ตอนที่ฟู่เซียวหานวางตะเกียบลง เธอก็วางตามด้วย“คุณจะไปได้หรือยัง?” ซังหนี่เอ่ยปากไล่แขกทันทีฟู่เซียวหานมองไปรอบ ๆ ก่อนจะถามว่า “ทำไมคุณถึงไม่อยู่ที่บ้านพักป๋อซีหยวนล่ะ?”“นั่นไม่ใช่บ้านของฉัน”คำตอบของซังหนี่ชัดเจนมากฟู่เซียวหานจ้องเธออยู่สักพักก่อนตอบว่า “ผมยกบ้านให้คุณได้นะ”“ไม่ล่ะ ฉันว่าที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว”คำพูดของซังหนี่ทำให้ฟู่เซียวหานถึงกับพูดไม่ออกแต่คิ้วของเขาขมวดแน่นอย่างเห็นได้ชัด“คุณยังมีธุระอะไรอีกไหม?” ซังหนี่ถามอีกครั้งฟู่เซียวหานกลับไม่พูดอะไรต่อ เพียงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เอาผ้าเช็ดตัวสะอาดให้ผมสักผืน”พูดจบเขาก็เดินไปทางห้องน้ำทันทีซังหนี่รีบขวางเขาไว้ “คุณจะทำอะไร? ที่นี่มันบ้านฉัน!”“ป๋อซีหยวนเป็นบ้านของผม คุณก็เคยอาบน้ำและค้างคืนที่นั่นไม่ใช่เหรอ?”ซังหนี่ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะตอนนี้เอง ฟู่เซียวหานได้เปิดประตูห้องน้ำเมื่อเห็นสภาพข้างใน คิ้วของเขาก็ขมวดแน่นขึ้นทันทีสำหรับที่แบบนี้ การไม่มีอ่างอาบน้ำถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ฟู่เซียวหานไม่คาดคิดเลยว่าจะไม่มีแม้แต่พื้นที่อาบน้ำแยกต่างหาก ที่สำหรับอาบน้ำก็แค่มีผ้าม่านกั้นระหว่างอ่างล้างหน้าก
ซังหนี่รู้สึกไม่ชินกับการกระทำของเขาในตอนนี้ กำลังจะคว้าผ้าเช็ดตัวกลับมา แต่ฟู่เซียวหานกลับพูดขึ้นว่า “รู้ไหมว่าวันนี้ผมได้ยินข่าวอะไรมา?”ซังหนี่ชะงักไปเล็กน้อย แล้วมองไปที่เขา“ผมอาจจะมีพี่น้องที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งดวงตาของซังหนี่หรี่ลงเล็กน้อย!“หมายความว่ายังไง...?”“หมายความว่า พ่อของผมอาจมีลูกนอกสมรส”ฟู่เซียวหานยังคงดูสงบนิ่ง ราวกับกำลังเล่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเลยซังหนี่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงพูดเรื่องนี้กับเธอขึ้นมาในตอนที่พวกเขายังเป็นสามีภรรยากัน ก็ไม่เคยเปิดใจพูดคุยกันเลยสักครั้งเธอแทบไม่เคยถามอะไรเขาเลย ฟู่เซียวหานเองก็ยิ่งเงียบขรึมมากกว่าเธอเสียอีกบางครั้งแม้อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่พวกเขาไม่พบหน้าและไม่พูดคุยกันเป็นวัน ๆ ได้การเป็นสามีภรรยากันในแบบพวกเขา มันช่างตลกจริง ๆแต่ตอนนี้ จู่ ๆ ฟู่เซียวหานกลับพูดเรื่องส่วนตัวของตระกูลฟู่กับเธอขึ้นมาเป็นเพราะเธอไม่ใช่ภรรยาของเขาแล้วใช่ไหม เขาถึงไม่จำเป็นต้องปกปิดเรื่องอื้อฉาวเหล่านี้แล้ว?ซังหนี่ไม่รู้ดังนั้น ในตอนนี้ นอกจากความประหลาดใจแล้ว สิ่งที่เธอรู้สึกมากกว่ากลับเป็น...คว
