เย่เทียนหยู่เดาเรื่องนี้ออกนานแล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยยืนยันได้สำเร็จ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาถามคำถามนี้อย่างรวดเร็ว“ท่านผู้หญิงก็คือ มู่หรงอิน แม่ของคุณ เธออยู่ที่คฤหาสน์มังกรหยกนอกเมือง!”คุณนายบอกเธอว่านายน้อยต้องไม่รู้เรื่องนี้ แต่ในที่สุดจูเก่อหลิวหลีก็ขัดต่อความปรารถนาของคุณนาย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอละเมิดความปรารถนาของคุณนายหญิงเพราะสำหรับเธอแล้ว ท่านหญิงมีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อย่างแน่นอน ถ้าไม่มีใครช่วยท่านหญิงจะตายในครั้งนี้เมื่อได้ยินแบบนั้น ใบหน้าของเย่เทียนหยู่ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที และเขาก็พูดทันที "ขอให้เธอหาทางเลื่อนเวลาออกไป ฉันจะรีบไปทันที!"เขาวางสายโทรศัพท์แล้วออกไปทันทีแม่อย่าให้อะไรเกิดขึ้นกับคุณ!เขาคิดมากกว่านี้ในคราวเดียว แม่ของเขาอาจซ่อนตัวอยู่นอกเมืองเทียนไห่เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาพบ ไม่งั้นก็คงได้พักที่โรงแรมนี้มาก่อนโชคดีที่อยู่ไม่ไกลจากที่นั่นมากนัก อาจใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงด้วยความเร็วปกติ แต่ด้วยความเร็วของเขา เขาจะสามารถมาถึงได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแต่เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด เย่เทียนหยู่จึงโทรหาหยา
เธอก็คือ มู่หรงอิน แม่ของเย่เทียนหยู่ และเป็นภรรยาของ เย่เฟิง พ่อของเย่เทียนหยู่ดวงตาสีดำขลับของมู่หรงอินจับจ้องมองดูชิงหลงที่อยู่ตรงหน้าเธออย่างเย็นชา และพูดว่า “เป็นไปอย่างที่คาดไว้ เทพสงครามชิงหลงตามหาพวกเราเจอได้ง่ายดายจริงๆ”“ยอมรับแล้วสินะ ว่าคุณเป็นคนสังหารเทพสงครามพยัคฆ์ขาว” ชิงหลงถามด้วยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น เขาเองไม่ได้รู้สึกโกรธ ก็แค่ความเลือดเย็นอันเป็นนิสัย ไม่แยเสต่อสิ่งใดเท่าไหร่นักของเขาเรื่องเล็กพรรคนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเบื้องบนสั่งการมาเขาคงขี้เกียจจะลงมือเอง“ถ้าไม่ยอมรับแล้วจะมีประโยชน์อะไร”ท่านหญิงตอบกลับอย่างเย็นชา “ฉันแค่สงสัย คุณรู้ได้ยังไงว่าเราเป็นคนทำ และคุณหาที่นี่เจอได้ยังไง”“วิชาสำนักเงายังไงละ!”“ต้องบอกเลยว่าพวกคุณลบร่องรอยได้เกือบหมดอยู่แล้วเชียว แต่อาการบาดเจ็บบนร่างของเย่ไป๋ชวน เปิดเผยตัวตนของสำนักเงา”“ตามร่องรอยของสำนักเงานั่น ทำให้ผมเจอตัวทูตใหญ่สำนักเงา ส่วนเรื่องที่ผมตามเจอคุณ แน่นอนว่าพวกเขาสองคนเป็นคนพามา เพราะถึงยังไง คนที่ผมตามหาก็คือคนที่อยู่เบื้องหลัง”ชิงหลงพูดอย่างใจเย็นอย่างนั้นเองสินะ ดูท่าปัญหาจะยังเป็นเพราะเธอ เธอยังคิดซะอ
