เย้ยหยันเธอ...ที่พยายามจะจากไป ทว่าสุดท้ายก็ไม่พ้นต้องอยู่ในที่ที่ดูราวกับรูหนูพรรค์นี้ซังหนี่อยากจะพูดอะไรอีกทว่าฟู่เซียวหานไม่ให้โอกาสนี้กับเธอ หลังอืมออกมาเพียงเสียงหนึ่ง เขาก็หมุนตัวเดินออกไปเลยเมื่อเขาเดินไปถึงหน้าประตู จู่ ๆ ฝีเท้าก็ชะงักไปอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ให้ดีคุณเปลี่ยนตัวล็อกประตูหน่อยจะดีกว่านะ คนที่อยู่ที่นี่หลากหลาย นี่ก็เพราะคิดถึงความปลอดภัยของตัวคุณเอง” พูดจบเขาเองก็ไม่ได้รอให้ซังหนี่ตอบ ทว่าสนใจแต่จะเดินไปด้านหน้าเท่านั้นท่าทางสงบสุขุมเช่นอย่างเคยซังหนี่มองตัวล็อกนั่นก่อนทีหนึ่ง จากนั้นก็ปิดประตูเลยเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นมาฟู่เซียวหานที่กำลังลงไปด้านล่างอดไม่ได้ที่จะชะงักครู่หนึ่ง ทว่าเขาไม่ได้หันหลังกลับไป ได้แต่เดินลงไปด้านล่างต่อคนขับรถรอเขาอยู่ริมถนนรุ่นรถสุดหรูและเลขทะเบียนรถพลันดึงดูดให้คนเข้ามามุงดูไม่น้อย แต่ฟู่เซียวหานราวกับไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เพียงค้อมตัวขึ้นรถไปทั้งใบหน้าไร้อารมณ์คนขับรถช่วยปิดประตูรถให้เขา จากนั้นก็อ้อมไปยังที่นั่งคนขับด้านหน้าเขาเพิ่งสตาร์ตรถและขับไปได้เพียงระยะหนึ่ง จู่ ๆ ด้านหน้าก็มีจักรยานไฟฟ้าคันหนึ่งปรากฏ
“ใช่”ซังหนี่ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา“เพราะงั้นซังหนี่ เธอมีสิทธิ์อะไรมากล่าวโทษฉัน? เธอเองก็ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้คบกับฟู่เซียวหานเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”ทว่าคำพูดของเขาประโยคนี้กลับทำให้นัยน์ตาของซังหนี่เคร่งขรึมขึ้นเธออยากตอบอะไรบางอย่างกลับไป ทว่าฉินม่อเอ่ยต่อเสียก่อน “ถ้าไม่ใช่เพราะเธอยังไม่ถอดใจจากเขา แล้วทำไมดันเลือกขึ้นรถของเขาล่ะ? ทำไมไม่ไปโรงพยาบาล? หรือว่านี่คงไม่ใช่...แผนของเธอหรอกนะ?”“ซังหนี่ เรื่องเมื่อคืน...ฉันทำผิดไปแล้ว เธอบอกว่ารับความชอบแบบนี้ของฉันไม่ไหว แต่ในด้านธาตุแท้ ฉันกับเธอมีอะไรต่างกันบ้าง?”“เมื่อคืนที่เธอเลือกขึ้นรถของเขา เป็นเพราะมั่นใจว่าเขาจะไม่ทิ้งเธอและไม่มีทางไม่แยแสใช่ไหม?”ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงแสงแดดที่แรงจัดสาดลงบนตัวทั้งสองคน กระทั่งเริ่มแสบผิวขึ้นมาแล้วแต่ซังหนี่กลับรู้สึกว่าเนื้อตัวเย็นไปหมดกระทั่งมือที่เมื่อครู่กำจนแน่นก็คลายลงเล็กน้อยฉินม่อเห็นสีหน้าซีดเผือดของเธอ กลับรู้สึกว่าตนพูดแทงใจดำเธอเข้าให้แล้วรอยยิ้มมุมปากของเขาพลันลึกขึ้นเพียงแต่ในขณะที่มุมปากยกขึ้น นัยน์ตาของเขากลับยิ่งแผ่ความเย็นชาออกมา“ฟู่เซียวหานรู้หรือเปล่า
