“มิมีผู้อื่น ทั้งใต้หล้านี้ ย่อมเป็นตาเฒ่า...เส้าเฟิง ที่ข้าจะปีนขึ้นเตียงจนสิ้นลมหายใจ!” นางบอกเขา และร่างกายเปิดรับการรุกรานที่แตกต่าง ด้วยเขาหยุดนวดเฟ้นหน้าอกอวบสวย หากใช้บางสิ่งเปิดกลีบอวบอูมของนางและส่งมันเข้าไปทักทาย คราแรกมันทั้งเย็น ลื่น...และอึดอัด ก่อนจะตามมาด้วยความสยิว “อื้อ...นั่นคือสิ่งใด!” “กัวซาหัวเห็ด เป็นหยกที่ทำเลียนแบบลึงค์ของบุรุษ นอกจากท่อนอุ่นของข้า จะมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่จะผ่านเข้าไปในร่างกายเจ้า หากใครบังอาจฉกชิมเนื้อนิ่ม ไม่ว่าจะเป็นลิ้น มือ หรือขาที่สาม ข้าจะไม่ใช่แค่ตัดลิ้น ตัดมือ หรือตอนพวกมัน หากจะแล่เนื้อให้เป็นพันชิ้น หมื่นชิ้น ให้สาสมกับการบังอาจนั้น” “เชี่ยงกง อย่าได้กล่าวถึงผู้อื่นเลย ร่างกายนี้และหัวใจข้า ล้วนมอบให้แก่ท่านผู้เดียว” นางเอ่ยคำหวานถึงเพียงนั้น ทำให้ปันเส้าเฟิงพึงใจจึงแทงกัวซาเข้าไปลึก ๆ แทงย้ำเข้าออก พร้อมกับปลุกเร้าไฟสิเน่หาให้แก่ร่างกายไป๋ลู่เถียน ฝ่ายนางก็ครางไม่ได้ศัพท์ เกิดความซ่านใจเป็นอย่างยิ่ง กลีบอวบอูมบีบรัดกัวซาเป็นจังหวะ ยิ่ง
ช่วงเช้าในจวนปัน งานจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย มิได้ต้อนรับแขกข้างนอก ส่วนตั้งแต่บ่าย ยามเซิน (15.00 – 16.59 น.) ก็เปิดรับการลงทะเบียน ทั้งของขวัญและเทียบเชิญ มีแขกสำคัญทยอยเข้ามาในงาน อันที่จริง ตงเร่อไม่ได้ต้องการมางานเลี้ยงยามค่ำคืนนี้ที่จวนปัน แต่จดหมายบอกกล่าวของฮูหยินหม้ายปัน รวมถึงคำพูดเกิงรั่วทำให้นางร้อนใจ แม้คิดจะตัดขาดปันเส้าเฟิงหลายหน แต่หัวใจนางเป็นเพียงก้อนเนื้อนิ่ม ๆ ไฉนจะลืมเลือนเขาได้ ตงเร่อรักอีกฝ่ายมาเป็นสิบปี อย่างไรนางก็ไม่อาจหันใจไปทางอื่นได้แล้ว! กระทั่งนางนั่งรถม้ามาถึงหน้าประตูจวนปัน ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี ตงเร่อก้าวไปจนถึงพื้นที่จัดงานเซิงรื่อของฝงเสวียน มีสิ่งที่ชวนให้ตื่นตระหนกอยู่สักหน่อย ยามนี้อีกฝ่ายไม่ใช่แค่มีสีหน้าซีด หากเส้นผมหญิงสูงวัยเปลี่ยนไปเป็นสีขาวทั้งศีรษะ ‘โอ้ เกิดเรื่องร้ายแรงใดขึ้น!’ ตงเร่อคิดในใจ และไม่ทันได้ขยับตัวไปทางไหน สิงเฮ่อก็ยอบตัวเข้ามาหาและบีบน้ำตาอย่างน่าสงสาร “ท่านหญิงตง ได้โปรดช่วยนายหญิงของข้าด้วย” สิ่งที่สิงเฮ่อกล่าวหลังจากนั้น ตรงตามจดหมายท
