หล่อนรู้สึกผิดเต็มประตู แต่ก็คิดให้กำลังใจตัวเองว่า โทคิยะคงจะแค่มาพักร้อนไม่กี่วันเท่านั้น ไม่นานเขาก็จะกลับไปญี่ปุ่นเหมือนเดิม
แล้วเรื่องโกหกนี้ก็จะหายไปกับกาลเวลา...
ขอให้มันเป็นแบบนี้เถอะ...
“กลับมาแล้วค่ะแม่”
เมื่อเข้ามาในบ้าน หล่อนก็กล่าวทักทายมารดาเหมือนที่ทำทุกวัน
“แม่เตรียมน้ำเอาไว้บนโต๊ะน่ะแพง”
“ขอบคุณค่ะแม่”
หล่อนเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา โดยสักครู่มารดาก็เดินตามออกมาสมทบ
“แล้วพ่อไปไหนเหรอจ๊ะ แพงไม่เห็นพ่อที่สวนกล้วยไม้เลย”
“พ่อไปหาพี่พายที่กรุงเทพฯ น่ะ”
“ว๊า... ทำไมพ่อไม่รอแพงด้วยล่ะ แพงอยากไปหาพี่พายเหมือนกัน”
มารดาหัวเราะขบขัน และก็ยกมือขึ้นหยีเส้นผมของลูกสาวคนเล็กอย่างมันเขี้ยว
“ลาพักร้อนไม่ได้สักทีนี่เราน่ะ พ่อก็เลยรอไม่ไหว”
“แหม... ก็แพงไม่อยากขาดสอนเด็กๆ นี่คะ เอ่อ... แล้วแม่ไม่ไปกับพ่อเหรอคะ”
“แม่เป็นห่วงแพงไงล่ะ ถึงไม่ไปน่ะ”
พะแพงรู้สึกไม่สบายใจนักเมื่อได้ยินคำพูดของมารดา
“แพงเลยเป็นตัวถ่วง ทำให้แม่ไม่ได้ไปหาพี่พายเลย”
“อย่าคิดมากนะแพง... แม่โทรคุยกับพี่พายทุกวัน ไม่ได้คิดถึงขนาดต้องรีบบินไปหาหรอกจ้ะ”
“ถึงแม่จะพูดแบบนี้ แพงก็รู้สึกผิดอยู่ดี...”
“ไม่เอาน่า อย่าคิดมากลูกรัก”
วาสนาถึงลูกสาวคนเล็กเข้ามาสวมกอด
“เมื่อไหร่จะเลิกเป็นคนคิดมาก คิดเอาเองเสียทีล่ะพะแพง รู้ไหมว่ามันจะทำให้หนูไม่มีความสุขนะ”
“แพงจะพยายามค่ะแม่”
หล่อนเงยหน้าขึ้นจากอกของมารดา ก่อนจะนึกถึง
โทคิยะขึ้นมาได้“แม่จ๊ะ แพงเห็นครอบครัวของคุณป้าซายูริกลับมาที่บ้านค่ะ”
“อ๋อ แม่รู้แล้วล่ะ เมื่อตอนกลางวัน คุณป้าซายูริแวะเอาของฝากมาให้น่ะ”
“อ๋อ...” หล่อนพยักหน้าเงียบๆ
“เห็นคุณป้าซายูริบอกว่าโทจังก็มาด้วยนะ แพงเจอพี่เขาหรือยังล่ะ”
ใบหน้าของพะแพงซีดเผือด ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้ราบเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ก็... เจอ... เจอแล้วค่ะ”
แม่ของหล่อนยิ้มกว้าง
“แม่ยังไม่ได้เจอพ่อโทจังเลย ไม่รู้ว่าโตขึ้นแค่ไหนแล้ว จะหล่อเหมือนตอนเด็กๆ หรือเปล่า”
“หล่อกว่าตอนเด็กอีกจ้ะแม่”
แม่ของหล่อนมองจ้องมาก่อนจะหัวเราะ
“เรานี่... ชอบพี่โทจังไม่เปลี่ยนเลยนะ”
หล่อนยิ้มบางๆ แทบซ่อนความเศร้าเอาไว้บนใบหน้าไม่มิด
“เอ่อ... นั่นมันตอนเด็กค่ะแม่ ตอนนี้แพง... ไม่ได้คิดแบบนั้นแล้วล่ะจ้ะ”
“จ้า... แม่เชื่อจ้า...”