ผู้ยอดฝีมือหลายคนที่ยืนอยู่ด้านหลังชิงหลงต่างก็ตกตะลึง แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าชิงหลงเป็นผู้มีพลังมหาศาล แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นเขาใช้พลังของตนเมื่อได้เห็นในวันนี้ พวกเขาก็เข้าใจว่ามันทรงพลังมากกว่าที่พวกเขาคิดไว้เพียงแค่การโจมตีเมื่อครู่นี้ พวกเขาก็รู้ว่าตนเองรับไม่ไหว“ประมุข ท่านไปก่อนเถอะ เราสองคนจะต่อสู้สุดชีวิตเพื่อให้ท่านได้หนีไป นอกจากเขาแล้ว คนอื่นๆ ก็คงจะหยุดท่านไม่ได้” ทูตใหญ่ส่งเสียงไปที่เขาเมื่อถึงระดับปรมาจารย์ พวกเขาก็มีความสามารถในการทำให้เสียงของตนส่งไปยังคนที่เฉพาะเจาะจงได้ แน่นอน ว่าสามารถส่งไปได้ไกลเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของพวกเขาเขารู้สึกโชคดีที่วันนี้มีเพียงเทพสงครามชิงหลงที่มาอยู่ที่นี่ ส่วนอีกปรมาจารย์หลายคนน่าจะเป็นผู้อารักขาเฟยหลงที่ไม่มีพลังมากกว่าประมุขแต่มู่หรงอินกลับส่ายหัวและกล่าวอย่างเย็นชา “ในฐานะประมุข ฉันจะให้พวกคุณต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อฉันไม่ได้ ที่สำคัญคือ พวกคุณสองคนไม่มีทางหยุดเขาได้”“แต่ว่า ถ้าเราทั้งสามคนร่วมมือกันใช้การกลยุทธ์เงาสามอัจฉริยะ จะอาจจะมีทางรอด”“แต่...” ทูตใหญ่ก็ยังไม่มีความมั่นใจ“
ในสายตาพวกเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงเห็นได้ชัดว่าชิงหลงเริ่มต้นโดยไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดในการต่อสู้กับพวกเขา หากไม่เช่นนั้น พวกเขาคงจะไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่น้อย นั่นหมายความว่าเขาสามารถเอาชนะพวกเขาได้สิบคนอย่างแน่นอน ไม่ได้เป็นการพูดเกินจริงเลยชิงหลงมองไปที่พวกเขาด้วยความเย็นชา แล้วพูดว่า "ประมุขมู่หรงอิน ฉันจะให้โอกาสสุดท้ายแก่คุณ บอกเหตุผลที่เข้ามาฆ่าเย่ไป๋ชวน วันนี้ฉันจะไม่ฆ่าคุณ แต่จะจับคุณไป""ไม่มีเหตุผล"มู่หรงอินตอบอย่างเย็นชา การถูกจับกลับไปยังดีกว่าการตายเสียอีกจริง ๆ ไม่ได้คาดคิดว่าพลังของชิงหลงจะน่าหวาดกลัวขนาดนี้โชคดีที่เธอได้เตือนหลิวหลีว่าอย่าให้เทียนหยู่เข้ามาที่นี่ ไม่เช่นนั้นลูกชายอาจจะต้องพบกับภัยพิบัติอ้อ ยังไม่รู้หลิวหลีหนีออกไปได้จริงหรือไม่"ดีมาก นี่คือการหาตายของคุณเอง" ชิงหลงส่ายหน้า ยกมือขวาขึ้นเพื่อจะโจมตีแต่ในขณะนั้น ก็มีเสียงร้องที่เร่งรีบดังมาจากระยะไกล "หยุด หยุด!" ไม่นานนัก สาวงามผู้หนึ่งก็วิ่งมาด้วยความเร็วนั่นคือจูเก่อหลิวหลีเมื่อเห็นจูเก่อหลิวหลีกลับมา มู่หรงอินโมโหมาก เธอให้หลิวหลีไปเพราะต้องการให้เธอมีชีวิตอยู่ประการแร
