“มะ... ไม่ต้องหรอก ฉันไปเองได้”
“ฉันจะออกไปที่เซเว่นพอดี เดินไปคุยกันไป ดีออก ไปเถอะ”
แล้วโทคิยะก็ถือวิสาสะฉวยแขนของหล่อนไปกุมเอาไว้ ในขณะที่หล่อนรู้สึกลำบากใจเหลือเกิน
นี่ถ้าเจอคนรู้จัก แล้วเรียกหล่อนว่าพะแพง ความลับจะต้องแตกแน่ๆ เลย
“เอ่อ... โทจัง... พอดีฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมของเอาไว้ที่บ้าน ขอตัวกลับไปเอาก่อนนะ”
หล่อนกระชากแขนออกจากมือใหญ่ และก็ไม่คิดจะสนใจอีกว่าโทคิยะจะรู้สึกยังไง เพราะตอนนี้ หล่อนจะต้องหนีจากเขาให้ไกลที่สุด
สองเท้าซอยถี่ยิบเพื่อที่จะเดินห่างออกไป และเมื่อเม็ดเหงื่อไหลย้อยลงมาบนแก้ม หล่อนก็นึกได้ว่าเดินหนีมาไกลแล้ว จึงหยุดเดิน และผลุบเข้าไปที่ข้างเสาไฟฟ้าต้นใหญ่ และมองกลับไปยังโทคิยะ
เขาหายไปแล้ว...
คงจะเดินออกไปร้านสะดวกซื้ออย่างที่บอกหล่อนแล้วนั่นแหละ
เฮ้อออออ
พะแพงเป่าปากออกมาแรงๆ อย่างโล่งอก และก็ภาวนาให้ตนเองไม่ต้องเจอหน้ากับโทคิยะอีกเลย จนกว่าครอบครัวของเขาจะเดินทางกลับไปญี่ปุ่น
วันนี้หล่อนวุ่นวายหัวใจแทบจะทั้งวันเลย จนแทบจะสอนหนังสือเด็กๆ ไม่รู้เรื่อง บ่อยครั้งที่ยืนเหม่อ จนนักเรียนต้องตะโกนเรียก
มันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย เพราะความโง่เขลาเบาปัญญาของหล่อนแท้ๆ เชียว
มือเล็กดันประตูรั้วให้เปิดออก ก่อนจะแทรกตัวผ่านเข้าไปในนั้น
แม่ของหล่อนกำลังง่วนอยู่กับการทำกับข้าวอยู่ในครัวเหมือนเช่นทุกวัน
“กลับมาแล้วจ้ะแม่”
“น้ำอยู่บนโต๊ะน่ะแพง” มารดาตะโกนออกมาจากห้องครัว
“ขอบคุณจ้ะแม่”
หล่อนเดินไปหย่อนกายลงนั่งบนโซฟา วางกระเป๋าสะพายไว้ข้างตัว และยกแก้วน้ำเย็นเจี๊ยบที่มารดาตระเตรียมเอาไว้ให้ขึ้นดื่ม
“ชื่นใจจัง...”
หล่อนวางแก้วลงกับโต๊ะกระจกตรงหน้า และก็ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างไม้ที่ถูกเปิดกว้างเอาไว้รับลม
เมื่อเย็นนี้หล่อนเลือกที่จะขึ้นรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับมาบ้านแทนการเดิน เพราะต้องการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับโทคิยะ
หล่อนไม่อยากเสี่ยงอีกแล้ว...
“คิดอะไรอยู่เหรอแพง”
เสียงของแม่ดังขึ้น ทำให้หล่อนสะดุ้งโหยงทันที พร้อมกับหันไปมอง
“แม่...”
