พี่สิงห์เด็กช่างคนดุกับคุณนลิน
ตอนที่ 4
จนแล้วจนรอดฉันก็ยังคงคอนเซ็ปต์ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกอยู่ดี…
ตอนนี้พี่สิงห์ทำงานเสร็จแล้ว และกำลังยืนกินมาม่าคัพอยู่ตรงเคาน์เตอร์ชงกาแฟลูกค้า ร่างสูงยืนกินไปมองหน้าฉันไปเงียบ ๆ โดยไม่คิดจะชวนกันสักแอะ…
หลังจากกินเสร็จก็เดินผ่านหน้าฉันไปคว้ากุญแจมอเตอร์ไซค์ที่แขวนอยู่ตรงล็อกเกอร์ เสียงพ่นลมหายใจดังขึ้นเป็นรอบที่หนึ่งล้าน แล้วเสียงเรียบก็เอ่ยขึ้น
“ออกมาได้แล้วจะปิดร้าน”
ไม่ต้องบอกก็รู้หรอกน่า… ฉันมุดหัวออกทางประตูเหล็กที่ปิดลงมาแล้วครึ่งหนึ่ง ยืนนิ่งรอเขาล็อกประตู
“เดี๋ยวเรียกแท็กซี่ให้” ว่าแล้วก็หันมาบอก พร้อมเลื่อนมือถือไปด้วย
“อะไรอะ? นี่รอตั้งนานจะส่งขึ้นแท็กซี่?” ฉันร้องเสียงหลง พร้อมชี้นิ้วไปยังไอ้มอเตอร์ไซค์บุโรทั่งของเขา “จะนั่งไอ้นี่กลับ”
“…” เจ้าตัวทิ้งแขนข้างที่ถือโทรศัพท์ลงข้างตัว สายตารำคาญมองมาอีกครั้งก่อนจะประชด “อยากนั่งไอ้แก่นี่นักรึไง?”
“ใช่ อยากมาก” ฉันรีบบอกพร้อมขยับเข้าไปใกล้ไอ้แก่ที่ว่า พร้อมกับลูบ ๆ คลำ ๆ แสดงความต้องการ
“…”
เจ้าของไอ้แก่ยัดมือถือใส่เสื้อช็อป แล้วเดินมาถอยรถออกจากซองจอดเงียบ ๆ ราวกับเบื่อที่จะเถียงอะไรกับฉันแล้ว ก่อนจะพยักหน้าเรียกโดยไม่พูดสักคำ แค่นั้นก็ทำให้ฉันฉีกยิ้มจนเกือบจะถึงใบหูออกมาได้ พอขึ้นซ้อนท้ายเขาได้ พี่สิงห์ก็เร่งเครื่องทันที ฉันรีบคว้าเอวเขากอดไว้เหมือนรอบที่แล้ว แต่ครั้งนี้การทรงตัวฉันอัปสกิลขึ้นอีกขั้นเพราะนั่งถนัดได้ขึ้น
รอบก่อนไม่ทันได้สังเกต แต่รอบนี้ฉันรับรู้ได้ถึงความแข็งแรงของเอวเขาเลย… กล้ามหน้าท้องงี้แน่นเชียว…
แค่จินตนาการถึงอะไรด้านในน้ำหมากก็แทบพุ่งแล้ว!