หล่อนอายหน้าแดงก่ำ จนต้องรีบตัดบทด้วยการลุกขึ้นจากโซฟา
“เอ่อ... งั้นแพงไปอาบน้ำก่อนนะจ๊ะ”
“ไปเถอะ แล้วหกโมงตรงออกมากินข้าวกับแม่นะ”
“จ้ะแม่”
พะแพงยิ้มบางๆ ให้กับมารดา ก่อนจะเดินหน้าเศร้าๆ ไปยังห้องนอนของตัวเอง
หล่อนไม่กล้าเจอหน้าโทคิยะอีกแล้วล่ะ เพราะ... ถ้าเจออีก เขาจะต้องรู้แน่ๆ ว่าหล่อนสวมรอยเป็นพี่สาว
เช้าวันต่อมา... พะแพงต้องเดินผ่านหน้าบ้านหลังโตของครอบครัวโทคิยะเหมือนเช่นทุกวัน ปกติหล่อนจะหยุดเดิน และทอดสายตามองเข้าไปข้างใน แต่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เพราะหล่อนไม่กล้าสู้หน้าโทคิยะอีก
เด็กเลี้ยงแกะ หล่อนกำลังเป็นเด็กเลี้ยงแกะ...
พะแพงสีหน้าอมทุกข์เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องที่ตนเองเผลอโกหกโทคิยะเมื่อวาน
“ไม่น่าเลยเรา...”
หล่อนก้าวเท้าเกือบจะพ้นอาณาเขตบ้านหลังใหญ่ของโทคิยะอยู่แล้วเชียว หากไม่มีเสียงห้าวทุ้มของคนบางคนดังขึ้นด้านหลังเสียก่อน
หล่อนจำได้ เสียงของโทคิยะ!
จะ... จะทำยังไงดี ตัวสั่นไปหมดแล้ว ไม่อยากเจอหน้าโทคิยะตอนนี้เลย
เพราะไม่อยากโกหกมากไปกว่านี้อีกแล้ว...
หล่อนพยายามจะก้าวเดินไปข้างหน้า แต่จู่ๆ โทคิยะก็คว้าแขนเรียวเอาไว้ พร้อมกับรั้งให้หยุดเดิน จากนั้นเขาก็เดินมาหยุดตรงหน้า
“พระพาย...”
หล่อนตัวเย็นเฉียบ อยากจะบอกเขาออกไป แต่พออ้าปากก็รู้สึกเหมือนน้ำแข็งยัดอยู่ข้างใน ปากคอสั่น พูดไม่ออก เพราะไม่กล้าพอ
“เอ่อ... โทจัง...”
โทคิยะปล่อยมือจากแขนของหล่อน และเอียงหน้ามองอย่างพิจารณา
“ทำไมหน้าดูไม่ดีเลย เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ปะ... เปล่าหรอก พอดี... รีบไปทำงานนะ ขอ... ขอตัวก่อนนะโทจัง”
หล่อนฉวยโอกาสจะเดินหนี แต่เขาก็คว้าแขนเอาไว้อีกครั้ง และด้วยแรงกระชาก ทำให้ร่างของหล่อนเซถลาเข้าปะทะกับเรือนกายทรงพลังที่หอมกรุ่นของโทคิยะอย่างห้ามไม่อยู่
“อ๊ะ... ขะ... ขอโทษ...”
หล่อนรีบละล่ำละลักเอ่ยปากขอโทษ และโก่งตัวหนีออกมา สองพวงแก้มแดงระเรื่อ
“ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษเธอพระพาย ฉันดึงเธอแรงไปหน่อย”
“มะ... ไม่เป็นไร ขอ... ตัวก่อนนะคะ”
“ทำไมจะต้องทำท่ารีบร้อนด้วยล่ะ”
แล้วโทคิยะก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมามอง
“นี่เพิ่งจะหกโมงกว่าๆ เองนะ เธอเข้างานแปดโมงไม่ใช่หรือ”
“เอ่อ...”
