุดหงิดเป็นบ้า!”จางลี่หัวเราะเยาะ: “ทำไมผมวางยาคุณแล้วคุณดันไปหาคนอื่นซะล่ะ?”“แกกำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอะไร!” หลินหว่านหรูรู้สึกละอายใจและโกรธ“ผมพูดไร้สาระไปเหรอ? เธอไม่ได้หนีไปแล้วหาผู้ชายมาแก้ปัญหาด้วยตัวเองหรอกเหรอ? ช่างน่าทึ่งมาก แต่อย่ากังวล เพราะวันนี้ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอลำบากแน่”“แกกล้าเหรอ!”หลินหว่านหรูตกใจและโกรธ“ลองดูสิว่าฉันกล้าไหม!” จางลี่หัวเราะเสียงดังเขารู้จักผู้หญิงที่เหนือกว่าเหล่านี้ดีที่สุด และจะถ่ายวิดีโอและรูปถ่ายมากมายหลังจากเสร็จแล้ว ดังนั้นเธอจะไม่กล้าเผยแพร่ต่อไม่งั้นทำไมไม่กล้าแจ้งตำรวจถึงเรื่องที่แล้ว?ติงฮุยมองดูและรู้สึกว่าบางทีเขาอาจมีโอกาสที่จะสร้างความแตกต่าง แต่เขาต้องถามให้ชัดเจนก่อน: “คุณหนูหลินพวกเขาเป็นใคร”“เจ้าของบาร์มีคนหลายสิบคนที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเข
หลายคนตกตะลึงไปชั่วขณะ พวกเขาไม่คาดคิดว่าเย่เทียนหยู่ผู้รักตัวกลัวความตายจะลุกขึ้นยืนในช่วงเวลาวิกฤติจริง ๆ“เฮ้ ยังมีคนที่ไม่กลัวความตายอยู่นะ”“คุณมันไอ้สารเลว คุณยังเป็นสามีของท่านปู่หลิน และคุณก็ไม่โกรธที่จะมองดูตัวเองเลย”จางลี่เยาะเย้ยและเยาะเย้ย“เจ้าปากไม่ดี ตบปากซะ!” เย่เทียนหยู่พูดเบา ๆ“ฮ่าฮ่า แค่แกเนี่ย...อ้ากกก...”ขณะที่จางลี่กำลังจะหัวเราะต่อไป เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่แก้ม เขาหมุนตัวไปรอบ ๆ สองสามครั้ง บินไปทางกำแพง ชนกำแพง และล้มลงกับพื้นภายในพริบตา!ทุกคนถึงกับอึ้ง!เกือบจะเหมือนเดิมทุกประการแต่เร็วขึ้นอีกด้วยเพียงแต่ว่า ผู้ที่โจมตีผู้อื่นเมื่อกี้กลายเป็นผู้ถูกโจมตีเหล่าสหายต่างพากันพุ่งตรงเข้าไปโจมตีพร้อมความเหลือเชื่อที่ยังไม่จางหายปัง ปัง...โดยปราศจากความกังวลใดๆ ทั้งสี่คนก็บินกลับหัวและนอนอยู่บนพื้นชั่วขณะหนึ่งโดยไม่สามารถฟื้นตัวได้หลินหว่านหรูและซูถิงเกือบจะคิดว่าพวกเขาตาพร่าและไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองจางลี่นอนอยู่บนพื้น ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาบวม เมื่อรู้สึกถึงความเร็วและพลังที่น่าอัศจรรย์ในตอนนี้ เขาจึงมองเย่เทียนหยู่ด้วยความตกใจ: “คุณ คุณเป
“ก็นั่นแหละย่ะ!”ซูถิงขมวดคิ้วขณะที่เธอฟังการสนทนาระหว่างทั้งสอง หลังจากเหตุการณ์นี้ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองดูเหมือนจะคลี่คลายลงมาก แต่แบบดีไม่ดีแน่นายน้อยหลิวต่างหากที่เป็นจุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์แบบที่สุดของหว่านหรูดังนั้นเธอจึงพูดทันที: “เย่เทียนหยู่การที่นายเป็นกังฟูมันก็ดีหรอกนะ แต่ในสังคมกฎหมายในปัจจุบัน กังฟูทำได้เพียงทำให้คนธรรมดาหวาดกลัวเท่านั้น”“เมื่อเทียบกับอำนาจอันยิ่งใหญ่แล้ว กังฟูก็ไร้ค่า!”