เรือนทานตะวัน ไป๋ลู่เถียนปรากฏตัวในยามค่ำอีกครั้ง นางปลอมตัวเป็นสาวใช้ หากไม่ได้ตรงไปพบปันเส้าเฟิง แม้ใจและร่างกายปรารถนารับความเร่าร้อนจากอีกฝ่าย ทว่ายามนี้มีสิ่งสำคัญต้องทำ เพราะอยากสืบเรื่องราวในเรือนฮูหยินหม้าย พร้อมใช้แผนสกปรกกลั่นแกล้งอีกฝ่าย ฮึ แน่นอนไป๋ลู่เถียนเป็นนางร้าย เหตุใดต้องมือขาวสะอาดด้วยเล่า ให้สองมืออาบด้วยเลือดเหม็นเน่าของผู้อื่นยิ่งดี แล้วสักวันเมื่อนางเป็นผู้ชนะ ยืนอยู่บนซากศพผู้อื่น นางจะใช้อ่างทองคำล้างสองมือและใช้เงินกับอำนาจลบความผิดที่เคยก่อไว้จนความสะอาด รับรองได้เลยว่าทั้งใต้หล้าจะมีแต่คนสรรเสริญไป๋ลู่เถียนผู้นี้ พรุ่งนี้มีงาน เซิงรื่อ[1] ของแมงป่องพิษ คนงานที่จ้างมาเพิ่ม กับสาวใช้ที่แบ่งมาจากเรือนอื่น ๆ จึงมากเป็นพิเศษ อีกทั้งสิงเฮ่อ ซึ่งปกติมักตรวจสอบผู้คนอย่างเคร่งครัดไม่ให้คนแปลกหน้าเข้าออกเรือนหลังนี้ หากนางกลับต้องตามติดฝงเสวียนแจด้วยฮูหยินหม้ายอารมณ์ไม่คงที่หลังจากถูกปันเส้าเฟิงหักหน้าชุดใหญ่ มิหนำซ้ำฝ่ายนั้นยังกล่าวอย่างชัดเจนว่า หากไม่มีธุระอันใดฝงเสวียนก็อย่าได้ก้าวออกจากเรือนทานตะวันจนกว่าถึงพรุ่งนี้เช้า!
ไป๋ลู่เถียนจะขัดขืนอย่างไรได้ ยามนั้นเอวบางถูกปันเส้าเฟิงรวบไว้ ก่อนที่เขาจะไออุ่นซาบซ่านจะรินรดผ่านลำคอระหง ลมหายใจเขามีกลิ่นสุราอ่อน ๆ และกลิ่นกายหนุ่มที่ชวนให้ท้องไส้ของหญิงสาวร้อนวูบวาบ อีกฝ่ายไม่รู้หมกหมุ่นเรื่องบนเตียงมากเกินไปหรือไม่ มือหนึ่งรวบเอว หากอีกมือวุ่นวายกับการล้วงเข้าไปในสาบเสื้อไป๋ลู่เถียน ขณะเดียวกัน ทั้งที่เขาโผนทะยานพานางไปตามหลังคาเรือนหลังเล็กหลังน้อยและกำแพง หากยังมิวายใช้จมูกโด่ง ๆ ซุกไซ้ติ่งหู บางขณะก็ใช้ริมฝีปากชื้น ๆ จูบหลังต้นคอ “อ๊ะ...ท่านไม่กลัวผู้อื่นเห็นหรอกหรือ” “ใครมันจะตามข้าทัน อีกอย่าง หากมีใครกล้าแอบมอง ข้าจะควักลูกตามันทิ้งเสีย” หญิงสาวทำเสียง ‘ฮึ’ ในลำคอ เขากำลังล้อเลียนนาง “แล้วนี่จะพาข้าไปที่ใด” “ห้องลับใต้ดิน...สถานที่ซึ่งเด็กน้อยจะกรีดร้องเสียงดัง เท่าใดก็ไม่ใครช่วยได้” “หมายความว่าเยี่ยงไรซือหม่าปัน!” เมื่อนางเรียกเขาเช่นนั้น ร่างบอบบางพลันต้องสะดุ้งเฮือกก่อนร้องเสียงหลงเลยทีเดียว “คนชั่ว ท่านกัดข้า!” “ใช่ ขื