จากนั้นตงเร่อจึงก้าวอย่างเร็วรีบ แหวกฝูงชน ดวงตาเรียวเล็กมองไปยังร่างหญิงสาวที่สวมชุดแดงเพลิงโดดเด่นเห็นแต่ไกล ดูเอาเถิดวันนี้ไม่ใช่งานของตงเร่อ แต่พอได้เห็นไป๋ลู่เถียน ท่านหญิงยังเนื้อเต้น และโกรธแค้นแทนฝงเสวียน “เจ้าคือคนผู้นั้น...” ตงเร่อไม่อยากยกตำแหน่งใดให้แก่ไป๋ลู่เถียน ชิงชังจนไม่อยากมองหน้าด้วยซ้ำ ฝ่ายไป๋ลู่เถียนแสร้งทำหน้ามึนงง พลางหันไปทางพ่อบ้านเหลียงและแม่นมเหอ ขอให้ทั้งคู่ช่วยบอกกล่าวว่าคนที่สนทนากับนางคือผู้ใด ถึงได้ออกอาการเนื้อเต้นถึงเพียงนั้น “บังอาจ ต่อหน้าท่านหญิงตง ยังไม่รีบคำนับ” เสียงสิงเฮ่อนั่นเองที่ดังก้อง ไป๋ลู่เถียนยกมือขึ้นทาบอก ตกใจหรือ...นางแสดงได้เกินจริงยิ่งนัก “ข้าเป็นสตรีบ้านนอก มาจวนปันได้หลายวันแล้ว และนี่คือครั้งแรกที่ก้าวออกจากเรือนนอนซือหม่า...” เสียงนางไพเราะ ดวงตากลมโตราวมีดวงดาวอยู่ข้างใน ก็ทำให้ผู้คนคล้ายถูกสะกดให้มองไป๋ลู่เถียนเพียงผู้เดียว ทว่าคำพูดที่ฟังแล้วชวนให้จั๊กจี้อยู่สักหน่อย แจ้งชัดว่า นางมีความสัมพันธ์กับปันเส้าเฟิงที่ไม่ธรรมดาสักนิด
ฝ่ายเหอชิงเห็นท่าไม่ดี นางปราดเข้ามาและขวางทุกคนที่หมายจะเข้าใกล้ไป๋ลู่เถียน... “ห้ามเข้าใกล้นาง สตรีผู้นี้ คนเดียวที่สัมผัสนางได้คือซือหม่าปัน!” “เฮอะ นางเป็นเทพเซียนหรืออย่างไร บ่าวเช่นพวกข้าถึงแตะตัวไม่ได้!” สิงเฮ่อกล่าวรุนแรง ทั้งเสียงดังน่ารำคาญ เหอชิงจึงเดือดขึ้นมาทันควัน หากไม่ทันที่นางจะได้ผลักอีกฝ่ายที่เสนอหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ก็เป็นจังหวะนั้นที่ฝ่ามือเรียวตบใบหน้าสิงเฮ่อไปหนึ่งฉาดใหญ่ ทั้งรวดเร็ว เต็มแรงจนใบหน้าอีกฝ่ายสั่นกระตุกก่อนเกิดรอยฝ่ามือซึ่งดูน่ากลัว “พวกชั้นต่ำ... กล้าดีอย่างไร ตบตีคนของข้า” ฝงเสวียนอึ้งอยู่เกือบหนึ่งอึดใจ พอคลำหาเสียงตนพบนางก็โพล่งเสียงดัง ไป๋ลู่เถียนยิ้มอีกหน รอยยิ้มนางช่างชวนขนหัวลุก “ฮึ บังเอิญข้าตกใจง่าย เลยพลั้งมือ ดีนะที่ไม่ขวัญอ่อนไปกว่านี้ มิเช่นนั้นคงได้ออกแรงหนักแน่ ๆ” สิ้นคำพูดไป๋ลู่เถียน พวกที่อยู่ตรงข้ามนางซึ่งตั้งใจกลั่นแกล้งก็ครั่นคร้ามใจ คิดดูเอาเถิด นางเดินเข้าเรือนผู้อื่นพร้อมสาวใช้หนึ่งคน แต่กลับสู้อย่างหมาบ้าพร้อมกัดผู
ฝงเสวียนไม่อาจทำสิ่งใดรุนแรงเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายและเจิ้งเสี่ยวหยวน แม้ปกติสุภาพ วางท่าเข้มขรึม ทว่าหากสิ่งใดไม่ถูกต้อง เขามักยื่นมือเข้าไปยุ่งเสมอ ซึ่งเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นเกี่ยวพันถึงเขาด้วย ไฉนชายหนุ่มจะเพิกเฉย “เรื่องในจวนปัน อย่างไรใต้เท้าเจิ้งน้อย ปล่อยให้ข้าตัดสินดีกว่า” “ฮูหยินหม้าย ตัวข้าอย่างไรก็เป็นคนของทางการ และงานที่รับมอบหมายคือ สืบคดีต่าง ๆ ยิ่งเป็นเรื่องที่พัวพันถึงขุนนางของฝ่าบาท สิ่งนี้ย่อมต้องแส่อย่างที่สุด” เจิ้งเสี่ยวหยวนกล่าว และมองไปยังไป๋ลู่เถียน ซึ่งต้องยอมรับว่า พึงใจต่อรูปโฉมนางด้วยแตกต่างในวันที่พบก่อนหน้า อีกทั้งยังเต็มไปด้วยเสน่ห์เกินห้ามใจ นางเป็นแม่มดหรืออย่างไรถึงได้ทำให้คนที่พบหน้าต้องหลงใหลเช่นนี้ “ถึงอย่างนั้นก็ตาม เท่าที่ข้าทราบ ท่านกำลังเตรียมตัวรับใช้รัชทายาท” “ฮูหยินหม้ายกล่าวไม่ผิดแต่น้อย งานที่ข้ารับผิดชอบมากขึ้น ก็คือนั่งตำแหน่งตุลาการคนใหม่ ซึ่งหน่วยนี้อยู่ภายใต้การควบคุมรัชทายาท ทุกอย่างที่เป็นคดีพิเศษ ทั้งมีเงื่อนงำ ข้าย่อมไม่อาจปล่อยให้หลุดมือ การสืบหาควา
เจิ้งเสี่ยวหยวนทำงานในหน้าที่สอบปากคำผู้คนมาก็มาก ถึงเคยรับมือกับสตรีแพศยาทำเรื่องเสื่อมเสียเกียรติตนจนผู้อื่นระอา แต่กับไป๋ลู่เถียนนั้น เขาต้องประหลาดใจ นางกล้าพูดถึงเรื่องขึ้นเตียงกับปันเส้าเฟิงราวกับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน “บัดซบ! เจ้าไม่ใช่แค่ไร้ยางอาย หากยังฝันเฟื่องอย่างคนเบาปัญญา ซือหม่าปันหาใช่บุรุษที่เจ้าพลีกายให้เขาแล้ว ฝ่ายนั้นจะเชิดชูยกให้เป็นสตรีข้างกาย ทั่วทั้งเมืองหลวง ผู้คนต่างรู้ แม้แต่ลูกตัวเองเขายังไม่เหลียวแล!” ด้วยโทสะที่เกินระงับได้ เจิ้งเสี่ยวหยวนจึงโพล่งเสียงดังอย่างลืมตัว และฝ่ายไป๋ลู่เถียนแทนที่จะกลัวหรือเสียขวัญ นางกลับสะใจยิ่งนัก หมาบ้า นางกำลังหลอกล่อให้เขาก้าวสู่หายนะที่ขุดลวงไว้ “ท่านรู้หลายสิ่ง ย่อมดียิ่งนัก และอีกสิ่งที่ข้าจะบอกให้เข้าใจไว้ เพื่อไม่ต้องค้างคาใจกันอีก แม้ยามนี้ท่านลืมสัญญาหมั้นหมายของเรา ก็ไม่ใช่เรื่องต้องกังวล เพราะข้ามีบุรุษที่ปกป้องแล้ว!” ไป๋ลู่เถียนทำให้เจิ้งเสี่ยวหยวนนิ่งค้าง อย่างไรเสียเขาก็ไม่คิดทำร้ายนางแม้แต่น้อย ทว่าไฉนสตรีผู้นี้ถึงได้ปั่นหัวผู้อื่นเก่งเห
เมื่อไป๋ลู่เถียนได้ยิน นางย่อมต้องใช้ประโยชน์เรื่องนี้ให้มากที่สุด “แม่ทัพเจิ้ง ได้ฟังคำของท่าน อีกทั้งอาหารที่ให้จัดหามาให้ ข้าก็ตื้นตันใจ ยามนี้ ข้าได้ยินผู้คุมหญิงกับแม่บ้านเหอเล่าว่า มีผู้กล่าวถึงข้ามากมาย ทั้งด้านดีและร้าย” “อย่าสนใจสิ่งใด ไม่ว่าอย่างไร หากเจ้าต้องการเป็นสตรีของพี่ปัน ย่อมไม่พ้นถูกผู้คนกล่าวถึงแน่นอน” หญิงสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ และเอ่ยถามเจิ้งคัง “ในระหว่างที่ข้าถูกคุมขังและรอการสอบสวน เป็นไปได้หรือไม่ที่สตรีผู้นี้ จะอุทิศตัวเพื่อทำประโยชน์แก่บ้านเมือง!” สิ่งที่ไป๋ลู่เถียนถามเจิ้งคัง แน่นอนมันคือแผนที่นางอยากสร้างตัวตนขึ้นเพื่อให้ผู้คนรู้จักในวงกว้าง และเป็นด้านที่ดี ไม่ใช่สตรีที่ร่านสวาทอยากจับผู้ชายมีอำนาจและมากด้วยวาสนา อีกทั้งช่วยกระตุ้นให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นเดือดเป็นแค้น สุดท้ายย่อมต้องพ่ายแพ้นางไปทีละคน “แม่นางเถียนกล่าวเช่นนี้ เจ้าต้องการทำสิ่งใด” “ผู้คนที่อยู่นอกเมืองหลวงอดอยากมาหลายวัน หากได้อิ่มท้องสักมื้อ มีเสื้อผ้าเปลี่ยน ทั้งช่วยบรรเทาความหนาวบ้างคงดีมิน้อย”
ใครจะคาดคิดว่าไป๋ลู่เถียนจะได้ก้าวออกจากห้องขังในอีกสิบวันต่อมา และนางมีโอกาสช่วยเหลือผู้ลี้ภัยทางธรรมชาติด้วย ซึ่งก่อนหน้ามีการจัดโรงทานถึงสามจุดด้วยกัน นั่นคือสิ่งที่นางร้องขอให้เจิ้งคังเป็นธุระ และเขาจัดการให้เป็นอย่างดี แน่นอนสิ่งที่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังใหญ่สุดจะเป็นใครได้ หากไม่ใช่ปันเส้าเฟิงดังนั้นหลายวันที่ผ่านมา ผู้ลี้ภัยและชาวเมืองหรูฉางที่ยากจน จึงได้อาศัยอาหารจากโรงทานซึ่งขึ้นป้ายว่า ‘แม่นางเถียน’ และพวกเขาต่างอิ่มท้องถ้วนหน้า (ไป๋ลู่เถียนไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ว่านางแซ่ไป๋) ทั้งยังมีหมอจากสำนักแพทย์มาตรวจอาการผู้ที่ป่วยไข้ด้วย เมื่อหญิงสาวก้าวออกจากศาลเมืองหรูฉาง จึงมีผู้คนออกมายืนให้กำลังใจ บ้างก็ก้มลงพื้น โขกศีรษะคำนับ เสียงร้องโห่ร้องแสดงความยินดี คำเยินยอมีไม่ขาดปาก บางคนถึงขั้นกล่าวว่าไป๋ลู่เถียนไม่ได้รับความเป็นธรรม สวรรค์โปรดเมตตาเทพธิดาเช่นนางด้วย ขอให้นางได้มีชีวิตที่ปราศจากข้อกล่าวหา และผู้ใดคิดร้ายย่อมต้องประสบหายนะไม่อาจตายดี ซึ่งแม้จะอยู่ในห้องขัง แต่อาหารการกิน ทั้งเสื้อผ้ามีพร้อมเสร็จสรรพ ดังนั้นไป๋ลู่เถียนจึงไม่ได้ลำบาก อีกทั้งดูมีน้
ฉัน...ไม่ใช่สิ รู้สึกเขินที่ต้องใช้คำพรรคนั้น ด้วยข้ามาอยู่ที่โลกจีนโบราณซึ่งเข้าใจว่าเป็นนิยายเรื่องหนึ่งมาพักใหญ่แล้ว และเป็นช่วงเวลาที่ทำให้พบว่า ความสุขคือการลงมือทำด้วยตนเองอย่างกล้าหาญ แต่เดิมนั้น ชีวิตตัวละครนามว่า ไป๋ลู่เถียน คือนางร้ายและสมควรจากไปตั้งนานแล้ว ทว่าจนตอนนี้นางมีลูกชายสามคน เป็นฝาแฝด และให้กำเนิดเด็กหญิงแสนน่ารัก ลู่เฟิง อันเป็นชื่อที่ข้ากับบิดาของนางช่วยกันตั้ง โดยผสมชื่อทั้งคู่เข้าด้วยกัน ลู่เฟิง เป็น วิหคน้อยที่งดงามสมวัย ทั้งยังเป็นที่รักของพี่ชาย ยามนี้เหล่าพี่ชายทั้งสาม ต่างแย่งกันปกป้องน้องสาว