“หน้าตาตื่นเชียว ใจลอยล่ะสิท่า”
แม่ของหล่อนวางจานขนมกล้วยบนโต๊ะกระจกตรงหน้าใกล้กับแก้วน้ำที่หล่อนดื่มจนเกลี้ยง จากนั้นก็หย่อนกายลงนั่ง มองหน้าหล่อน
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าล่ะลูก”
“ปะ เปล่าหรอกแม่”
หล่อนทำเป็นหัวเราะ
“แพงจะไปมีเรื่องอะไรไม่สบายใจล่ะจ๊ะ”
“ก็แม่เห็นใจลอยไปไหนก็ไม่รู้ แม่มายืนตั้งนานแล้ว ก็ไม่เห็น”
“แพง... เอ่อ... ก็แค่คิดถึงเรื่องงานที่โรงเรียนน่ะจ้ะ ไม่มีอะไรหรอกแม่”
แม่ของหล่อนพยักหน้ารับหงึกๆ
“ถ้ามีอะไรไม่สบายใจ บอกแม่ได้นะ แม่ยินดีรับฟัง”
“จ้ะแม่”
พะแพงฝืนยิ้ม และพยายามทำตัวร่าเริง แต่แค่แปบเดียวก็ต้องหน้าซีดเผือด
“ว่าไงนะจ๊ะแม่”
“เมื่อตอนกลางวัน คุณป้าซายูริแวะมาหาแม่น่ะ”
“คุณป้า... มาทำไมเหรอจ๊ะแม่” หล่อนใจคอไม่สู้ดีเลยจริงๆ
“คุณป้าซายูริอยากจะเชิญพวกเราไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้านน่ะ”
“แม่... ปฎิเสธไปเลยนะจ๊ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะแพง ไม่อยากเจอพี่โทคิยะหรอกเหรอลูก”
“แพง... แพง...”
นี่หล่อนจะแก้ตัวว่ายังไงดีนะ
“แพง... ไม่ว่างน่ะจ้ะ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ และทุกวันๆ ต่อจากนี้เลยจ๊ะ”
หล่อนรีบละล่ำละลักบอกมารดา และก็ได้รับแววตาแคลงใจจากท่านมาเป็นรางวัล
“ทำไมแพงไม่ว่างสักวันเลยล่ะลูก”
“คือแพง... งานยุ่งมากนะจ๊ะ”
“ปกติแม่ก็เห็นแพงไม่เคยทำงานล่วงเวลาเลยนะ แล้วก็ไม่เคยไม่ว่างตอนเย็นด้วย”
แม่ของหล่อนเอียงคอมองด้วยความสงสัย
“เอ่อ... พอดีเป็นนโยบายใหม่ของโรงเรียนน่ะจ้ะแม่ แพงก็เลยต้องปฏิบัติตาม ยังไงแม่ปฏิเสธคุณป้าซายูริให้ทีนะจ๊ะ”
“โอเค แม่จะบอกคุณป้าให้ก็แล้วกัน แต่ไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกแพงของแม่จะงานเยอะขึ้นมากมายแบบนี้”
“แพงก็... ไม่อยากเชื่อเหมือนกันค่ะ แต่ว่ามันเป็นงาน แพงก็เลยเลี่ยงไม่ได้”
เมื่อเห็นแม่ผงกศีรษะตอบรับ หล่อนจึงลอบเป่าปากออกมาด้วยความโล่งอก
ถ้าต้องไปเจอกันที่บ้านของคุณป้าซายูริ มีหวังความแตกแน่นอนเลย
“เอ่อ... งั้นแพงขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
“ไปเถอะลูก แล้วรีบออกมากินข้าวกันนะ”
“จ้ะแม่”
พะแพงถอนใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอน
หลังจากได้อาบน้ำอาบท่าแล้ว ความหมองมัวไม่สบายใจก็จางหายไปบ้างบางส่วน พะแพงในชุดเสื้อยืดลายแมวเหมียวยกขาหน้าข้างขวาขึ้นตะปบผีเสื้อกับกางเกงขาสั้นสีขาวพอดีตัวเดินออกมานอกห้องนอน และก็พบว่ามารดากำลังจัดแจงตั้งโต๊ะอาหารค่ำสำหรับครอบครัวอยู่