เธอเองก็คงไม่มีโอกาส...ได้อยู่กับคนที่ตนรักอีกแล้วเมื่อคืนซังหนี่ไม่ได้นอนดี ตอนนี้ร่างกายเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุดทว่าในตอนนี้เธอนอนอยู่บนเตียงกลับยังคงพลิกตัวไปมานอนไม่หลับดังเดิมท้ายที่สุด เธอจึงทำได้เพียงลุกขึ้นจากเตียง เหม่อลอยมองไปนอกหน้าต่างแน่นอนว่าสถานที่พรรค์นี้ นอกหน้าต่างย่อมไม่ได้มีวิวอะไรอยู่แล้ว มองออกไปปราดเดียว มีเพียงห้องหับที่แออัด และเสื้อผ้าสีสันต่าง ๆ นานา แขวนอยู่บนระเบียงข้าง ๆซันนี่พลิกตัว แล้วหลับตาลงไปอีกครั้งขณะที่เธอเริ่มจะง่วงบ้างนิดหน่อย จู่ ๆ โทรศัพท์ที่อยู่ข้าง ๆ ก็สั่นขึ้นมาสองทีซังหนี่ไม่ได้สนใจทว่าคนที่ส่งมาดันไม่ยอมละความพยายาม ส่งข้อความมาติดต่อกันหลายข้อความ เสียงสั่นดังขึ้นไม่หยุดซังหนี่เตรียมจะดู สายของซังฉิงก็โทรเข้ามาซังหนี่ตัดสายหนึ่งครั้งเธอก็โทรเข้ามาหนึ่งครั้งท้ายที่สุดซันหนี่จึงบล็อกเบอร์ของเธอไปเลยทว่าไม่นานซังฉิงก็เปลี่ยนไปใช้อีกเบอร์หนึ่งซังหนี่ไม่สามารถเล่นเกมนี้กับเธอต่อไปได้ จึงทำได้เพียงรับสาย “มีธุระอะไร?”“ซังหนี่ พี่มันคนชั้นต่ำ!”ซังฉิงที่อยู่ปลายสายกลับด่าออกมาเลย “เมื่อคืนพี่อยู่กับพี่เซียวหานใช่ไหม? ค
สำหรับซังหนี่แล้วนั้นสามพยางค์นี้ไม่ใช่คำธรรมดา ๆ...ตอนที่เธอยังอยู่ที่เถาหรานจวีก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่ฟู่เซียวหานมีความต้องการ ก็มักจะส่งสามพยางค์นี้มาหาเธอโดยตรงในตอนนี้เมื่อซังหนี่เห็นสามพยางค์นั่น จู่ ๆ ก็รู้สึกปวดเบ้าตาขึ้นมาเล็กน้อยขณะที่เธอเห็นสามพยางค์นั่น จู่ ๆ คนขับรถก็โทรเข้ามาหาเธอ“คุณนายครับ ผมอยู่ทางถนนหมินเหอ ขับเข้าซอยไปไม่ได้ รบกวนคุณเดินออกมาหน่อยนะครับ”ซังหนี่เม้มปากทว่าไม่พูดอะไรเหล่าอู๋ที่อยู่ปลายสายเรียกขึ้นอีกครั้ง “คุณนาย?”“ฉันรู้แล้ว”ท้ายที่สุดซังหนี่ก็ขานรับขึ้นมาเสียงหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าออกไป“คุณนายครับ!”เหล่าอู๋เปลี่ยนไปใช้รถอีกคัน พานาเมร่าสีบรอนซ์เงิน โดดเด่นเป็นพิเศษในย่านเมืองที่มืดและแออัดแห่งนี้เป็นอย่างมากขณะซังหนี่ขึ้นรถเธอเห็นเพื่อนบ้านคนนั้นของเธอหญิงสาวผมสีทองกำลังจ้องมองเธอพร้อมกัดไอศกรีมไปด้วย นัยน์ตาคลุมเครือไม่ชัดเจนซังหนี่ไม่ได้สนใจเธอหลังเหล่าอู๋ช่วยปิดประตูรถให้เธอ ก็อ้อมไปยังตำแหน่งที่นั่งคนขับด้านหน้า“ขอโทษนะครับคุณนาย ทำให้คุณต้องเหนื่อยแล้ว ผมได้ยินว่าข้างหน้าเหมือนจะมีถนนเส้นหนึ่งที่ขับเข้าไปได้
ทว่าตอนนี้ในใจเธอมีเพียงความเย็นยะเยียบเท่านั้น“ทำไมล่ะ?”เธอเอ่ยถามฟู่เซียวหานขึ้นมาอีกครั้งฟู่เซียวหานไม่ชอบถูกคนจี้ถามแบบนี้ ตอนนี้ในแววตามีความหงุดหงิดเพิ่มขึ้นมาสองสามส่วนซังหนี่เองก็ไม่ได้รอคำตอบของเขา ได้แต่เอ่ยต่อว่า “เป็นเพราะถึงยังไงเราก็เคยเป็นสามีภรรยากันมาสองปี คุณก็เลยรู้จักฉันดีและเชื่อใจฉัน หรือเป็นเพราะว่า...ที่จริงแล้วเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่ฝีมือของคุณ?”