“ใช่!”ติงฮุยเองก็ยืนขึ้น เนื่องจากหลินหว่านหรูหยุดเขาไว้ทันเวลา ทำให้อาการบาดเจ็บของเขาไม่ร้ายแรง เขาพูดสนับสนุนเธอ: “เมื่อเผชิญกับอำนาจ ไม่ว่าทักษะของแกจะเป็นยังไงมันก็แค่เรื่องไร้สาระเท่านั้น”เย่เทียนหยู่หัวเราะเบา ๆ และพูดว่า: “งั้นเหรอครับ งั้นดูเหมือนคุณจะเป็นพวกสวะไร้อำนาจสินะ ไม่อย่างนั้นเมื่อกี้จะถูกหมาบ้านั่นไล่ต้อนขนาดนั้นเหรอครับ?”“น…นั่นมันลอบโจมตี ไม่อย่างนั้นผม”ติงฮุ่ยโกรธมากจนพูดไม่เก่งด้วยซ้ำ“เหอะ ๆ…”เย่เทียนหยู่ไม่ได้ปฏิเสธแค่หัวเราะ แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นการเสียดสี“พอได้แล้ว ติงฮุย ขอบคุณที่ยืนหยัดเพื่อฉันเมื่อกี้นะ คุณได้รับบาดเจ็บยังไงบ้าง? ต้
เมื่อเห็นแบบนั้นใบหน้าของซูถิงหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเธอต้องการของก่อน และเมื่อกี้เธอก็ไม่ได้ทะเลาะกับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ นี่มันมากเกินไปแล้วใบหน้าของติงฮุยก็ดูไม่ดีเช่นกัน เขาลังเลและกระซิบว่า “ซูถิง ลำบากคุณหน่อยได้ไหม”“คุณกำลังพูดอะไร อยากให้ฉันคุกเข่าลงจริง ๆ เหรอ?”แม้ว่าตอนนี้ซูถิงจะผิดหวังเล็กน้อยกับติงฮุย แต่เธอก็คิดว่าเขายังมีความผู้ชาย แต่เธอไม่คิดว่าเขาจะมาขี้ป๊อดในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้“เราทำอะไรได้ เราสู้เขาไม่ได้นะ”ซูถิงดูสีหน้าย่ำแย่ คนอย่างคุณยังบอกว่าเย่เทียนหยู่น่าอายอีกเหรอ?ตั้งแต่ครั้งเมื่อกี้จนถึงตอนไหน ครั้งไหนบ้างที่ไม่ใช่นายขายหน้า?หลินหว่านหรูทนไม่ไหว และเพราะเธอต้องการซื้อเสื้อผ้า เธอจึงชักชวนเธอว่า “คนสวย ฉันว่าเราเข้าใจกันผิดเรื่องนี้นะคะ”“เราจะจ่ายค่าเสื้อผ้าเพื่อเป็นการขอโทษ!”แต่ผู้หญิงคนนั้นก็หัวเราะเยาะและพูดว่า: “หุบปาก เงินแค่นี้ฉันขาดเหรอ? เรื่องวันนี้ต้องคุกเข่าลงและขอโทษฉันซะ”ติงฮุยยังโน้มน้าวต่อ “ซูถิงครั้งนี้คุณผิดจริง ๆ แค่คุกเข่าและยอมรับความผิดพลาด ไม่อย่างนั้น ผมเกรงว่าผลที่ตามมาจะไม่ใช่สิ่งที่คุณจะทนได้หรอก”
ทุกคนที่ได้ยินก็ตกใจงงงวยงุนงงกันหมด!หลินหว่านหรูถูกเย่เทียนหยู่ที่ยืนหยัดเพื่อเธออีกครั้งทำเอาประทับใจ แต่ยังรู้สึกรำคาญกับความไม่รู้และความไม่แยแสโลกของเขาอยู่ดีนี่มันรนหาที่ตายชัด ๆ เลยแน่นอนว่าจู่ ๆ ซ่งหยางก็โกรธจัด“มึงมันแกว่งเท้าหาเสี้ยน!”ทันทีที่เขาพูดจบซ่งหยางก็ก้าวไปข้างหน้า ยกมือขวาขึ้น และตบเขาอย่างแรงโดยไม่ลังเลดูเหมือนการเคลื่อนไหวจะเร็วมากและความเร็วก็พุ่งเต็มปรอทหลินหว่านหรูตกใจมาก นายน้อยซ่งคนนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นปรมาจารย์วิทยายุทธ์จริง ๆเธอเพิ่งรู้ว่าเย่เทียนหยู่รู้จักกังฟู และเธอไม่รู้ว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงมันได้หรือไม่เย่เทียนหยู่ดูสงบและไม่ได้หลบเลย เขาไม่ได้ตบคู่ต่อสู้กลับจนกว่าเขาจะเข้ามาใกล้ตึง!เสียงดังฟังชัด!ซ่งหยางคร่ำครวญอย่างน่าอนาถ รู้สึกว่าใบหน้าของเขาร้อนจัดด้วยความเจ็บปวดขณะที่เขาถูกผลักกลับทุกคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งพวกเขาไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยซ้ำไป!เพราะในความเห็นของพวกเขา เย่เทียนหยู่น่าจะเป็นคนที่โดนทำร้ายซ่งหยางโกรธมาก เขารู้สึกว่าเขาเพิ่งประมาทเขาจึงลุกขึ้นมมาอีกครั้งและกระโจนขึ้นไปในอากาศเหมือนนกอินทรีก
หลังจากที่พนักงานร้านตกใจแล้วก็รีบหยิบการ์ดเข้าไปรูด มันเป็นเรื่องจริงหลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว เขาก็ส่งคืนให้เย่เทียนหยู่ทันที และพูดด้วยความเคารพ: “ท่านคะ เสื้อผ้าและบัตรของคุณค่ะ”เย่เทียนหยู่รับมันไว้และเก็บการ์ดไว้ไป ก่อนจะถือเสื้อผ้าเอาไว้เมื่อเห็นว่าแบล็กการ์ดมังกรดำเป็นของจริง ซ่งหยางก็รู้สึกหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น เขารีบลุกขึ้นและเดินจากไป เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาลุงของเขา เขาต้องยืนยันก่อนหากเราไปขุ่นเคืองกับคนใหญ่โตแบบนี้ เราก็ต้องแก้ไขโดยเร็ว มิฉะนั้นเขาจะตายอย่างน่าสังเวชและอาจนำความเสียหายมาสู่ตระกูลซ่งด้วยหลินหว่านหรูมึนงง และเธอก็พูดอย่างขมขื่นด้วยใบหน้าที่น่าเกลียด: “เย่เทียนหยู่คราวนี้ นายประสบปัญหาใหญ่จริง ๆ แน่”“ไม่เป็นไร ผมจัดการได้หรอกน่า!” เย่เทียนหยู่ดูราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น“นายจัดการกับมันได้ ลงมาจากเขาแบบไหนจะจัดการยังไงย่ะ”“นายคิดว่าการรู้กังฟูหมายความว่านายจะอยู่ยงคงกระพันเหรอ นี่ไม่ใช่สมัยโบราณนะ”“ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เย่เทียนหยู่ต้องการอธิบาย“ไม่ว่าจะหมายถึงอะไร มันไม่ใช่สิ่งที่คุณจัดการได้นะ คราวนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแ
จากนั้นเขาก็คิดว่าเป็นเย่เทียนหยู่ที่ซูถิงโทรมาเมื่อกี้เป็นเขาจริง ๆเมื่อนึกถึงซ่งเหวินหวู่ที่บอกว่าอีกฝ่ายชอบเก็บตัว ตัวตนของเขาก็ต้องไม่เปิดเผย เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแสดงความเคารพจากระยะไกล แล้วรีบจากไปพร้อมกับผู้หญิงคนนั้นสิ่งที่เขาคิดคือการรอโอกาสแล้วเขาจะไปขอรับผิดกับเย่เทียนหยู่ด้วยตนเองผู้หญิงคนนั้นไม่คาดคิดว่าซ่งหยางจะจากไปแบบนี้ด้วยท่าทีไม่เต็มใจ ในท้ายที่สุดซ่งหยางก็ตบเธออย่างแรงไปหลายทีจะอีกฝ่ายได้สติหลินหว่านหรูมองไปที่การแสดงของซ่งหยางและตกใจเล็กน้อย เกิดอะไรขึ้น เมื่อพิจารณาจากความตั้งใจของอีกฝ่าย ไม่เพียงแต่เขาจะไม่เรียกใคร แต่ดูเหมือนว่าเขาจะแก้ไขปัญหาได้แล้วซูถิงก็ตกตะลึงและอุทาน: “ไม่คิดเลยว่านายน้อยหลิวจะมีบารมีขนาดนี้ แม้แต่ซ่งหยางยังกลัวเขา”หลินหว่านหรูพยักหน้าและกล่าวว่า: “ฉันก็ไม่คาดคิดเหมือนกัน ดูเหมือนว่าคุณหลิว จะมีอำนาจมากกว่าที่เราคิดไว้มาก ครั้งนี้ต้องขอบคุณเขาจริงๆ”“ถูกต้อง ไม่เหมือนบางคนที่ต้องการสร้างปัญหาเท่านั้น” ซูถิงมองไปที่เย่เทียนหยู่แล้วพูดเย่เทียนหยู่ดูสงบ เขามีประสบการณ์มามากและคำด่าพวกนี้ก็ไม่สะทกสะท้านเขาเลย“เย่เทียนหยู
“ทำไม?”เย่เทียนหยู่สัมผัสได้ถึงกลิ่นของแผนการอันชั่วร้ายตั้งแต่สมัยโบราณ การฟื้นฟูจุดตันเถียนนั้นคือสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งความยากง่ายก็มีตัวอย่างให้เห็นที่ชัดเจน และการที่สำนักเจวี๋ยฉิงทำแบบนี้ พวกเขาจะต้องมีแผนการบางอย่างอยู่อย่างแน่นอนเดิมทีนี่คือความลับของสำนักเจวี๋ยฉิง แต่ในเมื่อนายท่านถาม เจวี๋ยเทียนก็รีบเล่าทุกอย่างให้ฟังอย่างละเอียดทันที“หมายความว่า เรื่องที่จุดตันเถียนของเขาได้รับการฟื้นฟูก็เป็นเรื่องเท็จ และอีกไม่นานก็จะถูกเปิดเผยใช่ไหม?” เย่เทียนหยู่ถามเมื่อได้ยินแบบนั้น เจวี๋ยเทียนก็รู้สึกสะดุ้งเล็กน้อย หรือเย่เซวียนจะมีความสำคัญต่อนายท่านกันนะ สีหน้าของเขาดูซีดลง “ใช่ครับ อีกอย่าง มีความเป็นไปได้มากที่เขาอาจจะไม่รอด”พูดจบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “นายท่านกับเขา?”เย่เทียนหยู่ไม่ได้ตอบ เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่า สำนักเจวี๋ยฉิงเพียงต้องการใช้ประโยชน์จากตระกูลเย่เท่านั้น ซึ่งระยะเวลาสามปีก็เพียงพอที่จะสามารถใช้ประโยชน์ทำเรื่องต่าง ๆ ได้ตั้งมากมาย กระทั่งอาจจะสามารถควบคุมตระกูลเย่ได้อย่างสมบูรณ์เลยด้วยซ้ำส่วนเรื่องสามปีหลังจากนี้ พวกเขาแทบจะไม่ได้สนใจเล
มู่หรงอินเข้าใจสิ่งที่เย่เทียนหยู่ต้องการจะสื่อ เธอจึงลุกขึ้นยืน พร้อมกับกล่าวออกไปว่า “บัดนี้เรื่องต่าง ๆ ก็นับว่าได้ข้อสรุปแล้ว แต่เนื่องจากโอกาสที่ทุกท่านจะเดินทางมาที่นี่ก็นับว่าหายาก ดังนั้นทุกท่านสามารถพักผ่อนและเยี่ยมที่นี่ก่อนได้”“รอถึงวันพรุ่งนี้ พวกเราทั้งห้าสำนักจะทำการจัดประชุมร่วมกันอีกครั้ง เพื่อหารือเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันในอนาคตของทั้งห้าสำนัก”“รับทราบ!”บรรดาผู้นำใหญ่ของแต่ละสำนักต่างก็พากันพยักหน้าด้วยความเคารพหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปได้ไม่นาน เจวี๋ยเทียนก็พาเจวี๋ยซินเข้ามา แม้ว่าอาการของเจวี๋ยซินจะค่อนข้างรุนแรง แต่สำนักเจวี๋ยฉิงก็มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาอย่างน้อยก็ทำให้เขาพอจะสามารถสื่อสารได้อย่างมีสติ แต่ร่างกายของเขากลับอ่อนแออย่างเห็นได้ชัดเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่พี่ใหญ่พูดมาทั้งหมด เจวี๋ยซินก็แทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง เพราะเรื่องหลังจากนี้ เขาแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อยสุดท้ายก็มาได้ยินบรรพจารย์และพี่ใหญ่เรียกเย่เทียนหยู่ว่านายท่านอีก เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าโลกนี้กำลังกลับตาลปัตรไปกันใหญ่แล้วหากไม่ใช่เพราะบรรพจารย์เจวี๋ยฉิงออกหน้าด้วยตัวเอง
ผู้คนต่างมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความงงงวย เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวที่น่าอัศจรรย์ของเย่เทียนหยู่ สายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงเวลาผ่านไปเพียงแค่หนึ่งนาที เย่เทียนหยู่ก็เก็บมือขวากลับมา ท่าทางของเขายังคงสง่างามและสงบนิ่งเหมือนเดิม ราวกับว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามเลยสักนิดบรรพจารย์เจวี๋ยฉิงเห็นว่าสภาพร่างกายของเจวี๋ยเทียนกำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ขอบคุณนายท่านที่ช่วยเหลือครับ!”ทุกคนที่ได้ยินคำเรียกนี้ ต่างก็ยังรู้สึกตกใจอยู่นิดหน่อย บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงคนนี้เป็นถึงยอดฝีมือระดับเทพยดาแดนดินเชียวนะ สามารถมีคนรับใช้ระดับนี้ได้ แม้แต่คิดก็ยังไม่กล้าคิดเลยที่น่าทึ่งยิ่งไปกว่านั้นคือ แม้แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์มาก ๆ อย่างเจวี๋ยเทียนเจวี๋ยซินเองก็เป็นไปกับเขาด้วย ก่อนหน้านี้ก็ยังมีหยางผั่วจวินด้วยอีกคน“ไม่ต้องเกรงใจ แต่คุณต้องเตือนพวกเขาทั้งสองเอาไว้ให้ดี หากใครกล้าคิดร้ายต่อผม ก็อย่าโทษผมที่ลงมืออย่างโหดร้ายก็แล้วกัน”เย่เทียนหยู่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“นายท่านโปรดวางใจ พวกเขาไม่กล้าทำแบบนั้นแน่นอนครับ เพราะไม่เช่นนั้น ผมจะเป็นคนแรกที่ด
แต่บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงก็ถือเป็นคนที่มีชีวิตอยู่มานานหลายปี บวกกับเมื่อกี้เขาก็เพิ่งจะยอมรับนายคนใหม่ ไม่นานตัวบรรพจารย์เจวี๋ยฉิงก็เข้าใจ ถึงกุญแจสำคัญของเรื่องนี้ เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “เจวี๋ยเทียน มัวยืนบื้ออยู่ทำไม ยังไม่คุกเข่าลงอีก!”