“อดใจไว้สักหน่อย หากรีบเปลือยกายกันในห้องลับนี้ เกรงว่า ทั้งเจ้ากับข้าคงต้องเพลียกันจนถึงรุ่งสาง!” “เชี่ยงกง ท่านยั่วโมโหข้าอีกแล้ว” “ตรองดูให้ดี เป็นใครกันที่ก่อเรื่องไม่หยุด และเมื่อครู่เป่าเป้ยก็ปลุกอารมณ์ข้าขึ้นมาก่อน” เขาว่าจบก็จับมือข้างหนึ่งนางไปวางแปะบนเป้ากางเกง ไป๋ลู่เถียนทำตาโตใส่ปันเส้าเฟิง และบอกว่า “สักวันข้าจะวางยาท่าน ให้ไข่สองฟองนั้นหดลง และให้ขาที่สามอ่อนปวกเปียก” “สตรีใจร้ายและโหดเหี้ยมย่อมเป็นเช่นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้า” หญิงสาวไม่อยากคุยเรื่องอย่างว่าอีก ยามนี้สนใจสตรีที่อยากสวมรอยเป็นนางมากกว่า “คนเหล่านั้นอยู่ข้างในนี้หรือ” “ใช่ ชีวิตพวกนางอยู่ในกำมือเจ้า ตัดสินใจดี ๆ ว่าจะให้รอด หรือตาย” เมื่อเขาเอ่ยจบ ก็จับจูงมือไป๋ลู่เถียนก้าวไปด้านใน กระทั่งเห็นว่ามีสตรีหลายชีวิต บ้างก็นั่งบ้างก็นอนอยู่ในห้องขังขนาดใหญ่ ไป๋ลู่เถียนคาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ และมองพวกนางอย่างพินิจ ซึ่งทั้งหมดต่างมีรูปโฉมงดงามทั้งสิ้น “ไม่มีใ
เหอชิงเดินนำหน้าไป๋ลู่เถียน ยามนั้นอีกฝ่ายไม่ได้ปกปิดฐานะที่แท้จริงแล้ว เรื่องนี้เป็นเพราะหญิงสาวสอบเค้นเอาความจริงมานั่นเอง โดยผู้เปิดทางให้ก็ไม่พ้นปันเส้าเฟิง “นอกจากเจ้าไม่ใช่แม่บ้านธรรมดา ยังมีผู้ใดเล่นจบเอกการละครมาอีก!” ไป๋ลู่เถียนทำให้เหอชิงมึนงงอยู่บ้าง แต่อีกฝ่ายก็ตอบอย่างดีตามที่เข้าใจ “เรียนแม่นางเถียน ข้าไม่ได้คิดปกปิดอันใด อีกอย่างการรับใช้ซือหม่าปันจำต้องระวังฐานะเดิมของตน ตัวข้าอยู่ในค่ายทหารตั้งแต่ห้าขวบ ตำแหน่งมิได้ใหญ่โตเป็นเพียงหัวหน้าหมู่ของหน่วยพยัคฆ์คำรามเท่านั้น!” ให้ตายเถอะ หัวหน้าหมู่ที่เหอชิงกล่าวถึง นางมีทหารในมือถึงหนึ่งพันนายและสามารถขอกำลังเพิ่มได้ถึงหนึ่งหมื่นนาย หากมีความจำเป็นต้องช่วยศึกสงคราม “อ้อ...แต่ก็ยอมมาทำหน้าที่เป็นแม่บ้านให้อี้ฟานเยี่ยงนั้นหรือ” “ข้ารับใช้คุณชายฟาน หลังจากที่ย้ายออกจากค่ายทหาร และเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องไปอยู่เรือนนอก จึงจำเป็นต้องมีคนที่ไว้ใจได้คอยส่งข่าวถึงเอ่อ...นายท่าน” เมื่อเหอชิงกล่าวเช่นนี้ ไป๋ลู่เถียนก็พอเข้าใจแล้ว ปันเส้าเฟิงมิได้ใจไม้ไส้ระกำต่อลูก
กระทั่งไป๋ลู่เถียนหลับตาลง เสียงปันเส้าเฟิงก็เอ่ยถาม “เป่าเป้ย เพราะเชี่ยงกงไม่ใช่หนุ่มน้อย หรือชายในดวงใจสินะ เจ้าถึงไม่อยากมอง” โอ้ ฟังดูเอาเถิด คนแก่ไม่ใช่แค่หึงเก่งและขี้น้อยใจ หากยังพยายามหาเรื่องนางด้วย “เชี่ยงกง ผมท่านยังไม่มีสีขาว ตีนกายังไม่ขึ้น ร่างกายดูแข็งแรง ไฉนถึงต้องกลัวจะเอาชนะคนหนุ่มมิได้” “ฮ่า ๆ ๆ แน่นอน