วันนี้ไม่เหมือนรอบก่อนตรงที่ออกมาจากซอยนั้นเร็วกว่าปกติทำให้รถติดมาก ไอ้พี่สิงห์ขี่รถฉวัดเฉวียนไปมาอย่างคล่องแคล่วชำนาญการ แต่แล้วอาจจะเป็นโชคร้ายของฉันเองเมื่อเราผ่านรถคันหนึ่งเข่าฉันมันดันไปเสียดสีกับตัวสปอยเลอร์ท้ายไอ้รถเวรคันนั้น ความรู้สึกเจ็บแปลบทำให้ฉันร้องออกมา
“ขี่อะไรของพี่เนี่ย?” ฉันสะบัดฝ่ามือตีเข้าที่แผ่นหลังกว้างทันที
“…” คนขับไม่ตอบ แต่กลับพาเลี้ยวเข้าซอยหนึ่งที่ไม่ใช่ซอยบ้านฉัน ตอนแรกก็ตกใจอยู่หรอก แต่พอเขาจอดรถลงที่ข้าง 7-11 ก็โล่งใจ
ฉันรีบกระโดดลงมายืนแล้วก้มลงมองเข่าตัวเองที่กำลังมีเลือดซึมผ่านรอยถลอกอยู่ แต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรนักน่าจะแค่ถลอก ร่างสูงของพี่สิงห์เองก็จอดรถเอาขาตั้งลงเสร็จสรรพ สีหน้านิ่งมองเข่ากันอยู่ครู่ก็หมุนตัวเดินเข้า 7-11 โดยไม่พูดอะไรสักคำเหมือนเดิม
หลังจากนั้นไม่ถึงห้านาทีร่างสูงก็เดินหิ้วถุงอะไรสักอย่างออกมา ฉันทำหน้ามู่ทู่กอดอกมองเจ้าตัวที่ยังมีหน้าเดินไปซื้อของอยู่อีก ตัวเองทำฉันเจ็บแท้ ๆ
แต่แล้วฉันก็ต้องคลายใบหน้าบึ้งตึงของตัวเองลงเพราะขายาว ๆ ย่อตัวนั่งลงตรงหน้า ดึงเอาขวดแอลกอฮอล์ออกมา ดวงหน้าหล่อเงยขึ้นมามองกันพร้อมกับเลิกคิ้วเมื่อเห็นฉันยังยืนนิ่งอยู่
“ทำตรงนี้เลยเหรอ?” ฉันกะพริบตาปริบ ๆ กวาดมองรอบตัว หน้า 7-11 มีร้านข้าวมันไก่อยู่ร้านหนึ่งซึ่งคนกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่เต็มร้าน สายตาหลายคู่หันมามองยิ้ม ๆ กับภาพที่เห็น คนหล่อกำลังถือขวดแอลกอฮอล์ นั่งยอง ๆ รอให้ฉันยื่นขาไปให้อยู่โดยไม่ยี่หระต่อสายตาใครทั้งนั้น
“เร็ว” ว่าแล้วก็ส่งเสียงเร่ง ฉันเลยยื่นขาไปตรงหน้าเขาอย่างเสียไม่ได้
“โอ๊ย!”
แทนที่มันจะเป็นฉากสวีตหวาน กลายเป็นว่าไอ้คนบ้านี่ราดแอลกอฮอล์ลงบนเข่าฉันจนเปียกชุ่ม ทั้งยังหัวเราะอีกต่างหาก นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบขึ้นมองสีหน้าฉันอย่างชอบใจที่แกล้งกันได้
ถึงจะโดนแกล้งแต่ฉันก็โกรธไม่ลงเพราะพี่สิงห์หันกลับไปดึงปลาสเตอร์ยาออกมาจากถุง แล้วบรรจงแปะบนหัวเข่าให้ฉันอย่างตั้งอกตั้งใจ ร่างสูงหยัดตัวยืนขึ้นแล้วยักคิ้วให้ ฉันมองหน้าเขาได้แค่แว้บเดียวก็เขินจนต้องหันไปมองทางอื่น แต่ก็ดันต้องเจอกับสายตาลูกค้าร้านข้าวมันไก่พากันหันมองมา ซ้ำยังมองไปที่พี่สิงห์อย่างเคลิบเคลิ้มขึ้นอีกสิบเท่า…
สิบนาทีต่อมา…
