โทคิยะ พยัคโยธิน หนุ่มหล่อลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นวัย 27 ปี มารดาของโทคิยะ คือ ซายูริ คานิชิเกะ ซึ่งเป็นหญิงสาวชาวญี่ปุ่น ส่วนบิดาของโทคิยะก็คือ พิมาย พยัคโธยิน มหาเศรษฐีชาวไทย
ครอบครัวของโทคิยะมีบ้านหลังใหญ่อยู่ในซอยเดียวกันกับบ้านครอบครัวของ พะแพง ลีลวัฒน์ หญิงสาววัย 22 ปีที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ
ครอบครัวของพะแพง เป็นครอบครัวข้าราชการ บิดาและมารดาของหล่อนเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนขยายโอกาสของรัฐบาลทั้งคู่ ส่วนพี่สาวก็คือ พระพาย ซึ่งมีอายุเท่ากับโทคิยะ ก็ทำงานรับราชการอยู่ในกระทรวงแห่งหนึ่งของไทยเช่นกัน นานๆ จะกลับมาเยี่ยมบ้านสักทีหนึ่ง
หากจะย้อนกลับไปในอดีต เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนที่ครอบครวของโทคิยะยังไม่ได้ย้ายไปประเทศญี่ปุ่น
พระพายกับโทคิยะเคยเป็นเพื่อนเล่นกัน ทั้งคู่สนิทกันมาก จนโทคิยะบอกกับพระพายก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นว่าจะกลับมาแต่งงานกับพระพาย ซึ่งพี่สาวของหล่อนก็ตอบรับเช่นกัน
หล่อนในตอนนั้นอายุเพิ่งจะเก้าขวบ ทำได้แค่บอกลาโทคิยะที่มาลาพระพายอยู่บนหน้าต่างห้องนอนเท่านั้น เพราะสำหรับโทคิยะแล้ว หล่อนก็เป็นเพียงแค่เด็กน่ารำคาญที่เขาไม่เคยสนใจเลย
พะแพงถอนใจเบาๆ เมื่อเรื่องราวในอดีตย้อนกลับเข้ามาในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งๆ ที่ควรจะลบลืมมันไปได้แล้ว แต่โทคิยะก็ยังไม่เคยหายไปจากความทรงจำเลย
หล่อนยังคงคิดถึงเขาเสมอ อยากรู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วจะมีหน้าตาเป็นยังไง และคิดจะกลับมาอยู่เมืองไทยบ้างหรือเปล่า
เท้าเล็กก้าวไปตามฟุตปาธริมถนน มุ่งหน้าเดินเข้าซอยไปยังบ้านของตัวเองที่อยู่เกือบท้ายซอย และทุกครั้งที่เดินเข้าบ้าน หล่อนก็อดที่จะเดินเข้าไปเกาะรั้วมองบ้านหลังใหญ่ของครอบครัวโทคิยะไม่ได้
และวันนี้ก็เช่นกัน หล่อนทำแบบนั้น...
เหมือนทุกวัน...
“เอะ... ทำไมมีรถยนต์จอดด้วยล่ะ”
คิ้วโก่งสวยเลิกสูงด้วยความแปลกใจระคนตื่นเต้น เมื่อสมองคิดว่าครอบครัวของโทคิยะกลับมาเมืองไทย
“หรือว่า... พี่โทคิยะจะกลับมาเมืองไทยแล้ว”
หัวใจพองฟูจนคับแน่นอก มือขาวสะอาดกำแท่งเล็กที่ทำจากสแตนเลสสีทองอย่างดีแน่น ใบหน้ารูปหัวใจเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม
ถ้าเป็นอย่างที่หล่อนคิดจริงๆ หล่อนคงมีความสุขที่สุดในโลกเลยล่ะ
การได้เห็นโทคิยะอีกครั้ง มันคือความฝันเดียวในชีวิตของหล่อน
“พระพาย... นั่นเธอใช่ไหม...”
เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลัง หล่อนสะดุ้งโหยง กำลังจะหันกลับไปตอบปฏิเสธว่าตัวเองคือพะแพงไม่ใช่พี่สาว แต่เมื่อมองเห็นเจ้าของเสียงเรียกเต็มตา ความจริงคือสิ่งสุดท้ายที่หล่อนอยากจะพูด
“เอ่อ...”
“ไม่ได้เจอกันนานมากเลยนะพระพาย... นี่ผม...
โทคิยะไงล่ะ จำได้ไหม...”โทคิยะตัวสูงกว่าแต่ครั้งสุดท้ายที่หล่อนแอบมองมากหลายเท่า เขาตัวสูง หุ่นดี ผิวขาวสะอาด ปากของเขาสีแดงระเรื่อ ดวงตาคมกริบหวานฉ่ำ ส่วนคิ้วก็หนาดก
พี่โทคิยะของหล่อน...
“มองแบบนี้ แสดงว่าจำไม่ได้ล่ะสิ เราเคยเล่นกันตอนเด็กไงพระพาย... จำได้ไหม”
“เอ่อ... จำ... จำได้แล้วค่ะ พี่... เอ่อ... โทคิยะ”
“เรียกผมเหมือนเมื่อก่อนเถอะ”
เรียกเหมือนเมื่อก่อนเหรอ...
พระพายเรียกโทคิยะว่ายังไงนะ?
“พระพายเรียกผมว่าโทจังไงล่ะ ลืมแล้วจริงๆ หรือ”
“โท... โทจัง...”
หล่อนอ้อมแอ้มตอบออกไป และก็ไม่อาจจะละสายตาจากผู้ชายตัวสูงที่หล่อเหลาปานเทพบุตรอย่างโทคิยะได้เลย เขาหล่อมาก...
หล่อจนเหมือนไม่ใช่คนจริงๆ...
มือเล็กยกขึ้นทาบอก พยายามกดหัวใจเอาไว้ไม่ให้มันเต้นแรงจนกระดอนออกมา
“โตขึ้นเยอะเลยนะพระพาย”
“เอ่อ... โท... โทจังก็เหมือนกันค่ะ”
“แต่หน้าเธอเด็กกว่าอายุมากเลยนะ แล้วก็... น่ารักขึ้นมากด้วย”
หัวใจของหล่อนเต้นแรงจนมือที่กดเอาไว้แทบเอาไม่อยู่ แม้จะรู้ดีว่าโทคิยะหมายถึงพี่สาวของตัวเอง ที่หล่อนกำลังสวมรอยอยู่ก็ตาม
“เข้าไปในบ้านฉันก่อนไหม คุณพ่อกับคุณแม่กำลังจัดของอยู่พอดี”
“เอ่อ... เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่า นี่ฉันกำลังจะกลับบ้านน่ะ”
โทคิยะมองหล่อนอย่างสำรวจ ก่อนจะระบายยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มที่สองแก้ม
“ตอนนี้ทำงานอยู่ที่ไหนหรือ”
“เอ่อ... ทำ... ทำอยู่ที่โรงเรียนแถวนี้แหละค่ะ”
“เป็นครูหรือพระพาย”
พะแพงตอบรับด้วยการผงกศีรษะขึ้นลง และก็ทำให้คนฟังแปลกใจ
“น่าแปลกนะ ตอนเด็กอาชีพครูนี่เป็นอาชีพที่เธอบอกว่าไม่ชอบสุดๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ โตขึ้นเธอกลับเลือกที่จะทำมัน”
หล่อนเสหลบสายตาคมกริบแปลกใจของคู่สนทนา รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเป็นที่สุด
หล่อนไม่น่าโกหกเลย ความจริงหล่อนน่าจะบอกว่าตัวเองคือพะแพง ไม่ใช่พี่พระพาย
แต่หล่อน... กลัวว่าหากบอกว่าตัวเองคือใคร โทคิยะจะไม่คุยด้วย
น้ำตาของหล่อนไหลตกอยู่ในอกท่วมท้น มือเล็กประสานกันที่หน้าขา
“เอ่อ... ฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะโทจัง”
“ฉันจะเดินไปส่ง”
“เอ่อ... อย่าเลย... โทจังเพิ่งมาถึง พักผ่อนเถอะนะ ฉันไปก่อนล่ะ บายจ้ะ”
และหล่อนก็ไม่หยุดให้โทคิยะขัดขวางได้อีก สองเท้ารีบพาจากมาทันที
เมื่อเดินมาไกลแล้ว หล่อนก็อดที่จะเป่าปากออกมาแรงๆ ไม่ได้
“ไม่น่าเลยแพง... ไม่น่าโกหกเลย...”