——พวกเขาไม่เคยนอนร่วมเตียงเดียวกันมาก่อนไม่ว่าก่อนหน้านี้เขาจะทำให้เธอเหนื่อยล้าแค่ไหน เธอก็ยังจำได้ว่าต้องกลับไปที่ห้องของตัวเองเสมอดังนั้น จริง ๆ แล้วซังหนี่รู้สึกว่าพวกเขาไม่เหมือนสามีภรรยา แต่เหมือน...คู่หูกันมากกว่าคู่หูบนเตียง คู่หูในชีวิตประจำวันสำหรับซังหนี่แล้ว การนอนร่วมเตียงเดียวกันโดยไม่ทำอะไรเลย กลับเป็นความใกล้ชิดยิ่งกว่าการมีอะไรกันเสียอีกเพราะว่ามีแค่...คนที่รักกันจริง ๆ เท่านั้นที่จะทำแบบนี้ได้เธอกับฟู่เซียวหาน ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอนในตอนนี้ ซังหนี่นั่งยอง ๆ อยู่ข้างเตียงมองใบหน้าของฟู่เซียวหานขณะหลับใบหน้านี้ของเขา เธอเคยมองมาหลายครั้งแล้วทุกวันนี้ เพียงแค่หลับตาลง เธอก็สามารถวาดภาพโครงหน้าที่มีมุมเหลี่ยมคมชัดของเขาได้อย่างชัดเจน—เพราะในตอนเด็ก เธอเคยวาดมันมาหลายครั้งแล้วในตอนนั้น ฟู่เซียวหานสวมชุดนักเรียนสีขาว โดดเด่นและเป็นที่จับตามองที่สุดในโรงเรียนต่อมา เมื่อเขาโตขึ้นใบหน้าของเขายิ่งดูหล่อเหลาและสุขุมขึ้นตามกาลเวลา อีกทั้งยังแผ่ออร่าความสูงส่งและเยือกเย็นอย่างชัดเจน แม้ตอนนี้เขาจะอยู่ตรงหน้าเธอ แต่ซังหนี่กลับรู้สึกว่าเขา...ยังคงห่างไกลเหลือเ
ในที่สุดฟู่เซียวหานก็ไปตามนัดเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงข้าม เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็แค่แปลกใจเล็กน้อยเท่านั้น“สวัสดีค่ะประธานฟู่”คนตรงข้ามยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่สดใสและเปล่งประกาย “ฉันคิดว่าคุณคงพอจำฉันได้ใช่ไหมคะ?”“ถังเหยา” ฟู่เซียวหานยังไม่ทันจะตอบ เธอก็ยื่นมือออกมาแล้วบอกคำตอบ “วันนั้นในงานเต้นรำหน้ากาก เราเคยเต้นด้วยกัน”“คุณถัง ยินดีที่ได้พบครับ”ฟู่เซียวหานไม่ได้พูดถึงเรื่องงานเต้นรำนั้นต่อ แค่จับมือกับเธอเบา ๆ“หลังจากนั้นทำไมคุณถึงหายไปเลยล่ะ?” ถังเหยาเอ่ยถาม“มีธุระด่วนครับ”“จริงเหรอคะ?”ถังเหยายิ้มเล็กน้อยรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความหมายบางอย่างฟู่เซียวหานกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจความไม่สบายใจนี้ไม่ได้มาจากความกลัวที่คำโกหกของเขาจะถูกเปิดเผย แต่เป็นความรู้สึกที่เธอทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจฟู่เซียวหานไม่กลัวที่จะพูดคุยกับคนที่ฉลาด แต่เขากลับเกลียดคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดเกินไปถังเหยาก็ไม่ได้พูดเรื่องนั้นต่อ เธอเปลี่ยนหัวข้อและเริ่มคุยเรื่องอื่นกับฟู่เซียวหานเธอกับฟู่เซียวหานเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน ตระกูลถังและตระกูลฟู่ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่ต้องกลัวว่าจ