ส่วนซือหม่าปั่นผู้เป็นสามีข้า เกือบสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา เขายังหล่อเหลาและหนุ่มแน่นในแบบฉบับที่ข้าหลงรักได้ทุกวัน เพียงแต่ผมเปลี่ยนสีเท่านั้น จากดำขลับปีกอีกา ถูกแซมด้วยสีขาวซึ่งมีเสน่ห์อีกแบบทว่าอย่างเดียวที่ข้ากังวลใจ คือสีหน้าเขามักเครียดทุกครั้งยามเหล่าองค์หญิงน้อยเชิญ ลู่เฟิงไปเล่นสนุกในวังหลวง เนื่องจากมันเป็นแผนของเหล่าพระสนมนั่นเอง ด้วยอยากให้ลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจเขาเข้าวัง เพื่อเหล่าองค์ชายทั้งในสกุลและต่างสกุลได้ยลโฉม
เยว่ซิงตามมาดูเหตุการณ์ต่างๆ พอเห็นว่าซือซินอี๋ลอยไปตามสายน้ำในจุดที่พ้นภัย นางค่อยโล่งใจ ซึ่งก่อนหน้านั้น นางกับฝ่ายแคว้นตาโจวร่วมมือกันยิงธนูเพื่อเร่งเร้าให้ทั้งคู่ หาทางใกล้ชิดกัน แม้อันตรายหากได้ผลดีเยี่ยม “นางกำนัลเยว่... ครั้งนี้นับว่าเจ้าสร้างผลงานชั้นเลิศ แม่ทัพของพวกเราขาดสตรีอุ่นเตียงมานานเหลือเกิน อีกทั้งเขาได้กินเนื้อหงส์เช่นนี้ วาสนานั้นนับว่าดีเกินใคร” รองแม่ทัพและสหายเจิ้งคังเอ่ย “ทั้งหมดนี้เพราะ ชิงอ๋องต้องการหาบุรุษที่เหมาะสมกับองค์หญิงเก้า และฝ่ายแคว้นต้าโจวเสนอบุรุษที่เพียบพร้อมที่สุด ทั้งยังยึดมั่นในความรัก เรื่องนี้นับว่าเป็นความเหมาะสม” “พวกเราย่อมมีนายหญิงคนใหม่ที่สูงศักดิ์เร็ววัน ขอบน้ำใจนางกำนัลเยว่” รองแม่ทัพเอ่ยจบ เขาก็ไปเตรียมรอการกับมาของเจิ้งคัง ซึ่งคาดว่าอย่างน้อยชายหญิงคู่นี้ ย่อมใช้เวลาอยู่ด้วยกัน คงราวๆ สามคืนสามวันเป็นอย่างต่ำ ซือซินอี๋กินตื่นเช้าอีกวัน แน่นอนนางกับเจิ้งคังร่วมรักกันยาวนาน เป็นเวลามากกว่าสามคืนสามวัน เจิ้งคังต้องการเช่นนั้น เขาจะได้คุยโม้ปันเส้าเฟิงได้ว่า
จากนั้น เจิ้งคังเลือกที่จะควบม้าออกจากกลุ่มของเขา และแจ้งทุกคนว่า หากใครพบซือซินอี๋ก่อนจงล้อมนางไว้ อย่าได้แตะต้องหรือล่วงเกินเด็ดขาด โดยเรื่องนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับห้ามมิให้ผู้ใดแพร่งพราย เขากลัวจะมีเรื่องเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงนางนั่นเอง แม่ทัพหนุ่มควบม้าสลับการสืบหาล่องลอยองค์หญิงอยู่เกือบสองวัน ในที่สุดเขาก็พบหนุ่มน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม ที่กำลังนอนบนหินริมแม่น้ำกว้าง ปล่อยใจชื่นชมบรรยากาศด้วยความสุข แต่หนุ่มน้อยคนดังกล่าว ผิวออกจะนวลเนียน ใบหน้ากระจ่างใส อีกทั้งริมฝีปากแดงสดยั่วยวนน่าจูบอย่างที่สุด ยิ่งกว่านั้นยังมีหน้าอกอวบๆ ดึงดูดสายตา และหากเขาใจกล้าพอที่จะจับเป้ากางเกงอีกฝ่ายคงไม่พบงวงช้างอันใด หากจะเป็นกลีบฉ่ำๆ อย่างแน่นอน แม่ทัพหนุ่มหัวเราะหึๆ สตรีผู้หนึ่งชอบความสนุกเป็นที่ตั้ง รักความสำราญใจและอิสระ โดยไม่รู้ว่าผลที่ตามมาผู้อื่นต้องลำบากสิ่งใดบ้าง หากไม่สั่งสอนสักหน่อย คงไม่ใช่เจิ้งคังผู้นี้ ร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากม้า สืบเท้าไปหานางช้าๆ “ข้าอยากดื่มสุราเป็นเพื่อนท่านได้หรือไม่” ทั้งที่อยากกำร
ซือซินอี๋ องค์หญิงเก้าแคว้นชิง นางกำนัลเยว่ซิง ขันทีเจียง (เจียงกง) เจิ้นเหริน แฝดคนโต เจิ้นห่าว แฝดคนกลาง เจิ้นหนาน แฝดคนสุดท้อง ลู่เฟิง ลูกสาวคนสวยของไป๋ลู่เถียนและปันเส้าเฟิง **************************“ลิ้นสากร้อนของท่านช่างเกเร...”“แล้วลิ้นเรียวเล็กสีชมพูขององค์หญิงเล่าเอาชนะบุรุษแห่งแคว้นต้าโจวได้หรือไม่”ได้ยินอย่างนั้น ซือซินอี๋ก็ไม่รอช้าถูกท้าทายเช่นนี้อย่างไรนางก็ต้องกุมชัยชนะอยู่เหนือแม่ทัพเจิ้ง!*************************ตอนพิเศษเร้ารักองค์หญิงต่างแคว้นซือซินอี๋ คือโฉมงามแคว้นชิง ทว่านางหัวรั้นอวดดี ทั้งยังนิยมแต่งตัวเป็นบุรุษ วันดีคืนนี้ก็ทำตัวเสเพลแอบดูสตรีอาบน้ำ หากสิ่งนั้นยังน้อยไป เพราะการถ้ำมองคู่รักเข้าหอคืนแรกคือสิ่งที่ทำให้นางตื่นเต้นและซ่านสยิวใจที่สุด ดูด้วยสองตาไม่พอ ยังสั่งวาดภาพ และจดบันทึกเรื่องราวเอาไว้ด้วย ยิ่งได้เห็นเหล่าหญิงงามที่นุ่มนิ่ม เอวบางขยับท่าทางโลดโผน แล้วรุกไล่ข่มเหงบุรุษ หรือส่งเสียงครางระงมราวกั
***แนะนำก่อนอ่านเรื่อง ในตอนพิเศษนี้ คือเหตุการณ์หลังจากปันเส้าเฟิงและไป๋ลู่เถียนอยู่ในจวนปันอย่างสามีภรรยา และมีสามแฝดเป็นพยานรักไป๋ลู่เถียนรับรู้ได้ว่าปันเส้าเฟิงกำลังพยายามทำบางอย่างด้วยต้องการเอาใจนาง แต่ให้ตายเถิด มันจั๊กจี้เป็นบ้า ซึ่งดูอย่างไรก็ไม่ใช่การเล่นปูไต่ หากเขากำลังใช้นิ้วยาวๆ สำรวจน่อง ไล่ไปยังต้นขาเรียวและอีกนิดเดียวคงแทรกเข้าสู่พื้นที่หวานจัดของนางอ๊ะ ความหวามใจนี้ เกินที่นางจะระงับความซ่านสยิวของเนื้อสาวที่ฉ่ำแฉะได้อีกต่อ และนางหมายใจอยากให้ทั้งนิ้วยาวๆ ของเขา และขาที่สามอุ่นจัดซึ่งอยู่ในร่มผ้าเผด็จศึกนางเสียที กระนั้นนางก็เอ่ยปากตรงข้ามความรู้สึกของตน“ตาเฒ่า ท่านหยุดลามกกับเมียเด็กสักวันได้หรือไม่” ช่วงหลังมานี้ ไป๋ลู่เถียนติดใช้คำร่วมสมัยของยุคปัจจุบัน และปันเส้าเฟิงย่อมไม่ถือสา เขาสนุกกับถ้อยคำของนาง อีกทั้งยังมีหลายเรื่องที่น่าสนใจ พลอยทำให้ปันเส้าเฟิงได้ย้อนวัยกลับไปเป็นหนุ่มน้อยอีกครั้ง และเหนืออื่นใดเขารักเมียเด็ก หลงเมีย และรู้ว่าอีกไม่นานนางคงตั้งครรภ์ แล้วให้กำเนิดเด็กๆ ที่น่ารักมาเป็นเพื่อนเล่นเหล่าพี่ชายซึ่งอยู่ในวัยซุกซนทั้งสามคน “มิได้ เป้าเป่
เมื่อเมื่อก้าวเข้ามาในเรือนก็เห็นจู่ซินเพิ่งอาบน้ำเรียบร้อย นางอาจไม่ใช่สตรีงดงามล่มเมือง ทว่ากิริยาน่ารักน่าชม เหนืออื่นใดนางอวบอัด มีเนื้อหนังให้น่าสัมผัสไปหมด เมื่อดวงตาเรียวรีมองเห็นผู้เป็นสามียืนอยู่กลางห้องโถง พร้อมวัตถุดิบในมือ จู่ซินจึงยิ้มดีใจ สำหรับนางอี้ฟานเป็นบุรุษที่น่าสงสาร เขาพยายามเป็นคนดีเสมอ ทว่าดูเหมือนจะไม่ได้มีโอกาสนักสำหรับชายคนนี้ กระทั่งมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน อี้ฟานค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนนิสัย แม้ไม่ได้ดีขึ้นทันตาเห็น แต่ก็เป็นชายที่นางอยากใช้ชีวิตด้วย ที่สำคัญอี้ฟานไม่เคยทำร้ายนาง ไม่มีการตบตี ด่าทอ อาจพูดน้อย รักสันโดษ และไม่ค่อยร่าเริงก็เท่านั้น “ทำอาหารกินกันดีหรือไม่ เผื่อเจ้าจะหิว” อี้ฟานกล่าวทำลายบรรยากาศที่ร้อนรุ่มในห้องโถงของเรือน “ท่านพี่...” จู่ซินไม่ได้อยากทำตัวเป็นสตรีตามตรอกหอนางโลม หรือพวกอนุที่ชอบยั่วเย้าสามี เพื่อให้เขารักและหลง แต่ยามนี้นางอดใจไม่ไหว ด้วยชายหนุ่มไม่ได้สวมเสื้อ เปลือยกายท่อนบน เป้ากางเกงเขาก็ตุงจัด หากนางคาดการณ์ไม่ผิด สิ่งที่อยู่ข้างในคงอยากโผล่ออกมาสูดอากาศเต็มที่แล้ว “อาซิน...ไปอาบ
ในตอนพิเศษนี้ ผู้อ่าน สามารถอ่านแยกจากเล่มหลักได้เรือนบรรพชน ตำบลเสออี้ เมืองฉวน แคว้นต้าโจว อี้ฟานรู้สึกว่า เขาร้อนรุ่มในร่างกาย ด้วยยาที่จู่ซินนำมาต้มเพื่อให้เขาดื่ม ส่งผลให้ขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ ยิ่งกว่านั้นร่างกายที่เคยอ่อนเพลีย เรี่ยวแรงซึ่งหดหายไปค่อย ๆ คืนมา เขาจึงมีกำลังวังชากว่าเดิม สุขภาพดีเป็นลำดับ เรียกว่าแข็งขันจนเหมือนทหารที่ฝึกฝนตนในค่ายอยู่ทุกคืนวัน ดังนั้น ยามรุ่งเช้าจึงต้องรีบตื่นเพื่อชำระร่างกายในลำธาร บางคืนก็ข่มใจ อดกลั้นอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความต้องการต่อเรือนร่างของจู่ซิน ภรรยาแสนดีซึ่งดูแลเขามาร่วมปีสองแล้ว เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น อนิจจาอี้ฟานรู้สึกว่า ตนไม่เหมาะสมกับนาง ทั้งละอายต่อจู่ซิน ที่พาอีกฝ่ายมาลำบากห่างจากบ้านเกิดนับพันลี้ ‘ท่านพี่ฟาน ข้ายินยอมเป็นภรรยาของท่าน’ คืนที่นางกับเขาดื่มเหล้ามงคลด้วยกัน นี่คือถ้อยคำที่จู่ซินบอกเขาพร้อมหยาดน้ำตาไหลอาบสองแก้ม นางไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจ หากรู้สึกมีความสุขที่กล้าก้าวออกจากเรือนใหญ่ที่ไร้ความรักต่อนาง ด้วยจู่ซินเป็นเพียงลูกอนุ ถึงอย่างน