ตาเฒ่าของเจ้าย่อมอายุยืนไปอีกเป็นร้อยปี ผิดแต่เป่าเป้ย จะรับศึกไหวหรือไม่” ไป๋ลู่เถียนหมั่นไส้เขาเหลือเกิน นางไม่รอช้าอีก สืบเท้ายาว ๆ ไปหาอีกฝ่ายแล้วทุบหน้าอกแน่น ๆ ไปสองสามที เมื่อร่างกายสัมผัสกัน ใบหน้างามล้ำจึงแดงระเรื่อ “ทุบดี ๆ นะ อย่าเผลอเอามือมากระตุกผ้าของข้าล่ะ หากหลุดลง เจ้าคงต้องเมื่อยปาก เมื่อยมือ และเมื่อย...” เขาไม่กล่าวต่อ หากใช้สายตาบุ้ยใบ้ไปยังกลางกายที่ผงกหัวทักทายนางในร่มผ้า “เชี่ยงกง ท่านเห็นว่า ข้าเป็นคนเช่นไร” นางส่งเสียงสูงใส่เขา และอีกฝ่ายตอบว่า “เป็นเด็กน้อยที่กล้าทำผิด หากขี้ขลาด ไม่กล้ารับโทษ!” ไป๋ลู่เถียน
“มิมีผู้อื่น ทั้งใต้หล้านี้ ย่อมเป็นตาเฒ่า...เส้าเฟิง ที่ข้าจะปีนขึ้นเตียงจนสิ้นลมหายใจ!” นางบอกเขา และร่างกายเปิดรับการรุกรานที่แตกต่าง ด้วยเขาหยุดนวดเฟ้นหน้าอกอวบสวย หากใช้บางสิ่งเปิดกลีบอวบอูมของนางและส่งมันเข้าไปทักทาย คราแรกมันทั้งเย็น ลื่น...และอึดอัด ก่อนจะตามมาด้วยความสยิว “อื้อ...นั่นคือสิ่งใด!” “กัวซาหัวเห็ด เป็นหยกที่ทำเลียนแบบลึงค์ของบุรุษ นอกจากท่อนอุ่นของข้า จะมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่จะผ่านเข้าไปในร่างกายเจ้า หากใครบังอาจฉกชิมเนื้อนิ่ม ไม่ว่าจะเป็นลิ้น มือ หรือขาที่สาม ข้าจะไม่ใช่แค่ตัดลิ้น ตัดมือ หรือตอนพวกมัน หากจะแล่เนื้อให้เป็นพันชิ้น หมื่นชิ้น ให้สาสมกับการบังอาจนั้น” “เชี่ยงกง อย่าได้กล่าวถึงผู้อื่นเลย ร่างกายนี้และหัวใจข้า ล้วนมอบให้แก่ท่านผู้เดียว” นางเอ่ยคำหวานถึงเพียงนั้น ทำให้ปันเส้าเฟิงพึงใจจึงแทงกัวซาเข้าไปลึก ๆ แทงย้ำเข้าออก พร้อมกับปลุกเร้าไฟสิเน่หาให้แก่ร่างกายไป๋ลู่เถียน ฝ่ายนางก็ครางไม่ได้ศัพท์ เกิดความซ่านใจเป็นอย่างยิ่ง กลีบอวบอูมบีบรัดกัวซาเป็นจังหวะ ยิ่ง
ช่วงเช้าในจวนปัน งานจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย มิได้ต้อนรับแขกข้างนอก ส่วนตั้งแต่บ่าย ยามเซิน (15.00 – 16.59 น.) ก็เปิดรับการลงทะเบียน ทั้งของขวัญและเทียบเชิญ มีแขกสำคัญทยอยเข้ามาในงาน อันที่จริง ตงเร่อไม่ได้ต้องการมางานเลี้ยงยามค่ำคืนนี้ที่จวนปัน แต่จดหมายบอกกล่าวของฮูหยินหม้ายปัน รวมถึงคำพูดเกิงรั่วทำให้นางร้อนใจ แม้คิดจะตัดขาดปันเส้าเฟิงหลายหน แต่หัวใจนางเป็นเพียงก้อนเนื้อนิ่ม ๆ ไฉนจะลืมเลือนเขาได้ ตงเร่อรักอีกฝ่ายมาเป็นสิบปี อย่างไรนางก็ไม่อาจหันใจไปทางอื่นได้แล้ว! กระทั่งนางนั่งรถม้ามาถึงหน้าประตูจวนปัน ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี ตงเร่อก้าวไปจนถึงพื้นที่จัดงานเซิงรื่อของฝงเสวียน มีสิ่งที่ชวนให้ตื่นตระหนกอยู่สักหน่อย ยามนี้อีกฝ่ายไม่ใช่แค่มีสีหน้าซีด หากเส้นผมหญิงสูงวัยเปลี่ยนไปเป็นสีขาวทั้งศีรษะ ‘โอ้ เกิดเรื่องร้ายแรงใดขึ้น!’ ตงเร่อคิดในใจ และไม่ทันได้ขยับตัวไปทางไหน สิงเฮ่อก็ยอบตัวเข้ามาหาและบีบน้ำตาอย่างน่าสงสาร “ท่านหญิงตง ได้โปรดช่วยนายหญิงของข้าด้วย” สิ่งที่สิงเฮ่อกล่าวหลังจากนั้น ตรงตามจดหมายท
จากนั้นตงเร่อจึงก้าวอย่างเร็วรีบ แหวกฝูงชน ดวงตาเรียวเล็กมองไปยังร่างหญิงสาวที่สวมชุดแดงเพลิงโดดเด่นเห็นแต่ไกล ดูเอาเถิดวันนี้ไม่ใช่งานของตงเร่อ แต่พอได้เห็นไป๋ลู่เถียน ท่านหญิงยังเนื้อเต้น และโกรธแค้นแทนฝงเสวียน “เจ้าคือคนผู้นั้น...” ตงเร่อไม่อยากยกตำแหน่งใดให้แก่ไป๋ลู่เถียน ชิงชังจนไม่อยากมองหน้าด้วยซ้ำ ฝ่ายไป๋ลู่เถียนแสร้งทำหน้ามึนงง พลางหันไปทางพ่อบ้านเหลียงและแม่นมเหอ ขอให้ทั้งคู่ช่วยบอกกล่าวว่าคนที่สนทนากับนางคือผู้ใด ถึงได้ออกอาการเนื้อเต้นถึงเพียงนั้น “บังอาจ ต่อหน้าท่านหญิงตง ยังไม่รีบคำนับ” เสียงสิงเฮ่อนั่นเองที่ดังก้อง ไป๋ลู่เถียนยกมือขึ้นทาบอก ตกใจหรือ...นางแสดงได้เกินจริงยิ่งนัก “ข้าเป็นสตรีบ้านนอก มาจวนปันได้หลายวันแล้ว และนี่คือครั้งแรกที่ก้าวออกจากเรือนนอนซือหม่า...” เสียงนางไพเราะ ดวงตากลมโตราวมีดวงดาวอยู่ข้างใน ก็ทำให้ผู้คนคล้ายถูกสะกดให้มองไป๋ลู่เถียนเพียงผู้เดียว ทว่าคำพูดที่ฟังแล้วชวนให้จั๊กจี้อยู่สักหน่อย แจ้งชัดว่า นางมีความสัมพันธ์กับปันเส้าเฟิงที่ไม่ธรรมดาสักนิด
ฉัน...ไม่ใช่สิ รู้สึกเขินที่ต้องใช้คำพรรคนั้น ด้วยข้ามาอยู่ที่โลกจีนโบราณซึ่งเข้าใจว่าเป็นนิยายเรื่องหนึ่งมาพักใหญ่แล้ว และเป็นช่วงเวลาที่ทำให้พบว่า ความสุขคือการลงมือทำด้วยตนเองอย่างกล้าหาญ แต่เดิมนั้น ชีวิตตัวละครนามว่า ไป๋ลู่เถียน คือนางร้ายและสมควรจากไปตั้งนานแล้ว ทว่าจนตอนนี้นางมีลูกชายสามคน เป็นฝาแฝด และให้กำเนิดเด็กหญิงแสนน่ารัก ลู่เฟิง อันเป็นชื่อที่ข้ากับบิดาของนางช่วยกันตั้ง โดยผสมชื่อทั้งคู่เข้าด้วยกัน ลู่เฟิง เป็น วิหคน้อยที่งดงามสมวัย ทั้งยังเป็นที่รักของพี่ชาย ยามนี้เหล่าพี่ชายทั้งสาม ต่างแย่งกันปกป้องน้องสาว ส่วนซือหม่าปั่นผู้เป็นสามีข้า เกือบสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา เขายังหล่อเหลาและหนุ่มแน่นในแบบฉบับที่ข้าหลงรักได้ทุกวัน