“นี่คุณจะทำอะไร?”ซังหนี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มขัดขืน “ปล่อยฉันนะ! ฟู่เซียวหาน คุณปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”เท้าของเธอพยายามถีบตัวออกมา จนรองเท้าส้นสูงกระเด็นหลุดไปข้างหนึ่งทางเดินยาวของโรงแรมปูด้วยพรมหนานุ่ม เมื่อรองเท้ากระเด็นหล่นลงไป กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลยเมื่อเข้ามาในลิฟต์ เขาถึงได้ยอมปล่อยเธอลงแต่ซังหนี่กลับถูกเขาดันไปติดมุมลิฟต์ พอเธอกำลังจะก้าวหนี เขาก็จับคางเธอไว้แล้วจูบลงมาทันทีเขาไม่เปิดโอกาสให้เธอลังเลหรือขัดขืนเลย เพียงแค่จูบลงไปลิ้นของเขาก็เข้าผ่านริมฝีปากของเธอโดยตรงการรุกล้ำที่เต็มไปด้วยความกระหายทำให้ซังหนี่เหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจในทันทีแต่สองมือของเธอถูกเขากดไว้แน่น เวลานี้แม้แต่จะผลักเขาออกไปยังทำไม่ได้เข่าของฟู่เซียวหานยกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สอดเข้าไปในใต้กระโปรงของเธอเขารู้จักร่างกายของเธอเป็นอย่างดี การกระทำที่ดุดันและรุนแรงในตอนนี้ ทำให้ซังหนี่รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นปลาตัวที่ถูกตรึงไว้บนเขียงตัวหนึ่งเธอทำได้เพียงเฝ้ามองใบมีดที่กำลังจะตกลงมากรีดผิวและกระดูกตัวเองสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกอับอายยิ่งกว่าคือ ร่างกายของเธอกลับตอบสนองต่อสิ่งที
น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่“ไอ้สารเลว” เธอกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอนชายที่เดิมทีกำลังจะก้มกัดที่ต้นคอของเธอ เมื่อได้ยินคำพูดนั้นกลับชะงักไปพักหนึ่งจากนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองตาเธอลิปสติกของซังหนี่เลอะเทอะไปหมด อายไลเนอร์ก็เลือนรางเพราะน้ำตาที่ไหลออกมา เส้นผมยุ่งเหยิง ทั้งตัวของเธอดูทุลักทุเลอย่างเห็นได้ชัดแต่เมื่อฟู่เซียวหานเห็นหยดน้ำตาที่เกาะอยู่บนขนตาของเธอ หัวใจของเขากลับเต้นแรงไปชั่วขณะจากนั้น เขาค่อย ๆ ชะลอการกระทำลง ก่อนจะโอบท้ายทอยของเธออีกครั้งและจูบลงไปทันทีจูบนี้อ่อนโยนและละมุนยิ่งกว่าเดิม ซังหนี่เองก็ดูเหมือนจะไม่ขัดขืนเหมือนในตอนนั้นที่จริงแล้วการที่เธอรู้สึกเจ็บปวด ฟู่เซียวหานเองก็ไม่ได้รู้สึกดีเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มผ่อนคลายลง ฟู่เซียวหานก็สงบสติอารมณ์ลงเช่นกันแต่ในจังหวะที่ฟู่เซียวหานกำลังจะพูดกับเธอดี ๆ ซังหนี่กลับอ้าปาก กัดไปที่ริมฝีปากของเขาอย่างแรง! ……“ประธานฟู่”ผ่านไปแล้วหนึ่งวัน ตอนที่สวีเหยียนกำลังพูดกับเขาอยู่ สายตากลับอดไม่ได้ที่มองริมฝีปากของฟู่เซียวหานแน่นอนว่า รอยฝ่ามือบนแก้มของฟู่เซียวหานนั้นโดดเด่นสะดุดตาไม่น้อย แต่เ