เจวี๋ยเทียนรู้สึกตกใจนิดหน่อย แต่ไม่นานเขาเข้าใจถึงเหตุผลที่แท้จริง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เมื่อลองคิดดูดี ๆ ถึงยังไงต่อไปสำนักเจวี๋ยฉิงก็ต้องถูกอีกฝ่ายควบคุมเอาไว้อยู่ดียิ่งไปกว่านั้น นั่นคือระดับเทพยดาแดนดินเชียวนะ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาแต่ไม่สามารถได้มาครอบครองเขารีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าตำหนักหยู่ ขอแค่ท่านสามารถช่วยพวกเราสองพี่น้องได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเราสองพี่น้องเจวี๋ยเทียนจะทำตามคำสั่งของท่านอย่างเคร่งครัด ขอแค่ท่านสั่ง พวกเราจะน้อมรับทันที!”เมื่อได้ยินแบบนั้น สายตาของทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเย่เทียนหยู่ ไม่รู้เลยว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไรต่อไปหากเป็นจริงตามที่เจ้าตำหนักหยู่พูด เจวี๋ยเทียนและเจวี๋ยซินก็เท่ากับได้รับโชคดีในความโชคร้ายน่ะสิเย่เทียนหยู่เหลือบมองเจวี๋ยเทียน แต่ก็ไม่ได้ตอบในทันที เขาเ
เมื่อเห็นว่าท่าทีของทุกคนต่างก็แสดงความยินดีกับมู่หรงอินด้วยความเคารพ สีหน้าของเจวี๋ยเทียนก็ดูหดหู่อย่างมากหากอิงตามแผนของเขาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ควรจะเป็นของเขา แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ผลลัพธ์จะต่างจากที่เขาคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิงแต่เมื่อเห็นท่าทีของมู่หรงอินแล้ว เขาก็สัมผัสได้ว่าพลังของมู่หรงอินแข็งแกร่งไม่ต่างไปจากพลังระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดของเขาเลยเขาเข้าใจดี ไม่ว่าจะเป็นสถานะหรือจุดยืน มู่หรงอินก็เหมาะมากที่สุดที่จะเป็นผู้นำสำนักศักดิ์สิทธิ์เจ้าตำหนักหยู่มีพลังที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้ แถมยังยินดีที่จะสละตำแหน่งให้อีก ให้การสนับสนุนเธออย่างเต็มที่ แล้วนับประสาอะไรกับคนอย่างตนเมื่อนึกถึงจุดนี้ เจวี๋ยเทียนกลับรู้สึกผ่อนคลายลงนิดหน่อยแต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง เจวี๋ยเทียนก็ได้ยินเสียงของบรรพจารย์ที่กำลังพูด ทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะ บรรพจารย์พูดว่าอะไรนะ นายท่านงั้นเหรอ?เนื้อหาหลังจากนั้นไม่สำคัญ แต่คำว่า “นายท่าน” นี้ จะเรียกแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้เหรอ นี่จึงทำให้ความรู้สึกละอายใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขาอย่าว่าแต่พวกเขาเลย มู่หรงอินและคนอื่น ๆ เองก็ตกตะลึงเช่นกันเมื่อเห็นท่า