ตอนที่ 2.หล่อนรู้สึกผิดเต็มประตู แต่ก็คิดให้กำลังใจตัวเองว่า โทคิยะคงจะแค่มาพักร้อนไม่กี่วันเท่านั้น ไม่นานเขาก็จะกลับไปญี่ปุ่นเหมือนเดิมแล้วเรื่องโกหกนี้ก็จะหายไปกับกาลเวลา...ขอให้มันเป็นแบบนี้เถอะ...“กลับมาแล้วค่ะแม่”เมื่อเข้ามาในบ้าน หล่อนก็กล่าวทักทายมารดาเหมือนที่ทำทุกวัน“แม่เตรียมน้ำเอาไว้บนโต๊ะน่ะแพง”“ขอบคุณค่ะแม่”หล่อนเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา โดยสักครู่มารดาก็เดินตามออกมาสมทบ“แล้วพ่อไปไหนเหรอจ๊ะ แพงไม่เห็นพ่อที่สวนกล้วยไม้เลย”“พ่อไปหาพี่พายที่กรุงเทพฯ น่ะ”“ว๊า... ทำไมพ่อไม่รอแพงด้วยล่ะ แพงอยากไปหาพี่พายเหมือนกัน”มารดาหัวเราะขบขัน และก็ยกมือขึ้นหยีเส้นผมของลูกสาวคนเล็กอย่างมันเขี้ยว“ลาพักร้อนไม่ได้สักทีนี่เราน่ะ พ่อก็เลยรอไม่ไหว”“แหม... ก็แพงไม่อยากขาดสอนเด็กๆ นี่คะ เอ่อ... แล้วแม่ไม่ไปกับพ่อเหรอคะ”“แม่เป็นห่วงแพงไงล่ะ ถึงไม่ไปน่ะ”พะแพงรู้สึกไม่สบายใจนักเมื่อได้ยินคำพูดของมารดา“แพงเลยเป็นตัวถ่วง ทำให้แม่ไม่ได้ไปหาพี่พายเลย”“อย่าคิดมากนะแพง... แม่โทรคุยกับพี่พายทุกวัน ไม่ได้คิดถึงขนาดต้องรีบบินไปหาหรอกจ้ะ”“ถึงแม่จะพูดแบบนี้ แพงก็รู้สึกผิดอยู่ดี...”“ไม่เอาน่า อ
ตอนที่ 3.“มะ... ไม่ต้องหรอก ฉันไปเองได้”“ฉันจะออกไปที่เซเว่นพอดี เดินไปคุยกันไป ดีออก ไปเถอะ”แล้วโทคิยะก็ถือวิสาสะฉวยแขนของหล่อนไปกุมเอาไว้ ในขณะที่หล่อนรู้สึกลำบากใจเหลือเกินนี่ถ้าเจอคนรู้จัก แล้วเรียกหล่อนว่าพะแพง ความลับจะต้องแตกแน่ๆ เลย“เอ่อ... โทจัง... พอดีฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมของเอาไว้ที่บ้าน ขอตัวกลับไปเอาก่อนนะ”หล่อนกระชากแขนออกจากมือใหญ่ และก็ไม่คิดจะสนใจอีกว่าโทคิยะจะรู้สึกยังไง เพราะตอนนี้ หล่อนจะต้องหนีจากเขาให้ไกลที่สุดสองเท้าซอยถี่ยิบเพื่อที่จะเดินห่างออกไป และเมื่อเม็ดเหงื่อไหลย้อยลงมาบนแก้ม หล่อนก็นึกได้ว่าเดินหนีมาไกลแล้ว จึงหยุดเดิน และผลุบเข้าไปที่ข้างเสาไฟฟ้าต้นใหญ่ และมองกลับไปยังโทคิยะเขาหายไปแล้ว...คงจะเดินออกไปร้านสะดวกซื้ออย่างที่บอกหล่อนแล้วนั่นแหละเฮ้อออออพะแพงเป่าปากออกมาแรงๆ อย่างโล่งอก และก็ภาวนาให้ตนเองไม่ต้องเจอหน้ากับโทคิยะอีกเลย จนกว่าครอบครัวของเขาจะเดินทางกลับไปญี่ปุ่นวันนี้หล่อนวุ่นวายหัวใจแทบจะทั้งวันเลย จนแทบจะสอนหนังสือเด็กๆ ไม่รู้เรื่อง บ่อยครั้งที่ยืนเหม่อ จนนักเรียนต้องตะโกนเรียกมันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย เพราะความโง่เขลาเบาปัญญาข