ฟ้ามืดลงแล้วแสงไฟจากด้านนอกเริ่มส่องสว่าง หลอดไฟนีออนหลากสีผสานเข้ากับแสงสีแดงจากการจราจรยามค่ำคืน ทำให้เกิดภาพด้านหนึ่งที่สะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองและความเย็นชาของเมืองแห่งนี้อย่างเด่นชัดตึกจื้อเหอตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง หน้าต่างบานใหญ่สูงจรดพื้นดูราวกับกรอบรูปขนาดยักษ์บานหนึ่ง กักเก็บภาพทั้งหมดนี้ไว้ ให้คนได้ชื่นชมฟู่เซียวหานยืนอยู่ตรงนั้น มองดูทุกอย่างด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเขาถือไฟแช็กไว้ในมือ กดสวิตช์เปิดปิดซ้ำไปซ้ำมา เปลวไฟสีน้ำเงินพุ่งขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะดับวูบไปในพริบตาครั้งแล้วครั้งเล่าเกี่ยวกับความทรงจำของพ่อ ฟู่เซียวหานแทบจะจำอะไรไม่ได้แล้วสิ่งเดียวที่นึกออก คงเป็นใบหน้าที่เคร่งขรึมและไม่เคยยิ้มง่าย ๆ มีมาตรฐานที่เข้มงวดสำหรับเขา และท้ายที่สุดคือภาพพ่อที่นอนป่วยอยู่บนเตียงคนป่วยจนไม่สามารถดูแลตัวเองได้พ่อจากไปตอนที่ฟู่เซียวหานอายุเพียง 12 ปีแม้ความสัมพันธ์พ่อลูกจะไม่ได้แน่นแฟ้นมากนัก แต่ในความทรงจำของเขา พ่อก็ยังเป็น "พ่อ" ที่ธรรมดาคนหนึ่งระหว่างเขากับแม่ บางทีก็ดูเหมือนว่าเคยรักกันไม่อย่างนั้น เธอจะเฝ้ารอเขามาตลอดหลายปีเพื่ออะไร?ตอนแรกที่บังคับใ
ในฐานะผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่ง ฟู่เซียวหานเคยพบเจอสิ่งล่อลวงมากมายนับไม่ถ้วนและชัดเจนว่าผู้หญิงตรงหน้านี้คือหนึ่งในประเภทผู้หญิงที่ร้ายกาจที่สุดดังนั้น เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองเธอ เพียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาซังหนี่โดยตรงโทรติด แต่กลับไม่มีคนรับสายสีหน้าของฟู่เซียวหานยิ่งขุ่นหมองและดูไม่ดีมากขึ้นหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา รู้สึกอับอายไม่น้อย กับการที่ถูกเมินเฉยแต่เมื่อนึกถึงรถยนต์สุดหรูของฟู่เซียวหาน รวมถึงเสื้อผ้าบนตัวเขาที่ดูแล้วรู้ทันทีว่าราคาไม่ธรรมดา เธอก็รวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหา “คุณกับซังหนี่เป็นอะไรกันเหรอ? เพื่อนกันใช่มั้ย?”“แต่ว่าตอนนี้เธอคงไม่มีเวลามารับโทรศัพท์ของคุณหรอกนะ ดึกขนาดนี้ยังไม่กลับบ้าน แสดงว่าต้องไปนัดเจอผู้ชายอยู่แน่ ๆ ”“ฉันบอกคุณเลยนะ เธอไม่ได้เรียบร้อยเหมือนที่คุณเห็นหรอก เบื้องหลังน่ะเธอออกจะสุดเหวี่ยงใช่เล่น เมื่อเช้าฉันยังเห็นเธอ...”ยังไม่ทันที่คำพูดของหญิงสาวจะจบ สายตาของฟู่เซียวหานหันมาจ้องเธอทันทีสายตาเย็นเยียบคมกริบดั่งมือที่มองไม่เห็น บีบเข้าที่ลำคอของเธอ ทำให้คำพูดที่ยังไม่ทันหลุดออกมาถูกกลืนกลับลงไปในทันทีหญิงสาวก็มั่นใจว่า
