ทว่าตอนนี้ในใจเธอมีเพียงความเย็นยะเยียบเท่านั้น“ทำไมล่ะ?”เธอเอ่ยถามฟู่เซียวหานขึ้นมาอีกครั้งฟู่เซียวหานไม่ชอบถูกคนจี้ถามแบบนี้ ตอนนี้ในแววตามีความหงุดหงิดเพิ่มขึ้นมาสองสามส่วนซังหนี่เองก็ไม่ได้รอคำตอบของเขา ได้แต่เอ่ยต่อว่า “เป็นเพราะถึงยังไงเราก็เคยเป็นสามีภรรยากันมาสองปี คุณก็เลยรู้จักฉันดีและเชื่อใจฉัน หรือเป็นเพราะว่า...ที่จริงแล้วเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่ฝีมือของคุณ?”ขณะซังหนี่เอ่ยประโยคด้านหน้าฟู่เซียวหานไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรทว่าหลังจากได้ฟังเธอเอ่ยประโยคหลัง สีหน้าของเขากลับเคร่งขรึมลง “คุณกำลังพูดเรื่องอะไร?”“ไม่ใช่สิ คุณคงไม่ได้เข้าร่วมใช่ไหม” ทว่าซังหนี่ดันสนใจจะเอ่ยต่อเรื่องที่ตนสงสัย “ถึงยังไงประธานฟู่ก็เป็นคนที่อยู่เหนือคนอื่นแบบนี้ คงไม่ยอมใช้วิธีการพรรค์นั้น แต่คุณคงรู้รายละเอียดของสถานการณ์แล้วใช่ไหม?”“รวมถึงที่จวงโหย่วเหวยปรากฏตัวขึ้นที่ร้านอาหารครั้งก่อนนั่นด้วย ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม?”น้ำเสียงของซังหนี่เริ่มเย็นชาลงเรื่อย ๆก่อนหน้านี้เธอไม่เคยนึกถึงปัญหานี้มาก่อนเลยแต่สายโทรเข้าของซังฉิงในวันนี้เตือนเธอถึงยังไงที่ตั้งของร้านอาหารแห่งนั
ที่จริงซังหนี่ไม่อยากร้องไห้เลยตั้งแต่เด็กเธอก็รู้แล้วว่า น้ำตามีผลแค่กับคนที่รักเธอเท่านั้นเห็นได้ชัดว่าฟู่เซียวหานไม่ได้อยู่ในขอบข่ายนี้ฉะนั้นน้ำตาของเธอในตอนนี้ มีแต่จะกระตุ้นความรังเกียจของเขาเท่านั้นไม่นานซังหนี่ก็ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาฟู่เซียวหานยืนมองการกระทำของเธออยู่ตรงหน้าเธอ เขาค่อย ๆ ขมวดคิ้วเข้าหากันซังหนี่ไม่ได้สังเกตถึงสีหน้าของเขา ได้แต่ถามเขาต่อว่า “คืนที่ฉันเกิดเรื่อง คุณอยู่ที่ไหน?”“อะไร?”“ก็ไอ้คืนที่ฉันแท้ง คุณอยู่ที่ไหน?”ฟู่เซียวหานไม่ตอบน้ำเสียงของซังหนี่แผ่วเบาลงเรื่อย ๆ “ซังฉินบอกฉันว่า คืนนั้นคุณอยู่ที่งานประมูล กำลังซื้อของขวัญวันเกิดให้เธออยู่ใช่ไหม?”“ของขวัญชิ้นนั้นเธอเคยขอกับผมตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนที่คุณเกิดเรื่อง...เป็นแค่อุบัติเหตุ”ฟู่เซียวหานเอ่ยอธิบายหากเป็นแบบนี้ ก็นับว่าเป็นคำอธิบายซังหนี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเธอราวกับได้ยินเรื่องตลกสุด ๆ อย่างนั้น เธอหัวเราะจนสั่นไปทั้งเนื้อตัว ดวงตาแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าด้านในไม่มีน้ำตาเอ่อขึ้นมาสักหยด“ฟู่เซียวหาน นั่นไม่ใช่อุบัติเหตุ” เธอบอกฟู่เซียวหาน “ซิงฉิงเป็นคนผลักฉันตก