ตอนที่ 4.“งั้นแพงจะอ้วนเลยดีไหมจ๊ะ แม่จะได้กอดอุ่นๆ ไง”“นั่นก็เกินไป”แม่ของหล่อนหัวเราะขบขัน ก่อนจะเอียงหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง“แม่ว่ามีคนมาบ้านเราน่ะ”“ไหนจ๊ะแม่”หล่อนชะเง้อคอมองตามออกไป และก็เห็นเงาตะคุ้มๆ ของใครบางคน แต่มองไม่เห็นเลย“นั่นไง... เห็นไหมลูก”“เห็นจ้ะแม่ งั้นเดี๋ยวแพงไปดูให้นะจ๊ะ”“อืม”พะแพงลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกไปนอกบ้าน ก้าวตรงไปยังรั้วบ้าน“ใครกันมาตอนนี้”ยังบ่นไม่ทันขาดคำเลย ก็ต้องเบิกตาค้างเติ่ง เมื่อเห็นโทคิยะยืนหล่ออยู่นอกรั้วบ้าน“พี่... โทคิยะ!”หล่อนช็อกหนักมาก และก็รีบกะพริบตาเร็วๆ หลายครั้งเพื่อเช็คให้มั่นใจว่าโทคิยะตรงหน้ามีตัวตนจริงๆ หรือแค่มโนเพ้อไปเองเขายังอยู่...พระเจ้า! ยังยืนยิ้มหล่อสุดติ่งอยู่ตรงหน้าหล่อนไม่ได้ตาฝาดตาเฝื่อน หรือว่าฝันไป โทคิยะมาเกาะรั้วบ้านของหล่อนจริงๆ“ทะ... โทจัง...”หล่อนไม่อยากจะโกหกต่อเลย แต่ก็ไม่มีทางเลือก“วันนี้ไม่เห็นเดินเข้าบ้าน ฉันก็เลยแวะมาหาน่ะ”จะมาทำไมกันนะ!“เอ่อ... พอดีเพื่อน... เพื่อนมาส่งน่ะ”“ขอ... เข้าไปได้ไหม”“ไม่ได้!”หล่อนปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดเลย เพราะถ้าโทคิยะเข้ามา ความจะต้องแตกแน่ๆ และแน่นอนเมื่อ
ตอนที่ 5.“ได้... ได้สิ ฉันจะหนีไปไหนล่ะ”โทคิยะยิ้มให้กับหล่อน ก่อนจะเดินฝ่าความมืดมิดกลับเข้าไปในซอยเมื่ออยู่ตามลำพัง หล่อนก็อดที่จะไม่สบายใจไม่ได้ เพราะไม่ต้องการให้เรื่องมันเลยเถิดเกินไปกว่านี้นัก หรือว่าหล่อนควรจะบอกความจริงกับโทคิยะดีใช่... หล่อนควรจะบอก...“โอเค แพง... จะหาโอกาสเหมาะๆ บอกความจริงกับพี่นะคะ”ใบหน้าของพะแพงเต็มไปด้วยความทุกข์ระบม การโกหกมันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลย และหล่อนก็ไม่ควรกล้าพลาดทำเรื่องแบบนี้ลงไปเลยแสงไฟจากหน้ารถสาดส่องแยงเข้ามาในดวงตา ก่อนที่รถจะมาหยุดจอดนิ่งใกล้ๆ หล่อนเอียงหน้ามองด้วยความแปลกใจ และกำลังจะก้าวหนี แต่คนขับรถชะโงกหน้าออกมาจากกระจกรถที่ลดลงเกือบหมดทั้งบานเสียก่อน“โท... จัง...”