ฟู่เซียวหานเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ของเธอแวบหนึ่งก่อนจะย้อนถามกลับว่า “คุณไปไหนมา?”ซังหนี่เม้มริมฝีปากแล้วตอบกลับว่า “ใครให้คุณเปลี่ยนกลอนประตูห้องของฉัน?”“ตอบ คำถาม ฉัน มา”สีหน้าของฟู่เซียวหานดูไม่ดีเอาเสียเลยเดิมทีซังหนี่ตั้งใจจะโต้เถียงกับเขาให้ถึงที่สุด แต่เมื่อสบตาเขาอยู่พักหนึ่ง เธอก็ยอมตอบในที่สุด “โรงพยาบาล”สีหน้าของฟู่เซียวหานเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองเธออีกครั้งตั้งแต่หัวจรดเท้า ซังหนี่ไม่ได้สังเกตสายตาของเขา เพียงพูดต่อว่า “ตอนบ่ายพวกเขาบอกฉันว่าแม่ฉันฟื้นแล้ว แต่พอฉันไปถึงเธอก็หลับไปอีก ฉันเลยรออยู่ที่นั่นตลอด เพื่อดูว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งได้หรือเปล่า”เสียงของซังหนี่แผ่วเบา และแฝงไปด้วยความเศร้าอย่างชัดเจนสีหน้าที่เย็นชาของฟู่เซียวหานผ่อนคลายลงเล็กน้อย แล้วเขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะถามว่า “แล้วทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์?”“ฉันตั้งโหมดเงียบไว้ เลยไม่เห็น”ซังหนี่พูดพร้อมกับถามต่อ “ตอนนี้ฉันเข้าบ้านได้หรือยัง?”ฟู่เซียวหานจึงขยับตัวหลีกทางให้เธอเข้าไปซังหนี่โน้มตัวถอดรองเท้า แล้ววางกระเป๋าผ้าของเธอลงจากนั้น เธอหันกลับมามองเขา “แล้วคุณมาที่นี่ทำไม?”ฟ
ตอนที่ฟู่เซียวหานวางตะเกียบลง เธอก็วางตามด้วย“คุณจะไปได้หรือยัง?” ซังหนี่เอ่ยปากไล่แขกทันทีฟู่เซียวหานมองไปรอบ ๆ ก่อนจะถามว่า “ทำไมคุณถึงไม่อยู่ที่บ้านพักป๋อซีหยวนล่ะ?”“นั่นไม่ใช่บ้านของฉัน”คำตอบของซังหนี่ชัดเจนมากฟู่เซียวหานจ้องเธออยู่สักพักก่อนตอบว่า “ผมยกบ้านให้คุณได้นะ”“ไม่ล่ะ ฉันว่าที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว”คำพูดของซังหนี่ทำให้ฟู่เซียวหานถึงกับพูดไม่ออกแต่คิ้วของเขาขมวดแน่นอย่างเห็นได้ชัด“คุณยังมีธุระอะไรอีกไหม?” ซังหนี่ถามอีกครั้งฟู่เซียวหานกลับไม่พูดอะไรต่อ เพียงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เอาผ้าเช็ดตัวสะอาดให้ผมสักผืน”พูดจบเขาก็เดินไปทางห้องน้ำทันทีซังหนี่รีบขวางเขาไว้ “คุณจะทำอะไร? ที่นี่มันบ้านฉัน!”“ป๋อซีหยวนเป็นบ้านของผม คุณก็เคยอาบน้ำและค้างคืนที่นั่นไม่ใช่เหรอ?”ซังหนี่ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะตอนนี้เอง ฟู่เซียวหานได้เปิดประตูห้องน้ำเมื่อเห็นสภาพข้างใน คิ้วของเขาก็ขมวดแน่นขึ้นทันทีสำหรับที่แบบนี้ การไม่มีอ่างอาบน้ำถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ฟู่เซียวหานไม่คาดคิดเลยว่าจะไม่มีแม้แต่พื้นที่อาบน้ำแยกต่างหาก ที่สำหรับอาบน้ำก็แค่มีผ้าม่านกั้นระหว่างอ่างล้างหน้าก
ซังหนี่รู้สึกไม่ชินกับการกระทำของเขาในตอนนี้ กำลังจะคว้าผ้าเช็ดตัวกลับมา แต่ฟู่เซียวหานกลับพูดขึ้นว่า “รู้ไหมว่าวันนี้ผมได้ยินข่าวอะไรมา?”ซังหนี่ชะงักไปเล็กน้อย แล้วมองไปที่เขา“ผมอาจจะมีพี่น้องที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งดวงตาของซังหนี่หรี่ลงเล็กน้อย!“หมายความว่ายังไง...?”