“แพงช่วยจ้ะแม่”
หล่อนรีบเดินเข้าไปหาช่วยจัดแจงเรียงจานกับช้อน และรีบตักข้าวใส่จานเอาใจมารดา
“กินเยอะๆ นะจ๊ะ”
แม่ของหล่อนกลั้วหัวเราะออกมา พร้อมกับยกมือขึ้นห้าม เมื่อเห็นหล่อนจะตักข้าวใส่ให้อีกทัพพีหนึ่ง
“พอแล้วแพง แม่ไม่กินข้าวเย็นเยอะ”
“แม่ตัวนิดเดียวเอง กินเยอะๆ จะได้ตัวอ้วนๆ เหมือนแพงไงจ๊ะ”
“แพงอ้วนที่ไหนกันล่ะลูก แม่ว่าหุ่นแบบนี้น่ารักดีออก”
“ก็แพงอยากหุ่นดีๆ เหมือนพี่พายนี่จ๊ะ”
แม่ของหล่อนส่ายหน้าไปมา
“หุ่นแบบพี่พายเขาเรียกว่าหนังหุ้มกระดูก ผอมเกินไป แบบแพงนี่แหละสวยกว่า มองแล้วอิ่มตาอิ่มใจดี”
หล่อนรู้ดีว่าแม่ไม่อยากให้หล่อนเสียใจก็เลยพูดให้ดูดีแบบนี้
ตอนที่ 4.“งั้นแพงจะอ้วนเลยดีไหมจ๊ะ แม่จะได้กอดอุ่นๆ ไง”“นั่นก็เกินไป”แม่ของหล่อนหัวเราะขบขัน ก่อนจะเอียงหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง“แม่ว่ามีคนมาบ้านเราน่ะ”“ไหนจ๊ะแม่”หล่อนชะเง้อคอมองตามออกไป และก็เห็นเงาตะคุ้มๆ ของใครบางคน แต่มองไม่เห็นเลย“นั่นไง... เห็นไหมลูก”“เห็นจ้ะแม่ งั้นเดี๋ยวแพงไปดูให้นะจ๊ะ”“อืม”พะแพงลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกไปนอกบ้าน ก้าวตรงไปยังรั้วบ้าน“ใครกันมาตอนนี้”ยังบ่นไม่ทันขาดคำเลย ก็ต้องเบิกตาค้างเติ่ง เมื่อเห็นโทคิยะยืนหล่ออยู่นอกรั้วบ้าน“พี่... โทคิยะ!”หล่อนช็อกหนักมาก และก็รีบกะพริบตาเร็วๆ หลายครั้งเพื่อเช็คให้มั่นใจว่าโทคิยะตรงหน้ามีตัวตนจริงๆ หรือแค่มโนเพ้อไปเองเขายังอยู่...พระเจ้า! ยังยืนยิ้มหล่อสุดติ่งอยู่ตรงหน้าหล่อนไม่ได้ตาฝาดตาเฝื่อน หรือว่าฝันไป โทคิยะมาเกาะรั้วบ้านของหล่อนจริงๆ“ทะ... โทจัง...”หล่อนไม่อยากจะโกหกต่อเลย แต่ก็ไม่มีทางเลือก“วันนี้ไม่เห็นเดินเข้าบ้าน ฉันก็เลยแวะมาหาน่ะ”จะมาทำไมกันนะ!“เอ่อ... พอดีเพื่อน... เพื่อนมาส่งน่ะ”“ขอ... เข้าไปได้ไหม”“ไม่ได้!”หล่อนปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดเลย เพราะถ้าโทคิยะเข้ามา ความจะต้องแตกแน่ๆ และแน่นอนเมื่อ
ตอนที่ 5.“ได้... ได้สิ ฉันจะหนีไปไหนล่ะ”โทคิยะยิ้มให้กับหล่อน ก่อนจะเดินฝ่าความมืดมิดกลับเข้าไปในซอยเมื่ออยู่ตามลำพัง หล่อนก็อดที่จะไม่สบายใจไม่ได้ เพราะไม่ต้องการให้เรื่องมันเลยเถิดเกินไปกว่านี้นัก หรือว่าหล่อนควรจะบอกความจริงกับโทคิยะดีใช่... หล่อนควรจะบอก...