ขณะซังหนี่เอ่ยประโยคด้านหน้าฟู่เซียวหานไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรทว่าหลังจากได้ฟังเธอเอ่ยประโยคหลัง สีหน้าของเขากลับเคร่งขรึมลง “คุณกำลังพูดเรื่องอะไร?”“ไม่ใช่สิ คุณคงไม่ได้เข้าร่วมใช่ไหม” ทว่าซังหนี่ดันสนใจจะเอ่ยต่อเรื่องที่ตนสงสัย “ถึงยังไงประธานฟู่ก็เป็นคนที่อยู่เหนือคนอื่นแบบนี้ คงไม่ยอมใช้วิธีการพรรค์นั้น แต่คุณคงรู้รายละเอียดของสถานการณ์แล้วใช่ไหม?”“รวมถึงที่จวงโหย่วเหวยปรากฏตัวขึ้นที่ร้านอาหารครั้งก่อนนั่นด้วย ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม?”น้ำเสียงของซังหนี่เริ่มเย็นชาลงเรื่อย ๆก่อนหน้านี้เธอไม่เคยนึกถึงปัญหานี้มาก่อนเลยแต่สายโทรเข้าของซังฉิงในวันนี้เตือนเธอถึงยังไงที่ตั้งของร้านอาหารแห่งนั
ที่จริงซังหนี่ไม่อยากร้องไห้เลยตั้งแต่เด็กเธอก็รู้แล้วว่า น้ำตามีผลแค่กับคนที่รักเธอเท่านั้นเห็นได้ชัดว่าฟู่เซียวหานไม่ได้อยู่ในขอบข่ายนี้ฉะนั้นน้ำตาของเธอในตอนนี้ มีแต่จะกระตุ้นความรังเกียจของเขาเท่านั้นไม่นานซังหนี่ก็ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาฟู่เซียวหานยืนมองการกระทำของเธออยู่ตรงหน้าเธอ เขาค่อย ๆ ขมวดคิ้วเข้าหากันซังหนี่ไม่ได้สังเกตถึงสีหน้าของเขา ได้แต่ถามเขาต่อว่า “คืนที่ฉันเกิดเรื่อง คุณอยู่ที่ไหน?”“อะไร?”“ก็ไอ้คืนที่ฉันแท้ง คุณอยู่ที่ไหน?”ฟู่เซียวหานไม่ตอบน้ำเสียงของซังหนี่แผ่วเบาลงเรื่อย ๆ “ซังฉินบอกฉันว่า คืนนั้นคุณอยู่ที่งานประมูล กำลังซื้อของขวัญวันเกิดให้เธออยู่ใช่ไหม?”“ของขวัญชิ้นนั้นเธอเคยขอกับผมตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนที่คุณเกิดเรื่อง...เป็นแค่อุบัติเหตุ”ฟู่เซียวหานเอ่ยอธิบายหากเป็นแบบนี้ ก็นับว่าเป็นคำอธิบายซังหนี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเธอราวกับได้ยินเรื่องตลกสุด ๆ อย่างนั้น เธอหัวเราะจนสั่นไปทั้งเนื้อตัว ดวงตาแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าด้านในไม่มีน้ำตาเอ่อขึ้นมาสักหยด“ฟู่เซียวหาน นั่นไม่ใช่อุบัติเหตุ” เธอบอกฟู่เซียวหาน “ซิงฉิงเป็นคนผลักฉันตก
“ซังหนี่ คุณจำเอาไว้เลยนะ ความสัมพันธ์ระหว่างเราจะได้ไปต่อหรือเปล่า สิทธิ์ในการตัดสินใจอยู่ในมือผม รวมถึงตอนแรกด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะผมยินยอม คุณคิดว่าจะหย่าได้อย่างราบรื่นเหรอ?”มือข้างที่ตอนแรกคิดจะออกแรงของซังหนี่ก็ค่อย ๆ ปล่อยให้ห้อยลงไปทั้งอย่างนี้ดวงตาของฟู่เซียวหานยิ่งไม่มีกระทั่งความรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยในท้ายที่สุดหรือความเดือดดาลเลยสักนิดที่เขาพูด...มันก็ใช่จริง ๆเธอมีสิทธิ์มีเสียงอะไร?ในสายตาของเขา เธอก็เป็นแค่สิ่งของชิ้นหนึ่งเท่านั้นก่อนหน้านี้เป็นภรรยาของเขา ก็ต้องสืบสานสกุลต่อให้เขา มาตอนนี้...