“เราไม่ได้เจอกันนานมาก คุยกันก่อนไม่ได้หรือ”
คุยกัน...
ไม่มีทางหรอก จะคุยอะไรล่ะ ในเมื่อในอดีต หล่อนกับโทคิยะแทบจะไม่ได้คุยกันเลยด้วยซ้ำ
“คือวันนี้... มีคาบสอนแต่เช้า ต้องรีบไปเตรียมงานน่ะ แล้วก็... มีประชุมด้วย ขอตัวนะโทจัง”
หล่อนเห็นสีหน้าของเขามีความผิดหวังเล็กน้อย
“เสียดายจัง แต่ไม่เป็นไร งั้นฉันเดินไปส่งที่ปากซอยนะ”
ตอนที่ 3.“มะ... ไม่ต้องหรอก ฉันไปเองได้”“ฉันจะออกไปที่เซเว่นพอดี เดินไปคุยกันไป ดีออก ไปเถอะ”แล้วโทคิยะก็ถือวิสาสะฉวยแขนของหล่อนไปกุมเอาไว้ ในขณะที่หล่อนรู้สึกลำบากใจเหลือเกินนี่ถ้าเจอคนรู้จัก แล้วเรียกหล่อนว่าพะแพง ความลับจะต้องแตกแน่ๆ เลย“เอ่อ... โทจัง... พอดีฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมของเอาไว้ที่บ้าน ขอตัวกลับไปเอาก่อนนะ”หล่อนกระชากแขนออกจากมือใหญ่ และก็ไม่คิดจะสนใจอีกว่าโทคิยะจะรู้สึกยังไง เพราะตอนนี้ หล่อนจะต้องหนีจากเขาให้ไกลที่สุดสองเท้าซอยถี่ยิบเพื่อที่จะเดินห่างออกไป และเมื่อเม็ดเหงื่อไหลย้อยลงมาบนแก้ม หล่อนก็นึกได้ว่าเดินหนีมาไกลแล้ว จึงหยุดเดิน และผลุบเข้าไปที่ข้างเสาไฟฟ้าต้นใหญ่ และมองกลับไปยังโทคิยะเขาหายไปแล้ว...คงจะเดินออกไปร้านสะดวกซื้ออย่างที่บอกหล่อนแล้วนั่นแหละเฮ้อออออพะแพงเป่าปากออกมาแรงๆ อย่างโล่งอก และก็ภาวนาให้ตนเองไม่ต้องเจอหน้ากับโทคิยะอีกเลย จนกว่าครอบครัวของเขาจะเดินทางกลับไปญี่ปุ่นวันนี้หล่อนวุ่นวายหัวใจแทบจะทั้งวันเลย จนแทบจะสอนหนังสือเด็กๆ ไม่รู้เรื่อง บ่อยครั้งที่ยืนเหม่อ จนนักเรียนต้องตะโกนเรียกมันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย เพราะความโง่เขลาเบาปัญญาข
ตอนที่ 4.“งั้นแพงจะอ้วนเลยดีไหมจ๊ะ แม่จะได้กอดอุ่นๆ ไง”“นั่นก็เกินไป”แม่ของหล่อนหัวเราะขบขัน ก่อนจะเอียงหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง“แม่ว่ามีคนมาบ้านเราน่ะ”“ไหนจ๊ะแม่”หล่อนชะเง้อคอมองตามออกไป และก็เห็นเงาตะคุ้มๆ ของใครบางคน แต่มองไม่เห็นเลย“นั่นไง... เห็นไหมลูก”“เห็นจ้ะแม่ งั้นเดี๋ยวแพงไปดูให้นะจ๊ะ”“อืม”พะแพงลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกไปนอกบ้าน ก้าวตรงไปยังรั้วบ้าน“ใครกันมาตอนนี้”ยังบ่นไม่ทันขาดคำเลย ก็ต้องเบิกตาค้างเติ่ง เมื่อเห็นโทคิยะยืนหล่ออยู่นอกรั้วบ้าน“พี่... โทคิยะ!”หล่อนช็อกหนักมาก และก็รีบกะพริบตาเร็วๆ หลายครั้งเพื่อเช็คให้มั่นใจว่าโทคิยะตรงหน้ามีตัวตนจริงๆ หรือแค่มโนเพ้อไปเองเขายังอยู่...