เพียงแต่ผมเปลี่ยนสีเท่านั้น จากดำขลับปีกอีกา ถูกแซมด้วยสีขาวซึ่งมีเสน่ห์อีกแบบทว่าอย่างเดียวที่ข้ากังวลใจ คือสีหน้าเขามักเครียดทุกครั้งยามเหล่าองค์หญิงน้อยเชิญ ลู่เฟิงไปเล่นสนุกในวังหลวง เนื่องจากมันเป็นแผนของเหล่าพระสนมนั่นเอง ด้วยอยากให้ลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจเขาเข้าวัง เพื่อเหล่าองค์ชายทั้งในสกุลและต่างสกุลได้ยลโฉม
เยว่ซิงตามมาดูเหตุการณ์ต่างๆ พอเห็นว่าซือซินอี๋ลอยไปตามสายน้ำในจุดที่พ้นภัย นางค่อยโล่งใจ ซึ่งก่อนหน้านั้น นางกับฝ่ายแคว้นตาโจวร่วมมือกันยิงธนูเพื่อเร่งเร้าให้ทั้งคู่ หาทางใกล้ชิดกัน แม้อันตรายหากได้ผลดีเยี่ยม “นางกำนัลเยว่... ครั้งนี้นับว่าเจ้าสร้างผลงานชั้นเลิศ แม่ทัพของพวกเราขาดสตรีอุ่นเตียงมานานเหลือเกิน อีกทั้งเขาได้กินเนื้อหงส์เช่นนี้ วาสนานั้นนับว่าดีเกินใคร” รองแม่ทัพและสหายเจิ้งคังเอ่ย “ทั้งหมดนี้เพราะ ชิงอ๋องต้องการหาบุรุษที่เหมาะสมกับองค์หญิงเก้า และฝ่ายแคว้นต้าโจวเสนอบุรุษที่เพียบพร้อมที่สุด ทั้งยังยึดมั่นในความรัก เรื่องนี้นับว่าเป็นความเหมาะสม” “พวกเราย่อมมีนายหญิงคนใหม่ที่สูงศักดิ์เร็ววัน ขอบน้ำใจนางกำนัลเยว่” รองแม่ทัพเอ่ยจบ เขาก็ไปเตรียมรอการกับมาของเจิ้งคัง ซึ่งคาดว่าอย่างน้อยชายหญิงคู่นี้ ย่อมใช้เวลาอยู่ด้วยกัน คงราวๆ สามคืนสามวันเป็นอย่างต่ำ ซือซินอี๋กินตื่นเช้าอีกวัน แน่นอนนางกับเจิ้งคังร่วมรักกันยาวนาน เป็นเวลามากกว่าสามคืนสามวัน เจิ้งคังต้องการเช่นนั้น เขาจะได้คุยโม้ปันเส้าเฟิงได้ว่า
จากนั้น เจิ้งคังเลือกที่จะควบม้าออกจากกลุ่มของเขา และแจ้งทุกคนว่า หากใครพบซือซินอี๋ก่อนจงล้อมนางไว้ อย่าได้แตะต้องหรือล่วงเกินเด็ดขาด โดยเรื่องนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับห้ามมิให้ผู้ใดแพร่งพราย เขากลัวจะมีเรื่องเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงนางนั่นเอง แม่ทัพหนุ่มควบม้าสลับการสืบหาล่องลอยองค์หญิงอยู่เกือบสองวัน ในที่สุดเขาก็พบหนุ่มน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม ที่กำลังนอนบนหินริมแม่น้ำกว้าง ปล่อยใจชื่นชมบรรยากาศด้วยความสุข แต่หนุ่มน้อยคนดังกล่าว ผิวออกจะนวลเนียน ใบหน้ากระจ่างใส อีกทั้งริมฝีปากแดงสดยั่วยวนน่าจูบอย่างที่สุด ยิ่งกว่านั้นยังมีหน้าอกอวบๆ ดึงดูดสายตา และหากเขาใจกล้าพอที่จะจับเป้ากางเกงอีกฝ่ายคงไม่พบงวงช้างอันใด หากจะเป็นกลีบฉ่ำๆ อย่างแน่นอน แม่ทัพหนุ่มหัวเราะหึๆ สตรีผู้หนึ่งชอบความสนุกเป็นที่ตั้ง รักความสำราญใจและอิสระ โดยไม่รู้ว่าผลที่ตามมาผู้อื่นต้องลำบากสิ่งใดบ้าง หากไม่สั่งสอนสักหน่อย คงไม่ใช่เจิ้งคังผู้นี้ ร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากม้า สืบเท้าไปหานางช้าๆ “ข้าอยากดื่มสุราเป็นเพื่อนท่านได้หรือไม่” ทั้งที่อยากกำร