มู่หรงอินที่ได้ยินแบบนั้น ก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก เธอลองคิดดูดี ๆ นิสัยเสี่ยวเทียนก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด เขาไม่ค่อยอยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยากสักเท่าไหร่เดิมทีหยางผั่วจวินก็เป็นตัวเลือกที่ไม่แย่ แค่พลังของเขาก็เพียงพอแล้ว แต่งานดูแลสำนักที่ใหญ่ขนาดนี้ เขาไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เขาอาจจะไม่ถนัดก็ได้พอนึกถึงคำสั่งเสียสุดท้ายของพ่อ ที่เคยบอกกับเธอเอาไว้ว่า หากเธอมีโอกาสสามารถนำทางให้กับสำนักศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็จงพาสำนักศักดิ์สิทธิ์เดินไปยังทิศทางที่ถูกต้อง อย่าได้เลือกทางผิดเด็ดขาดดูท่าแล้ว เธอคงต้องดูแลแทนลูกชายไปก่อน รอจนกว่าจะถึงตอนนั้น ตอนที่เขายินดีที่จะรับช่วงต่อ แล้วค่อยส่งมอบให้เขาเมื่อเห็นว่าแม่ไม่ได้โต้แย้งอะไร เย่เทียนหยู่จึงกล่าวต่อว่า “ผมรู้ดีว่าทุกคนอาจจะกำลังสงสัย แต่ถึงยังไงประมุขสำนักเงาเดิมทีก็เป็นลูกสาวของอดีตผู้นำสำนักศักดิ์สิทธิ์”“อันที่จริง พลังความแข็งแกร่งของเธอ เมื่อกี้ทุกท่านก็น่าจะได้เห็นกันแล้ว เธอเป็นถึงปรมาจารย์ขั้นสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นสถานะ หรือว่าความแข็งแกร่ง เธอก็เหมาะสมที่จะขึ้นนั่งตำแหน่งผู้นำสำนักศักดิ์สิทธิ์อยู่ดี”“ทุกคนมีอะไรจะคัดค้านไหม?”ท
เมื่อเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เย่เทียนหยู่จึงสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบออกไปว่า “เอาล่ะ เกี่ยวกับเรื่องที่เราสองคนพูดคุยกันในวันนี้ ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด เข้าใจไหม?”“ครับ นายท่าน!”บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงตอบรับด้วยท่าทีเคารพ เพียงแต่หลังจากที่เขาพูดจบก็รู้สึกงงอยู่นิดหน่อย ทำไมตนถึงต้องเรียกอีกฝ่ายว่านายท่านด้วยแต่เมื่อลองย้อนคิดอีกที ถึงยังไงตอนนี้ชีวิตตนก็ตกอยู่ในมือของเขา จะเรียกอีกฝ่ายว่าอะไรก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วเย่เทียนหยู่ก็ชะงักไปชั่วขณะ แต่ถ้าอีกฝ่ายอยากจะเรียกก็เรียกไปเถอะ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็โบกมือขวาขึ้น และถอนม่านพลังโดยรอบออกทันทีตั้งแต่ตอนที่เย่เทียนหยู่และบรรพจารย์เจวี๋ยฉิงหายเข้าไปในนั้น เวลาก็ได้ผ่านไปราว ๆ ยี่สิบนาทีแล้ว คนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ในใจต่างก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาแต่พวกเขาก็กลัวว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นก็ได้ สุดท้ายจึงไม่กล้าจากไป“คุณผู้หญิง คงไม่เกิดเรื่องขึ้นกับคุณชายหรอกใช่ไหมคะ?”จูเก่อหลิวหลีอดไม่ได้ที่จะกระซิบถาม“คิดว่าคงไม่เป็นไรหรอก”มู่หรงอินเองก็ไม่ได้มั่นใจมากนัก แม้ว่าพลังข