“โอเค แพง... จะหาโอกาสเหมาะๆ บอกความจริงกับพี่นะคะ”ใบหน้าของพะแพงเต็มไปด้วยความทุกข์ระบม การโกหกมันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลย และหล่อนก็ไม่ควรกล้าพลาดทำเรื่องแบบนี้ลงไปเลยแสงไฟจากหน้ารถสาดส่องแยงเข้ามาในดวงตา ก่อนที่รถจะมาหยุดจอดนิ่งใกล้ๆ หล่อนเอียงหน้ามองด้วยความแปลกใจ และกำลังจะก้าวหนี แต่คนขับรถชะโงกหน้าออกมาจากกระจกรถที่ลดลงเกือบหมดทั้งบานเสียก่อน“โท... จัง...”“ขึ้นรถเถอะ น้ำค้างลงเยอะแล้วนะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”ดูสิ... โทคิยะจดจำทุกอย่างของพี่สาวหล่อนได้หมดเลย แถมบางเรื่องเขายังรู้ดีว่าหล่อนผู้เป็นน้องสาวเสียอีก อย่างเช่นเรื่องนี้“อืม”หล่อนจำต้องผงกศีรษะตอบรับ และก้าวขึ้นไปนั่งบนรถคันงามของโทคิยะ“คาดเบลล์ด้วยสิ”“เอ่อ... โอเค”มือเล็กดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดทับบนร่าง ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถเคลื่อนที่พอดี“แล้
ตอนที่ 1.โทคิยะ พยัคโยธิน หนุ่มหล่อลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นวัย 27 ปี มารดาของโทคิยะ คือ ซายูริ คานิชิเกะ ซึ่งเป็นหญิงสาวชาวญี่ปุ่น ส่วนบิดาของโทคิยะก็คือ พิมาย พยัคโธยิน มหาเศรษฐีชาวไทยครอบครัวของโทคิยะมีบ้านหลังใหญ่อยู่ในซอยเดียวกันกับบ้านครอบครัวของ พะแพง ลีลวัฒน์ หญิงสาววัย 22 ปีที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆครอบครัวของพะแพง เป็นครอบครัวข้าราชการ บิดาและมารดาของหล่อนเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนขยายโอกาสของรัฐบาลทั้งคู่ ส่วนพี่สาวก็คือ พระพาย ซึ่งมีอายุเท่ากับโทคิยะ ก็ทำงานรับราชการอยู่ในกระทรวงแห่งหนึ่งของไทยเช่นกัน นานๆ จะกลับมาเยี่ยมบ้านสักทีหนึ่งหากจะย้อนกลับไปในอดีต เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนที่ครอบครวของโทคิยะยังไม่ได้ย้ายไปประเทศญี่ปุ่นพระพายกับโทคิยะเคยเป็นเพื่อนเล่นกัน ทั้งคู่สนิทกันมาก จนโทคิยะบอกกับพระพายก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นว่าจะกลับมาแต่งงานกับพระพาย ซึ่งพี่สาวของหล่อนก็ตอบรับเช่นกันหล่อนในตอนนั้นอายุเพิ่งจะเก้าขวบ ทำได้แค่บอกลาโทคิยะที่มาลาพระพายอยู่บนหน้าต่างห้องนอนเท่านั้น เพราะสำหรับโทคิยะแล้ว หล่อนก็เป็นเพียงแค่เด็กน่ารำคาญที่เขาไม่เคยสนใจเลยพะแพงถอนใจเบาๆ เมื่อเรื่องร