พระเจ้า! ยังยืนยิ้มหล่อสุดติ่งอยู่ตรงหน้าหล่อนไม่ได้ตาฝาดตาเฝื่อน หรือว่าฝันไป โทคิยะมาเกาะรั้วบ้านของหล่อนจริงๆ“ทะ... โทจัง...”หล่อนไม่อยากจะโกหกต่อเลย แต่ก็ไม่มีทางเลือก“วันนี้ไม่เห็นเดินเข้าบ้าน ฉันก็เลยแวะมาหาน่ะ”จะมาทำไมกันนะ!“เอ่อ... พอดีเพื่อน... เพื่อนมาส่งน่ะ”“ขอ... เข้าไปได้ไหม”“ไม่ได้!”หล่อนปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดเลย เพราะถ้าโทคิยะเข้ามา ความจะต้องแตกแน่ๆ และแน่นอนเมื่อ
ตอนที่ 5.“ได้... ได้สิ ฉันจะหนีไปไหนล่ะ”โทคิยะยิ้มให้กับหล่อน ก่อนจะเดินฝ่าความมืดมิดกลับเข้าไปในซอยเมื่ออยู่ตามลำพัง หล่อนก็อดที่จะไม่สบายใจไม่ได้ เพราะไม่ต้องการให้เรื่องมันเลยเถิดเกินไปกว่านี้นัก หรือว่าหล่อนควรจะบอกความจริงกับโทคิยะดีใช่... หล่อนควรจะบอก...“โอเค แพง... จะหาโอกาสเหมาะๆ บอกความจริงกับพี่นะคะ”ใบหน้าของพะแพงเต็มไปด้วยความทุกข์ระบม การโกหกมันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลย และหล่อนก็ไม่ควรกล้าพลาดทำเรื่องแบบนี้ลงไปเลยแสงไฟจากหน้ารถสาดส่องแยงเข้ามาในดวงตา ก่อนที่รถจะมาหยุดจอดนิ่งใกล้ๆ หล่อนเอียงหน้ามองด้วยความแปลกใจ และกำลังจะก้าวหนี แต่คนขับรถชะโงกหน้าออกมาจากกระจกรถที่ลดลงเกือบหมดทั้งบานเสียก่อน“โท... จัง...”“ขึ้นรถเถอะ น้ำค้างลงเยอะแล้วนะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”ดูสิ... โทคิยะจดจำทุกอย่างของพี่สาวหล่อนได้หมดเลย แถมบางเรื่องเขายังรู้ดีว่าหล่อนผู้เป็นน้องสาวเสียอีก อย่างเช่นเรื่องนี้“อืม”หล่อนจำต้องผงกศีรษะตอบรับ และก้าวขึ้นไปนั่งบนรถคันงามของโทคิยะ“คาดเบลล์ด้วยสิ”“เอ่อ... โอเค”มือเล็กดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดทับบนร่าง ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถเคลื่อนที่พอดี“แล้
ตอนที่ 1.โทคิยะ พยัคโยธิน หนุ่มหล่อลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นวัย 27 ปี มารดาของโทคิยะ คือ ซายูริ คานิชิเกะ ซึ่งเป็นหญิงสาวชาวญี่ปุ่น ส่วนบิดาของโทคิยะก็คือ พิมาย พยัคโธยิน มหาเศรษฐีชาวไทยครอบครัวของโทคิยะมีบ้านหลังใหญ่อยู่ในซอยเดียวกันกับบ้านครอบครัวของ พะแพง ลีลวัฒน์ หญิงสาววัย 22 ปีที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆครอบครัวของพะแพง เป็นครอบครัวข้าราชการ บิดาและมารดาของหล่อนเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนขยายโอกาสของรัฐบาลทั้งคู่ ส่วนพี่สาวก็คือ พระพาย ซึ่งมีอายุเท่ากับโทคิยะ ก็ทำงานรับราชการอยู่ในกระทรวงแห่งหนึ่งของไทยเช่นกัน นานๆ จะกลับมาเยี่ยมบ้านสักทีหนึ่งหากจะย้อนกลับไปในอดีต เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนที่ครอบครวของโทคิยะยังไม่ได้ย้ายไปประเทศญี่ปุ่นพระพายกับโทคิยะเคยเป็นเพื่อนเล่นกัน ทั้งคู่สนิทกันมาก จนโทคิยะบอกกับพระพายก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นว่าจะกลับมาแต่งงานกับพระพาย ซึ่งพี่สาวของหล่อนก็ตอบรับเช่นกันหล่อนในตอนนั้นอายุเพิ่งจะเก้าขวบ ทำได้แค่บอกลาโทคิยะที่มาลาพระพายอยู่บนหน้าต่างห้องนอนเท่านั้น เพราะสำหรับโทคิยะแล้ว หล่อนก็เป็นเพียงแค่เด็กน่ารำคาญที่เขาไม่เคยสนใจเลยพะแพงถอนใจเบาๆ เมื่อเรื่องร
ตอนที่ 5.“ได้... ได้สิ ฉันจะหนีไปไหนล่ะ”โทคิยะยิ้มให้กับหล่อน ก่อนจะเดินฝ่าความมืดมิดกลับเข้าไปในซอยเมื่ออยู่ตามลำพัง หล่อนก็อดที่จะไม่สบายใจไม่ได้ เพราะไม่ต้องการให้เรื่องมันเลยเถิดเกินไปกว่านี้นัก หรือว่าหล่อนควรจะบอกความจริงกับโทคิยะดีใช่... หล่อนควรจะบอก...“โอเค แพง... จะหาโอกาสเหมาะๆ บอกความจริงกับพี่นะคะ”ใบหน้าของพะแพงเต็มไปด้วยความทุกข์ระบม การโกหกมันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลย และหล่อนก็ไม่ควรกล้าพลาดทำเรื่องแบบนี้ลงไปเลยแสงไฟจากหน้ารถสาดส่องแยงเข้ามาในดวงตา ก่อนที่รถจะมาหยุดจอดนิ่งใกล้ๆ หล่อนเอียงหน้ามองด้วยความแปลกใจ และกำลังจะก้าวหนี แต่คนขับรถชะโงกหน้าออกมาจากกระจกรถที่ลดลงเกือบหมดทั้งบานเสียก่อน“โท... จัง...”“ขึ้นรถเถอะ น้ำค้างลงเยอะแล้วนะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”ดูสิ... โทคิยะจดจำทุกอย่างของพี่สาวหล่อนได้หมดเลย แถมบางเรื่องเขายังรู้ดีว่าหล่อนผู้เป็นน้องสาวเสียอีก อย่างเช่นเรื่องนี้“อืม”หล่อนจำต้องผงกศีรษะตอบรับ และก้าวขึ้นไปนั่งบนรถคันงามของโทคิยะ“คาดเบลล์ด้วยสิ”“เอ่อ... โอเค”มือเล็กดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดทับบนร่าง ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถเคลื่อนที่พอดี“แล้