"ฮ่า ๆ คุณกำลังถ่วงเวลาอยู่หรือเปล่า?" ชิงหลงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา"แน่นอนว่าไม่ใช่ เขาจะมาถึงเร็ว ๆ นี้แน่" จูเก่อหลิวหลีปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เธอไม่ต้องการให้ชิงหลงลงมือทันที"ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่ก็ตาม ฉันไม่มีเวลาเหลือเฟือในการรอคุณอยู่ที่นี่ ถ้าเช่นนั้นให้เวลาแค่สามนาที ถ้าเขายังไม่ปรากฏตัว ฉันจะฆ่าพวกคุณแล้วกลับไปรายงาน"ชิงหลงพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นจูเก่อหลิวหลียังอยากพูดอะไรอีก แต่เมื่อชิงหลงมองไปที่เธอ สายตาของเขาทำให้เธอสั่นสะเทือน รู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างกดทับเข้าจับตัวเธอไว้ต้องรู้ว่าความสามารถของเธอนั้นเด่นชัด ร่างกายของเธอก็อยู่ในระดับเชี่ยวชาญ ถ้าแม้จะไม่ใช่ผู้ยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ แต่ก็ถือว่าเป็นระดับที่สูงมากแล้วในที่สุด เธอก็ได้แต่ภาวนาในใจว่า นายน้อยของเธอจะมาถึงเร็ว ๆ นี้ ไม่เช่นนั้นทั้งพวกเขาและแม่แต่เธอก็ต้องตายมู่หรงอินมีสีหน้าที่มืดมนอย่างมาก ไม่สามารถอดกลั้นได้จึงถามไปว่า "หลิวหลี คุณหาใครมากันแน่ เกี่ยวข้องกับเขาหรือเปล่า?"แม้ว่าคุณนายจะไม่พูดชื่อออกมา แต่จูเก่อหลิวหลีก็เดาได้ถึงความหมายที่มู่หรงอินถาม สับสนเล็กน้อยแล้วพยักหน้า"คุณ!"มู
สำหรับเรื่องที่คุณนายมีลูกชายอยู่ข้างนอกนั้น ทูตทั้งสองยังไม่ทราบเรื่องชิงหลงมีสีหน้าที่ยิ่งเย็นชา ขนาดกี่ปีแล้ว ยังไม่มีใครกล้าทำตัวเหลวไหลต่อหน้าเขาแบบนี้ แม้ว่าเสียงจะบ่งบอกว่ามีพลังที่แข็งแกร่งมากน่าจะเป็นผู้ยอดฝีมือระดับปรมาจารย์สูงสุดอีกคนถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าผู้ที่มีพลังระดับนี้มาจากที่ไหน แต่การกล้าพูดกับเขาแบบนี้ ผลลัพธ์มีเพียงอย่างเดียว นั่นคือการตายในที่สุดแต่เขาก็รู้สึกอยากรู้ว่าใครกันที่กล้าทำตัวแบบนี้ต่อหน้าเขา เย่เทียนหยู่วิ่งมาด้วยความเร็วสูง และในไม่ช้าเขาก็มาถึงสถานที่ เหวี่ยงตัวลงข้างมู่หรงอิน ที่นั่นมีเพียงมู่หรงอินที่เหมาะสมในฐานะคุณนายทุกสายตาเบนไปที่เขา เห็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบกว่าปีปรากฏตัวขึ้นในที่นั้น รูปร่างสง่าผ่าเผย เปี่ยมไปด้วยอำนาจ รัศมีเปล่งประกายจับตาจูเก่อหลิวหลีมองตะลึงอยู่กับภาพนั้น เธอไม่เคยเห็น เย่เทียนหยู่ในลักษณะนี้มาก่อนแน่นอน เขานั่นแหละคือผู้ที่เธอชื่นชอบ หล่อเหลาเหลือเกิน!ชิงหลงขมวดคิ้ว กล่าวอย่างไม่พอใจ เด็กหนุ่มคนนี้กลับดูอ่อนวัยขนาดนี้ แต่กลับมีพลังเช่นนี้ บอกได้ว่ามันเกินความคาดหมายของเขาไปแล้วหรือว่าได้รับยาให
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนถึงกับตกตะลึงเด็กหนุ่มคนนี้กล้าที่จะพูดจาเช่นนี้ต่อหน้าชิงหลงโดยเฉพาะมู่หรงอินที่สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก รีบพูดว่า "อย่า! คุณกลับไปเถอะ! ให้ฉันไปเอง ไม่ต้องการให้คุณมาปกป้องฉัน!""