หลังจากนั้นหลายวัน ฟู่เซียวหานก็ไม่ได้ติดต่อเธออีกเลย แต่ซังหนี่กลับได้รับเค้กที่ถูกส่งมาจากร้านขนมต่างๆ ทุกวันและไม่ใช่แค่ชิ้นเดียวในตอนแรกซังหนี่อยากที่จะปฏิเสธ แต่อีกฝ่ายไม่ให้โอกาสนั้นกับเธอเลย พร้อมกับบอกตรงๆ ว่าหน้าที่ของพวกเขาคือนำเค้กมาส่งให้เธอ ส่วนจะจัดการกับเค้กยังไงนั้นก็แล้วแต่เธอซังหนี่ไม่มีทางเลือก สุดท้ายจึงทำได้เพียงรับเค้กไว้หลังจากกินเค้กติดต่อกับมาหลายวัน ในที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะโทรศัพท์หาฟู่เซียวหาน“คุณไม่ต้องให้คนส่งของให้ฉันแล้วนะ”“ทำไม คุณชอบไม่ใช่เหรอ”ฟู่เซียวหานดูเหมือนจะอารมณ์ดี เวลาที่พูดน้ำเสียงแฝงด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างเห็นได้ชัดซังหนี่รู้สึกว่าเขาจงใจเธอชอบกินไม่ใช่เหรอดังนั้นเขาเลยส่งมาให้เธอทุกวัน ให้เธอกินจนอ้วกไปเลย ซังหนี่ไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วกดวางสายเขาไปดื้อๆฟู่เซียวหานเดิมทียังอยากที่จะพูดอะไร แต่เขาต้องอึ้งไปชั่วขณะเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ถูกวางสายโดยไม่คาดคิดจนกระทั่งเขาเอาโทรศัพท์มาเช็กเพื่อความแน่ใจว่าเธอวางสายไปแล้วจริงๆฟู่เซียวหานอดขำไม่ได้ครั้งนี้ถูกโกรธแต่เขากลับหัวเราะเขารู้สึกว่านิสัยของซังหนี่แย่ลงมา
สุดท้ายซังหนี่จึงสุ่มเลือกร้านหม้อไฟหม้อไฟน้ำมันสีแดงรสชาติเผ็ดร้อน เห็นได้ชัดว่าไม่เข้ากับชุดสูทของฟู่เซียวหานเลยสักนิดแต่ซังหนี่ไม่ได้สนใจอะไรมากพูดตามตรง เธอไม่รู้เลยว่าฟู่เซียวหานเขาต้องการทำอะไรกันแน่เห็นเธอเป็นเพียงเครื่องมืองั้นเหรอแต่สิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้มันดูไม่ค่อยเหมือนเลยต้องรู้ว่าถึงพวกเขาจะยังเป็นสามีภรรยากัน แต่น้อยมากที่พวกเขาจะทานข้าวนอกบ้านตามลำพังเขาจะมอบเครื่องประดับให้เธอ แต่เขาจะไม่ให้คนมาส่งเค้กอะไรแบบนี้ให้เธอแต่การกระทำของฟู่เซียวหานตอนนี้ ทำให้ซังหนี่รู้สึกเหมือนว่าเขากำลัง...เอาใจตัวเองแน่นอนว่าความคิดนั้นผุดขึ้นมาได้ชั่วครู่ก็ถูกซังหนี่ตัดออกไป“คุณชอบกินแบบนี้เหรอ”ฟู่เซียวหานกลับดูเหมือนไม่รู้สึกอึดอัดอะไร หลังจากมาถึงที่นั่งแล้ว เขาก็นั่งลงตรงข้ามซังหนี่พร้อมกับเอ่ยถาม“อืม” ซังหนี่ตอบกลับ “ฉันเติบโตอยู่ที่เมืองC เลยชอบกินเผ็ดมาก”แต่หลังจากกลับมาอยู่บ้านตระกูลซัง พวกเขากลับไม่ยอมให้เธอกินของพวกนั้นอีกเลยในสายตาของพวกเขา ดูเหมือนรสชาติอาหารจะแบ่งออกเป็นหลายระดับ และการกินรสเผ็ดที่ทำให้ริมฝีปากบวมแดง น้ำมูกน้ำตาไหล และรสชาติติดอยู่