ซือซินอี๋ องค์หญิงเก้าแคว้นชิง นางกำนัลเยว่ซิง ขันทีเจียง (เจียงกง) เจิ้นเหริน แฝดคนโต เจิ้นห่าว แฝดคนกลาง เจิ้นหนาน แฝดคนสุดท้อง ลู่เฟิง ลูกสาวคนสวยของไป๋ลู่เถียนและปันเส้าเฟิง **************************“ลิ้นสากร้อนของท่านช่างเกเร...”“แล้วลิ้นเรียวเล็กสีชมพูขององค์หญิงเล่าเอาชนะบุรุษแห่งแคว้นต้าโจวได้หรือไม่”ได้ยินอย่างนั้น ซือซินอี๋ก็ไม่รอช้าถูกท้าทายเช่นนี้อย่างไรนางก็ต้องกุมชัยชนะอยู่เหนือแม่ทัพเจิ้ง!*************************ตอนพิเศษเร้ารักองค์หญิงต่างแคว้นซือซินอี๋ คือโฉมงามแคว้นชิง ทว่านางหัวรั้นอวดดี ทั้งยังนิยมแต่งตัวเป็นบุรุษ วันดีคืนนี้ก็ทำตัวเสเพลแอบดูสตรีอาบน้ำ หากสิ่งนั้นยังน้อยไป เพราะการถ้ำมองคู่รักเข้าหอคืนแรกคือสิ่งที่ทำให้นางตื่นเต้นและซ่านสยิวใจที่สุด ดูด้วยสองตาไม่พอ ยังสั่งวาดภาพ และจดบันทึกเรื่องราวเอาไว้ด้วย ยิ่งได้เห็นเหล่าหญิงงามที่นุ่มนิ่ม เอวบางขยับท่าทางโลดโผน แล้วรุกไล่ข่มเหงบุรุษ หรือส่งเสียงครางระงมราวกั
***แนะนำก่อนอ่านเรื่อง ในตอนพิเศษนี้ คือเหตุการณ์หลังจากปันเส้าเฟิงและไป๋ลู่เถียนอยู่ในจวนปันอย่างสามีภรรยา และมีสามแฝดเป็นพยานรักไป๋ลู่เถียนรับรู้ได้ว่าปันเส้าเฟิงกำลังพยายามทำบางอย่างด้วยต้องการเอาใจนาง แต่ให้ตายเถิด มันจั๊กจี้เป็นบ้า ซึ่งดูอย่างไรก็ไม่ใช่การเล่นปูไต่ หากเขากำลังใช้นิ้วยาวๆ สำรวจน่อง ไล่ไปยังต้นขาเรียวและอีกนิดเดียวคงแทรกเข้าสู่พื้นที่หวานจัดของนางอ๊ะ ความหวามใจนี้ เกินที่นางจะระงับความซ่านสยิวของเนื้อสาวที่ฉ่ำแฉะได้อีกต่อ และนางหมายใจอยากให้ทั้งนิ้วยาวๆ ของเขา และขาที่สามอุ่นจัดซึ่งอยู่ในร่มผ้าเผด็จศึกนางเสียที กระนั้นนางก็เอ่ยปากตรงข้ามความรู้สึกของตน“ตาเฒ่า ท่านหยุดลามกกับเมียเด็กสักวันได้หรือไม่” ช่วงหลังมานี้ ไป๋ลู่เถียนติดใช้คำร่วมสมัยของยุคปัจจุบัน และปันเส้าเฟิงย่อมไม่ถือสา เขาสนุกกับถ้อยคำของนาง อีกทั้งยังมีหลายเรื่องที่น่าสนใจ พลอยทำให้ปันเส้าเฟิงได้ย้อนวัยกลับไปเป็นหนุ่มน้อยอีกครั้ง และเหนืออื่นใดเขารักเมียเด็ก หลงเมีย