“ขึ้นรถเถอะ น้ำค้างลงเยอะแล้วนะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”ดูสิ... โทคิยะจดจำทุกอย่างของพี่สาวหล่อนได้หมดเลย แถมบางเรื่องเขายังรู้ดีว่าหล่อนผู้เป็นน้องสาวเสียอีก อย่างเช่นเรื่องนี้“อืม”หล่อนจำต้องผงกศีรษะตอบรับ และก้าวขึ้นไปนั่งบนรถคันงามของโทคิยะ“คาดเบลล์ด้วยสิ”“เอ่อ... โอเค”มือเล็กดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดทับบนร่าง ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถเคลื่อนที่พอดี“แล้
ตอนที่ 5.“ได้... ได้สิ ฉันจะหนีไปไหนล่ะ”โทคิยะยิ้มให้กับหล่อน ก่อนจะเดินฝ่าความมืดมิดกลับเข้าไปในซอยเมื่ออยู่ตามลำพัง หล่อนก็อดที่จะไม่สบายใจไม่ได้ เพราะไม่ต้องการให้เรื่องมันเลยเถิดเกินไปกว่านี้นัก หรือว่าหล่อนควรจะบอกความจริงกับโทคิยะดีใช่... หล่อนควรจะบอก...“โอเค แพง... จะหาโอกาสเหมาะๆ บอกความจริงกับพี่นะคะ”ใบหน้าของพะแพงเต็มไปด้วยความทุกข์ระบม การโกหกมันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลย และหล่อนก็ไม่ควรกล้าพลาดทำเรื่องแบบนี้ลงไปเลยแสงไฟจากหน้ารถสาดส่องแยงเข้ามาในดวงตา ก่อนที่รถจะมาหยุดจอดนิ่งใกล้ๆ หล่อนเอียงหน้ามองด้วยความแปลกใจ และกำลังจะก้าวหนี แต่คนขับรถชะโงกหน้าออกมาจากกระจกรถที่ลดลงเกือบหมดทั้งบานเสียก่อน“โท... จัง...”“ขึ้นรถเถอะ น้ำค้างลงเยอะแล้วนะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”ดูสิ... โทคิยะจดจำทุกอย่างของพี่สาวหล่อนได้หมดเลย แถมบางเรื่องเขายังรู้ดีว่าหล่อนผู้เป็นน้องสาวเสียอีก อย่างเช่นเรื่องนี้“อืม”หล่อนจำต้องผงกศีรษะตอบรับ และก้าวขึ้นไปนั่งบนรถคันงามของโทคิยะ“คาดเบลล์ด้วยสิ”“เอ่อ... โอเค”มือเล็กดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดทับบนร่าง ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถเคลื่อนที่พอดี“แล้
ตอนที่ 4.“งั้นแพงจะอ้วนเลยดีไหมจ๊ะ แม่จะได้กอดอุ่นๆ ไง”“นั่นก็เกินไป”แม่ของหล่อนหัวเราะขบขัน ก่อนจะเอียงหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง“แม่ว่ามีคนมาบ้านเราน่ะ”“ไหนจ๊ะแม่”หล่อนชะเง้อคอมองตามออกไป และก็เห็นเงาตะคุ้มๆ ของใครบางคน แต่มองไม่เห็นเลย“นั่นไง... เห็นไหมลูก”“เห็นจ้ะแม่ งั้นเดี๋ยวแพงไปดูให้นะจ๊ะ”“อืม”พะแพงลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกไปนอกบ้าน ก้าวตรงไปยังรั้วบ้าน“ใครกันมาตอนนี้”ยังบ่นไม่ทันขาดคำเลย ก็ต้องเบิกตาค้างเติ่ง เมื่อเห็นโทคิยะยืนหล่ออยู่นอกรั้วบ้าน“พี่... โทคิยะ!”