ก็เป็นแค่วัตถุระบายความใคร่เท่านั้นฟู่เซียวหานคุ้นเคยกับท่าทีเรียบเฉยของซังหนี่เป็นอย่างมากหว่างคิ้วของเขาอดไม่ได้ที่จะขมวดเข้าหากันอีกครั้ง หลังชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็บีบคางของซังหนี่เข้าไปจูบเลยขณะที่ริมฝีปากของทั้งสองคนประกบกัน จู่ ๆ น้ำตาของซังหนี่ก็ไหลลงมาอีกครั้งความรู้สึกจากการสัมผัสที่แสนเย็นเยียบนั้นทำเอาร่างของฟู่เซียวหานสั่นเทาไปหมดแต่ไม่นานเขาก็ทำเป็นว่าไม่ได้สัมผัสถึงอะไรทั้งสิ้น เพียงแงะเปิดร่องฟันของเธอออก สอดปลายลิ้นเข้าไป ฉกชิงคำใหญ่ ๆจุมพิตนี้ เม
ภายในห้องที่เงียบสงัดและโล่งกว้าง เสียงนี้ดังชัดไร้ที่เปรียบกระทั่งการกระทำของฟู่เซียวหานยังต้องหยุดอยู่กับที่ไปนี่เป็นครั้งแรกที่ซังหนี่เห็นอารมณ์ ‘ตกตะลึง’ เช่นนี้ออกมาจากแววตาของเขาเธอพลันขบกรามแน่น พร้อมหันหน้าไปไม่มองเขาอีกฟู่เซียวหานก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ ได้แต่ปล่อยมือเธอแล้วลุกขึ้น“อยากกินอะไร?” เขาเอ่ยถามซังหนี่ไม่ตอบหลังฟู่เซียวหานรออยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เดินออกไปเลยซังหนี่นอนอยู่บนเตียงไม่กระดุกกระดิกกระทั่งเสียงฝีเท้าเขาค่อย ๆ ไกลออกไป เธอถึงยื่นมืออกมาปิดดวงตาของตัวเองเอาไว้ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ฟู่เซียวหานก็กลับมาอีกครั้ง“กินข้าวเถอะ” เขาเอ่ยขึ้นทีแรกซังหนี่ไม่คิดจะสนใจเขาแต่เธอไม่ได้กินอะไรมาเกือบหนึ่งวันเต็มแล้ว ตอนนี้ตรงหน้าเริ่มมีอาการเบลอ ๆ และเริ่มรู้สึกปวดท้องนิดหน่อยแล้วท้ายที่สุด เธอก็ยอมสัญชาตญาณของร่างกายตัวเองฟู่เซียวหานให้คนไปซื้อของมาไม่น้อยอาหารรสชาติจืด ๆ เหมือนอย่างเคย ไม่ต่างจากที่พวกเขากินที่เถาหรานจวีก่อนหน้านี้ทว่าสิ่งที่ทำให้ฝีเท้าของซังหนี่ชะงักไป คือเค้กที่วางอยู่ข้าง ๆ นั่นช็อกโกแลตสีดำ เชอร์รีสดสีแดงก่ำมือของซังหน
ฟู่เซียวหานเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ของเธอแวบหนึ่งก่อนจะย้อนถามกลับว่า “คุณไปไหนมา?”ซังหนี่เม้มริมฝีปากแล้วตอบกลับว่า “ใครให้คุณเปลี่ยนกลอนประตูห้องของฉัน?”“ตอบ คำถาม ฉัน มา”สีหน้าของฟู่เซียวหานดูไม่ดีเอาเสียเลยเดิมทีซังหนี่ตั้งใจจะโต้เถียงกับเขาให้ถึงที่สุด แต่เมื่อสบตาเขาอยู่พักหนึ่ง เธอก็ยอมตอบในที่สุด “โรงพยาบาล”สีหน้าของฟู่เซียวหานเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองเธออีกครั้งตั้งแต่หัวจรดเท้า ซังหนี่ไม่ได้สังเกตสายตาของเขา เพียงพูดต่อว่า “ตอนบ่ายพวกเขาบอกฉันว่าแม่ฉันฟื้นแล้ว แต่พอฉันไปถึงเธอก็หลับไปอีก ฉันเลยรออยู่ที่นั่นตลอด เพื่อดูว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งได้หรือเปล่า”เสียงของซังหนี่แผ่วเบา และแฝงไปด้วยความเศร้าอย่างชัดเจนสีหน้าที่เย็นชาของฟู่เซียวหานผ่อนคลายลงเล็กน้อย แล้วเขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะถามว่า “แล้วทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์?”“ฉันตั้งโหมดเงียบไว้ เลยไม่เห็น”ซังหนี่พูดพร้อมกับถามต่อ “ตอนนี้ฉันเข้าบ้านได้หรือยัง?”ฟู่เซียวหานจึงขยับตัวหลีกทางให้เธอเข้าไปซังหนี่โน้มตัวถอดรองเท้า แล้ววางกระเป๋าผ้าของเธอลงจากนั้น เธอหันกลับมามองเขา “แล้วคุณมาที่นี่ทำไม?”ฟ
ในฐานะผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่ง ฟู่เซียวหานเคยพบเจอสิ่งล่อลวงมากมายนับไม่ถ้วนและชัดเจนว่าผู้หญิงตรงหน้านี้คือหนึ่งในประเภทผู้หญิงที่ร้ายกาจที่สุดดังนั้น เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองเธอ เพียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาซังหนี่โดยตรงโทรติด แต่กลับไม่มีคนรับสายสีหน้าของฟู่เซียวหานยิ่งขุ่นหมองและดูไม่ดีมากขึ้นหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา รู้สึกอับอายไม่น้อย กับการที่ถูกเมินเฉยแต่เมื่อนึกถึงรถยนต์สุดหรูของฟู่เซียวหาน รวมถึงเสื้อผ้าบนตัวเขาที่ดูแล้วรู้ทันทีว่าราคาไม่ธรรมดา เธอก็รวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหา “คุณกับซังหนี่เป็นอะไรกันเหรอ? เพื่อนกันใช่มั้ย?”“แต่ว่าตอนนี้เธอคงไม่มีเวลามารับโทรศัพท์ของคุณหรอกนะ ดึกขนาดนี้ยังไม่กลับบ้าน แสดงว่าต้องไปนัดเจอผู้ชายอยู่แน่ ๆ ”“ฉันบอกคุณเลยนะ เธอไม่ได้เรียบร้อยเหมือนที่คุณเห็นหรอก เบื้องหลังน่ะเธอออกจะสุดเหวี่ยงใช่เล่น เมื่อเช้าฉันยังเห็นเธอ...”ยังไม่ทันที่คำพูดของหญิงสาวจะจบ สายตาของฟู่เซียวหานหันมาจ้องเธอทันทีสายตาเย็นเยียบคมกริบดั่งมือที่มองไม่เห็น บีบเข้าที่ลำคอของเธอ ทำให้คำพูดที่ยังไม่ทันหลุดออกมาถูกกลืนกลับลงไปในทันทีหญิงสาวก็มั่นใจว่า
ฟ้ามืดลงแล้วแสงไฟจากด้านนอกเริ่มส่องสว่าง หลอดไฟนีออนหลากสีผสานเข้ากับแสงสีแดงจากการจราจรยามค่ำคืน ทำให้เกิดภาพด้านหนึ่งที่สะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองและความเย็นชาของเมืองแห่งนี้อย่างเด่นชัดตึกจื้อเหอตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง หน้าต่างบานใหญ่สูงจรดพื้นดูราวกับกรอบรูปขนาดยักษ์บานหนึ่ง กักเก็บภาพทั้งหมดนี้ไว้ ให้คนได้ชื่นชมฟู่เซียวหานยืนอยู่ตรงนั้น มองดูทุกอย่างด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเขาถือไฟแช็กไว้ในมือ กดสวิตช์เปิดปิดซ้ำไปซ้ำมา เปลวไฟสีน้ำเงินพุ่งขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะดับวูบไปในพริบตาครั้งแล้วครั้งเล่าเกี่ยวกับความทรงจำของพ่อ ฟู่เซียวหานแทบจะจำอะไรไม่ได้แล้วสิ่งเดียวที่นึกออก คงเป็นใบหน้าที่เคร่งขรึมและไม่เคยยิ้มง่าย ๆ มีมาตรฐานที่เข้มงวดสำหรับเขา และท้ายที่สุดคือภาพพ่อที่นอนป่วยอยู่บนเตียงคนป่วยจนไม่สามารถดูแลตัวเองได้พ่อจากไปตอนที่ฟู่เซียวหานอายุเพียง 12 ปีแม้ความสัมพันธ์พ่อลูกจะไม่ได้แน่นแฟ้นมากนัก แต่ในความทรงจำของเขา พ่อก็ยังเป็น "พ่อ" ที่ธรรมดาคนหนึ่งระหว่างเขากับแม่ บางทีก็ดูเหมือนว่าเคยรักกันไม่อย่างนั้น เธอจะเฝ้ารอเขามาตลอดหลายปีเพื่ออะไร?ตอนแรกที่บังคับใ