ตอนที่ 2.หล่อนรู้สึกผิดเต็มประตู แต่ก็คิดให้กำลังใจตัวเองว่า โทคิยะคงจะแค่มาพักร้อนไม่กี่วันเท่านั้น ไม่นานเขาก็จะกลับไปญี่ปุ่นเหมือนเดิมแล้วเรื่องโกหกนี้ก็จะหายไปกับกาลเวลา...ขอให้มันเป็นแบบนี้เถอะ...“กลับมาแล้วค่ะแม่”เมื่อเข้ามาในบ้าน หล่อนก็กล่าวทักทายมารดาเหมือนที่ทำทุกวัน“แม่เตรียมน้ำเอาไว้บนโต๊ะน่ะแพง”“ขอบคุณค่ะแม่”หล่อนเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา โดยสักครู่มารดาก็เดินตามออกมาสมทบ“แล้วพ่อไปไหนเหรอจ๊ะ แพงไม่เห็นพ่อที่สวนกล้วยไม้เลย”“พ่อไปหาพี่พายที่กรุงเทพฯ น่ะ”“ว๊า... ทำไมพ่อไม่รอแพงด้วยล่ะ แพงอยากไปหาพี่พายเหมือนกัน”มารดาหัวเราะขบขัน และก็ยกมือขึ้นหยีเส้นผมของลูกสาวคนเล็กอย่างมันเขี้ยว“ลาพักร้อนไม่ได้สักทีนี่เราน่ะ พ่อก็เลยรอไม่ไหว”“แหม... ก็แพงไม่อยากขาดสอนเด็กๆ นี่คะ เอ่อ... แล้วแม่ไม่ไปกับพ่อเหรอคะ”“แม่เป็นห่วงแพงไงล่ะ ถึงไม่ไปน่ะ”พะแพงรู้สึกไม่สบายใจนักเมื่อได้ยินคำพูดของมารดา“แพงเลยเป็นตัวถ่วง ทำให้แม่ไม่ได้ไปหาพี่พายเลย”“อย่าคิดมากนะแพง... แม่โทรคุยกับพี่พายทุกวัน ไม่ได้คิดถึงขนาดต้องรีบบินไปหาหรอกจ้ะ”“ถึงแม่จะพูดแบบนี้ แพงก็รู้สึกผิดอยู่ดี...”“ไม่เอาน่า อ
ตอนที่ 5.“ได้... ได้สิ ฉันจะหนีไปไหนล่ะ”โทคิยะยิ้มให้กับหล่อน ก่อนจะเดินฝ่าความมืดมิดกลับเข้าไปในซอยเมื่ออยู่ตามลำพัง หล่อนก็อดที่จะไม่สบายใจไม่ได้ เพราะไม่ต้องการให้เรื่องมันเลยเถิดเกินไปกว่านี้นัก หรือว่าหล่อนควรจะบอกความจริงกับโทคิยะดีใช่... หล่อนควรจะบอก...“โอเค แพง... จะหาโอกาสเหมาะๆ บอกความจริงกับพี่นะคะ”ใบหน้าของพะแพงเต็มไปด้วยความทุกข์ระบม การโกหกมันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลย และหล่อนก็ไม่ควรกล้าพลาดทำเรื่องแบบนี้ลงไปเลยแสงไฟจากหน้ารถสาดส่องแยงเข้ามาในดวงตา ก่อนที่รถจะมาหยุดจอดนิ่งใกล้ๆ หล่อนเอียงหน้ามองด้วยความแปลกใจ และกำลังจะก้าวหนี แต่คนขับรถชะโงกหน้าออกมาจากกระจกรถที่ลดลงเกือบหมดทั้งบานเสียก่อน“โท... จัง...”“ขึ้นรถเถอะ น้ำค้างลงเยอะแล้วนะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”ดูสิ... โทคิยะจดจำทุกอย่างของพี่สาวหล่อนได้หมดเลย แถมบางเรื่องเขายังรู้ดีว่าหล่อนผู้เป็นน้องสาวเสียอีก อย่างเช่นเรื่องนี้“อืม”หล่อนจำต้องผงกศีรษะตอบรับ และก้าวขึ้นไปนั่งบนรถคันงามของโทคิยะ“คาดเบลล์ด้วยสิ”“เอ่อ... โอเค”มือเล็กดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดทับบนร่าง ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถเคลื่อนที่พอดี“แล้