แม่ ท่านอย่ากังวล ไม่เป็นไรหรอก เขาไม่สามารถทำอะไรผมได้" เย่เทียนหยู่พูดซ้ำอีกครั้ง มองไปที่ชิงหลงด้วยสายตาเย็นชา"เด็กน้อย อายุน้อยจริง ๆ แต่กลับมีความกล้าหาญอยู่ไม่น้อย" ชิงหลงหายใจออกมาเบา ๆ ที่แท้แล้วอายุน้อยขนาดนี้ แต่กลับมีความสามารถขนาดนี้ ทำให้เขาประหลาดใจไม่คิดว่าจะเป็นแค่คนโง่เขลาและหัวร้อน"ไม่ใช่การหยิ่งดูหมิ่น แต่เป็นความจริง!""ได้ยินมานานแล้วว่าชิงหลงเป็นผู้มีพลังอันดับหนึ่งในโลก วันนี้ถือว่ามีโอกาสได้เห็นว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า!" เมื่อเย่เทียนหยู่พูดจบ พลังของเขาก็กระจายออกมาอย่างบ้าคลั่งอย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่มีใครเชื่อมั่นในเขาทูตใหญ่ล่าว พลางกัดฟันแล้วพูดว่า “ประมุข เดี๋ยวผมกับน้องจะใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดสู้กับชิงหลง เพื่อล่อเขา ส่วนท่านก็หาวิธีพานายน้อยออกไปจากที่นี่”ในสายตาของพวกเขา เย่เทียนหยู่ถือว่าเป็นประมุขของสำนักเงาใน
แม้จะได้รับการสั่งสอนจากผู้เฒ่าราชามังกร การมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวในวัยเยาว์เช่นนี้ก็ยังถือว่าหาได้ยากยิ่ง"ใช่ครับ!""ศิษย์คนนี้ของท่านมีพรสวรรค์โดดเด่นจริงๆ และมีพลังด้วย แต่ดูเหมือนจะหลงตัวเองมากเกินไป ยังต้องฝึกฝนอีกมาก" ชิงหลงกล่าวตำหนิอย่างเรียบ ๆ"ฮ่าๆ ก็เขายังหนุ่มนี่ คนหนุ่มก็ต้องมีความกล้าของคนหนุ่ม ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นคนแก่อย่างฉันนี่สิ"ผู้เฒ่าราชามังกรหัวเราะก่อนจะกล่าวว่า "ชิงหลง เห็นแก่หน้าฉันคนแก่คนนี้ เรื่องวันนี้ก็ให้จบแค่นี้เถอะ ว่าไง?"ไม่คาดคิดว่าชิงหลงจะส่ายหน้าแล้วพูดอย่างจนปัญญา "ถ้าเป็นเรื่องอื่น ที่คุณขอมา ฉันย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ แต่เรื่องนี้ ไม่ได้!""จำเป็นต้องลงมือจริง ๆ หรือ?""ใช่ คุณเป็นผู้เฒ่าราชามังกร คงรู้เรื่องของเย่ไป๋ชวนใช่ไหม""รู้สิ มันสมควรตายแล้ว""โอ้? คุณก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน""ใช่ เหตุผลที่แท้จริง เรามาหาที่ที่คุยกันอย่างละเอียดดีกว่า ตอนนี้ปล่อยให้พวกเขาไปก่อน ถ้าคุณฟังเหตุผลแล้วยังไม่พอใจ ค่อยกลับมาฆ่าพวกเขาก็ไม่สาย"ผู้เฒ่าราชามังกรกล่าว"ฟังดูมีเหตุผลอยู่"ชิงหลงพยักหน้าพูดว่า "ดี เห็นแก่หน้าคุณ ฉันจะให้โอก
เย่เทียนหยู่ตกใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่าเธอจะเข้ามาใกล้ขนาดนี้ แถมยังโอบกอดเขาแน่น พร้อมกับเปิดปากพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งแบบนี้แม้จะดูเก้งก้างไปบ้าง แต่เขากลับรู้สึกมีอารมร์ร่วมในความเป็นจริงแล้ว ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของเย่เทียนหยู่ เขานั้นไม่ได้ถูกควบคุมแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะเสน่ห์อันเย้ายวนและความงดงามของจูเก่อหลิวหลีทั้งนั้นความรู้สึกต่อจูเก่อหลิวหลีตอนนี้เหมือนกันกับตอนหยางเฉียนเฉียน คือชมชอบ รู้สึกดี