แต่ดูเหมือนว่าเธอจะอารมณ์ดีมาก เมื่อฟู่เซียวหานเข้าไปยังได้ยินเสียงเธอพูดอะไรบ้างอย่างกับคนที่อยู่ข้างๆ ด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างพอใจ“คุณชายกลับมาแล้ว”ผู้ดูแลบ้านเห็นเขาก่อน แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มฟู่เซียวหานหันไปพยักหน้าให้เขา แล้วค่อยหันมาไปมองที่คุณนายใหญ่จากนั้นคุณนายใหญ่ก็กวักมือเรียกเขาด้วยท่าทีตื่นเต้น “รีบมาดูเร็วเข้า”“ดูอะไร”เดิมทีที่มุมปากของฟู่เซียวหานยังคงมีรอยยิ้มแต่เมื่อเขาเห็นเนื้อหาบนแท็บเล็ต รอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็หายไปทันที“หลานดูนี่สิว่าเป็นยังไงบ้าง ลูกสาวของตระกูล ครั้งที่แล้วที่...”“คุณย่าดูอะไรพวกนี้ทำไม”ฟู่เซียวหานลุกขึ้นและดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้“หลานพูดว่าทำอะไรงั้นเหรอ ก็กำลังหาหลานสะใภ้ให้ตัวเองยังไงล่ะ หลานดูสิว่าที่ย่าพูดเมื่อครู่...”“ตอนนี้ผมยังไม่อยากคิดเรื่องพวกนี้” ฟู่เซียวหานพูดตัดบทของเธอ“ย่าไม่ได้ให้หลานแต่งงานตอนนี้ แค่ให้หลานลองดูไว้ก่อนก็เท่านั้น ถ้ามีคนที่เหมาะสมก็ลองคบกันไปก่อน แล้วค่อยหมั้นกัน”“ครั้งนี้ต้องรอบคอบหน่อยค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เดี๋ยวจะเหมือนกับผู้หญิงอย่างซังหนี่อีก ช่างเป็นเ
สองวันต่อมา เป็นวันเกิดของฟู่เซียวหานเดิมทีเขาไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับเรื่องวันเกิดเลย แต่ปีนี้เมื่อคนในครอบครัวบอกว่าจะจัดงานให้เขา เขากลับไม่ปฏิเสธ แน่นอนว่าซังหนี่ไม่สามารถมาปรากฏตัวในงานเลี้ยงได้อยู่แล้ว เวลาพลบค่ำฟู่เซียวหานจึงเพียงส่งข้อความให้เธอ และบอกให้เธอไปรอเขาอยู่ที่บ้านพักป๋อซีหยวนงานเลี้ยงผ่านไปด้วยดี คนมีชื่อเสียงในแวดวงต่างมาร่วมงานกันเกือบทั้งมาแม้ว่างานเลี้ยงครั้งนี้จะเป็นงานไพรเวท แต่ก็มีเหล่าบรรดาดาราเข้ามาร่วมงานตอนนี้ข่าวเรื่องการหย่าร้างของฟู่เซียวหานแพร่กระจายออกไป นั่นทำให้คนที่อยากจะเข้าหาเขายิ่งมากขึ้น พร้อมกับจุดประสงค์ที่ชัดเจนเสื้อตัวเดียวของฟู่เซียวหานถูกคนทำน้ำหกใส่ถึงสามครั้งในคืนเดียวจนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่มีคนเดินเข้ามาชน ฟู่เซียวหานไม่ได้เตรียมที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยซ้ำ เพียงแค่ผลักมือคนที่กำลังจะสัมผัสร่างกายของเขาออก“ประธานฟู่ให้ฉันช่วยคุณเช็ดนะคะ”หญิงสาวสวมใส่ชุดเดรสเกาะอก จ้องมองไปที่เขาด้วยแววตาหว่านเสน่ห์แต่ฟู่เซียวหานกลับไม่แตะต้องเธอเลยจากนั้นพูดด้วยท่าทีนิ่งเฉยว่าไม่ต้อง แล้วหันไปที่ผู้ช่วยของตัวเองสวีเหยียนรีบเดิ
จนสุดท้ายเธอทนไม่ไหวและไม่สามารถไปที่ห้องได้ ดังนั้นเธอจึงนอนลงบนโซฟาแล้วหลับไปเมื่อตื่นขึ้นมา สิ่งที่เธอรับรู้ได้เป็นอันดับแรกคือมีเงาปกคลุมอยู่บนร่างกายของเธอซังหนี่ตกใจมากและกำลังจะกรีดร้องออกมาโดยไม่รู้ตัวแต่ฟู่เซียวหานปิดปากของเธอไว้ได้ทันวินาทีที่ฝ่ามือของเขากดปิดไว้ ซังหนี่ถึงได้แน่ใจว่าเป็นเขา ร่างกายที่เดิมทีเกร็งด้วยความตกใจก็ผ่อนคลายลงทันทีฟู่เซียวหานรับรู้ได้ และปิดปากของเธอไว้แน่นอย่างนั้นต่อไปโดยไม่ลังเล พร้อมกับก้มหน้าโน้มตัวลงมาจูบปากของเธอซังหนี่ได้กลิ่นเหล้าบนตัวของเขา จึงขมวดคิ้วและกำลังจะเบี่ยงตัวออก แต่ฟู่เซียวหานกลับจับคางของเธอไว้แน่น แล้วกดริมฝีปากของเธอไว้แน่นกลิ่นผลไม้ของแชมเปญก็เข้ามาในปากของซังหนี่โดยตรงประกอบกับอารมณ์ที่เร่าร้อนเกินไปของฟู่เซียวหาน จนทำให้ซังหนี่ครางออกมาอย่างอดไม่ได้ แล้ววางมือบนหน้าอกของเขาเพื่อต้องการดันตัวออกห่างแต่ฟู่เซียวหานกลับรีบจับมือของเธอไว้แน่น การกระทำของเขารุนแรงมุทะลุ พร้อมกับสายตาทั้งสองข้างของเขาที่จ้องมองมาที่ตัวเองสายตานั้นทำให้ซังหนี่จู่ๆ ก็นึกถึงสัตว์ร้ายที่ซ่อนอยู่ในยามค่ำคืนใจของเธอเต้นแรงขึ้นอย่
เมื่อฟู่เซียวหานออกมาจากห้องน้ำ พบว่าคนในห้องไม่อยู่แล้วเขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเดินออกไปซังหนี่กำลังใส่รองเท้าที่ทางเข้าเมื่อเห็นเธอ แววตาของฟู่เซียวหานก็เคร่งขรึมลง “คุณจะไปไหน”“กลับบ้าน”ซังหนี่ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองฟู่เซียวหานเม้มริมฝีปากแน่น แววตาเปลี่ยนเป็นเย็นชาขั้นมาทันทีแต่ซังหนี่ไม่สนใจเขา และเปิดประตูโดยไม่หันกลับมามองเสียง “แกร็ก” เธอปิดประตูลงอีกครั้ง ไม่นานก็เหลือเพียงฟู่เซียวหานคนเดียวในบ้านหลังใหญ่เมื่อหันกลับมา เขาก็เตะไปที่ถังขยะที่อยู่ข้างๆ อย่างแรง ซังหนี่ไม่ได้สนใจอาการของคนในห้องกระดุมข้อมือนั้นเธอใส่มันลงไปในกระเป๋า เมื่อเดินผ่านถังขยะ เดิมทีซังหนี่อยากที่จะทิ้งลงไป แต่เธอต้องหยุดการกระทำไว้ และสุดท้ายเธอก็ทิ้งมันไม่ลงในตอนนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นมา“ที่รัก เธอยังไม่นอนใช่ไหม”น้ำเสียงตื่นเต้นของซ่งเสี่ยวดังเข้ามา “ฉันมีข่าวดีจะบอกเธอ”“ยัง เธอพูดมาสิ”ซังหนี่เอากระดุมข้อมือใส่กลับลงไปในกระเป๋าอีกครั้ง พร้อมกับถามเธอ“ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์และโทรทัศน์สำหรับหนังสือเล่มล่าสุดของเธออนุมัติแล้วนะ เธอรู้จักบริษัทภาพยนตร์ฮวาเชียนไหม
ทักษะในการเข้าสังคมของซ่งเสี่ยวดีมาก แม้ว่าตอนแรกจะขี้อายเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็มีความกระตือรือร้นขึ้นมา และแลกนามบัตรกับคนนั้นคนนี้ตลอดทาง“เอ๊ะ ประธานหยาง สวัสดีค่ะ”ในที่สุดซ่งเสี่ยวก็เจอคนที่ตัวเองตามหาในคืนนี้ พร้อมกับยื่นมือออกไปทักทายทันที “ฉันชื่อซ่งเสี่ยวมาจากการ์ตูนแห่งดวงดาว ที่เราคุยกันไว้ก่อนหน้านี้ค่ะ”“อ่อ สวัสดีครับ”ผู้ชายตรงหน้าจับมือทักทายกับซ่งเสี่ยวก่อน แล้วค่อยหันมามองซังหนี่อย่างพิจารณา“นี่คือนักเขียนเรื่องไฮ่ถังอันที่เราพูดถึงก่อนหน้านี้ค่ะ”“อ่อ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนไหม” ประธานหยางขมวดคิ้ว “ทำไมผมรู้สึกคุ้นหน้าคุณจัง” “น่าจะไม่เคยเจอนะคะ ฉันไม่ค่อยชอบออกจากบ้าน”ซังหนี่ยิ้มตอบผู้ชายคนนั้นยังคงสงสัยอยู่ แต่ไม่นานก็พูดขึ้นว่า “ผมดูผลงานของคุณแล้วนะ มันเหมาะที่จะนำมาทำเป็นภาพยนตร์จริงๆ”“และประธานฉินของเราดูแล้วก็รู้สึกสนใจมาก ยังบอกอีกว่าอยากจะพบพวกคุณด้วยตัวเอง”เดิมทีซังหนี่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายส่งบัตรเชิญใบนั้นมาให้ซ่งเสี่ยว แต่เมื่อผู้ชายคนนี้พูด เธอก็รู้ในทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติซ่งเสี่ยวกลับดีใจมาก “จริงๆ เหรอคะ แล้วต
ท่าทางของซังหนี่เคร่งขรึมมากแต่ฉินเหยาเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น “ที่คุณพูดก็ถูก ผมขอโทษนะที่ผมละลาบละล้วงเกินไป”ท่าทียอมรับผิดของเขามีมารยาทมาก เมื่อเทียบกันแล้ว เมื่อสักครู่เป็นซังหนี่ที่ดูก้าวร้าวเกินไปด้วยซ้ำเมื่อซังหนี่คิดได้อย่างนั้น จึงกล่าวขอโทษเขา “เป็นฉันเองที่วู่วามเกินไป”“ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชื่อเสียงของคุณ คุณจะมีท่าทีแบบนั้นก็ไม่ผิด ผมเป็นคนผิดเอง”เมื่อฉินเหยาพูดจบ ประตูลิฟต์ก็เปิดออกวิวบนระเบียงดีอย่างที่เขาบอกจริงๆทั้งดวงไฟระยิบระยับจากไกลๆ และสายลมยามค่ำคืนที่พัดเข้ามา ทำให้คนเรารู้สึกดีขึ้นมากจริงๆฉินเหยารอดูปฏิกิริยาของซังหนี่ก่อน หลังจากแน่ใจแล้วว่าเธอพอใจกับที่นี่ ถึงได้พูดต่อว่า “อันที่จริงเรื่องความสัมพันธ์ของฉินม่อกับซังฉิง ผมไม่ค่อยเห็นด้วย ” “ฉินม่อเป็นน้องชายของผม แม้ว่าก่อนหน้านี้...ผมจะไม่ค่อยยอมรับเขา แต่ถึงยังไงเลือดต้องเข้มกว่าน้ำ ในความคิดของผมซังฉิงยังไม่ใช่ภรรยาที่เหมาะสม”คำพูดของเขาทำให้ซังหนี่ค่อนข้างประหลาดเพราะก่อนหน้านี้ เธอคิดว่าคนในแวดวงนี้ทุกคนต่างก็ชอบซังฉิงถ้าไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของตัวเองในตอนนั้น ก็คงไม่ถู
ซังหนี่มองจี้อวี้หยวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ “ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่อยู่เป็นเพื่อนฉันแบบนี้...ก็พอแล้ว”พอเธอพูดจบ จี้อวี้หยวนก็ยื่นมือออกไป โอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแรงกอดของเขาไม่แน่นนัก แต่กลิ่นหอมอ่อน ๆ บนตัวเขากลับอบอวลเข้าสู่ปลายจมูกของซังหนี่ในทันทีซังหนี่ไม่ต่อต้านอีกต่อไป ค่อย ๆ ยื่นมือออกไป โอบรอบเอวของเขาไว้“อาการของคุณอาเป็นยังไงบ้าง?” จี้อวี้หยวนเอ่ยถาม“เส้นเลือดในสมองตีบเฉียบพลัน” ซังหนี่พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่ช่วยไว้ได้ทัน หมอบอกว่าถ้าเขาฟื้นขึ้นมาก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”“อืม งั้นคุณกลับไปพักก่อนดีไหม? ผมจะเป็นคนเฝ้าให้เอง”“ไม่ต้องหรอก ฉันกลับไปก็นอนไม่หลับอยู่ดี คุณไม่เห็นเหรอว่าโทรศัพท์ฉันไม่หยุดดังเลย?”จี้อวี้หยวนไม่พูดอะไรอีกซังหนี่ไม่แน่ใจว่าเขากำลังรู้สึกผิดที่ช่วยอะไรเธอไม่ได้หรือเปล่า เลยพูดขึ้นมาก่อนว่า “งานแต่งไม่ต้องเลื่อนนะ คุณตาของคุณรอวันนี้มานานมากแล้ว จะทำให้ท่านผิดหวังไม่ได้”“แต่ว่า…”“ไม่ต้องห่วง แค่วันเดียวฉันยังพอจัดการได้ อีกอย่างตอนนี้ซังอวี๋อยู่ในช่วงสำคัญ ถ้าคุณเลื่อนงานแต่งออกไป คนอื่นอาจคิดว่าคุณเตรียมตัวหนีแล้วก็ได้”พูดจบ ซ