“ซังหนี่ คุณจำเอาไว้เลยนะ ความสัมพันธ์ระหว่างเราจะได้ไปต่อหรือเปล่า สิทธิ์ในการตัดสินใจอยู่ในมือผม รวมถึงตอนแรกด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะผมยินยอม คุณคิดว่าจะหย่าได้อย่างราบรื่นเหรอ?”มือข้างที่ตอนแรกคิดจะออกแรงของซังหนี่ก็ค่อย ๆ ปล่อยให้ห้อยลงไปทั้งอย่างนี้ดวงตาของฟู่เซียวหานยิ่งไม่มีกระทั่งความรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยในท้ายที่สุดหรือความเดือดดาลเลยสักนิดที่เขาพูด...มันก็ใช่จริง ๆเธอมีสิทธิ์มีเสียงอะไร?ในสายตาของเขา เธอก็เป็นแค่สิ่งของชิ้นหนึ่งเท่านั้นก่อนหน้านี้เป็นภรรยาของเขา ก็ต้องสืบสานสกุลต่อให้เขา มาตอนนี้...ก็เป็นแค่วัตถุระบายความใคร่เท่านั้นฟู่เซียวหานคุ้นเคยกับท่าทีเรียบเฉยของซังหนี่เป็นอย่างมากหว่างคิ้วของเขาอดไม่ได้ที่จะขมวดเข้าหากันอีกครั้ง หลังชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็บีบคางของซังหนี่เข้าไปจูบเลยขณะที่ริมฝีปากของทั้งสองคนประกบกัน จู่ ๆ น้ำตาของซังหนี่ก็ไหลลงมาอีกครั้งความรู้สึกจากการสัมผัสที่แสนเย็นเยียบนั้นทำเอาร่างของฟู่เซียวหานสั่นเทาไปหมดแต่ไม่นานเขาก็ทำเป็นว่าไม่ได้สัมผัสถึงอะไรทั้งสิ้น เพียงแงะเปิดร่องฟันของเธอออก สอดปลายลิ้นเข้าไป ฉกชิงคำใหญ่ ๆจุมพิตนี้ เม
ภายในห้องที่เงียบสงัดและโล่งกว้าง เสียงนี้ดังชัดไร้ที่เปรียบกระทั่งการกระทำของฟู่เซียวหานยังต้องหยุดอยู่กับที่ไปนี่เป็นครั้งแรกที่ซังหนี่เห็นอารมณ์ ‘ตกตะลึง’ เช่นนี้ออกมาจากแววตาของเขาเธอพลันขบกรามแน่น พร้อมหันหน้าไปไม่มองเขาอีกฟู่เซียวหานก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ ได้แต่ปล่อยมือเธอแล้วลุกขึ้น“อยากกินอะไร?” เขาเอ่ยถามซังหนี่ไม่ตอบหลังฟู่เซียวหานรออยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เดินออกไปเลยซังหนี่นอนอยู่บนเตียงไม่กระดุกกระดิกกระทั่งเสียงฝีเท้าเขาค่อย ๆ ไกลออกไป เธอถึงยื่นมืออกมาปิดดวงตาของตัวเองเอาไว้ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ฟู่เซียวหานก็กลับมาอีกครั้ง“กินข้าวเถอะ” เขาเอ่ยขึ้นทีแรกซังหนี่ไม่คิดจะสนใจเขาแต่เธอไม่ได้กินอะไรมาเกือบหนึ่งวันเต็มแล้ว ตอนนี้ตรงหน้าเริ่มมีอาการเบลอ ๆ และเริ่มรู้สึกปวดท้องนิดหน่อยแล้วท้ายที่สุด เธอก็ยอมสัญชาตญาณของร่างกายตัวเองฟู่เซียวหานให้คนไปซื้อของมาไม่น้อยอาหารรสชาติจืด ๆ เหมือนอย่างเคย ไม่ต่างจากที่พวกเขากินที่เถาหรานจวีก่อนหน้านี้ทว่าสิ่งที่ทำให้ฝีเท้าของซังหนี่ชะงักไป คือเค้กที่วางอยู่ข้าง ๆ นั่นช็อกโกแลตสีดำ เชอร์รีสดสีแดงก่ำมือของซังหน
หลังจากนั้นหลายวัน ฟู่เซียวหานก็ไม่ได้ติดต่อเธออีกเลย แต่ซังหนี่กลับได้รับเค้กที่ถูกส่งมาจากร้านขนมต่างๆ ทุกวันและไม่ใช่แค่ชิ้นเดียวในตอนแรกซังหนี่อยากที่จะปฏิเสธ แต่อีกฝ่ายไม่ให้โอกาสนั้นกับเธอเลย พร้อมกับบอกตรงๆ ว่าหน้าที่ของพวกเขาคือนำเค้กมาส่งให้เธอ ส่วนจะจัดการกับเค้กยังไงนั้นก็แล้วแต่เธอซังหนี่ไม่มีทางเลือก สุดท้ายจึงทำได้เพียงรับเค้กไว้หลังจากกินเค้กติดต่อกับมาหลายวัน