และถึงขั้นชอบเสียด้วยซ้ำแต่เนื่องจากความรับผิดชอบที่มีในใจ และความจริงที่ว่าหลินหว่านหรูคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะก้าวข้ามไปแม้แต่ก้าวเดียวแต่ท่าทีของจูเก่อหลิวหลีในตอนนี้ เสน่ห์ของจูเก่อหลิวหลี บวกกับฤทธิ์ยา ไม่นานมันก็ได้กระตุ้นความตื่นตัวของเย่เทียนหยู่ขึ้นมาเขาถึงกับไม่สามารถควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ และเปิดปากออกโดยไม่รู้ตัว มือก็เริ่มเคลื่อนไหวไปบนร่างของจูเก่อหลิวหลี ความรู้สึกนั้น มันทำให้ตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหวสมบูรณ์แบบมาก!ต้องบอกเลยว่า หากพูดถึงแรงดึงดูดต่อผู้ชาย จูเก่อหลิวหลีนั้นไม่แพ้หลินหว่านหรูเลยแม้แต่น้อย เป็นคว
ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าแม้แต่โอกาสที่จะได้อยู่ข้าง ๆ คุณชายก็คงไม่เหลือ ดังนั้น เธอจึงตัดสินใจที่จะทำตัวให้กระตือรือร้นมากขึ้นถึงแม้จะไม่ได้เป็นภรรยาของคุณชาย ขอแค่ได้มีความสัมพันธ์กับคุณชายบ้าง ต่อไปเธอก็จะถือว่าเป็นผู้หญิงของคุณชาย และอย่างน้อยก็สามารถอยู่เคียงข้างคุณชายไปตลอดชีวิตได้เพราะไม่อย่างนั้น สักวันหนึ่งระยะห่างของเธอกับคุณชายก็คงจะไกลกันมากขึ้นเรื่อย ๆเพื่อเหตุนี้ เธอจึงตัดสินใจวางยา ยานี้ไม่ใช่ยาธรรมดา ไม่เพียงแต่ไม่มีสีและรสชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นยาที่หายากอีกด้วย เพียงแต่ผลลัพธ์ของยานั้นกลับไม่ได้มีความเข้มข้นมากนักแต่ก็ไม่เป็นไร โชคดีที่ได้เจอกับมันโดยบังเอิญ บวกกับเสน่ห์ที่ดูแพรวพราวของเธออีกเพื่อเสริมเสน่ห์ของตัวเองแล้ว หลายวันมานี้เธอได้ทำการฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อที่จะทำให้คุณชายหลงใหล และให้คุณชายยอมกลืนกินเธอแม้ว่าวันนี้จูเก่อหลิวหลีจะสวมกระโปรงสีดำแหวกข้าง และเสื้อคอลึก จนทำให้ขาเรียวยาวของเธอโผล่พ้นออกมา ซึ่งความมีเสน่ห์ของเธอทำให้เขารู้สึกใจสั่นเล็กน้อยแต่เย่เทียนหยู่ก็ไม่ได้คิดมากอะไร ในขณะที่ดื่มน้ำในมือ เขาก็เดินดูรอบ ๆ พร้อมกับเอ่ยชมขึ้นว่า
อันที่จริงแล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่การเตรียมการของเย่เทียนหยู่ แต่เป็นการเตรียมการของมู่หรงอิน อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่ามู่หรงอินเองก็ไม่ได้รังเกียจที่จะจัดการเรื่องนี้ กระทั่งเธอยังยินดีที่จะทำเสียด้วยซ้ำเกี่ยวกับสถานการณ์ของบริษัทเทียนเฟิงกรุ๊ปสาขาตะวันออก ข้อมูลก็ได้ถูกส่งไปถึงหูของมู่หรงอินแล้ว ใบหน้าของเธอก็ปรากฏรอยยิ้มออกมาแม้จะมีความช่วยเหลือจากเย่เทียนหยู่อยู่แล้ว แต่การแสดงออกของหลินหว่านหรูนั้นก็ทำให้เธอพอใจมากจริง ๆเดิมทีภาพรวมของเทียนเฟิงกรุ๊ปก็ดีมากอยู่แล้ว เพียงแค่ปัญหาร้ายแรงบังเอิญมาเกิดที่สาขานี้ก็เท่านั้น เธอแค่ต้องการอยากจะเห็นการแก้ปัญหาของหลินหว่านหรู