ตอนที่ 4.“งั้นแพงจะอ้วนเลยดีไหมจ๊ะ แม่จะได้กอดอุ่นๆ ไง”“นั่นก็เกินไป”แม่ของหล่อนหัวเราะขบขัน ก่อนจะเอียงหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง“แม่ว่ามีคนมาบ้านเราน่ะ”“ไหนจ๊ะแม่”หล่อนชะเง้อคอมองตามออกไป และก็เห็นเงาตะคุ้มๆ ของใครบางคน แต่มองไม่เห็นเลย“นั่นไง... เห็นไหมลูก”“เห็นจ้ะแม่ งั้นเดี๋ยวแพงไปดูให้นะจ๊ะ”“อืม”พะแพงลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกไปนอกบ้าน ก้าวตรงไปยังรั้วบ้าน“ใครกันมาตอนนี้”ยังบ่นไม่ทันขาดคำเลย ก็ต้องเบิกตาค้างเติ่ง เมื่อเห็นโทคิยะยืนหล่ออยู่นอกรั้วบ้าน“พี่... โทคิยะ!”หล่อนช็อกหนักมาก และก็รีบกะพริบตาเร็วๆ หลายครั้งเพื่อเช็คให้มั่นใจว่าโทคิยะตรงหน้ามีตัวตนจริงๆ หรือแค่มโนเพ้อไปเองเขายังอยู่...พระเจ้า! ยังยืนยิ้มหล่อสุดติ่งอยู่ตรงหน้าหล่อนไม่ได้ตาฝาดตาเฝื่อน หรือว่าฝันไป โทคิยะมาเกาะรั้วบ้านของหล่อนจริงๆ“ทะ... โทจัง...”หล่อนไม่อยากจะโกหกต่อเลย แต่ก็ไม่มีทางเลือก“วันนี้ไม่เห็นเดินเข้าบ้าน ฉันก็เลยแวะมาหาน่ะ”จะมาทำไมกันนะ!“เอ่อ... พอดีเพื่อน... เพื่อนมาส่งน่ะ”“ขอ... เข้าไปได้ไหม”“ไม่ได้!”หล่อนปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดเลย เพราะถ้าโทคิยะเข้ามา ความจะต้องแตกแน่ๆ และแน่นอนเมื่อ
ตอนที่ 3.“มะ... ไม่ต้องหรอก ฉันไปเองได้”“ฉันจะออกไปที่เซเว่นพอดี เดินไปคุยกันไป ดีออก ไปเถอะ”แล้วโทคิยะก็ถือวิสาสะฉวยแขนของหล่อนไปกุมเอาไว้ ในขณะที่หล่อนรู้สึกลำบากใจเหลือเกินนี่ถ้าเจอคนรู้จัก แล้วเรียกหล่อนว่าพะแพง ความลับจะต้องแตกแน่ๆ เลย“เอ่อ... โทจัง... พอดีฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมของเอาไว้ที่บ้าน ขอตัวกลับไปเอาก่อนนะ”หล่อนกระชากแขนออกจากมือใหญ่ และก็ไม่คิดจะสนใจอีกว่าโทคิยะจะรู้สึกยังไง เพราะตอนนี้ หล่อนจะต้องหนีจากเขาให้ไกลที่สุดสองเท้าซอยถี่ยิบเพื่อที่จะเดินห่างออกไป และเมื่อเม็ดเหงื่อไหลย้อยลงมาบนแก้ม หล่อนก็นึกได้ว่าเดินหนีมาไกลแล้ว จึงหยุดเดิน และผลุบเข้าไปที่ข้างเสาไฟฟ้าต้นใหญ่ และมองกลับไปยังโทคิยะเขาหายไปแล้ว...คงจะเดินออกไปร้านสะดวกซื้ออย่างที่บอกหล่อนแล้วนั่นแหละเฮ้อออออพะแพงเป่าปากออกมาแรงๆ อย่างโล่งอก และก็ภาวนาให้ตนเองไม่ต้องเจอหน้ากับโทคิยะอีกเลย จนกว่าครอบครัวของเขาจะเดินทางกลับไปญี่ปุ่นวันนี้หล่อนวุ่นวายหัวใจแทบจะทั้งวันเลย จนแทบจะสอนหนังสือเด็กๆ ไม่รู้เรื่อง บ่อยครั้งที่ยืนเหม่อ จนนักเรียนต้องตะโกนเรียกมันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย เพราะความโง่เขลาเบาปัญญาข