ในที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะโทรศัพท์หาฟู่เซียวหาน“คุณไม่ต้องให้คนส่งของให้ฉันแล้วนะ”“ทำไม คุณชอบไม่ใช่เหรอ”ฟู่เซียวหานดูเหมือนจะอารมณ์ดี เวลาที่พูดน้ำเสียงแฝงด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างเห็นได้ชัดซังหนี่รู้สึกว่าเขาจงใจเธอชอบกินไม่ใช่เหรอดังนั้นเขาเลยส่งมาให้เธอทุกวัน ให้เธอกินจนอ้วกไปเลย ซังหนี่ไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วกดวางสายเขาไปดื้อๆฟู่เซียวหานเดิมทียังอยากที่จะพูดอะไร แต่เขาต้องอึ้งไปชั่วขณะเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ถูกวางสายโดยไม่คาดคิดจนกระทั่งเขาเอาโทรศัพท์มาเช็กเพื่อความแน่ใจว่าเธอวางสายไปแล้วจริงๆฟู่เซียวหานอดขำไม่ได้ครั้งนี้ถูกโกรธแต่เขากลับหัวเราะเขารู้สึกว่านิสัยของซังหนี่แย่ลงมา
สุดท้ายซังหนี่จึงสุ่มเลือกร้านหม้อไฟหม้อไฟน้ำมันสีแดงรสชาติเผ็ดร้อน เห็นได้ชัดว่าไม่เข้ากับชุดสูทของฟู่เซียวหานเลยสักนิดแต่ซังหนี่ไม่ได้สนใจอะไรมากพูดตามตรง เธอไม่รู้เลยว่าฟู่เซียวหานเขาต้องการทำอะไรกันแน่เห็นเธอเป็นเพียงเครื่องมืองั้นเหรอแต่สิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้มันดูไม่ค่อยเหมือนเลยต้องรู้ว่าถึงพวกเขาจะยังเป็นสามีภรรยากัน แต่น้อยมากที่พวกเขาจะทานข้าวนอกบ้านตามลำพังเขาจะมอบเครื่องประดับให้เธอ แต่เขาจะไม่ให้คนมาส่งเค้กอะไรแบบนี้ให้เธอแต่การกระทำของฟู่เซียวหานตอนนี้ ทำให้ซังหนี่รู้สึกเหมือนว่าเขากำลัง...เอาใจตัวเองแน่นอนว่าความคิดนั้นผุดขึ้นมาได้ชั่วครู่ก็ถูกซังหนี่ตัดออกไป“คุณชอบกินแบบนี้เหรอ”ฟู่เซียวหานกลับดูเหมือนไม่รู้สึกอึดอัดอะไร หลังจากมาถึงที่นั่งแล้ว เขาก็นั่งลงตรงข้ามซังหนี่พร้อมกับเอ่ยถาม“อืม” ซังหนี่ตอบกลับ “ฉันเติบโตอยู่ที่เมืองC เลยชอบกินเผ็ดมาก”แต่หลังจากกลับมาอยู่บ้านตระกูลซัง พวกเขากลับไม่ยอมให้เธอกินของพวกนั้นอีกเลยในสายตาของพวกเขา ดูเหมือนรสชาติอาหารจะแบ่งออกเป็นหลายระดับ และการกินรสเผ็ดที่ทำให้ริมฝีปากบวมแดง น้ำมูกน้ำตาไหล และรสชาติติดอยู่
แต่ดูเหมือนว่าเธอจะอารมณ์ดีมาก เมื่อฟู่เซียวหานเข้าไปยังได้ยินเสียงเธอพูดอะไรบ้างอย่างกับคนที่อยู่ข้างๆ ด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างพอใจ“คุณชายกลับมาแล้ว”ผู้ดูแลบ้านเห็นเขาก่อน แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มฟู่เซียวหานหันไปพยักหน้าให้เขา แล้วค่อยหันมาไปมองที่คุณนายใหญ่จากนั้นคุณนายใหญ่ก็กวักมือเรียกเขาด้วยท่าทีตื่นเต้น “รีบมาดูเร็วเข้า”“ดูอะไร”เดิมทีที่มุมปากของฟู่เซียวหานยังคงมีรอยยิ้มแต่เมื่อเขาเห็นเนื้อหาบนแท็บเล็ต รอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็หายไปทันที“หลานดูนี่สิว่าเป็นยังไงบ้าง ลูกสาวของตระกูล ครั้งที่แล้วที่...”“คุณย่าดูอะไรพวกนี้ทำไม”ฟู่เซียวหานลุกขึ้นและดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้“หลานพูดว่าทำอะไรงั้นเหรอ ก็กำลังหาหลานสะใภ้ให้ตัวเองยังไงล่ะ หลานดูสิว่าที่ย่าพูดเมื่อครู่...”“ตอนนี้ผมยังไม่อยากคิดเรื่องพวกนี้” ฟู่เซียวหานพูดตัดบทของเธอ“ย่าไม่ได้ให้หลานแต่งงานตอนนี้ แค่ให้หลานลองดูไว้ก่อนก็เท่านั้น ถ้ามีคนที่เหมาะสมก็ลองคบกันไปก่อน แล้วค่อยหมั้นกัน”“ครั้งนี้ต้องรอบคอบหน่อยค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เดี๋ยวจะเหมือนกับผู้หญิงอย่างซังหนี่อีก ช่างเป็นเ
สองวันต่อมา เป็นวันเกิดของฟู่เซียวหานเดิมทีเขาไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับเรื่องวันเกิดเลย แต่ปีนี้เมื่อคนในครอบครัวบอกว่าจะจัดงานให้เขา เขากลับไม่ปฏิเสธ แน่นอนว่าซังหนี่ไม่สามารถมาปรากฏตัวในงานเลี้ยงได้อยู่แล้ว เวลาพลบค่ำฟู่เซียวหานจึงเพียงส่งข้อความให้เธอ และบอกให้เธอไปรอเขาอยู่ที่บ้านพักป๋อซีหยวนงานเลี้ยงผ่านไปด้วยดี คนมีชื่อเสียงในแวดวงต่างมาร่วมงานกันเกือบทั้งมาแม้ว่างานเลี้ยงครั้งนี้จะเป็นงานไพรเวท แต่ก็มีเหล่าบรรดาดาราเข้ามาร่วมงานตอนนี้ข่าวเรื่องการหย่าร้างของฟู่เซียวหานแพร่กระจายออกไป นั่นทำให้คนที่อยากจะเข้าหาเขายิ่งมากขึ้น พร้อมกับจุดประสงค์ที่ชัดเจนเสื้อตัวเดียวของฟู่เซียวหานถูกคนทำน้ำหกใส่ถึงสามครั้งในคืนเดียวจนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่มีคนเดินเข้ามาชน ฟู่เซียวหานไม่ได้เตรียมที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยซ้ำ เพียงแค่ผลักมือคนที่กำลังจะสัมผัสร่างกายของเขาออก“ประธานฟู่ให้ฉันช่วยคุณเช็ดนะคะ”หญิงสาวสวมใส่ชุดเดรสเกาะอก จ้องมองไปที่เขาด้วยแววตาหว่านเสน่ห์แต่ฟู่เซียวหานกลับไม่แตะต้องเธอเลยจากนั้นพูดด้วยท่าทีนิ่งเฉยว่าไม่ต้อง แล้วหันไปที่ผู้ช่วยของตัวเองสวีเหยียนรีบเดิ
ฟู่เซียวหานถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่แววตาที่มองซังหนี่กลับไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆมีเพียงแค่...ความเย็นชาเท่านั้นมันเป็นสายตาของนักล่าที่จ้องมองเหยื่อ และยิ่งไปกว่านั้น มันคือสายตาของผู้ที่อยู่เหนือกว่ามองคนเบื้องล่างด้วยความเหยียดหยามร่างกายของซังหนี่สั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว!เขาแสร้งทำต่อหน้าเธอมานานเกินไปแล้วจนถึงตอนนี้ ซังหนี่เพิ่งนึกขึ้นได้——เขาไม่ใช่สุนัขที่เชื่อง แต่เป็นหมาป่าที่กระหายเลือดและเนื้อ!แต่ซังหนี่ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว “ฟู่เซียวหาน คุณเป็นถึงผู้จัดการใหญ่ของจื้อเหอ แต่กลับใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ ไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะหรือไง!?”