มือที่อยู่ข้างกายกำแน่นขึ้นช้า ๆ “นี่…ทำไมฉันไม่เคยได้ยินว่าพวกคุณคบกันแล้ว?”“ข่าวของคุณคงไม่ทันสมัยพอมั้งคะ” ถังเหยาตอบกลับด้วยรอยยิ้มบาง ๆคำพูดนี้ทำให้ซังฉิงไม่รู้จะตอบโต้ยังไงต่อดีเธอทำได้เพียงหันไปมองฟู่เซียวหานฟู่เซียวหานที่กำลังมองไปที่ไหนสักแห่งอยู่ไกล ๆ ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่“พี่เซียวหาน?”ซังฉิงเรียกเขา ฟู่เซียวหานถึงได้สติขึ้นมา จึงหันไปมองเธอ“เมื่อกี้บอกว่ามีธุระไม่ใช่เหรอคะ? คุณไปก่อนเถอะ?”ถังเหยากลับพูดขึ้นก่อนคำพูดของซังฉิงโดนแย่งพูดไป สายตามองไปที่ถังเหยาด้วยความโกรธ แต่ถังเหยากลับเหมือนไม่รู้สึกอะไร ยังคงยิ้มและสบตากับเธออย่างสบาย ๆ“งั้นผมไปก่อนนะ”พอพูดจบ ฟู่เซียวหานก็หันหลังและเดินจากไปซังฉิงเดิมทีอยากจะตามไปด้วย แต่ถังเหยาเดินมาขวางหน้าเอาไว้ “คุณหนูรอง มีเรื่องอะไรเหรอคะ?”“ฉันจะไปหาพี่เซียวหาน คุณมาขวางฉันทำไม?”“ใช่แล้ว ฉันยังไม่ได้แสดงความยินดีกับคุณหนูรองเลยนะ ได้ยินมาว่าคุณจะหมั้นกับคุณฉินม่อ? ยินดีด้วยนะคะ”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซังฉิงก็ขบฟันแน่นขึ้นทันที สายตาของเธอมองไปที่ถังเหยาด้วยความโกรธ ราวกับจะพ่นไฟออกมาเลยทีเดียวถังเหยายังคงย
ซังหนี่มองคนตรงหน้าพักใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ประธานเย่ คุณน่าจะรู้สถานะของฉันดีอยู่แล้ว”“รู้สิครับ ก่อนหน้านี้เราคงเคยเจอกันในงานเลี้ยงบางงานใช่ไหม?”“ฉันเพิ่งหย่ากับฟู่เซียวหาน” ซังหนี่พูดต่อ“อืม ได้ยินมาแล้ว การที่คุณตัดสินใจหย่ากับฟู่เซียวหานได้อย่างเด็ดขาด น่านับถือจริง ๆ ครับ”สำหรับคำพูดของซังหนี่ เย่จื่อหลานตอบรับด้วยรอยยิ้มทุกครั้ง ซึ่งทำให้ซังหนี่รู้สึกเหมือนหมดแรงที่จะพูดต่อไปชั่วขณะสุดท้าย เธอพูดเพียงแค่ว่า “ตอนนี้ฉันไม่อยากคิดเรื่องความรักค่ะ”“งั้นเหรอครับ? งั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องความรักก็ได้” เย่จื่อหลานยิ้มแล้วพูดตอบ “เริ่มจากการเป็นเพื่อนก่อนก็ได้”ซังหนี่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ“แบบนี้ถือว่าคุณยอมรับแล้วใช่ไหม? งั้นไปกันเถอะ”พูดพลางเขาก็ยื่นมือออกมาจะจับมือเธอ ซังหนี่ตกใจกับการกระทำของเขา รีบถอยหลังไปสองก้าวทันทีเขามองเธออย่างสงสัย “เป็นอะไรครับ? มือของผมมีพิษเหรอ?”“เปล่าค่ะ แค่นึกขึ้นได้ว่าฉันยังมีธุระ คงไปไม่ได้แล้ว”“โอ้? ธุระอะไรเหรอครับ?”“เรื่องงานค่ะ”“คุณยังมีงานอีกเหรอครับ? งานอะไร? หรือคุณแค่หาข้ออ้างมาปฏิเสธผม?” ซังหนี่เพียงแค่ยิ้มบา
เมื่อซังหนี่มองไปที่เขา เย่จื่อหลานก็เห็นเธอเช่นกัน พร้อมกับยิ้มมุมปาก “อยู่ตรงนี้ไง!”......บ้านพักป๋อซีหยวน ฟู่เซียวหานนั่งอยู่ในห้องหนังสือ สายตาจับจ้องไปที่อีเมลบนหน้าจอ แต่ปลายนิ้วกลับกดหน้าจอโทรศัพท์ข้าง ๆ อยู่เป็นระยะแอปโซเชียลส่งข้อความแจ้งเตือนขึ้นมา แต่ฟู่เซียวหานเพียงแค่เหลือบมองเล็กน้อย โดยไม่สนใจอะไรต่อพอเลยเวลาห้าทุ่ม ก็มีเสียงจากประตูด้านนอกดังขึ้นในที่สุดนิ้วมือของฟู่เซียวหานชะงักไปชั่วครู่ แต่ยังไม่ลุกขึ้น เขาปิดหน้าจอโทรศัพท์ด้วยใบหน้าเรียบเฉยซังหนี่เดินเข้ามาอย่างเบา ๆเธอไปที่ห้องนอนของเขาก่อน แต่ไม่พบใคร