“หมายความว่า พ่อของผมอาจมีลูกนอกสมรส”ฟู่เซียวหานยังคงดูสงบนิ่ง ราวกับกำลังเล่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเลยซังหนี่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงพูดเรื่องนี้กับเธอขึ้นมาในตอนที่พวกเขายังเป็นสามีภรรยากัน ก็ไม่เคยเปิดใจพูดคุยกันเลยสักครั้งเธอแทบไม่เคยถามอะไรเขาเลย ฟู่เซียวหานเองก็ยิ่งเงียบขรึมมากกว่าเธอเสียอีกบางครั้งแม้อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่พวกเขาไม่พบหน้าและไม่พูดคุยกันเป็นวัน ๆ ได้การเป็นสามีภรรยากันในแบบพวกเขา มันช่างตลกจริง ๆแต่ตอนนี้ จู่ ๆ ฟู่เซียวหานกลับพูดเรื่องส่วนตัวของตระกูลฟู่กับเธอขึ้นมาเป็นเพราะเธอไม่ใช่ภรรยาของเขาแล้วใช่ไหม เขาถึงไม่จำเป็นต้องปกปิดเรื่องอื้อฉาวเหล่านี้แล้ว?ซังหนี่ไม่รู้ดังนั้น ในตอนนี้ นอกจากความประหลาดใจแล้ว สิ่งที่เธอรู้สึกมากกว่ากลับเป็น...คว
——พวกเขาไม่เคยนอนร่วมเตียงเดียวกันมาก่อนไม่ว่าก่อนหน้านี้เขาจะทำให้เธอเหนื่อยล้าแค่ไหน เธอก็ยังจำได้ว่าต้องกลับไปที่ห้องของตัวเองเสมอดังนั้น จริง ๆ แล้วซังหนี่รู้สึกว่าพวกเขาไม่เหมือนสามีภรรยา แต่เหมือน...คู่หูกันมากกว่าคู่หูบนเตียง คู่หูในชีวิตประจำวันสำหรับซังหนี่แล้ว การนอนร่วมเตียงเดียวกันโดยไม่ทำอะไรเลย กลับเป็นความใกล้ชิดยิ่งกว่าการมีอะไรกันเสียอีกเพราะว่ามีแค่...คนที่รักกันจริง ๆ เท่านั้นที่จะทำแบบนี้ได้เธอกับฟู่เซียวหาน ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอนในตอนนี้ ซังหนี่นั่งยอง ๆ อยู่ข้างเตียงมองใบหน้าของฟู่เซียวหานขณะหลับใบหน้านี้ของเขา เธอเคยมองมาหลายครั้งแล้วทุกวันนี้ เพียงแค่หลับตาลง เธอก็สามารถวาดภาพโครงหน้าที่มีมุมเหลี่ยมคมชัดของเขาได้อย่างชัดเจน—เพราะในตอนเด็ก เธอเคยวาดมันมาหลายครั้งแล้วในตอนนั้น ฟู่เซียวหานสวมชุดนักเรียนสีขาว โดดเด่นและเป็นที่จับตามองที่สุดในโรงเรียนต่อมา เมื่อเขาโตขึ้นใบหน้าของเขายิ่งดูหล่อเหลาและสุขุมขึ้นตามกาลเวลา อีกทั้งยังแผ่ออร่าความสูงส่งและเยือกเย็นอย่างชัดเจน แม้ตอนนี้เขาจะอยู่ตรงหน้าเธอ แต่ซังหนี่กลับรู้สึกว่าเขา...ยังคงห่างไกลเหลือเ
ซังหนี่มองจี้อวี้หยวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ “ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่อยู่เป็นเพื่อนฉันแบบนี้...ก็พอแล้ว”พอเธอพูดจบ จี้อวี้หยวนก็ยื่นมือออกไป โอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแรงกอดของเขาไม่แน่นนัก แต่กลิ่นหอมอ่อน ๆ บนตัวเขากลับอบอวลเข้าสู่ปลายจมูกของซังหนี่ในทันทีซังหนี่ไม่ต่อต้านอีกต่อไป ค่อย ๆ ยื่นมือออกไป โอบรอบเอวของเขาไว้“อาการของคุณอาเป็นยังไงบ้าง?” จี้อวี้หยวนเอ่ยถาม“เส้นเลือดในสมองตีบเฉียบพลัน” ซังหนี่พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่ช่วยไว้ได้ทัน หมอบอกว่าถ้าเขาฟื้นขึ้นมาก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”“อืม งั้นคุณกลับไปพักก่อนดีไหม? ผมจะเป็นคนเฝ้าให้เอง”“ไม่ต้องหรอก ฉันกลับไปก็นอนไม่หลับอยู่ดี คุณไม่เห็นเหรอว่าโทรศัพท์ฉันไม่หยุดดังเลย?”