“ไม่เป็นไร ยังไงตอนนี้ก็ไม่มีใครคานอำนาจผมได้แล้ว” ฟู่เซียวหานพูดช้า ๆ “อีกอย่าง โครงการรู่โจวใหญ่ขนาดนี้ จะให้คุณรับผิดชอบมันไม่ปลอดภัย ผมมีเหตุผลมากพอที่จะทำให้พวกเขาเชื่อ”ซังหนี่ไม่พูดอะไร แต่มือที่วางอยู่บนเข่ากลับค่อย ๆ กำแน่นขึ้น“แล้วไงต่อล่ะ?”ในที่สุด เธอก็เปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง ถามว่า “คุณคิดว่าคำสั่งนี้จะหยุดฉันไม่ให้แต่งงานกับจี้อวี้หยวนได้เหรอ?”“ฉันบอกไว้เลยว่า ไม่มีทาง ตอนนี้ฉันยิ่งต้องแต่งงา
ซังหนี่มองดูท่าทางสงบนิ่งของเขาแล้วกลับหัวเราะออกมา “ที่แท้เป็นแบบนี้เอง นี่เป็นแผนที่คุณกับฟู่เซียวหานร่วมมือกันเหรอ?”“ไม่ใช่แน่นอน”ซังหลินขมวดคิ้วก่อนจะพูดต่อ “ซังหนี่ เธอทำงานที่บริษัทมานานพอสมควรแล้ว คงรู้ดีว่าผลประโยชน์ของบริษัทต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัว เข้าใจไหม?”ซังหนี่ไม่พูดอะไร แต่เธอกลับกัดฟันแน่นขึ้นจากนั้น ซังหลินก็เรียกอีกคนเข้ามาทันทีคนนั้น...ซังหนี่เองก็ไม่ได้รู้สึกแปลกหน้า——เกาต๋า อดีตผู้จัดการทั่วไปของบริษัทลูกเมืองอิ๋นเกาต๋ามีเครือข่ายอยู่ที่เมืองอิ๋นเป็นหลัก ดังนั้นตอนที่เขาถูกย้ายกลับสำนักงานใหญ่ ก็นับว่าเป็นการถูกลดบทบาทไปโดยปริยายแต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เขาหมดอิทธิพลในบริษัท ยังคงก้าวหน้าและเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดีโครงการครั้งนี้ ทางจื้อเหอก็ระบุให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงซังหนี่รู้ดีว่า ฟู่เซียวหานทำแบบนี้ก็แค่ต้องการยั่วโมโหเธอ“ประธานเสี่ยวซัง ไม่เจอกันนานเลยนะ”เกาต๋ายิ้มบาง ๆ แล้วเดินตรงไปหาซังหนี่ ก่อนจะยื่นมือออกมาแต่ซังหนี่กลับเมินเฉยไม่สนใจเธอเพียงแค่เหลือบมองเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป“ถ้าสองวันนี้เธอไม่ยุ่งก็เข้
บางทีอาจจะเพราะท่าทีของซังหนี่ที่ดูสับสนมากเกินไป จี้อวี้หยวนจึงอดไม่ได้ที่จะมองด้วยรอยยิ้มจากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงพร้อมจุมพิตเธอเบา ๆ ที่ริมฝีปากสัมผัสนั้นราวกับแมลงปอต้องน้ำ เพียงพริบตาเดียวก็จากไปแล้วก็ยื่นมือมาลูบศีรษะเธออีกครั้ง “เอาล่ะ เข้าไปเถอะครับ”ซังหนี่ยังคงสับสนอยู่บ้างเล็กน้อยแต่เธอก็ยังคงไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่มองเขาก่อนจะหันหลังลงจากรถไปซังหลินกำลังรอเธออยู่ในห้องทำงานหลังจากที่ซังหนี่เข้ามา สิ่งแรกที่เขาถามแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับโครงการรู่โจว“ฉันยังไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่ เพราะอย่างไรเสียฉันก็แค่ได้รับการแจ้งเตือนจากอีกฝ่ายมาฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่ประธานซังไม่ต้องกังวลไปนะคะ ฉันจะตรวจสอบให้ชัดเจนและให้คำตอบที่น่าพอใจกับคุณแน่นอนค่ะ”คำตอบซังหนี่เป็นทางการเป็นอย่างมากซังหลินจ้องมองเธออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยว่า “เธอไม่ได้ติดต่อกับคนของจื้อเหอกรุ๊ปเลยหรือ?”“ยังไม่ได้ติดต่อเป็นการชั่วคราวค่ะ แต่ฉันจะ…”“นี่เป็นอีเมลที่ฉันเพิ่งได้รับมา เธอมาดูสิ”ซังหลินกลับเอ่ยขัดจังหวะการพูดของเธอโดยตรง พร้อมโยนเอกสารในมือของเขาไปยังซังหนี่ซังหนี
เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรอยู่บนนั้น แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าบริเวณนั้นคันยุบยิบเล็กน้อยราวกับโดนขนของลูกแมวซุกไซร้คลอเคลีย และยังเหมือนกับตอนที่เขาสัมผัสเส้นผมของซังหนี่และในขณะที่ฟู่เซียวหานกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง “ขอโทษที่ปล่อยให้ประธานฟู่รอนานนะครับ”เมื่อได้ยินเสียงนั้น ฟู่เซียวหานก็เงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มบางเบา “ไม่เจอกันนานนะครับประธานเกา”……เรื่องที่โครงการรู่โจวโดนระงับการดำเนินการ ซังหนี่นับว่าเป็นคนที่ได้รับการแจ้งเป็นคนสุดท้ายในเวลานั้นเธอและจี้อวี้หยวนกำลังคุยกับคุณเยว่ เมื่อได้ยินเสียงจากคนที่อยู่ปลายสายเธอยังรู้สึกไม่ทันตั้งตัว “อะไรนะคะ?”“เป็นทางฝั่งจื้อเหอกรุ๊ปที่ระงับการดำเนินการครับ โดยบอกว่ามีปัญหาบางอย่างภายในทีมงานก่อสร้าง และพวกเขาจำเป็นต้องตรวจสอบให้ละเอียดก่อน”“ปัญหาอะไร?”“ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ทางจื้อเหอกรุ๊ปบอกเรามาเพียงเท่านี้”“ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาในทีมก่อสร้าง แต่ขั้นตอนอื่น ๆ ก็ยังสามารถดำเนินการไปก่อนได้ หรือถ้ายังไม่สามารถทำได้ ตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของโครงการ เราสามารถเปลี่ยนทีมวิ
เมื่อฟู่เซียวหานยังเป็นเด็ก ครั้งหนึ่งเขาเคยเจอแมวจรจัดในโรงเรียนของพวกเขาลูกแมวตัวนั้นอาจเพิ่งคลอดได้ไม่นานแต่ไม่มีแม่แมวอยู่เคียงข้าง มีเพียงมันตัวเดียวที่นอนอยู่บนพื้นหญ้าและส่งเสียงร้องอย่างอ่อนแรงฟู่เซียวหานเพียงเหลือบตามองมันแต่เขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจที่เปี่ยมล้น ดังนั้นหลังจากเหลือบมองครั้งหนึ่งเขาก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วแต่เขาไม่คาดคิดว่าลูกแมวตัวนั้นจะเดินตามหลังเขามาฝีเท้าของเขาไม่ได้นับว่าก้าวเดินช้า ทั้งที่ลูกแมวตัวนั้นยังไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคงแต่ยังคงยืนหยัดเดินตามเขามาทีละก้าวและในขณะที่ฟู่เซียวหานกำลังจะเดินไปถึงหน้าประตูโรงเรียน ในที่สุดเขาก็หยุดฝีเท้าลงจากนั้นก็หมุนตัวเดินไปที่ร้านของชำด้านข้าง พร้อมซื้อไส้กรอกมาหนึ่งชิ้นลูกแมวตัวน้อยกินอย่างมีความสุขดังนั้นนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฟู่เซียวหานจะเจอมันทุกครั้งหลังเลิกเรียนมันเป็นฝ่ายริเริ่มเข้ามาหาเขาก่อน หลังจากซุกไซร้เข้ากับฝ่ามือของเขาแล้วจึงรอให้เขาป้อนอาหารด้วยความเชื่อฟังและนับตั้งแต่นั้น ฟู่เซียวหานก็มักจะเตรียมขนมไว้ในกระเป๋านักเรียนของเขาเสมอในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาแม้กระทั่งตั้