จากนั้นจึงเปลี่ยนไปที่ห้องหนังสือประตูของห้องหนังสือถูกเขาปิดไว้ซังหนี่มาถึงหน้าประตู แต่กลับไม่ส่งเสียงใด ๆฟู่เซียวหานยังคงไม่สนใจเธอ เพียงจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์เวลาที่มุมล่างขวาขยับไปอีกสองนาที ในที่สุดเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นฟู่เซียวหานยังคงนิ่งเฉย ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆซังหนี่รออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบิดลูกบิดประตูเข้าไป“คุณ...ยังทำงานอยู่อีกเหรอ?” เธอยืนมองเขาอยู่หน้าประตู เสียงของเธอแผ่วเบาและลังเลในที่สุดฟู่เซียวหาน
ฟู่เซียวหานไม่ได้ซักถามเรื่องราวของคืนวันนั้นจากซังหนี่อีกซังหนี่เองก็ไม่ได้พูดถึงอีกเลยผ่านไปสองวัน เย่จื่อหลานชวนเธออีกครั้ง บอกว่าจะพาไปกินเกี๊ยวน้ำ ซังหนี่เพิ่งรู้เป็นครั้งแรกว่า การชวนคนออกไปข้างนอกสามารถตรงไปตรงมาได้ถึงขนาดนี้เย่จื่อหลานเป็นคนที่น่าสนใจจริง ๆเขารักสนุกและรู้วิธีเล่นให้สนุกเขาเติบโตในเมืองถงตั้งแต่เด็ก คนในวงการรู้จักเขาเกือบทั้งหมด แต่เขากลับไม่ชอบสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงสี ทุกครั้งเขาจะพาซังหนี่ไปตามตรอกซอยเก่า ๆบางครั้งก็เพื่อชิมอาหารอร่อยสักจาน บางครั้งก็เพื่อหาซื้อของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ที่น่าสนใจเมื่อเทียบกันแล้ว ฟู่เซียวหานก็เติบโตในเมืองถงเช่นกัน แต่กลับไม่เคยพาซังหนี่ไปสถานที่แบบนี้ การออกไปกินข้าวตามลำพังไม่กี่ครั้งของพวกเขา ล้วนเป็นร้านอาหารที่หรูหราและดูดีทั้งนั้นครั้งเดียวที่เป็นข้อยกเว้นก็คือ ครั้งที่ซังหนี่พาเขาไปกินหม้อไฟแน่นอนว่าหม้อไฟครั้งนั้น พวกเขาก็ไม่ได้กินจนอิ่มเย่จื่อหลานกลับแตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิงในตัวเขา ไม่มีท่าทีเย่อหยิ่งแบบคนในแวดวงสังคมแม้แต่น้อยก่อนหน้านี้เขาพูดกับซังหนี่อย่างตรงไปตรงมา ——เธออย
ซังหนี่มองจี้อวี้หยวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ “ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่อยู่เป็นเพื่อนฉันแบบนี้...ก็พอแล้ว”พอเธอพูดจบ จี้อวี้หยวนก็ยื่นมือออกไป โอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแรงกอดของเขาไม่แน่นนัก แต่กลิ่นหอมอ่อน ๆ บนตัวเขากลับอบอวลเข้าสู่ปลายจมูกของซังหนี่ในทันทีซังหนี่ไม่ต่อต้านอีกต่อไป ค่อย ๆ ยื่นมือออกไป โอบรอบเอวของเขาไว้“อาการของคุณอาเป็นยังไงบ้าง?” จี้อวี้หยวนเอ่ยถาม“เส้นเลือดในสมองตีบเฉียบพลัน” ซังหนี่พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่ช่วยไว้ได้ทัน หมอบอกว่าถ้าเขาฟื้นขึ้นมาก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”“อืม งั้นคุณกลับไปพักก่อนดีไหม? ผมจะเป็นคนเฝ้าให้เอง”“ไม่ต้องหรอก ฉันกลับไปก็นอนไม่หลับอยู่ดี คุณไม่เห็นเหรอว่าโทรศัพท์ฉันไม่หยุดดังเลย?”