จี้อวี้หยวนไม่พูดอะไรอีกซังหนี่ไม่แน่ใจว่าเขากำลังรู้สึกผิดที่ช่วยอะไรเธอไม่ได้หรือเปล่า เลยพูดขึ้นมาก่อนว่า “งานแต่งไม่ต้องเลื่อนนะ คุณตาของคุณรอวันนี้มานานมากแล้ว จะทำให้ท่านผิดหวังไม่ได้”“แต่ว่า…”“ไม่ต้องห่วง แค่วันเดียวฉันยังพอจัดการได้ อีกอย่างตอนนี้ซังอวี๋อยู่ในช่วงสำคัญ ถ้าคุณเลื่อนงานแต่งออกไป คนอื่นอาจคิดว่าคุณเตรียมตัวหนีแล้วก็ได้”พูดจบ ซ
ดังนั้นเมื่อก่อนเขามักเป็นฝ่ายออกคำสั่งต่อหน้าซังหนี่เสมอเขาไม่จำเป็นต้องปรึกษาซังหนี่ และไม่มีวันยอมให้เธอขัดขืนแต่ตอนนี้ เขากลับดูเหมือนเด็กคนหนึ่งที่สับสนหมดหนทาง เอ่ยถามซังหนี่ ว่าควรทำอย่างไร?ซังหนี่หลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “ตอนนี้มีใครรู้เรื่องนี้อีก?”พูดจบ เธอก็รู้ตัวทันทีว่าถ้อยคำของตัวเองผิดไป จึงรีบแก้ว่า “ไม่ว่าจะมีใครรู้เรื่องนี้หรือไม่ ต้องปิดข่าวทันที! ถ้าพรุ่งนี้ตลาดหุ้นเปิดเมื่อไหร่ ซังอวี๋คงได้จบสิ้นกันจริง ๆ!’ซังหลินไม่พูดอะไร นั่งนิ่งอย่างเหม่อลอย“ครอบครัวของเกาต๋าล่ะคะ? พวกเขายังอยู่ที่นี่ใช่ไหม? ตอนนี้คุณให้คนไปติดต่อพวกเขาทันที! ถ้าเกาต๋าติดต่อกลับมา แจ้งตำรวจเดี๋ยวนั้นเลย! คุณได้ยินไหม?!”คำพูดสุดท้ายของซังหนี่ ทำให้ซังหลินได้สติกลับมา เขาค่อย ๆ เอื้อมมือที่สั่นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาซังหนี่ไม่มองเขาอีก หันหลังเดินออกไปทันทีแต่ด้านหลังกลับเงียบสนิทเมื่อซังหนี่รู้สึกแปลกใจและหันกลับไปมอง เธอเห็นโทรศัพท์ของซังหลินตกอยู่บนพื้น ส่วนตัวเขากลับฟุบลงไปกับเก้าอี้และหมดสติไปแล้ว……ซังหนี่รีบติดต่อสำนักข่าวใหญ่ เพื่อปิดข่าวเกี่ยวกับซังหลินไว้แต่ในย
คำพูดของซังหนี่ก็กลายเป็นจริงอย่างรวดเร็วเพียงแค่วันรุ่งขึ้นหลังจากที่โครงการถูกส่งมอบให้เกาต๋า ทางจื้อเหอก็แจ้งให้เริ่มงานใหม่ทันทีแม้ว่างานของซังหนี่จะถูกส่งต่อให้เกาต๋าแล้ว แต่เธอก็ยังเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทลูก บางกระบวนการยังต้องผ่านเธออยู่ดีสองวันผ่านไป เกาต๋าบอกว่ามีงานที่ส่งต่อบางเรื่องยังไม่ชัดเจน พอดีว่าช่วงนี้ซังหนี่ลาพักเพื่อเตรียมงานแต่ง เขาจึงขอให้เจิ้งชวนไปช่วยงานแทนซังหนี่ไม่ได้ขัดข้องอะไรเพราะสุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นโครงการของบริษัท ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น เธอเองก็ต้องรับผิดชอบไปด้วยเจิ้งชวนถูกเรียกตัวไปช่วยงานทันทีผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ เหลือเวลาอีกเพียงสองวันก่อนถึงวันแต่งงานของซังหนี่กับจี้อวี้หยวน ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัด โทรศัพท์ของซังหนี่ดังขึ้น ปลายสายคือเจิ้งชวน“แย่แล้วครับประธานเสี่ยวซัง ติดต่อประธานเกาไม่ได้เลย!”ซังหนี่สะดุ้งตื่นจากความฝันอย่างฉับพลัน สมองยังมึนงงเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น?”“ประธานเกาหายตัวไปครับ!” เจิ้งชวนพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ตั้งแต่บ่ายจนถึงตอนนี้ติดต่อไม่ได้เลย พวกเราลองไปที่บ้านเขาแล้ว แต่ครอบครัวเขาก็บอกว่าติดต่อไม่ได้เช่นกัน”