น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่“ไอ้สารเลว” เธอกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอนชายที่เดิมทีกำลังจะก้มกัดที่ต้นคอของเธอ เมื่อได้ยินคำพูดนั้นกลับชะงักไปพักหนึ่งจากนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองตาเธอลิปสติกของซังหนี่เลอะเทอะไปหมด อายไลเนอร์ก็เลือนรางเพราะน้ำตาที่ไหลออกมา เส้นผมยุ่งเหยิง ทั้งตัวของเธอดูทุลักทุเลอย่างเห็นได้ชัดแต่เมื่อฟู่เซียวหานเห็นหยดน้ำตาที่เกาะอยู่บนขนตาของเธอ หัวใจของเขากลับเต้นแรงไปชั่วขณะจากนั้น เขาค่อย ๆ ชะลอการกระทำลง ก่อนจะโอบท้ายทอยของเธออีกครั้งและจูบลงไปทันทีจูบนี้อ่อนโยนและละมุนยิ่งกว่าเดิม ซังหนี่เองก็ดูเหมือนจะไม่ขัดขืนเหมือนในตอนนั้นที่จริงแล้วการที่เธอรู้สึกเจ็บปวด ฟู่เซียวหานเองก็ไม่ได้รู้สึกดีเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มผ่อนคลายลง ฟู่เซียวหานก็สงบสติอารมณ์ลงเช่นกันแต่ในจังหวะที่ฟู่เซียวหานกำลังจะพูดกับเธอดี ๆ ซังหนี่กลับอ้าปาก กัดไปที่ริมฝีปากของเขาอย่างแรง! ……“ประธานฟู่”ผ่านไปแล้วหนึ่งวัน ตอนที่สวีเหยียนกำลังพูดกับเขาอยู่ สายตากลับอดไม่ได้ที่มองริมฝีปากของฟู่เซียวหานแน่นอนว่า รอยฝ่ามือบนแก้มของฟู่เซียวหานนั้นโดดเด่นสะดุดตาไม่น้อย แต่เ
“นี่คุณจะทำอะไร?”ซังหนี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มขัดขืน “ปล่อยฉันนะ! ฟู่เซียวหาน คุณปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”เท้าของเธอพยายามถีบตัวออกมา จนรองเท้าส้นสูงกระเด็นหลุดไปข้างหนึ่งทางเดินยาวของโรงแรมปูด้วยพรมหนานุ่ม เมื่อรองเท้ากระเด็นหล่นลงไป กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลยเมื่อเข้ามาในลิฟต์ เขาถึงได้ยอมปล่อยเธอลงแต่ซังหนี่กลับถูกเขาดันไปติดมุมลิฟต์ พอเธอกำลังจะก้าวหนี เขาก็จับคางเธอไว้แล้วจูบลงมาทันทีเขาไม่เปิดโอกาสให้เธอลังเลหรือขัดขืนเลย เพียงแค่จูบลงไปลิ้นของเขาก็เข้าผ่านริมฝีปากของเธอโดยตรงการรุกล้ำที่เต็มไปด้วยความกระหายทำให้ซังหนี่เหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจในทันทีแต่สองมือของเธอถูกเขากดไว้แน่น เวลานี้แม้แต่จะผลักเขาออกไปยังทำไม่ได้เข่าของฟู่เซียวหานยกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สอดเข้าไปในใต้กระโปรงของเธอเขารู้จักร่างกายของเธอเป็นอย่างดี การกระทำที่ดุดันและรุนแรงในตอนนี้ ทำให้ซังหนี่รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นปลาตัวที่ถูกตรึงไว้บนเขียงตัวหนึ่งเธอทำได้เพียงเฝ้ามองใบมีดที่กำลังจะตกลงมากรีดผิวและกระดูกตัวเองสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกอับอายยิ่งกว่าคือ ร่างกายของเธอกลับตอบสนองต่อสิ่งที