จี้อวี้หยวนไม่พูดอะไรอีกซังหนี่ไม่แน่ใจว่าเขากำลังรู้สึกผิดที่ช่วยอะไรเธอไม่ได้หรือเปล่า เลยพูดขึ้นมาก่อนว่า “งานแต่งไม่ต้องเลื่อนนะ คุณตาของคุณรอวันนี้มานานมากแล้ว จะทำให้ท่านผิดหวังไม่ได้”“แต่ว่า…”“ไม่ต้องห่วง แค่วันเดียวฉันยังพอจัดการได้ อีกอย่างตอนนี้ซังอวี๋อยู่ในช่วงสำคัญ ถ้าคุณเลื่อนงานแต่งออกไป คนอื่นอาจคิดว่าคุณเตรียมตัวหนีแล้วก็ได้”พูดจบ ซ
ดังนั้นเมื่อก่อนเขามักเป็นฝ่ายออกคำสั่งต่อหน้าซังหนี่เสมอเขาไม่จำเป็นต้องปรึกษาซังหนี่ และไม่มีวันยอมให้เธอขัดขืนแต่ตอนนี้ เขากลับดูเหมือนเด็กคนหนึ่งที่สับสนหมดหนทาง เอ่ยถามซังหนี่ ว่าควรทำอย่างไร?ซังหนี่หลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “ตอนนี้มีใครรู้เรื่องนี้อีก?”พูดจบ เธอก็รู้ตัวทันทีว่าถ้อยคำของตัวเองผิดไป จึงรีบแก้ว่า “ไม่ว่าจะมีใครรู้เรื่องนี้หรือไม่ ต้องปิดข่าวทันที! ถ้าพรุ่งนี้ตลาดหุ้นเปิดเมื่อไหร่ ซังอวี๋คงได้จบสิ้นกันจริง ๆ!’ซังหลินไม่พูดอะไร นั่งนิ่งอย่างเหม่อลอย“ครอบครัวของเกาต๋าล่ะคะ? พวกเขายังอยู่ที่นี่ใช่ไหม? ตอนนี้คุณให้คนไปติดต่อพวกเขาทันที! ถ้าเกาต๋าติดต่อกลับมา แจ้งตำรวจเดี๋ยวนั้นเลย! คุณได้ยินไหม?!”คำพูดสุดท้ายของซังหนี่ ทำให้ซังหลินได้สติกลับมา เขาค่อย ๆ เอื้อมมือที่สั่นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาซังหนี่ไม่มองเขาอีก หันหลังเดินออกไปทันทีแต่ด้านหลังกลับเงียบสนิทเมื่อซังหนี่รู้สึกแปลกใจและหันกลับไปมอง เธอเห็นโทรศัพท์ของซังหลินตกอยู่บนพื้น ส่วนตัวเขากลับฟุบลงไปกับเก้าอี้และหมดสติไปแล้ว……ซังหนี่รีบติดต่อสำนักข่าวใหญ่ เพื่อปิดข่าวเกี่ยวกับซังหลินไว้แต่ในย
คำพูดของซังหนี่ก็กลายเป็นจริงอย่างรวดเร็วเพียงแค่วันรุ่งขึ้นหลังจากที่โครงการถูกส่งมอบให้เกาต๋า ทางจื้อเหอก็แจ้งให้เริ่มงานใหม่ทันทีแม้ว่างานของซังหนี่จะถูกส่งต่อให้เกาต๋าแล้ว แต่เธอก็ยังเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทลูก บางกระบวนการยังต้องผ่านเธออยู่ดีสองวันผ่านไป เกาต๋าบอกว่ามีงานที่ส่งต่อบางเรื่องยังไม่ชัดเจน พอดีว่าช่วงนี้ซังหนี่ลาพักเพื่อเตรียมงานแต่ง เขาจึงขอให้เจิ้งชวนไปช่วยงานแทนซังหนี่ไม่ได้ขัดข้องอะไรเพราะสุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นโครงการของบริษัท ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น เธอเองก็ต้องรับผิดชอบไปด้วยเจิ้งชวนถูกเรียกตัวไปช่วยงานทันทีผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ เหลือเวลาอีกเพียงสองวันก่อนถึงวันแต่งงานของซังหนี่กับจี้อวี้หยวน ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัด โทรศัพท์ของซังหนี่ดังขึ้น ปลายสายคือเจิ้งชวน“แย่แล้วครับประธานเสี่ยวซัง ติดต่อประธานเกาไม่ได้เลย!”ซังหนี่สะดุ้งตื่นจากความฝันอย่างฉับพลัน สมองยังมึนงงเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น?”“ประธานเกาหายตัวไปครับ!” เจิ้งชวนพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ตั้งแต่บ่ายจนถึงตอนนี้ติดต่อไม่ได้เลย พวกเราลองไปที่บ้านเขาแล้ว แต่ครอบครัวเขาก็บอกว่าติดต่อไม่ได้เช่นกัน”