“เข้าใจแล้ว”เมื่อได้ยินคำตอบ ฟู่เซียวหานจึงกดวางสายไป ก่อนจะหันไปมองออกไปนอกหน้าต่างในเงาสะท้อนของกระจกรถ เขากลับมองเห็นแก้มที่แดงก่ำของตัวเองอย่างชัดเจนเขายกมือขึ้นเช็ดเบา ๆมันก็เจ็บอยู่บ้าง แต่เขาผ่านเรื่องที่เจ็บกว่านี้มาแล้ว แผลเล็กแค่นี้ ไม่เป็นอะไรเลยสักนิดคิดได้ดังนั้น เขามองรอยฝ่ามือบนแก้ม แล้วกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ……จื้อเหอและซังอวี๋ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เรื่องที่เกาต๋าเข้ามารับช่วงต่อโครงการรู่โจวก็ถูกประกาศภายในบริษัทในเวลาไม่นานทันทีที่ข่าวนี้เผยออกมา ทุกคนต่างประหลาดใจไม่น้อยแม้ว่าตอนนี้ซังหนี่ยังคงเป็นผู้จัดการบริษัทสาขาเมืองอิ๋น แต่ถ้าเกาต๋าถูกย้ายกลับไป คนที่นั่นทั้งหมดก็เป็นลูกน้องเก่าของเขาอยู่ดี แบบนี้ซังหนี่จะต่างอะไรกับผู้นำที่ไร้อำนาจกันล่ะ?แน่นอนว่าซังหนี่ไม่มีทางยอมมอบผลงานของตัวเองให้ใครง่าย ๆแต่ฟู่เซียวหานตั้งใจจะทำให้เธอเสียหน้า และเหมือนที่ซังหลินพูดไว้ เขาเป็นฝ่ายว่าจ้าง โครงการใหญ่อย่างรู่โจว เขาแค่ขอเปลี่ยนผู้รับผิดชอบเท่านั้น ซังอวี๋ที่เป็นฝ่ายถูกเลือกทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องยอมตามดังนั้น เอกสารที่ซังหนี่ตรวจทานซ้ำแล้วซ้ำเ
ฟู่เซียวหานถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่แววตาที่มองซังหนี่กลับไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆมีเพียงแค่...ความเย็นชาเท่านั้นมันเป็นสายตาของนักล่าที่จ้องมองเหยื่อ และยิ่งไปกว่านั้น มันคือสายตาของผู้ที่อยู่เหนือกว่ามองคนเบื้องล่างด้วยความเหยียดหยามร่างกายของซังหนี่สั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว!เขาแสร้งทำต่อหน้าเธอมานานเกินไปแล้วจนถึงตอนนี้ ซังหนี่เพิ่งนึกขึ้นได้——เขาไม่ใช่สุนัขที่เชื่อง แต่เป็นหมาป่าที่กระหายเลือดและเนื้อ!แต่ซังหนี่ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว “ฟู่เซียวหาน คุณเป็นถึงผู้จัดการใหญ่ของจื้อเหอ แต่กลับใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ ไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะหรือไง!?”“ไม่เป็นไร ยังไงตอนนี้ก็ไม่มีใครคานอำนาจผมได้แล้ว” ฟู่เซียวหานพูดช้า ๆ “อีกอย่าง โครงการรู่โจวใหญ่ขนาดนี้ จะให้คุณรับผิดชอบมันไม่ปลอดภัย ผมมีเหตุผลมากพอที่จะทำให้พวกเขาเชื่อ”ซังหนี่ไม่พูดอะไร แต่มือที่วางอยู่บนเข่ากลับค่อย ๆ กำแน่นขึ้น“แล้วไงต่อล่ะ?”ในที่สุด เธอก็เปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง ถามว่า “คุณคิดว่าคำสั่งนี้จะหยุดฉันไม่ให้แต่งงานกับจี้อวี้หยวนได้เหรอ?”“ฉันบอกไว้เลยว่า ไม่มีทาง ตอนนี้ฉันยิ่งต้องแต่งงา