ฟู่เซียวหานราวกับสงบสติลงแล้ว ในเวลานี้สองมือของเขายันเข้ากับพื้นโต๊ะ แผ่นหลังที่เหยียดตรงอยู่เสมอโค้งงอ เขาก้มศีรษะลง ดูจิตใจเหงาหงอยเศร้าซึมลงอย่างบอกไม่ถูกสวีเหยียนคิดอยากจะปลอบโยนเขา แต่ว่าสวีเหยียนไม่รู้เลยว่าตนควรจะพูดสิ่งใดและในขณะที่เขาลังเลนั้นเอง จู่ ๆ ฟู่เซียวหานก็เงยหน้าขึ้นพร้อมถามเขาว่า “มีบุหรี่ไหม?”สวีเหยียนชะงักไปกับคำถามที่เข้ามาอย่างกะทันหันนี้ หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็รู้สึกตัวและนึกขึ้นได้ว่าฟู่เซียวหานเลิกบุหรี่ไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้เขารีบส่งซองบุหรี่ที่พกติดตัวไปอย่างไม่ลังเล พร้อมกล่าวว่า “บุหรี่ยี่ห้อนี้แตกต่างกับที่คุณคุ้นเคย ให้ผมสั่งคนไปซื้อมาให้ไหมครับ?”“ไม่ต้อง”ฟู่เซียวหานพูดพลางหยิบบุหรี่ออกจากซองสวีเหยียนรีบส่งไฟแช็กที่จุดไฟแล้วไปให้อย่างรวดเร็วเพราะมือของเขายังคง…สั่นระริกอยู่ตลอดเวลาสวีเหยียนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทาเมื่อเห็นท่าทีของเขาเช่นนั้น โชคดีที่ครู่ต่อมาฟู่เซียวหานจุดบุหรี่ได้ในที่สุดสวีเหยียนถอนหายใจด้วยความโล่งอกฟู่เซียวหานสุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง หลังจากจ้องไปที่วงควันบนอากาศสักพัก เขาก็กล่าวว่า “เธอกำลังจะแต่งงานแล้ว”
ฟู่เซียวหานมองภาพนั้นอยู่นานจนกระทั่งสวีเหยียนและผู้จัดการฝ่ายดำเนินการเข้ามากล่าวรายงานกับเขาได้ครู่ใหญ่ และพบว่าเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดกลับมาเลย สวีเหยียนถึงจะตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ประธานฟู่ครับ?”เมื่อได้ยินเสียงนั้น ฟู่เซียวหานก็เงยหน้าขึ้นมองเขาดวงตาล้ำลึกคู่นั้นยังคงเปี่ยมด้วยความสงบอย่างเคยสวีเหยียนรู้สึกไปแม้กระทั่งว่าเมื่อกี้เป็นเขาที่คิดไปเอง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงยื่นเอกสารในมือให้เขา “นี่เป็นเอกสารที่ทางแผนกดำเนินการเพิ่งนำมาครับ ต้องใช้ลายเซ็นของคุณ”ฟู่เซียวหานเหมือนจะเอ่ยตอบรับในลำคอ และหยิบปากกาที่วางด้านข้างขึ้นมาสวีเหยียนและคนที่ยืนด้านข้างยืนรออยู่ฝั่งตรงข้ามหากยึดตามความเร็วในการตรวจสอบเอกสารของฟู่เซียวหานในอดีต เอกสารชุดนี้ก็จะใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบวินาทีเท่านั้น แต่ทั้งสองรอไปสักพักใหญ่ ก็พบว่าสายตาของฟู่เซียวหานยังคงหยุดอยู่ตรงหน้าแรกของเอกสาร“ประธานฟู่ครับ?”เขาทำได้เพียงเอ่ยถามอีกครั้ง ผู้จัดการฝ่ายดำเนินการกระทั่งเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ประธานฟู่ครับ เอกสาร…มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”ฟู่เซียวหานไม่กล่าวอะไรออกมา เพียงพลิกหน้