ดังนั้นเมื่อก่อนเขามักเป็นฝ่ายออกคำสั่งต่อหน้าซังหนี่เสมอเขาไม่จำเป็นต้องปรึกษาซังหนี่ และไม่มีวันยอมให้เธอขัดขืนแต่ตอนนี้ เขากลับดูเหมือนเด็กคนหนึ่งที่สับสนหมดหนทาง เอ่ยถามซังหนี่ ว่าควรทำอย่างไร?ซังหนี่หลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “ตอนนี้มีใครรู้เรื่องนี้อีก?”พูดจบ เธอก็รู้ตัวทันทีว่าถ้อยคำของตัวเองผิดไป จึงรีบแก้ว่า “ไม่ว่าจะมีใครรู้เรื่องนี้หรือไม่ ต้องปิดข่าวทันที! ถ้าพรุ่งนี้ตลาดหุ้นเปิดเมื่อไหร่ ซังอวี๋คงได้จบสิ้นกันจริง ๆ!’ซังหลินไม่พูดอะไร นั่งนิ่งอย่างเหม่อลอย“ครอบครัวของเกาต๋าล่ะคะ? พวกเขายังอยู่ที่นี่ใช่ไหม? ตอนนี้คุณให้คนไปติดต่อพวกเขาทันที! ถ้าเกาต๋าติดต่อกลับมา แจ้งตำรวจเดี๋ยวนั้นเลย! คุณได้ยินไหม?!”คำพูดสุดท้ายของซังหนี่ ทำให้ซังหลินได้สติกลับมา เขาค่อย ๆ เอื้อมมือที่สั่นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาซังหนี่ไม่มองเขาอีก หันหลังเดินออกไปทันทีแต่ด้านหลังกลับเงียบสนิทเมื่อซังหนี่รู้สึกแปลกใจและหันกลับไปมอง เธอเห็นโทรศัพท์ของซังหลินตกอยู่บนพื้น ส่วนตัวเขากลับฟุบลงไปกับเก้าอี้และหมดสติไปแล้ว……ซังหนี่รีบติดต่อสำนักข่าวใหญ่ เพื่อปิดข่าวเกี่ยวกับซังหลินไว้แต่ในย
คำพูดของซังหนี่ก็กลายเป็นจริงอย่างรวดเร็วเพียงแค่วันรุ่งขึ้นหลังจากที่โครงการถูกส่งมอบให้เกาต๋า ทางจื้อเหอก็แจ้งให้เริ่มงานใหม่ทันทีแม้ว่างานของซังหนี่จะถูกส่งต่อให้เกาต๋าแล้ว แต่เธอก็ยังเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทลูก บางกระบวนการยังต้องผ่านเธออยู่ดีสองวันผ่านไป เกาต๋าบอกว่ามีงานที่ส่งต่อบางเรื่องยังไม่ชัดเจน พอดีว่าช่วงนี้ซังหนี่ลาพักเพื่อเตรียมงานแต่ง เขาจึงขอให้เจิ้งชวนไปช่วยงานแทนซังหนี่ไม่ได้ขัดข้องอะไรเพราะสุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นโครงการของบริษัท ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น เธอเองก็ต้องรับผิดชอบไปด้วยเจิ้งชวนถูกเรียกตัวไปช่วยงานทันทีผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ เหลือเวลาอีกเพียงสองวันก่อนถึงวันแต่งงานของซังหนี่กับจี้อวี้หยวน ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัด โทรศัพท์ของซังหนี่ดังขึ้น ปลายสายคือเจิ้งชวน“แย่แล้วครับประธานเสี่ยวซัง ติดต่อประธานเกาไม่ได้เลย!”ซังหนี่สะดุ้งตื่นจากความฝันอย่างฉับพลัน สมองยังมึนงงเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น?”“ประธานเกาหายตัวไปครับ!” เจิ้งชวนพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ตั้งแต่บ่ายจนถึงตอนนี้ติดต่อไม่ได้เลย พวกเราลองไปที่บ้านเขาแล้ว แต่ครอบครัวเขาก็บอกว่าติดต่อไม่ได้เช่นกัน”