ตอนที่ 4.“งั้นแพงจะอ้วนเลยดีไหมจ๊ะ แม่จะได้กอดอุ่นๆ ไง”“นั่นก็เกินไป”แม่ของหล่อนหัวเราะขบขัน ก่อนจะเอียงหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง“แม่ว่ามีคนมาบ้านเราน่ะ”“ไหนจ๊ะแม่”หล่อนชะเง้อคอมองตามออกไป และก็เห็นเงาตะคุ้มๆ ของใครบางคน แต่มองไม่เห็นเลย“นั่นไง... เห็นไหมลูก”“เห็นจ้ะแม่ งั้นเดี๋ยวแพงไปดูให้นะจ๊ะ”“อืม”พะแพงลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกไปนอกบ้าน ก้าวตรงไปยังรั้วบ้าน“ใครกันมาตอนนี้”ยังบ่นไม่ทันขาดคำเลย ก็ต้องเบิกตาค้างเติ่ง เมื่อเห็นโทคิยะยืนหล่ออยู่นอกรั้วบ้าน“พี่... โทคิยะ!”หล่อนช็อกหนักมาก และก็รีบกะพริบตาเร็วๆ หลายครั้งเพื่อเช็คให้มั่นใจว่าโทคิยะตรงหน้ามีตัวตนจริงๆ หรือแค่มโนเพ้อไปเองเขายังอยู่...พระเจ้า! ยังยืนยิ้มหล่อสุดติ่งอยู่ตรงหน้าหล่อนไม่ได้ตาฝาดตาเฝื่อน หรือว่าฝันไป โทคิยะมาเกาะรั้วบ้านของหล่อนจริงๆ“ทะ... โทจัง...”หล่อนไม่อยากจะโกหกต่อเลย แต่ก็ไม่มีทางเลือก“วันนี้ไม่เห็นเดินเข้าบ้าน ฉันก็เลยแวะมาหาน่ะ”จะมาทำไมกันนะ!“เอ่อ... พอดีเพื่อน... เพื่อนมาส่งน่ะ”“ขอ... เข้าไปได้ไหม”“ไม่ได้!”หล่อนปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดเลย เพราะถ้าโทคิยะเข้ามา ความจะต้องแตกแน่ๆ และแน่นอนเมื่อ
ตอนที่ 3.“มะ... ไม่ต้องหรอก ฉันไปเองได้”“ฉันจะออกไปที่เซเว่นพอดี เดินไปคุยกันไป ดีออก ไปเถอะ”แล้วโทคิยะก็ถือวิสาสะฉวยแขนของหล่อนไปกุมเอาไว้ ในขณะที่หล่อนรู้สึกลำบากใจเหลือเกินนี่ถ้าเจอคนรู้จัก แล้วเรียกหล่อนว่าพะแพง ความลับจะต้องแตกแน่ๆ เลย“เอ่อ... โทจัง... พอดีฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมของเอาไว้ที่บ้าน ขอตัวกลับไปเอาก่อนนะ”หล่อนกระชากแขนออกจากมือใหญ่ และก็ไม่คิดจะสนใจอีกว่าโทคิยะจะรู้สึกยังไง เพราะตอนนี้ หล่อนจะต้องหนีจากเขาให้ไกลที่สุดสองเท้าซอยถี่ยิบเพื่อที่จะเดินห่างออกไป และเมื่อเม็ดเหงื่อไหลย้อยลงมาบนแก้ม หล่อนก็นึกได้ว่าเดินหนีมาไกลแล้ว จึงหยุดเดิน และผลุบเข้าไปที่ข้างเสาไฟฟ้าต้นใหญ่ และมองกลับไปยังโทคิยะเขาหายไปแล้ว...คงจะเดินออกไปร้านสะดวกซื้ออย่างที่บอกหล่อนแล้วนั่นแหละเฮ้อออออพะแพงเป่าปากออกมาแรงๆ อย่างโล่งอก และก็ภาวนาให้ตนเองไม่ต้องเจอหน้ากับโทคิยะอีกเลย จนกว่าครอบครัวของเขาจะเดินทางกลับไปญี่ปุ่นวันนี้หล่อนวุ่นวายหัวใจแทบจะทั้งวันเลย จนแทบจะสอนหนังสือเด็กๆ ไม่รู้เรื่อง บ่อยครั้งที่ยืนเหม่อ จนนักเรียนต้องตะโกนเรียกมันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย เพราะความโง่เขลาเบาปัญญาข