ตอนที่ 2.หล่อนรู้สึกผิดเต็มประตู แต่ก็คิดให้กำลังใจตัวเองว่า โทคิยะคงจะแค่มาพักร้อนไม่กี่วันเท่านั้น ไม่นานเขาก็จะกลับไปญี่ปุ่นเหมือนเดิมแล้วเรื่องโกหกนี้ก็จะหายไปกับกาลเวลา...ขอให้มันเป็นแบบนี้เถอะ...“กลับมาแล้วค่ะแม่”เมื่อเข้ามาในบ้าน หล่อนก็กล่าวทักทายมารดาเหมือนที่ทำทุกวัน“แม่เตรียมน้ำเอาไว้บนโต๊ะน่ะแพง”“ขอบคุณค่ะแม่”หล่อนเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา โดยสักครู่มารดาก็เดินตามออกมาสมทบ“แล้วพ่อไปไหนเหรอจ๊ะ แพงไม่เห็นพ่อที่สวนกล้วยไม้เลย”“พ่อไปหาพี่พายที่กรุงเทพฯ น่ะ”“ว๊า... ทำไมพ่อไม่รอแพงด้วยล่ะ แพงอยากไปหาพี่พายเหมือนกัน”มารดาหัวเราะขบขัน และก็ยกมือขึ้นหยีเส้นผมของลูกสาวคนเล็กอย่างมันเขี้ยว“ลาพักร้อนไม่ได้สักทีนี่เราน่ะ พ่อก็เลยรอไม่ไหว”“แหม... ก็แพงไม่อยากขาดสอนเด็กๆ นี่คะ เอ่อ... แล้วแม่ไม่ไปกับพ่อเหรอคะ”“แม่เป็นห่วงแพงไงล่ะ ถึงไม่ไปน่ะ”พะแพงรู้สึกไม่สบายใจนักเมื่อได้ยินคำพูดของมารดา“แพงเลยเป็นตัวถ่วง ทำให้แม่ไม่ได้ไปหาพี่พายเลย”“อย่าคิดมากนะแพง... แม่โทรคุยกับพี่พายทุกวัน ไม่ได้คิดถึงขนาดต้องรีบบินไปหาหรอกจ้ะ”“ถึงแม่จะพูดแบบนี้ แพงก็รู้สึกผิดอยู่ดี...”“ไม่เอาน่า อ
ตอนที่ 1.โทคิยะ พยัคโยธิน หนุ่มหล่อลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นวัย 27 ปี มารดาของโทคิยะ คือ ซายูริ คานิชิเกะ ซึ่งเป็นหญิงสาวชาวญี่ปุ่น ส่วนบิดาของโทคิยะก็คือ พิมาย พยัคโธยิน มหาเศรษฐีชาวไทยครอบครัวของโทคิยะมีบ้านหลังใหญ่อยู่ในซอยเดียวกันกับบ้านครอบครัวของ พะแพง ลีลวัฒน์ หญิงสาววัย 22 ปีที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆครอบครัวของพะแพง เป็นครอบครัวข้าราชการ บิดาและมารดาของหล่อนเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนขยายโอกาสของรัฐบาลทั้งคู่ ส่วนพี่สาวก็คือ พระพาย ซึ่งมีอายุเท่ากับโทคิยะ ก็ทำงานรับราชการอยู่ในกระทรวงแห่งหนึ่งของไทยเช่นกัน นานๆ จะกลับมาเยี่ยมบ้านสักทีหนึ่งหากจะย้อนกลับไปในอดีต เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนที่ครอบครวของโทคิยะยังไม่ได้ย้ายไปประเทศญี่ปุ่นพระพายกับโทคิยะเคยเป็นเพื่อนเล่นกัน ทั้งคู่สนิทกันมาก จนโทคิยะบอกกับพระพายก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นว่าจะกลับมาแต่งงานกับพระพาย ซึ่งพี่สาวของหล่อนก็ตอบรับเช่นกันหล่อนในตอนนั้นอายุเพิ่งจะเก้าขวบ ทำได้แค่บอกลาโทคิยะที่มาลาพระพายอยู่บนหน้าต่างห้องนอนเท่านั้น เพราะสำหรับโทคิยะแล้ว หล่อนก็เป็นเพียงแค่เด็กน่ารำคาญที่เขาไม่เคยสนใจเลยพะแพงถอนใจเบาๆ เมื่อเรื่องร