เดิมทีคิดว่าการเรียนรู้ทักษะนี้คงจะยุ่งยากมากแน่ ๆ แต่เย่เทียนหยู่ก็กลับพบว่า พลังวิญญาณของเขามีความมั่นคงอย่างมาก พลังจิตเองก็แข็งแกร่งขึ้น การเรียนรู้ทักษะจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้รับอิทธิพลมาจากกระดูกศักดิ์สิทธิ์โบราณรึเปล่า แต่ไม่ว่ายังไง ภายในเวลาไม่กี่นาที เขาก็สามารถทำความเข้าใจกับทักษะเหล่านั้นได้จริง ๆถึงขั้นสามารถใช้พลังจิตในการควบคุมความเป็นความตายของคนอื่นได้เลยด้วยซ้ำ ช่างน่าอัศจรรย์มากจริง ๆหลังจากที่เย่เทียนหยู่เรียนรู้ทักษะสำเร็จ เขาก็รีบกลับออกมาในทันที ในตอนที่หันไปมองบรรพจารย์เจวี๋ยฉิงอีกครั้ง เขาก็ได้แสดงสีหน้าแปลก ๆ ออกมา ตอนนี้เขามีวิธีแก้ไขปัญหาแล้วแน่นอน ว่าหากต้องการใช้เวทควบคุมวิญญาณควบคุมอีกฝ่าย เขาก็จะต้องมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายเสียก่อน นอกจากนี้ จำนวนคนที่เขาสามารถควบคุมได้ก็ค่อนข้างจำกัดอีกทั้งยังต้องให้อีกฝ่ายยอมรับการควบคุมอย่างเชื่อฟัง เพราะไม่อย่างนั้น อาจจะทำให้พลังจิตที่ส่งเข้าไปเกิดความเสียหายเอาได้เมื่อเห็นแววตาของเย่เทียนหยู่ บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงก็เกิดรู้สึกหนาวสั่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกเหมือนมีบางสิ่
หลังจากที่ข้อมูลทำการหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเย่เทียนหยู่ ทันใดนั้นพื้นที่สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา โดยมีความยาวและความกว้างมากถึงสิบเมตรแหวนมีพื้นที่จัดเก็บมากขนาดนี้ นั่นจึงไม่แปลกใจเลยที่เย่เทียนหยู่จะตกใจต้องเข้าใจก่อนว่า แหวนมิติอวกาศของเขาก่อนหน้านี้ มีพื้นที่ไม่ถึงหนึ่งลูกบาศก์เมตรเลยด้วยซ้ำ มันจึงทำให้เขารู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างมาก บนโลกใบนี้ก็ใช่ว่าจะหาเจอได้ง่าย ๆและสิ่งที่ทำให้เย่เทียนหยู่ประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ ด้านในมีสมุนไพรสดสีเขียวชอุ่มอยู่ด้วยเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “สมุนไพรที่อยู่ในนี้จะไม่มีวันเหี่ยวเฉางั้นเหรอ?”บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงรู้สึกตกใจนิดหน่อย มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นไม่ใช่รึไง หรือว่าแหวนมิติอวกาศวงอื่นจะทำแบบนี้ไม่ได้ เขาเริ่มรู้สึกได้อย่างเลือนลางแล้วว่า ตนคงต้องเสียสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ไปแล้วจริง ๆแต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังตอบตามความจริงออกไปอยู่ดี “ใช่ครับ สิ่งมีชีวิตเป็น ๆ เองก็สามารถอยู่ในนั้นได้โดยที่ไม่ตายครับ รวมถึงคนเองก็ด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถแบ่งเขตการจัดเก็บตามความคิดได้อย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วยครับ”“แต่น่าเสียดาย พื้นที่ด้านในค