ซังหนี่มองดูท่าทางสงบนิ่งของเขาแล้วกลับหัวเราะออกมา “ที่แท้เป็นแบบนี้เอง นี่เป็นแผนที่คุณกับฟู่เซียวหานร่วมมือกันเหรอ?”“ไม่ใช่แน่นอน”ซังหลินขมวดคิ้วก่อนจะพูดต่อ “ซังหนี่ เธอทำงานที่บริษัทมานานพอสมควรแล้ว คงรู้ดีว่าผลประโยชน์ของบริษัทต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัว เข้าใจไหม?”ซังหนี่ไม่พูดอะไร แต่เธอกลับกัดฟันแน่นขึ้นจากนั้น ซังหลินก็เรียกอีกคนเข้ามาทันทีคนนั้น...ซังหนี่เองก็ไม่ได้รู้สึกแปลกหน้า——เกาต๋า อดีตผู้จัดการทั่วไปของบริษัทลูกเมืองอิ๋นเกาต๋ามีเครือข่ายอยู่ที่เมืองอิ๋นเป็นหลัก ดังนั้นตอนที่เขาถูกย้ายกลับสำนักงานใหญ่ ก็นับว่าเป็นการถูกลดบทบาทไปโดยปริยายแต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เขาหมดอิทธิพลในบริษัท ยังคงก้าวหน้าและเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดีโครงการครั้งนี้ ทางจื้อเหอก็ระบุให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงซังหนี่รู้ดีว่า ฟู่เซียวหานทำแบบนี้ก็แค่ต้องการยั่วโมโหเธอ“ประธานเสี่ยวซัง ไม่เจอกันนานเลยนะ”เกาต๋ายิ้มบาง ๆ แล้วเดินตรงไปหาซังหนี่ ก่อนจะยื่นมือออกมาแต่ซังหนี่กลับเมินเฉยไม่สนใจเธอเพียงแค่เหลือบมองเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป“ถ้าสองวันนี้เธอไม่ยุ่งก็เข้
บางทีอาจจะเพราะท่าทีของซังหนี่ที่ดูสับสนมากเกินไป จี้อวี้หยวนจึงอดไม่ได้ที่จะมองด้วยรอยยิ้มจากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงพร้อมจุมพิตเธอเบา ๆ ที่ริมฝีปากสัมผัสนั้นราวกับแมลงปอต้องน้ำ เพียงพริบตาเดียวก็จากไปแล้วก็ยื่นมือมาลูบศีรษะเธออีกครั้ง “เอาล่ะ เข้าไปเถอะครับ”ซังหนี่ยังคงสับสนอยู่บ้างเล็กน้อยแต่เธอก็ยังคงไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่มองเขาก่อนจะหันหลังลงจากรถไปซังหลินกำลังรอเธออยู่ในห้องทำงานหลังจากที่ซังหนี่เข้ามา สิ่งแรกที่เขาถามแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับโครงการรู่โจว“ฉันยังไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่ เพราะอย่างไรเสียฉันก็แค่ได้รับการแจ้งเตือนจากอีกฝ่ายมาฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่ประธานซังไม่ต้องกังวลไปนะคะ ฉันจะตรวจสอบให้ชัดเจนและให้คำตอบที่น่าพอใจกับคุณแน่นอนค่ะ”คำตอบซังหนี่เป็นทางการเป็นอย่างมากซังหลินจ้องมองเธออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยว่า “เธอไม่ได้ติดต่อกับคนของจื้อเหอกรุ๊ปเลยหรือ?”“ยังไม่ได้ติดต่อเป็นการชั่วคราวค่ะ แต่ฉันจะ…”“นี่เป็นอีเมลที่ฉันเพิ่งได้รับมา เธอมาดูสิ”ซังหลินกลับเอ่ยขัดจังหวะการพูดของเธอโดยตรง พร้อมโยนเอกสารในมือของเขาไปยังซังหนี่ซังหนี
เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรอยู่บนนั้น แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าบริเวณนั้นคันยุบยิบเล็กน้อยราวกับโดนขนของลูกแมวซุกไซร้คลอเคลีย และยังเหมือนกับตอนที่เขาสัมผัสเส้นผมของซังหนี่และในขณะที่ฟู่เซียวหานกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง “ขอโทษที่ปล่อยให้ประธานฟู่รอนานนะครับ”เมื่อได้ยินเสียงนั้น ฟู่เซียวหานก็เงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มบางเบา “ไม่เจอกันนานนะครับประธานเกา”……เรื่องที่โครงการรู่โจวโดนระงับการดำเนินการ ซังหนี่นับว่าเป็นคนที่ได้รับการแจ้งเป็นคนสุดท้ายในเวลานั้นเธอและจี้อวี้หยวนกำลังคุยกับคุณเยว่ เมื่อได้ยินเสียงจากคนที่อยู่ปลายสายเธอยังรู้สึกไม่ทันตั้งตัว “อะไรนะคะ?”“เป็นทางฝั่งจื้อเหอกรุ๊ปที่ระงับการดำเนินการครับ โดยบอกว่ามีปัญหาบางอย่างภายในทีมงานก่อสร้าง และพวกเขาจำเป็นต้องตรวจสอบให้ละเอียดก่อน”“ปัญหาอะไร?”“ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ทางจื้อเหอกรุ๊ปบอกเรามาเพียงเท่านี้”“ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาในทีมก่อสร้าง แต่ขั้นตอนอื่น ๆ ก็ยังสามารถดำเนินการไปก่อนได้ หรือถ้ายังไม่สามารถทำได้ ตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของโครงการ เราสามารถเปลี่ยนทีมวิ
เมื่อฟู่เซียวหานยังเป็นเด็ก ครั้งหนึ่งเขาเคยเจอแมวจรจัดในโรงเรียนของพวกเขาลูกแมวตัวนั้นอาจเพิ่งคลอดได้ไม่นานแต่ไม่มีแม่แมวอยู่เคียงข้าง มีเพียงมันตัวเดียวที่นอนอยู่บนพื้นหญ้าและส่งเสียงร้องอย่างอ่อนแรงฟู่เซียวหานเพียงเหลือบตามองมันแต่เขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจที่เปี่ยมล้น ดังนั้นหลังจากเหลือบมองครั้งหนึ่งเขาก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วแต่เขาไม่คาดคิดว่าลูกแมวตัวนั้นจะเดินตามหลังเขามาฝีเท้าของเขาไม่ได้นับว่าก้าวเดินช้า ทั้งที่ลูกแมวตัวนั้นยังไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงแต่ยังคงยืนหยัดเดินตามเขามาทีละก้าวและในขณะที่ฟู่เซียวหานกำลังจะเดินไปถึงหน้าประตูโรงเรียน ในที่สุดเขาก็หยุดฝีเท้าลงจากนั้นก็หมุนตัวเดินไปที่ร้านของชำด้านข้าง พร้อมซื้อไส้กรอกมาหนึ่งชิ้นลูกแมวตัวน้อยกินอย่างมีความสุขดังนั้นนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฟู่เซียวหานจะเจอมันทุกครั้งหลังเลิกเรียนมันเป็นฝ่ายริเริ่มเข้ามาหาเขาก่อน หลังจากซุกไซร้เข้ากับฝ่ามือของเขาแล้วจึงรอให้เขาป้อนอาหารด้วยความเชื่อฟังและนับตั้งแต่นั้น ฟู่เซียวหานก็มักจะเตรียมขนมไว้ในกระเป๋านักเรียนของเขาเสมอในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาแม้กระทั่งตั้