ตอนที่ 2.หล่อนรู้สึกผิดเต็มประตู แต่ก็คิดให้กำลังใจตัวเองว่า โทคิยะคงจะแค่มาพักร้อนไม่กี่วันเท่านั้น ไม่นานเขาก็จะกลับไปญี่ปุ่นเหมือนเดิมแล้วเรื่องโกหกนี้ก็จะหายไปกับกาลเวลา...ขอให้มันเป็นแบบนี้เถอะ...“กลับมาแล้วค่ะแม่”เมื่อเข้ามาในบ้าน หล่อนก็กล่าวทักทายมารดาเหมือนที่ทำทุกวัน“แม่เตรียมน้ำเอาไว้บนโต๊ะน่ะแพง”“ขอบคุณค่ะแม่”หล่อนเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา โดยสักครู่มารดาก็เดินตามออกมาสมทบ“แล้วพ่อไปไหนเหรอจ๊ะ แพงไม่เห็นพ่อที่สวนกล้วยไม้เลย”“พ่อไปหาพี่พายที่กรุงเทพฯ น่ะ”“ว๊า... ทำไมพ่อไม่รอแพงด้วยล่ะ แพงอยากไปหาพี่พายเหมือนกัน”มารดาหัวเราะขบขัน และก็ยกมือขึ้นหยีเส้นผมของลูกสาวคนเล็กอย่างมันเขี้ยว“ลาพักร้อนไม่ได้สักทีนี่เราน่ะ พ่อก็เลยรอไม่ไหว”“แหม... ก็แพงไม่อยากขาดสอนเด็กๆ นี่คะ เอ่อ... แล้วแม่ไม่ไปกับพ่อเหรอคะ”“แม่เป็นห่วงแพงไงล่ะ ถึงไม่ไปน่ะ”พะแพงรู้สึกไม่สบายใจนักเมื่อได้ยินคำพูดของมารดา“แพงเลยเป็นตัวถ่วง ทำให้แม่ไม่ได้ไปหาพี่พายเลย”“อย่าคิดมากนะแพง... แม่โทรคุยกับพี่พายทุกวัน ไม่ได้คิดถึงขนาดต้องรีบบินไปหาหรอกจ้ะ”“ถึงแม่จะพูดแบบนี้ แพงก็รู้สึกผิดอยู่ดี...”“ไม่เอาน่า อ
ตอนที่ 1.โทคิยะ พยัคโยธิน หนุ่มหล่อลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นวัย 27 ปี มารดาของโทคิยะ คือ ซายูริ คานิชิเกะ ซึ่งเป็นหญิงสาวชาวญี่ปุ่น ส่วนบิดาของโทคิยะก็คือ พิมาย พยัคโธยิน มหาเศรษฐีชาวไทยครอบครัวของโทคิยะมีบ้านหลังใหญ่อยู่ในซอยเดียวกันกับบ้านครอบครัวของ พะแพง ลีลวัฒน์ หญิงสาววัย 22 ปีที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆครอบครัวของพะแพง เป็นครอบครัวข้าราชการ บิดาและมารดาของหล่อนเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนขยายโอกาสของรัฐบาลทั้งคู่ ส่วนพี่สาวก็คือ พระพาย ซึ่งมีอายุเท่ากับโทคิยะ ก็ทำงานรับราชการอยู่ในกระทรวงแห่งหนึ่งของไทยเช่นกัน นานๆ จะกลับมาเยี่ยมบ้านสักทีหนึ่งหากจะย้อนกลับไปในอดีต เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนที่ครอบครวของโทคิยะยังไม่ได้ย้ายไปประเทศญี่ปุ่นพระพายกับโทคิยะเคยเป็นเพื่อนเล่นกัน ทั้งคู่สนิทกันมาก จนโทคิยะบอกกับพระพายก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นว่าจะกลับมาแต่งงานกับพระพาย ซึ่งพี่สาวของหล่อนก็ตอบรับเช่นกันหล่อนในตอนนั้นอายุเพิ่งจะเก้าขวบ ทำได้แค่บอกลาโทคิยะที่มาลาพระพายอยู่บนหน้าต่างห้องนอนเท่านั้น เพราะสำหรับโทคิยะแล้ว หล่อนก็เป็นเพียงแค่เด็กน่ารำคาญที่เขาไม่เคยสนใจเลยพะแพงถอนใจเบาๆ เมื่อเรื่องร