“เข้าใจแล้ว”เมื่อได้ยินคำตอบ ฟู่เซียวหานจึงกดวางสายไป ก่อนจะหันไปมองออกไปนอกหน้าต่างในเงาสะท้อนของกระจกรถ เขากลับมองเห็นแก้มที่แดงก่ำของตัวเองอย่างชัดเจนเขายกมือขึ้นเช็ดเบา ๆมันก็เจ็บอยู่บ้าง แต่เขาผ่านเรื่องที่เจ็บกว่านี้มาแล้ว แผลเล็กแค่นี้ ไม่เป็นอะไรเลยสักนิดคิดได้ดังนั้น เขามองรอยฝ่ามือบนแก้ม แล้วกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ……จื้อเหอและซังอวี๋ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เรื่องที่เกาต๋าเข้ามารับช่วงต่อโครงการรู่โจวก็ถูกประกาศภายในบริษัทในเวลาไม่นานทันทีที่ข่าวนี้เผยออกมา ทุกคนต่างประหลาดใจไม่น้อยแม้ว่าตอนนี้ซังหนี่ยังคงเป็นผู้จัดการบริษัทสาขาเมืองอิ๋น แต่ถ้าเกาต๋าถูกย้ายกลับไป คนที่นั่นทั้งหมดก็เป็นลูกน้องเก่าของเขาอยู่ดี แบบนี้ซังหนี่จะต่างอะไรกับผู้นำที่ไร้อำนาจกันล่ะ?แน่นอนว่าซังหนี่ไม่มีทางยอมมอบผลงานของตัวเองให้ใครง่าย ๆแต่ฟู่เซียวหานตั้งใจจะทำให้เธอเสียหน้า และเหมือนที่ซังหลินพูดไว้ เขาเป็นฝ่ายว่าจ้าง โครงการใหญ่อย่างรู่โจว เขาแค่ขอเปลี่ยนผู้รับผิดชอบเท่านั้น ซังอวี๋ที่เป็นฝ่ายถูกเลือกทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องยอมตามดังนั้น เอกสารที่ซังหนี่ตรวจทานซ้ำแล้วซ้ำเ
ฟู่เซียวหานถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่แววตาที่มองซังหนี่กลับไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆมีเพียงแค่...ความเย็นชาเท่านั้นมันเป็นสายตาของนักล่าที่จ้องมองเหยื่อ และยิ่งไปกว่านั้น มันคือสายตาของผู้ที่อยู่เหนือกว่ามองคนเบื้องล่างด้วยความเหยียดหยามร่างกายของซังหนี่สั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว!เขาแสร้งทำต่อหน้าเธอมานานเกินไปแล้วจนถึงตอนนี้ ซังหนี่เพิ่งนึกขึ้นได้——เขาไม่ใช่สุนัขที่เชื่อง แต่เป็นหมาป่าที่กระหายเลือดและเนื้อ!แต่ซังหนี่ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว “ฟู่เซียวหาน คุณเป็นถึงผู้จัดการใหญ่ของจื้อเหอ แต่กลับใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ ไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะหรือไง!?”“ไม่เป็นไร ยังไงตอนนี้ก็ไม่มีใครคานอำนาจผมได้แล้ว” ฟู่เซียวหานพูดช้า ๆ “อีกอย่าง โครงการรู่โจวใหญ่ขนาดนี้ จะให้คุณรับผิดชอบมันไม่ปลอดภัย ผมมีเหตุผลมากพอที่จะทำให้พวกเขาเชื่อ”ซังหนี่ไม่พูดอะไร แต่มือที่วางอยู่บนเข่ากลับค่อย ๆ กำแน่นขึ้น“แล้วไงต่อล่ะ?”ในที่สุด เธอก็เปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง ถามว่า “คุณคิดว่าคำสั่งนี้จะหยุดฉันไม่ให้แต่งงานกับจี้อวี้หยวนได้เหรอ?”“ฉันบอกไว้เลยว่า ไม่มีทาง ตอนนี้ฉันยิ่งต้องแต่งงา