หล่อนช็อกหนักมาก และก็รีบกะพริบตาเร็วๆ หลายครั้งเพื่อเช็คให้มั่นใจว่าโทคิยะตรงหน้ามีตัวตนจริงๆ หรือแค่มโนเพ้อไปเองเขายังอยู่...พระเจ้า! ยังยืนยิ้มหล่อสุดติ่งอยู่ตรงหน้าหล่อนไม่ได้ตาฝาดตาเฝื่อน หรือว่าฝันไป โทคิยะมาเกาะรั้วบ้านของหล่อนจริงๆ“ทะ... โทจัง...”หล่อนไม่อยากจะโกหกต่อเลย แต่ก็ไม่มีทางเลือก“วันนี้ไม่เห็นเดินเข้าบ้าน ฉันก็เลยแวะมาหาน่ะ”จะมาทำไมกันนะ!“เอ่อ... พอดีเพื่อน... เพื่อนมาส่งน่ะ”“ขอ... เข้าไปได้ไหม”“ไม่ได้!”หล่อนปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดเลย เพราะถ้าโทคิยะเข้ามา ความจะต้องแตกแน่ๆ และแน่นอนเมื่อ
ตอนที่ 3.“มะ... ไม่ต้องหรอก ฉันไปเองได้”“ฉันจะออกไปที่เซเว่นพอดี เดินไปคุยกันไป ดีออก ไปเถอะ”แล้วโทคิยะก็ถือวิสาสะฉวยแขนของหล่อนไปกุมเอาไว้ ในขณะที่หล่อนรู้สึกลำบากใจเหลือเกินนี่ถ้าเจอคนรู้จัก แล้วเรียกหล่อนว่าพะแพง ความลับจะต้องแตกแน่ๆ เลย“เอ่อ... โทจัง... พอดีฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมของเอาไว้ที่บ้าน ขอตัวกลับไปเอาก่อนนะ”หล่อนกระชากแขนออกจากมือใหญ่ และก็ไม่คิดจะสนใจอีกว่าโทคิยะจะรู้สึกยังไง เพราะตอนนี้ หล่อนจะต้องหนีจากเขาให้ไกลที่สุดสองเท้าซอยถี่ยิบเพื่อที่จะเดินห่างออกไป และเมื่อเม็ดเหงื่อไหลย้อยลงมาบนแก้ม หล่อนก็นึกได้ว่าเดินหนีมาไกลแล้ว จึงหยุดเดิน และผลุบเข้าไปที่ข้างเสาไฟฟ้าต้นใหญ่ และมองกลับไปยังโทคิยะเขาหายไปแล้ว...คงจะเดินออกไปร้านสะดวกซื้ออย่างที่บอกหล่อนแล้วนั่นแหละเฮ้อออออพะแพงเป่าปากออกมาแรงๆ อย่างโล่งอก และก็ภาวนาให้ตนเองไม่ต้องเจอหน้ากับโทคิยะอีกเลย จนกว่าครอบครัวของเขาจะเดินทางกลับไปญี่ปุ่นวันนี้หล่อนวุ่นวายหัวใจแทบจะทั้งวันเลย จนแทบจะสอนหนังสือเด็กๆ ไม่รู้เรื่อง บ่อยครั้งที่ยืนเหม่อ จนนักเรียนต้องตะโกนเรียกมันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย เพราะความโง่เขลาเบาปัญญาข