และจะใช้เวลานานแค่ไหนในการจัดการคิดไม่ถึงเลยว่าจะจัดการได้เร็วขนาดนี้ แถมยังกระตุ้นความกระตือรือร้นของพนักงานให้มีแรงผลักดันมากขึ้นอีกด้วยไม่เสียแรงที่ตนให้คนเตรียมข้อมูลพนักงานที่ละเอียดขนาดนั้นเอาไว้ให้เธอเลยจริง ๆในตอนที่เย่เทียนหยู่เดินออกจากบริษัท เขาเองก็กำลังคิดว่าจะหาบ้านที่เหมาะสมในบริเวณใกล้เคียง แล้วซื้อเอาไว้สักหลัง ไม่ว่ายังไงก็จะให้หลินหว่านหรูพักอยู่โรงแรมตลอดไปไม่ได้หรอกนี่เห็นได้ชัดว่ามันไม่เ
“เพราะเขาเป็นคนพูดเองว่า ไม่ว่าโลกจะกว้างใหญ่แค่ไหน แต่ภรรยาก็คือที่สุด!”“ถ้าไม่มีการอนุญาตจากฉัน เขาจะทำอะไรบุ่มบ่ามแน่นอน”“ฮ่า ๆ......”พอทุกคนได้ยินคำพูดของหลินหว่านหรู ก็แทบจะหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว จู่ ๆ ก็คิดว่าประธานหลินคนนี้ไม่เลวเลยจริง ๆเห็น ๆ อยู่ว่าอำนาจในมือนั้นเกินคาดเดา แต่เจ้าตัวกลับเป็นคนที่อ่อนโยนเช่นนี้เมื่อพูดถึงว่าภรรยาเป็นใหญ่ สีหน้าของหลินหว่านหรูก็แดงเพราะความเขินอายขึ้นมา สิ่งสำคัญคือเธอรู้สึกว่าควรจะดึงบรรยากาศกลับมาสักหน่อย เพื่อไม่ให้ทุกคนมุ่งคิดแต่จะเอาใจเธออย่างเดียว จนละเลยหน้าที่ในบริษัท แบบนั้นคงไม่ดีแน่เย่เทียนหยู่สามารถที่จะไม่สนใจผลประโยชน์ของบริษัทได้ กระทั่งปล่อยให้บริษัทล้มละลายไปเลยก็ตาม แต่เธอเองกลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ถ้าตั้งใจจะทำแล้ว ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด แล้วก็จะต้องแข็งแกร่งยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเพราะไม่เช่นนั้น เธอจะมีหน้าไปพบอนาคตแม่สามีได้อย่างไรเมื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคน หลินหว่านหรูก็รู้สึกว่าตนทำถูกต้องแล้ว จากนั้นจึงกล่าวขึ้นอีกว่า “แต่ว่านะ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้เอาแต่ใจเท่ากับเขา แต่สำหรับเรื่องงานแล้ว ฉันกลับมีความเข้
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึงและสั่นสะเทือนในใจขึ้นมาอีกครั้งถึงขนาดไม่สนใจว่าบริษัทจะล้มละลาย แม้แต่การขอร้องจากประธานบริษัทเองก็ยังไม่ได้ผลเลยด้วยซ้ำ!นี่เป็นเผด็จการและการปกป้องที่ไร้เหตุผลชัด ๆ!ในใจหลายคนก็อดสงสัยไม่ได้ว่าชายหนุ่มคนนี้คือใคร อาจจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานบริษัท หรืออาจจะมีสถานะที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็ได้เมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น พวกเขาก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหลินหว่านหรูด้วยความรู้สึกอิจฉาโดยเฉพาะผู้หญิงบางคน ในใจพวกเธอก็อดคิดไม่ได้ ว่าหากพวกเธอมีผู้ชายแบบนี้สักคน ต่อให้จะเป็นเพียงหนึ่งในหมื่น พวกเธอก็คงจะมีความสุขจนตายได้เลยการปกป้องที่ไม่มีเหตุผลแบบนี้ แม้แต่หลินหว่านหรูที่ถูกเย่เทียนหยู่ทะนุถนอมตลอดเวลาก็ยังรู้สึกใจเต้นเช่นกันเทียนหยู่ได้ทุ่มเททุกอย่างให้กับเธออย่างแท้จริง เขาทั้งมุ่งมั่นและตั้งใจทำเพื่อเธอพอนึกย้อนกลับไป เขาก็คอยปกป้องเธออยู่เงียบ ๆ มาโดยตลอดมาเช่นกันเพียงแค่ตัวเองก่อนหน้านี้นั้นกลับโง่เขลาเกินไป ไม่สามารถแยกแยะสถานการณ์ได้ ไม่เพียงแต่ไม่เข้าใจ แถมยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับเขาตั้งหลายครั้งอีกด้วยตอนนี้พอมาคิดดูแล้
ดูท่าแล้ว อนาคตเธอคงจะก้าวหน้ามากแน่นอนพวกเขาอาจจะต้องระมัดระวังในการรับมือเอาไว้ให้ดีเมื่อจัดการเรื่องของจางเฉียงเสร็จ เรื่องของที่นี่โดยทั่วไปก็ถือว่าจบลงแล้ว เย่เทียนหยู่เองก็ไม่อยากอยู่ต่อ เขาจึงกล่าวเสียงต่ำขึ้นว่า “ทุกท่านก็คงเห็นกันแล้ว วันนี้ ที่นี่เกิดเรื่องที่ไม่ค่อยน่าพอใจบางอย่างขึ้น”“แต่โชคดีที่ผลลัพธ์ออกมาค่อนข้างดี ในที่สุดก็ขจัดเนื้อร้ายของบริษัทออกไปได้ ทำให้ทุกคนสามารถตั้งใจแสดงความสามารถของตนเองได้อีกครั้ง”“ผมรู้ดี นอกจากพวกเขาเหล่านี้แล้ว ในบริษัทก็ยังมีปัญหาน้อยใหญ่อยู่อีกมากมาย การเรียกเก็บส่วยใต้โต๊ะก็มีไม่น้อย ตามความคิดเดิมของผม ผมไม่คิดจะปล่อยไปเลยแม้แต่คนเดียว ต้องการจะจัดการให้หมดทุกคน”“อย่างมาก บริษัทก็อาจจะตกอยู่ในวิกฤตสักระยะ เพื่อเผชิญกับผลกระทบบางอย่าง”“อย่าว่าแต่วิกฤตเล็ก ๆ เลย ต่อให้จะขาดทุนไปหลายร้อยล้าน หรือหลายพันล้านก็ตาม มันก็ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น ผมไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย!”เย่เทียนหยู่ยืนอยู่บนที่สูง แววตาดูมีอำนาจ เขากวาดสายตามองไปทั่วทุกทิศทาง ทุกคนที่ถูกเขามอง ต่างก็รีบก้มหน้าหลบเลี่ยงในทันที ไม่มีใครกล้าสบตาเขาเลยสักคนผ
“พอเถอะ!”เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เย่เทียนหยู่เองก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายแล้ว จึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ผมเคยบอกไปแล้ว ผมไม่ได้สนใจเงินเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ผิดพลาดที่สุดของพวกคุณคือการดูถูกภรรยาของผม!”“ดังนั้น นอกจากจางเฉียงแล้ว พวกคุณที่เหลือ เอาเงินมาชดใช้ให้หมด แล้วไสหัวออกไปจากบริษัทซะ แล้วเราจะไม่ตามเอาความอีก!”“แต่ว่านะ จางเฉียง ไม่ว่าคุณจะแสดงออกยังไงก็ไม่มีประโยชน์ เก็บน้ำตาที่ไม่มีค่าเหล่านั้นเอาไว้เถอะ”“ไสหัวไปซะ แล้วเตรียมตัวรับหมายศาลเอาไว้ให้ดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น หลายคนต่างก็พากันรู้สึกซาบซึ้งจนถึงขั้นน้ำตาไหลเมื่อต้องเผชิญหน้ากับบุคคลที่น่ากลัวเช่นนี้ การที่ตนสามารถถอยกลับมาได้อย่างปลอดภัยนั้น ก็นับว่าโชคดีที่สุดแล้วแต่จางเฉียงกลับรู้สึกอ่อนแรงอย่างสิ้นเชิง คิดไม่ถึงเลยว่าการที่ใบหน้าทั้งสองข้างบวมเป่งนั้นจะไม่มีผลอะไรเลย เมื่อนึกถึงชะตากรรมที่น่ากลัวของตัวเองแล้ว ใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวทันทีเขาหันไปมองหลินหว่านหรูอีกครั้ง ความโกรธเคืองเกิดขึ้นในใจทันที ความชั่วร้ายภายในเองก็ปะทุขึ้นมา เขาจึงควักมีดเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋า แล้ววิ่งตรงไปทางหลินหว่านหรูอ