ซังหนี่มองดูท่าทางสงบนิ่งของเขาแล้วกลับหัวเราะออกมา “ที่แท้เป็นแบบนี้เอง นี่เป็นแผนที่คุณกับฟู่เซียวหานร่วมมือกันเหรอ?”“ไม่ใช่แน่นอน”ซังหลินขมวดคิ้วก่อนจะพูดต่อ “ซังหนี่ เธอทำงานที่บริษัทมานานพอสมควรแล้ว คงรู้ดีว่าผลประโยชน์ของบริษัทต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัว เข้าใจไหม?”ซังหนี่ไม่พูดอะไร แต่เธอกลับกัดฟันแน่นขึ้นจากนั้น ซังหลินก็เรียกอีกคนเข้ามาทันทีคนนั้น...ซังหนี่เองก็ไม่ได้รู้สึกแปลกหน้า——เกาต๋า อดีตผู้จัดการทั่วไปของบริษัทลูกเมืองอิ๋นเกาต๋ามีเครือข่ายอยู่ที่เมืองอิ๋นเป็นหลัก ดังนั้นตอนที่เขาถูกย้ายกลับสำนักงานใหญ่ ก็นับว่าเป็นการถูกลดบทบาทไปโดยปริยายแต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เขาหมดอิทธิพลในบริษัท ยังคงก้าวหน้าและเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดีโครงการครั้งนี้ ทางจื้อเหอก็ระบุให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงซังหนี่รู้ดีว่า ฟู่เซียวหานทำแบบนี้ก็แค่ต้องการยั่วโมโหเธอ“ประธานเสี่ยวซัง ไม่เจอกันนานเลยนะ”เกาต๋ายิ้มบาง ๆ แล้วเดินตรงไปหาซังหนี่ ก่อนจะยื่นมือออกมาแต่ซังหนี่กลับเมินเฉยไม่สนใจเธอเพียงแค่เหลือบมองเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป“ถ้าสองวันนี้เธอไม่ยุ่งก็เข้
บางทีอาจจะเพราะท่าทีของซังหนี่ที่ดูสับสนมากเกินไป จี้อวี้หยวนจึงอดไม่ได้ที่จะมองด้วยรอยยิ้มจากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงพร้อมจุมพิตเธอเบา ๆ ที่ริมฝีปากสัมผัสนั้นราวกับแมลงปอต้องน้ำ เพียงพริบตาเดียวก็จากไปแล้วก็ยื่นมือมาลูบศีรษะเธออีกครั้ง “เอาล่ะ เข้าไปเถอะครับ”ซังหนี่ยังคงสับสนอยู่บ้างเล็กน้อยแต่เธอก็ยังคงไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่มองเขาก่อนจะหันหลังลงจากรถไปซังหลินกำลังรอเธออยู่ในห้องทำงานหลังจากที่ซังหนี่เข้ามา สิ่งแรกที่เขาถามแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับโครงการรู่โจว“ฉันยังไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่ เพราะอย่างไรเสียฉันก็แค่ได้รับการแจ้งเตือนจากอีกฝ่ายมาฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่ประธานซังไม่ต้องกังวลไปนะคะ ฉันจะตรวจสอบให้ชัดเจนและให้คำตอบที่น่าพอใจกับคุณแน่นอนค่ะ”คำตอบซังหนี่เป็นทางการเป็นอย่างมากซังหลินจ้องมองเธออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยว่า “เธอไม่ได้ติดต่อกับคนของจื้อเหอกรุ๊ปเลยหรือ?”“ยังไม่ได้ติดต่อเป็นการชั่วคราวค่ะ แต่ฉันจะ…”“นี่เป็นอีเมลที่ฉันเพิ่งได้รับมา เธอมาดูสิ”ซังหลินกลับเอ่ยขัดจังหวะการพูดของเธอโดยตรง พร้อมโยนเอกสารในมือของเขาไปยังซังหนี่ซังหนี
เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรอยู่บนนั้น แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าบริเวณนั้นคันยุบยิบเล็กน้อยราวกับโดนขนของลูกแมวซุกไซร้คลอเคลีย และยังเหมือนกับตอนที่เขาสัมผัสเส้นผมของซังหนี่และในขณะที่ฟู่เซียวหานกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง “ขอโทษที่ปล่อยให้ประธานฟู่รอนานนะครับ”เมื่อได้ยินเสียงนั้น ฟู่เซียวหานก็เงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มบางเบา “ไม่เจอกันนานนะครับประธานเกา”……เรื่องที่โครงการรู่โจวโดนระงับการดำเนินการ ซังหนี่นับว่าเป็นคนที่ได้รับการแจ้งเป็นคนสุดท้ายในเวลานั้นเธอและจี้อวี้หยวนกำลังคุยกับคุณเยว่ เมื่อได้ยินเสียงจากคนที่อยู่ปลายสายเธอยังรู้สึกไม่ทันตั้งตัว “อะไรนะคะ?”“เป็นทางฝั่งจื้อเหอกรุ๊ปที่ระงับการดำเนินการครับ โดยบอกว่ามีปัญหาบางอย่างภายในทีมงานก่อสร้าง และพวกเขาจำเป็นต้องตรวจสอบให้ละเอียดก่อน”“ปัญหาอะไร?”“ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ทางจื้อเหอกรุ๊ปบอกเรามาเพียงเท่านี้”“ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาในทีมก่อสร้าง แต่ขั้นตอนอื่น ๆ ก็ยังสามารถดำเนินการไปก่อนได้ หรือถ้ายังไม่สามารถทำได้ ตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของโครงการ เราสามารถเปลี่ยนทีมวิ
เมื่อฟู่เซียวหานยังเป็นเด็ก ครั้งหนึ่งเขาเคยเจอแมวจรจัดในโรงเรียนของพวกเขาลูกแมวตัวนั้นอาจเพิ่งคลอดได้ไม่นานแต่ไม่มีแม่แมวอยู่เคียงข้าง มีเพียงมันตัวเดียวที่นอนอยู่บนพื้นหญ้าและส่งเสียงร้องอย่างอ่อนแรงฟู่เซียวหานเพียงเหลือบตามองมันแต่เขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจที่เปี่ยมล้น ดังนั้นหลังจากเหลือบมองครั้งหนึ่งเขาก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วแต่เขาไม่คาดคิดว่าลูกแมวตัวนั้นจะเดินตามหลังเขามาฝีเท้าของเขาไม่ได้นับว่าก้าวเดินช้า ทั้งที่ลูกแมวตัวนั้นยังไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงแต่ยังคงยืนหยัดเดินตามเขามาทีละก้าวและในขณะที่ฟู่เซียวหานกำลังจะเดินไปถึงหน้าประตูโรงเรียน ในที่สุดเขาก็หยุดฝีเท้าลงจากนั้นก็หมุนตัวเดินไปที่ร้านของชำด้านข้าง พร้อมซื้อไส้กรอกมาหนึ่งชิ้นลูกแมวตัวน้อยกินอย่างมีความสุขดังนั้นนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฟู่เซียวหานจะเจอมันทุกครั้งหลังเลิกเรียนมันเป็นฝ่ายริเริ่มเข้ามาหาเขาก่อน หลังจากซุกไซร้เข้ากับฝ่ามือของเขาแล้วจึงรอให้เขาป้อนอาหารด้วยความเชื่อฟังและนับตั้งแต่นั้น ฟู่เซียวหานก็มักจะเตรียมขนมไว้ในกระเป๋านักเรียนของเขาเสมอในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาแม้กระทั่งตั้