“เข้าใจแล้ว”เมื่อได้ยินคำตอบ ฟู่เซียวหานจึงกดวางสายไป ก่อนจะหันไปมองออกไปนอกหน้าต่างในเงาสะท้อนของกระจกรถ เขากลับมองเห็นแก้มที่แดงก่ำของตัวเองอย่างชัดเจนเขายกมือขึ้นเช็ดเบา ๆมันก็เจ็บอยู่บ้าง แต่เขาผ่านเรื่องที่เจ็บกว่านี้มาแล้ว แผลเล็กแค่นี้ ไม่เป็นอะไรเลยสักนิดคิดได้ดังนั้น เขามองรอยฝ่ามือบนแก้ม แล้วกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ……จื้อเหอและซังอวี๋ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เรื่องที่เกาต๋าเข้ามารับช่วงต่อโครงการรู่โจวก็ถูกประกาศภายในบริษัทในเวลาไม่นานทันทีที่ข่าวนี้เผยออกมา ทุกคนต่างประหลาดใจไม่น้อยแม้ว่าตอนนี้ซังหนี่ยังคงเป็นผู้จัดการบริษัทสาขาเมืองอิ๋น แต่ถ้าเกาต๋าถูกย้ายกลับไป คนที่นั่นทั้งหมดก็เป็นลูกน้องเก่าของเขาอยู่ดี แบบนี้ซังหนี่จะต่างอะไรกับผู้นำที่ไร้อำนาจกันล่ะ?แน่นอนว่าซังหนี่ไม่มีทางยอมมอบผลงานของตัวเองให้ใครง่าย ๆแต่ฟู่เซียวหานตั้งใจจะทำให้เธอเสียหน้า และเหมือนที่ซังหลินพูดไว้ เขาเป็นฝ่ายว่าจ้าง โครงการใหญ่อย่างรู่โจว เขาแค่ขอเปลี่ยนผู้รับผิดชอบเท่านั้น ซังอวี๋ที่เป็นฝ่ายถูกเลือกทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องยอมตามดังนั้น เอกสารที่ซังหนี่ตรวจทานซ้ำแล้วซ้ำเ
ฟู่เซียวหานถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่แววตาที่มองซังหนี่กลับไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆมีเพียงแค่...ความเย็นชาเท่านั้นมันเป็นสายตาของนักล่าที่จ้องมองเหยื่อ และยิ่งไปกว่านั้น มันคือสายตาของผู้ที่อยู่เหนือกว่ามองคนเบื้องล่างด้วยความเหยียดหยามร่างกายของซังหนี่สั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว!เขาแสร้งทำต่อหน้าเธอมานานเกินไปแล้วจนถึงตอนนี้ ซังหนี่เพิ่งนึกขึ้นได้——เขาไม่ใช่สุนัขที่เชื่อง แต่เป็นหมาป่าที่กระหายเลือดและเนื้อ!แต่ซังหนี่ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว “ฟู่เซียวหาน คุณเป็นถึงผู้จัดการใหญ่ของจื้อเหอ แต่กลับใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ ไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะหรือไง!?”“ไม่เป็นไร ยังไงตอนนี้ก็ไม่มีใครคานอำนาจผมได้แล้ว” ฟู่เซียวหานพูดช้า ๆ “อีกอย่าง โครงการรู่โจวใหญ่ขนาดนี้ จะให้คุณรับผิดชอบมันไม่ปลอดภัย ผมมีเหตุผลมากพอที่จะทำให้พวกเขาเชื่อ”ซังหนี่ไม่พูดอะไร แต่มือที่วางอยู่บนเข่ากลับค่อย ๆ กำแน่นขึ้น“แล้วไงต่อล่ะ?”ในที่สุด เธอก็เปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง ถามว่า “คุณคิดว่าคำสั่งนี้จะหยุดฉันไม่ให้แต่งงานกับจี้อวี้หยวนได้เหรอ?”“ฉันบอกไว้เลยว่า ไม่มีทาง ตอนนี้ฉันยิ่งต้องแต่งงา