และรู้ว่าอีกไม่นานนางคงตั้งครรภ์ แล้วให้กำเนิดเด็กๆ ที่น่ารักมาเป็นเพื่อนเล่นเหล่าพี่ชายซึ่งอยู่ในวัยซุกซนทั้งสามคน “มิได้ เป้าเป่
เมื่อเมื่อก้าวเข้ามาในเรือนก็เห็นจู่ซินเพิ่งอาบน้ำเรียบร้อย นางอาจไม่ใช่สตรีงดงามล่มเมือง ทว่ากิริยาน่ารักน่าชม เหนืออื่นใดนางอวบอัด มีเนื้อหนังให้น่าสัมผัสไปหมด เมื่อดวงตาเรียวรีมองเห็นผู้เป็นสามียืนอยู่กลางห้องโถง พร้อมวัตถุดิบในมือ จู่ซินจึงยิ้มดีใจ สำหรับนางอี้ฟานเป็นบุรุษที่น่าสงสาร เขาพยายามเป็นคนดีเสมอ ทว่าดูเหมือนจะไม่ได้มีโอกาสนักสำหรับชายคนนี้ กระทั่งมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน อี้ฟานค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนนิสัย แม้ไม่ได้ดีขึ้นทันตาเห็น แต่ก็เป็นชายที่นางอยากใช้ชีวิตด้วย ที่สำคัญอี้ฟานไม่เคยทำร้ายนาง ไม่มีการตบตี ด่าทอ อาจพูดน้อย รักสันโดษ และไม่ค่อยร่าเริงก็เท่านั้น “ทำอาหารกินกันดีหรือไม่ เผื่อเจ้าจะหิว” อี้ฟานกล่าวทำลายบรรยากาศที่ร้อนรุ่มในห้องโถงของเรือน “ท่านพี่...” จู่ซินไม่ได้อยากทำตัวเป็นสตรีตามตรอกหอนางโลม หรือพวกอนุที่ชอบยั่วเย้าสามี เพื่อให้เขารักและหลง แต่ยามนี้นางอดใจไม่ไหว ด้วยชายหนุ่มไม่ได้สวมเสื้อ เปลือยกายท่อนบน เป้ากางเกงเขาก็ตุงจัด หากนางคาดการณ์ไม่ผิด สิ่งที่อยู่ข้างในคงอยากโผล่ออกมาสูดอากาศเต็มที่แล้ว “อาซิน...ไปอาบ
ในตอนพิเศษนี้ ผู้อ่าน สามารถอ่านแยกจากเล่มหลักได้เรือนบรรพชน ตำบลเสออี้ เมืองฉวน แคว้นต้าโจว อี้ฟานรู้สึกว่า เขาร้อนรุ่มในร่างกาย ด้วยยาที่จู่ซินนำมาต้มเพื่อให้เขาดื่ม ส่งผลให้ขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ ยิ่งกว่านั้นร่างกายที่เคยอ่อนเพลีย เรี่ยวแรงซึ่งหดหายไปค่อย ๆ คืนมา เขาจึงมีกำลังวังชากว่าเดิม สุขภาพดีเป็นลำดับ เรียกว่าแข็งขันจนเหมือนทหารที่ฝึกฝนตนในค่ายอยู่ทุกคืนวัน ดังนั้น ยามรุ่งเช้าจึงต้องรีบตื่นเพื่อชำระร่างกายในลำธาร บางคืนก็ข่มใจ อดกลั้นอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความต้องการต่อเรือนร่างของจู่ซิน ภรรยาแสนดีซึ่งดูแลเขามาร่วมปีสองแล้ว เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น อนิจจาอี้ฟานรู้สึกว่า ตนไม่เหมาะสมกับนาง ทั้งละอายต่อจู่ซิน ที่พาอีกฝ่ายมาลำบากห่างจากบ้านเกิดนับพันลี้ ‘ท่านพี่ฟาน ข้ายินยอมเป็นภรรยาของท่าน’ คืนที่นางกับเขาดื่มเหล้ามงคลด้วยกัน นี่คือถ้อยคำที่จู่ซินบอกเขาพร้อมหยาดน้ำตาไหลอาบสองแก้ม นางไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจ หากรู้สึกมีความสุขที่กล้าก้าวออกจากเรือนใหญ่ที่ไร้ความรักต่อนาง ด้วยจู่ซินเป็นเพียงลูกอนุ ถึงอย่างน