ซังหนี่พึ่งจะรู้สึกตัว จึงค่อย ๆ ลดเท้าที่ตั้งใจจะเตะอีกลงอย่างช้า ๆหน้ากากของเขายังคงสวมไว้อย่างเรียบร้อย แต่ดวงตาคู่นั้นเย็นชาอย่างที่สุด ราวกับต้องการฉีกซังหนี่ทั้งตัวออกเป็นชิ้น ๆ“คุณ...คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม?”ซังหนี่สบตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามในที่สุด“ทำไม? หรือว่าไม่พอใจที่ผมขัดขวางเรื่องดี ๆ ของคุณ?”สีหน้าของฟู่เซียวหานยิ่งตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ มือของเขาบีบปลายคางของซังหนี่แน่นขึ้นกว่าเดิมความโกรธจากการถูกปฏิเสธคำชวนเต้นและการเตะเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนจะถูกเขาจดจำไว้ทั้งหมด แรงบีบในตอนนี้ราวกับจะบดขยี้กระดูกของซังหนี่ให้แหลกละเอียดซังหนี่ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว กำลังจะปัดมือของเขาออก แต่ฟู่เซียวหานกลับคว้าข้อมือทั้งสองข้างของเธอไว้แน่น จากนั้นยกเข่าขึ้นมาแทรกระหว่างขาของเธอทันที“คุณหนูซังนี่ได้รับความนิยมไม่น้อยเลยนะ”เขามองเธอพร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมผมถึงไม่รู้มาก่อนว่าคุณมีแววจะเป็นดาวเด่นในวงสังคมได้?”——เธอในเมื่อก่อนมักจะเงียบขรึมและเรียบง่ายจนน่าเบื่อ มีเพียงบางช่วงเวลาเท่านั้นที่เธอจะเผยเสน่ห์เย้ายวนออกมาฟู่เซียวหานเคยคิดว่า ด้านนี้ของเธอมีเพียงเขาเท่
การพูดคุยระหว่างซังหนี่และคุณชายเย่ดำเนินไปอย่างราบรื่นหลังจากเพลงแรกจบลง พวกเขาก็ยังไม่ได้ลงจากฟลอร์ แต่กลับเริ่มเต้นรำเพลงที่สองต่อทันที“ยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร?”คุณชายเย่อดไม่ได้ที่จะถามเธอซังหนี่ยักคิ้วเล็กน้อย “นี่มันงานเต้นรำหน้ากากนะคะ การบอกชื่อกันไม่จำเป็นหรอก”“แต่คุณก็รู้จักตัวผมนี่ ดูเหมือนไม่ยุติธรรมสำหรับผมเลยนะ? ““คนที่นี่ก็รู้จักคุณเยอะมาก คุณดังขนาดนี้ ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ”น้ำเสียงของซังหนี่แฝงด้วยความจนใจคุณชายเย่กลับไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย เพียงพูดขึ้นว่า “งั้นแปลว่าหลังคืนนี้ ผมคงไม่มีโอกาสชวนคุณออกไปกินข้าวแล้วสินะ?”“อืม มีโอกาสค่ะ” ซังหนี่พยักหน้าอย่างจริงจัง “ถึงตอนนั้น คุณพาคุณพ่อมาด้วย ส่วนฉันก็มากับประธานฉิน ทานข้าวด้วยกันแบบนี้ไม่ดีหรือคะ?”สรุปแล้ว คุณเป็นลูกน้องของฉินเหยา? เลขา? ผู้ช่วย? หรือว่าเป็นนักแสดงในสังกัดบริษัทของเขากันล่ะ?”คุณชายเย่เดาไปทีละอย่าง แต่ซังหนี่กลับไม่ตอบอะไร แค่ย้อนถามว่า “เรื่องทานข้าว คุณตกลงหรือเปล่า?”“ถ้าคุณไป ผมก็ต้องตกลงอยู่แล้วล่ะ”“ตกลงค่ะ”ซังหนี่ตอบรับอย่างไม่ลังเลคุณชายเย่จ้องมองเธอสักพักก่อนพูดว่า