ตอนที่ 2.หล่อนรู้สึกผิดเต็มประตู แต่ก็คิดให้กำลังใจตัวเองว่า โทคิยะคงจะแค่มาพักร้อนไม่กี่วันเท่านั้น ไม่นานเขาก็จะกลับไปญี่ปุ่นเหมือนเดิมแล้วเรื่องโกหกนี้ก็จะหายไปกับกาลเวลา...ขอให้มันเป็นแบบนี้เถอะ...“กลับมาแล้วค่ะแม่”เมื่อเข้ามาในบ้าน หล่อนก็กล่าวทักทายมารดาเหมือนที่ทำทุกวัน“แม่เตรียมน้ำเอาไว้บนโต๊ะน่ะแพง”“ขอบคุณค่ะแม่”หล่อนเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา โดยสักครู่มารดาก็เดินตามออกมาสมทบ“แล้วพ่อไปไหนเหรอจ๊ะ แพงไม่เห็นพ่อที่สวนกล้วยไม้เลย”“พ่อไปหาพี่พายที่กรุงเทพฯ น่ะ”“ว๊า... ทำไมพ่อไม่รอแพงด้วยล่ะ แพงอยากไปหาพี่พายเหมือนกัน”มารดาหัวเราะขบขัน และก็ยกมือขึ้นหยีเส้นผมของลูกสาวคนเล็กอย่างมันเขี้ยว“ลาพักร้อนไม่ได้สักทีนี่เราน่ะ พ่อก็เลยรอไม่ไหว”“แหม... ก็แพงไม่อยากขาดสอนเด็กๆ นี่คะ เอ่อ... แล้วแม่ไม่ไปกับพ่อเหรอคะ”“แม่เป็นห่วงแพงไงล่ะ ถึงไม่ไปน่ะ”พะแพงรู้สึกไม่สบายใจนักเมื่อได้ยินคำพูดของมารดา“แพงเลยเป็นตัวถ่วง ทำให้แม่ไม่ได้ไปหาพี่พายเลย”“อย่าคิดมากนะแพง... แม่โทรคุยกับพี่พายทุกวัน ไม่ได้คิดถึงขนาดต้องรีบบินไปหาหรอกจ้ะ”“ถึงแม่จะพูดแบบนี้ แพงก็รู้สึกผิดอยู่ดี...”“ไม่เอาน่า อ
ตอนที่ 1.โทคิยะ พยัคโยธิน หนุ่มหล่อลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นวัย 27 ปี มารดาของโทคิยะ คือ ซายูริ คานิชิเกะ ซึ่งเป็นหญิงสาวชาวญี่ปุ่น ส่วนบิดาของโทคิยะก็คือ พิมาย พยัคโธยิน มหาเศรษฐีชาวไทยครอบครัวของโทคิยะมีบ้านหลังใหญ่อยู่ในซอยเดียวกันกับบ้านครอบครัวของ พะแพง ลีลวัฒน์ หญิงสาววัย 22 ปีที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆครอบครัวของพะแพง เป็นครอบครัวข้าราชการ บิดาและมารดาของหล่อนเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนขยายโอกาสของรัฐบาลทั้งคู่ ส่วนพี่สาวก็คือ พระพาย ซึ่งมีอายุเท่ากับโทคิยะ ก็ทำงานรับราชการอยู่ในกระทรวงแห่งหนึ่งของไทยเช่นกัน นานๆ จะกลับมาเยี่ยมบ้านสักทีหนึ่งหากจะย้อนกลับไปในอดีต เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนที่ครอบครวของโทคิยะยังไม่ได้ย้ายไปประเทศญี่ปุ่นพระพายกับโทคิยะเคยเป็นเพื่อนเล่นกัน ทั้งคู่สนิทกันมาก จนโทคิยะบอกกับพระพายก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นว่าจะกลับมาแต่งงานกับพระพาย ซึ่งพี่สาวของหล่อนก็ตอบรับเช่นกันหล่อนในตอนนั้นอายุเพิ่งจะเก้าขวบ ทำได้แค่บอกลาโทคิยะที่มาลาพระพายอยู่บนหน้าต่างห้องนอนเท่านั้น เพราะสำหรับโทคิยะแล้ว หล่อนก็เป็นเพียงแค่เด็กน่ารำคาญที่เขาไม่เคยสนใจเลยพะแพงถอนใจเบาๆ เมื่อเรื่องร