“ขอโทษครับ ผมผิดไปแล้ว!”“ประธานหลินครับ ผมยังมีแม่อายุร้อยปีที่ต้องดูแล ไหนจะลูกน้อยที่อายุเพิ่งจะครบเดือนอีก ขอให้คุณเห็นแก่หน้าผู้สูงอายุและเด็กน้อยตาดำ ๆ ให้โอกาสผมอีกสักครั้งเถอะนะครับ”“คุณวางใจได้ เงินที่ถูกยักยอกไปทั้งหมด เราจะคืนกลับมาให้ครบถ้วน หากมีความต้องการอื่น ๆ ก็สามารถบอกได้เลยครับ”“ขอแค่ยอมปล่อยพวกเราไป พวกเราก็พร้อมทำทุกอย่างครับ”“......”สรุปแล้ว ทุกคนต่างก็พากันคุกเข่าลงบนพื้นและพูดขอร้อง อีกทั้งยังยอมที่จะชดใช้ค่าเสียหายอีกด้วยเพราะตอนนี้ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินแล้ว แต่เป็นเรื่องที่จะต้องติดคุกจริง ๆ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาตัวเลขจากคดีของพวกเขาแล้ว เกรงว่าระยะเวลาในการรับโทษคงไม่ใช่น้อย ๆอีกอย่าง สำนักงานใหญ่ก็เป็นคนพูดเอง ว่าทุกอย่างประธานหลินสามารถจัดการได้ตามที่ต้องการนั่นหมายความว่า หากประธานหลินให้พวกเขามีชีวิตอยู่ พวกเขาก็จะมีชีวิตอยู่ หากประธานหลินให้พวกเขาตาย พวกเขาก็จะมีเพียงทางเลือกเดียว ซึ่งก็คือความตายดังนั้น พวกเขาในตอนนี้ จึงไม่ใส่ใจเรื่องหน้าตาหรือศักดิ์ศรีได้อีกต่อไปเมื่อเห็นคนรอบข้างพากันคุกเข่าลงกันทีละคน ในที่สุดจางเฉียงเองก็รู้สึก
กี่ปีแล้ว ในฐานะคุณหนูสามตระกูลหนานกง หนานกงย่าไม่เคยได้รับความอับอายเช่นนี้มาก่อน และตระกูลหนานกงเองก็ไม่เคยโดนดูถูกเช่นนี้มาก่อนเหมือนกันเธอเกือบจะพลิกโต๊ะด้วยซ้ำ เพื่อที่จะต่อสู้กับเทียนเฟิงกรุ๊ปให้ถึงที่สุด ไม่ใช่เพื่อจางเฉียง แต่เพื่อความรู้สึกโกรธในใจของเธอเองแต่สุดท้ายแล้ว เธอก็ยังต้องกดความโกรธในใจเอาไว้ เพราะเธอรู้ดีว่า เทียนเฟิงกรุ๊ปนั้นน่ากลัวเพียงใด ภายในมีแต่ประธานที่ถือหุ้นรายใหญ่ทั้งนั้น แถมยังมีผู้มีชื่อเสียงระดับสูงอีกมากมายที่ถือหุ้นในนั้นด้วยเกรงว่าเธอคนเดียวคงจะแบกรับเอาไว้ไม่ไหวจริง ๆ!ประการที่สอง ก็เป็นเพราะตอนนี้คือช่วงเวลาสำคัญที่ตระกูลหนานกงจะต้องก้าวข้ามตระกูลเย่อย่างเด็ดขาด จะให้เกิดความผิดพลาดขึ้นไม่ได้ และจะทำให้เสียการใหญ่เพราะเรื่องเล็กน้อยไม่ได้ด้วยเช่นกันแค่จางเฉียงคนเดียว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำถึงขนาดนั้นส่วนเรื่องศักดิ์ศรีของตัวเอง ศักดิ์ศรีของตระกูลหนานกงนั้น จะต้องมีสักวัน ที่เธอสามารถเรียกคืนมันกลับมาได้แน่นอนและด้วยเหตุนี้ เมื่อเธอได้รับโทรศัพท์จากจางเฉียง หนานกงย่าจึงได้แสดงความโกรธออกมาอย่างเต็มที่ และด่าทอเขาอย่างรุนแรงไป