เขาคิดว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอก็จะยังคงอยู่เคียงข้างเขาเสมอ ราวกับสายน้ำแร่อันแสนอ่อนโยนที่คอยโอบอุ้มทุกสิ่งทุกอย่างของเขาเอาไว้เขาไม่เคยคิดว่าเธอจะจากไปและมากกว่านั้นคือเขาไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากที่เธอจากไป เขาจะรู้สึก…เจ็บได้ถึงขนาดนี้——ราวกับสูญเสียอากาศและแหล่งน้ำที่จำต้องพึ่งพาเพื่อความอยู่รอดดังนั้น เขาคิดผิดไปอย่างไรก็ตาม มันก็เหมือนกันกับในตอนแรกที่เขาไม่ยอมเปิดโอกาสให้เธอได้อธิบาย ตอนนี้ เธอเองก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาเหนี่ยวรั้งเอาไว้เช่นกันความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ได้ถูกเธอตัดสินโทษประหารชีวิตเอาไว้แล้ว……ไม่กี่วันหลังจากนั้น ซังหนี่ยังคงไปทำงานที่บริษัทตามปกติข่าวการแต่งงานกับจี้อวี้หยวนไม่ใช่เรื่องที่เธอกุขึ้นมา แต่เป็นสิ่งที่พวกเขาปรึกษากันอย่างดีและตัดสินใจลงมือทำเพราะเวลาของคุณตาของจี้อวี้หยวนใกล้จะหมดลงแล้วชายชราไม่นับว่าอายุมากนัก แต่ก่อนหน้านี้จู่ ๆ เขาก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ หรือรู้จักกันทั่วไปว่าเป็นโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุยิ่งไปกว่านั้น อาการของเขาทรุดตัวลงไปอย่างรวดเร็ว จี้อวี้หยวนเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของเขา ความปรารถนาของผ
ทันทีที่คำพูดนี้ของฟู่เซียวหานหลุดออกจากปาก ซังหนี่พลันตกตะลึงจากนั้นเธอก็หัวเราะออกมา “จริงหรือคะ? แล้วนับว่าคุณชนะหรือเปล่า?”ฟู่เซียวหานไม่ตอบคำถามของเธอ ราวกับรู้สึกว่าคำถามนี้ไม่มีความจำเป็นต้องตอบเขาจึงเดินถือสัมภาระออกไปทั้งอย่างนั้นเสียงปิดประตูไม่ดังไม่เบา ไม่เจือไปด้วยอารมณ์ใด ๆ ซังหนี่เองก็ไม่ได้เหลือบมองไปฝั่งนั้นเลยด้วยซ้ำกล่าวตามตรง เดิมทีเธอไม่คิดจะพูดถ้อยคำเมื่อกี้ไปสักนิดเพราะมัน…ไม่มีความหมายอะไรอย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็จบลงแล้ว การที่จะไปขุดคุ้ยอารมณ์จากเรื่องราวในอดีตขึ้นมาอีกครั้งช่างเป็นเรื่องที่ไม่มีความจำเป็นมันก็เหมือนกับผลไม้เน่าเสียที่แค่ต้องโยนทิ้งลงถังขยะไปก็เท่านั้น ทำไมต้องปอกเปลือกออกทีละชั้นเพื่อหาว่าตรงไหนกันที่เน่าเป็นจุดแรก?ท้ายที่สุดแล้ว บนมือก็หลงเหลือเพียงแกนกลางผลไม้ที่เน่าเปื่อยถึงจะยอมรับได้ในที่สุดว่า ——มันผิดมาตั้งแต่แรกแต่ซังหนี่เองที่อดใจไม่ไหวคำถามต่าง ๆ วนเวียนอยู่ในสมองของเธอ นับตั้งแต่เจิ้งชวนบอกกล่าวให้เธอฟังเกี่ยวกับเรื่องของจื้อเหอกรุ๊ป นับตั้งแต่เธอรู้เรื่องว่าคุณนายฟู่ได้ฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้วไม