เสียงพูดคุยกันดังอย่างอึงอล ซึ่งล้วนเป็นความทึ่งและอยากรู้ว่า เด็กน้อยจะเขียนสิ่งใด ฝ่ายเจิ้งคังเห็นความคึกครื้นนั้นก็อยากได้ความสนุกมากขึ้น จึงมีการพนันเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเรื่องที่จะเกิดขึ้น ปันเส้าเฟิงหรี่ตามองสหายรุ่นน้อง แต่ไม่ได้ห้ามปราม ด้วยเป็นช่วงเวลาแห่งสุขโดยแท้ อึดใจต่อมา มือเล็ก ๆ ก็ใช้พู่กันที่จับไว้ วาดตัวอักษรลงบนผืนผ้าและภาพดังกล่าวใครจะเชื่อตาตนเอง อายุเพียงเท่านั้นก็เป็นอัจฉริยะทางด้านตัวอักษร ลายเส้นพลิ้วไหว หากหนักแน่น มั่นคง ทั้งยังเหมือนสื่ออารมณ์ให้ผู้คนที่ได้ชมยิ้มตาม “ฝู 福 (fú)” อักษรตัวแรก เขียนเสร็จเรียบร้อย ปันเส้าเฟิงก็ยกมันให้ทุกคนดู “ความสุขหรือ...” สมแล้วที่เป็นนายน้อยเหริน เจิ้งคังเป็นคนกล่าว ฝ่ายไป๋ลู่เถียนอุ้มลูกชายคนกลางของนาง และพาเขามาอยู่ใกล้ ๆ น้องชาย และเจิ้นห่าว ก็ทำให้ทุกคนที่มองอยู่ต้องอ้าปากค้าง “ฝู...ความสุข!” เมื่อคนโตเขียนตัวอักษรได้ คนกลางก็กล่าวด้วยเสียงหนักแน่น ทรงพลัง และน้องชายคนเล็กที่วัน
งานเลี้ยงรับขวัญสามแฝดในปีที่สอง คือเรื่องรื่นเริงระดับแคว้นต้าโจว มีของขวัญมากมายจากเมืองต่าง ๆ ที่ส่งมาถึงจวนปัน ทั้งที่ไป๋ลู่เถียนออกปากว่า อย่าได้ฟุ่มเฟือย นั่นเป็นเพราะตั้งแต่เด็ก ๆ ลืมตาขึ้นมาดูโลก นางตระหนักได้ว่า มีผู้คนลำบากว่าตนมากมายยิ่งนักแน่ละ ถึงนางจะเป็นนางร้ายของเรื่องนี้ ที่ได้มีชีวิตสุขสบายครองคู่กับผู้ชายที่เป็นตัวละครลับอย่างปันเส้าเฟิง แต่นางไม่ลืมว่าการช่วยเหลือผู้อื่น คือการสร้างบุญบารมีให้แก่ตนเอง “สิ่งใดเป็นของกินได้ ให้จัดเตรียมไว้เพื่อบริจาค สิ่งใดเป็นเครื่องนุ่งห่ม ให้คัดแยกเพื่อส่งต่อแก่เด็ก ๆ ที่ยากไร้” ไป๋ลู่เถียนบอกบ่าวรับใช้ และเหลียงซานดูแลเรื่องนี้อยู่อย่างใกล้ชิด “พวกเครื่องประดับ และของมีค่าต่าง ๆ ล่ะเจ้าคะ” เหอชิงเอ่ยถาม “ส่งเข้าคลังของจวนปัน สิ่งใดแลกเป็นอาหารหรือข้าวสารได้ ก็จัดการเสีย และข้าจำเป็นต้องมีทุนสำหรับสร้างโรงผลิตสมุนไพรด้วย” ไป๋ลู่เถียนกล่าวไม่ทันจบประโยคดี ร่างสูงใหญ่ก็ก้าวเข้ามาพลอยให้นางต้องขบขัน เพราะปันเส้าเฟิงอุ้มเด็ก ๆ ไว้สองแขน คนหนึ่งจ้ำม่ำตาโต ถือพู่กัน แล้วใช้จิ้มไปท