“นี่คุณ ไม่ทราบหรือว่าอะไรคือการมาก่อนมาหลัง?”คุณชายเย่หันกลับมา ยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ยถามเขาฟู่เซียวหานตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ทราบดี แต่ผมคิดว่าสิทธิ์ในการเลือกควรเป็นของสุภาพสตรีท่านนี้มากกว่า”คำพูดของเขาทำเอาคนฟังไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีฟู่เซียวหานไม่ได้มองคุณชายเย่อีก แต่สายตาจับจ้องไปที่ซังหนี่เพียงคนเดียวเท่านั้นดวงตาที่มักจะสงบนิ่งดั่งผืนน้ำ ในตอนนี้เหมือนกำลังพยายามอดกลั้นบางสิ่งไว้ คล้ายกับกระแสใต้ผิวน้ำที่กำลังจะไหลเชี่ยวมือของซังหนี่ที่อยู่ข้างตัวกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัวผ่านไปครู่หนึ่ง เธอยิ้มบาง ๆ ก่อนจะวางมือบนฝ่ามือของคุณชายเย่——เป็นการตอบรับคำเชิญของเขาประกายในแววตาของฟู่เซียวหานพลันจางหายไปทันทีมือที่แบออกก็กำแน่นขึ้นในทันทีเขาอยากมองซังหนี่อีกครั้ง แต่เธอหันหลังเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างไม่ลังเลฟู่เซียวหานมองตามแผ่นหลังของพวกเขา ฟันของเขาค่อย ๆ ขบกันจนแน่นในตอนนั้นเอง ฉินเหยาก็เดินเข้ามาหา “ประธานฟู่”ฟู่เซียวหานมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย“ไม่นึกเลยว่าคุณจะมาร่วมงานคืนนี้” ฉินเหยาพูดพร้อมรอยยิ้ม “ยังไม่ได้แสดงความยินดีเลย ได้ยินมาว่าคุณปิดการเจรจาที่ประเทศ
“ทางทิศหกนาฬิกา มองเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นไหม?”ฉินเหยาถามเพราะท่าการเต้น ทำให้ตอนนี้ร่างกายของทั้งสองใกล้ชิดกันมาก ซังหนี่ไม่ได้สนุกแบบนี้มานานแล้ว จนลมหายใจของเธอตอนนี้เริ่มไม่เป็นจังหวะ และปลายจมูกภายใต้หน้ากากก็มีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อยหลังจากที่ฉินเหยาถามแบบนี้ เธอก็หันไปมองทันที“อืม แล้วไงล่ะ?”“นั่นคือลูกชายของประธานเย่แห่งไห่เฉากรุ๊ป เขามองคุณมาสักพักแล้ว เดี๋ยวผมจะแนะนำพวกคุณให้รู้จักกัน คุณช่วยเต้นรำกับเขาสักเพลงได้ไหม?”ซังหนี่หัวเราะเบา ๆ “ทำไมฉันต้องทำด้วยล่ะ?”“ช่วงนี้ผมกำลังเตรียมร่วมงามกับพ่อของเขา”ฉินเหยาไม่ได้ปิดบังซังหนี่ พูดตรง ๆ ว่า “ถ้าคุณช่วยผมได้ครั้งนี้ เรื่องลิขสิทธิ์ผมจะให้คุณร่วมลงทุนในการผลิตทันที ถ้าละครดังขึ้นมา คุณจะได้ส่วนแบ่งไม่น้อยแน่นอน”ซังหนี่ยังหัวเราะเหมือนเดิม ดูเหมือนไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ฉินเหยาพูดเท่าไหร่ฉินเหยาไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาของเธอ เพียงพูดต่อว่า “แน่นอน เงินอาจไม่ได้ดึงดูดใจคุณมาก แต่สิ่งนี้คือความมั่นใจที่คุณสร้างให้ตัวเองใช่ไหมล่ะ?”ซังหนี่ไม่ได้โต้แย้งคำพูดของฉินเหยาอีกหลังจากครุ่นคิดอยู่ไม่กี่วินาที เธอถามว่า “การช่