ซังหนี่มองดูท่าทางสงบนิ่งของเขาแล้วกลับหัวเราะออกมา “ที่แท้เป็นแบบนี้เอง นี่เป็นแผนที่คุณกับฟู่เซียวหานร่วมมือกันเหรอ?”“ไม่ใช่แน่นอน”ซังหลินขมวดคิ้วก่อนจะพูดต่อ “ซังหนี่ เธอทำงานที่บริษัทมานานพอสมควรแล้ว คงรู้ดีว่าผลประโยชน์ของบริษัทต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัว เข้าใจไหม?”ซังหนี่ไม่พูดอะไร แต่เธอกลับกัดฟันแน่นขึ้นจากนั้น ซังหลินก็เรียกอีกคนเข้ามาทันทีคนนั้น...ซังหนี่เองก็ไม่ได้รู้สึกแปลกหน้า——เกาต๋า อดีตผู้จัดการทั่วไปของบริษัทลูกเมืองอิ๋นเกาต๋ามีเครือข่ายอยู่ที่เมืองอิ๋นเป็นหลัก ดังนั้นตอนที่เขาถูกย้ายกลับสำนักงานใหญ่ ก็นับว่าเป็นการถูกลดบทบาทไปโดยปริยายแต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เขาหมดอิทธิพลในบริษัท ยังคงก้าวหน้าและเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดีโครงการครั้งนี้ ทางจื้อเหอก็ระบุให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงซังหนี่รู้ดีว่า ฟู่เซียวหานทำแบบนี้ก็แค่ต้องการยั่วโมโหเธอ“ประธานเสี่ยวซัง ไม่เจอกันนานเลยนะ”เกาต๋ายิ้มบาง ๆ แล้วเดินตรงไปหาซังหนี่ ก่อนจะยื่นมือออกมาแต่ซังหนี่กลับเมินเฉยไม่สนใจเธอเพียงแค่เหลือบมองเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป“ถ้าสองวันนี้เธอไม่ยุ่งก็เข้
บางทีอาจจะเพราะท่าทีของซังหนี่ที่ดูสับสนมากเกินไป จี้อวี้หยวนจึงอดไม่ได้ที่จะมองด้วยรอยยิ้มจากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงพร้อมจุมพิตเธอเบา ๆ ที่ริมฝีปากสัมผัสนั้นราวกับแมลงปอต้องน้ำ เพียงพริบตาเดียวก็จากไปแล้วก็ยื่นมือมาลูบศีรษะเธออีกครั้ง “เอาล่ะ เข้าไปเถอะครับ”ซังหนี่ยังคงสับสนอยู่บ้างเล็กน้อยแต่เธอก็ยังคงไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่มองเขาก่อนจะหันหลังลงจากรถไปซังหลินกำลังรอเธออยู่ในห้องทำงานหลังจากที่ซังหนี่เข้ามา สิ่งแรกที่เขาถามแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับโครงการรู่โจว“ฉันยังไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่ เพราะอย่างไรเสียฉันก็แค่ได้รับการแจ้งเตือนจากอีกฝ่ายมาฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่ประธานซังไม่ต้องกังวลไปนะคะ ฉันจะตรวจสอบให้ชัดเจนและให้คำตอบที่น่าพอใจกับคุณแน่นอนค่ะ”คำตอบซังหนี่เป็นทางการเป็นอย่างมากซังหลินจ้องมองเธออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยว่า “เธอไม่ได้ติดต่อกับคนของจื้อเหอกรุ๊ปเลยหรือ?”“ยังไม่ได้ติดต่อเป็นการชั่วคราวค่ะ แต่ฉันจะ…”“นี่เป็นอีเมลที่ฉันเพิ่งได้รับมา เธอมาดูสิ”ซังหลินกลับเอ่ยขัดจังหวะการพูดของเธอโดยตรง พร้อมโยนเอกสารในมือของเขาไปยังซังหนี่ซังหนี
เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรอยู่บนนั้น แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าบริเวณนั้นคันยุบยิบเล็กน้อยราวกับโดนขนของลูกแมวซุกไซร้คลอเคลีย และยังเหมือนกับตอนที่เขาสัมผัสเส้นผมของซังหนี่และในขณะที่ฟู่เซียวหานกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง “ขอโทษที่ปล่อยให้ประธานฟู่รอนานนะครับ”เมื่อได้ยินเสียงนั้น ฟู่เซียวหานก็เงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มบางเบา “ไม่เจอกันนานนะครับประธานเกา”……เรื่องที่โครงการรู่โจวโดนระงับการดำเนินการ ซังหนี่นับว่าเป็นคนที่ได้รับการแจ้งเป็นคนสุดท้ายในเวลานั้นเธอและจี้อวี้หยวนกำลังคุยกับคุณเยว่ เมื่อได้ยินเสียงจากคนที่อยู่ปลายสายเธอยังรู้สึกไม่ทันตั้งตัว “อะไรนะคะ?”“เป็นทางฝั่งจื้อเหอกรุ๊ปที่ระงับการดำเนินการครับ โดยบอกว่ามีปัญหาบางอย่างภายในทีมงานก่อสร้าง และพวกเขาจำเป็นต้องตรวจสอบให้ละเอียดก่อน”“ปัญหาอะไร?”“ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ทางจื้อเหอกรุ๊ปบอกเรามาเพียงเท่านี้”“ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาในทีมก่อสร้าง แต่ขั้นตอนอื่น ๆ ก็ยังสามารถดำเนินการไปก่อนได้ หรือถ้ายังไม่สามารถทำได้ ตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของโครงการ เราสามารถเปลี่ยนทีมวิ
เมื่อฟู่เซียวหานยังเป็นเด็ก ครั้งหนึ่งเขาเคยเจอแมวจรจัดในโรงเรียนของพวกเขาลูกแมวตัวนั้นอาจเพิ่งคลอดได้ไม่นานแต่ไม่มีแม่แมวอยู่เคียงข้าง มีเพียงมันตัวเดียวที่นอนอยู่บนพื้นหญ้าและส่งเสียงร้องอย่างอ่อนแรงฟู่เซียวหานเพียงเหลือบตามองมันแต่เขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจที่เปี่ยมล้น ดังนั้นหลังจากเหลือบมองครั้งหนึ่งเขาก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วแต่เขาไม่คาดคิดว่าลูกแมวตัวนั้นจะเดินตามหลังเขามาฝีเท้าของเขาไม่ได้นับว่าก้าวเดินช้า ทั้งที่ลูกแมวตัวนั้นยังไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงแต่ยังคงยืนหยัดเดินตามเขามาทีละก้าวและในขณะที่ฟู่เซียวหานกำลังจะเดินไปถึงหน้าประตูโรงเรียน ในที่สุดเขาก็หยุดฝีเท้าลงจากนั้นก็หมุนตัวเดินไปที่ร้านของชำด้านข้าง พร้อมซื้อไส้กรอกมาหนึ่งชิ้นลูกแมวตัวน้อยกินอย่างมีความสุขดังนั้นนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฟู่เซียวหานจะเจอมันทุกครั้งหลังเลิกเรียนมันเป็นฝ่ายริเริ่มเข้ามาหาเขาก่อน หลังจากซุกไซร้เข้ากับฝ่ามือของเขาแล้วจึงรอให้เขาป้อนอาหารด้วยความเชื่อฟังและนับตั้งแต่นั้น ฟู่เซียวหานก็มักจะเตรียมขนมไว้ในกระเป๋านักเรียนของเขาเสมอในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาแม้กระทั่งตั้