เสียงพูดคุยกันดังอย่างอึงอล ซึ่งล้วนเป็นความทึ่งและอยากรู้ว่า เด็กน้อยจะเขียนสิ่งใด ฝ่ายเจิ้งคังเห็นความคึกครื้นนั้นก็อยากได้ความสนุกมากขึ้น จึงมีการพนันเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเรื่องที่จะเกิดขึ้น ปันเส้าเฟิงหรี่ตามองสหายรุ่นน้อง แต่ไม่ได้ห้ามปราม ด้วยเป็นช่วงเวลาแห่งสุขโดยแท้ อึดใจต่อมา มือเล็ก ๆ ก็ใช้พู่กันที่จับไว้ วาดตัวอักษรลงบนผืนผ้าและภาพดังกล่าวใครจะเชื่อตาตนเอง อายุเพียงเท่านั้นก็เป็นอัจฉริยะทางด้านตัวอักษร ลายเส้นพลิ้วไหว หากหนักแน่น มั่นคง ทั้งยังเหมือนสื่ออารมณ์ให้ผู้คนที่ได้ชมยิ้มตาม “ฝู 福 (fú)” อักษรตัวแรก เขียนเสร็จเรียบร้อย ปันเส้าเฟิงก็ยกมันให้ทุกคนดู “ความสุขหรือ...” สมแล้วที่เป็นนายน้อยเหริน เจิ้งคังเป็นคนกล่าว ฝ่ายไป๋ลู่เถียนอุ้มลูกชายคนกลางของนาง และพาเขามาอยู่ใกล้ ๆ น้องชาย และเจิ้นห่าว ก็ทำให้ทุกคนที่มองอยู่ต้องอ้าปากค้าง “ฝู...ความสุข!” เมื่อคนโตเขียนตัวอักษรได้ คนกลางก็กล่าวด้วยเสียงหนักแน่น ทรงพลัง และน้องชายคนเล็กที่วัน
งานเลี้ยงรับขวัญสามแฝดในปีที่สอง คือเรื่องรื่นเริงระดับแคว้นต้าโจว มีของขวัญมากมายจากเมืองต่าง ๆ ที่ส่งมาถึงจวนปัน ทั้งที่ไป๋ลู่เถียนออกปากว่า อย่าได้ฟุ่มเฟือย นั่นเป็นเพราะตั้งแต่เด็ก ๆ ลืมตาขึ้นมาดูโลก นางตระหนักได้ว่า มีผู้คนลำบากว่าตนมากมายยิ่งนักแน่ละ ถึงนางจะเป็นนางร้ายของเรื่องนี้ ที่ได้มีชีวิตสุขสบายครองคู่กับผู้ชายที่เป็นตัวละครลับอย่างปันเส้าเฟิง แต่นางไม่ลืมว่าการช่วยเหลือผู้อื่น คือการสร้างบุญบารมีให้แก่ตนเอง “สิ่งใดเป็นของกินได้ ให้จัดเตรียมไว้เพื่อบริจาค สิ่งใดเป็นเครื่องนุ่งห่ม ให้คัดแยกเพื่อส่งต่อแก่เด็ก ๆ ที่ยากไร้” ไป๋ลู่เถียนบอกบ่าวรับใช้ และเหลียงซานดูแลเรื่องนี้อยู่อย่างใกล้ชิด “พวกเครื่องประดับ และของมีค่าต่าง ๆ ล่ะเจ้าคะ” เหอชิงเอ่ยถาม “ส่งเข้าคลังของจวนปัน สิ่งใดแลกเป็นอาหารหรือข้าวสารได้ ก็จัดการเสีย และข้าจำเป็นต้องมีทุนสำหรับสร้างโรงผลิตสมุนไพรด้วย” ไป๋ลู่เถียนกล่าวไม่ทันจบประโยคดี ร่างสูงใหญ่ก็ก้าวเข้ามาพลอยให้นางต้องขบขัน เพราะปันเส้าเฟิงอุ้มเด็ก ๆ ไว้สองแขน คนหนึ่งจ้ำม่ำตาโต ถือพู่กัน แล้วใช้จิ้มไปท