ไอ้แก่บุโรทั่งคันเดิมยังสามารถพาฉันกลับมาถึงหน้าบ้านได้อย่างปลอดภัยอีกครั้ง ฉันยืนมองร่างสูงดับเครื่องอยู่ตรงนั้น พี่สิงห์เอาขาตั้งลงแต่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนนั้น สายตาแปลก ๆ หันมามองกัน แล้วเบนสายตาไปกวาดมองไปยังด้านหลังของฉันซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่โต มีรถหรูจอดอยู่หลายคัน เขาเสยผมสีน้ำตาลเข้มของตัวเองอยู่หลายทีทำหน้าเหมือนพยายามคิดคำพูดบางอย่าง
“พรุ่งนี้ลินจะไปหาอีก” แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะได้พูดอะไรฉันก็ชิงพูดขึ้นมาซะก่อน
“ยังจะมาอีก” เสียงเอือม ๆ พึมพำ เลื่อนสายตากลับมาจ้องหน้ากัน “นี่ไม่ได้ชอบเธอ ไม่ต้องมาหรอกเสียเวลา”
“โอ้โห… พูดจาไม่รักษาน้ำใจเลย”
“รวยขนาดนี้… ไปหาแฟนคนอื่นไม่ง่ายกว่า?” เจ้าตัวเลียริมฝีปากค้างไว้ แล้วพยักพเยิดไปทางบ้านหลังโตของฉัน “ไม่มีปัญญามีแฟนรวยขนาดนี้หรอก เลี้ยงไม่ไหว”
“สบายมาก ลินเลี้ยงได้!” ฉันรีบตบหน้าอกตัวเองอย่างภาคภูมิใจ แต่คนตรงหน้ากลับตีหน้าเครียดใส่
“ไม่ต้องมาเลี้ยง ไม่อยากได้ และไม่ได้ชอบด้วย”
“เดี๋ยวก็ต้องชอบเข้าสักวันล่ะน่า” ฉันยังคงทำหน้าไม่รู้สึกรู้สา แม้ว่าพี่สิงห์จะมีทีท่าแบบที่ปากว่าจริง ๆ ก็ตาม
“เอาเหอะ…” หน้าหล่อ ๆ พยักหน้าเหมือนขี้เกียจคุยด้วยแล้ว เขาเกาหางคิ้วก่อนจะทำท่าเหมือนจะกลับฉันเลยรีบไปยืนขวางหน้ารถเอาไว้
“อย่าเพิ่งกลับสิ”
“จะให้อยู่เพื่อ?”
“ก็อยากคุยด้วย”
“ไม่เอา จะกลับแล้ว และจะไม่มาส่งแล้วด้วย”
“ไม่เอา!!”
ฉันร้องเสียงดังพร้อมกระทืบเท้าไปด้วย คนตัวโตที่กำลังดึงรถขึ้นมองอาการฉันอย่างเซ็ง ๆ แล้วโบกมือไล่ให้ฉันขยับตัวออกไปให้พ้นทาง แต่เรื่องอะไรฉันต้องยอมเล่า
“หลบ” เจ้าของไอ้แก่ทำหน้าดุใส่
“ไม่” ฉันก็ยังดื้อดึงอยู่อย่างนั้น
“จะกลับบ้าน!”
“งั้นลินไปนั่งคุยกับพี่ที่บ้าน…” ฉันปรบมือดีใจเมื่อมองเห็นลู่ทาง แต่คนตรงหน้ากลับตัดบทขึ้น
“ไม่เอา บ้ารึเปล่า? ดึกๆ ดื่นๆ จะไปบ้านผู้ชายที่เพิ่งรู้จักได้สองวัน?”
“สามต่างหาก!”
“ไม่เอา…”
“กลัวล่ะสิว่าจะใจอ่อน”
“…” เมื่อโดนว่าเข้าให้ ไอ้พี่สิงห์ก็ถึงกับหยุดชะงักแล้วสบตาฉันนิ่ง “ไม่ได้กลัวว่าจะใจอ่อน แต่กลัวว่าจะจับเด็กกินมากกว่า”
“…” คราวนี้เป็นฉันเองที่ถึงกับชะงักบ้าง ใบหน้ารู้สึกเห่อร้อนขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ไอ้พี่บ้าพูดเรื่องสิบแปดบวกหน้าตาเฉยเลย!
“หึ… ยังอยากไป?” เจ้าตัวได้ทีที่ทำฉันเงียบได้ ก็ทำเป็นยักคิ้วกวนประสาทใส่
“อยาก” และปากฉันก็เร็วชนิดที่ห้ามไว้ไม่ทัน ก็แค่… อยากเถียงนั่นแหละ
“…”
พี่สิงห์พ่นลมหายใจยาวพรืดอย่างหมดคำจะพูด แล้วขยับรถถอยออกห่างจากฉัน สายตาชำเลืองมามองหน้ากันนิด ๆ แล้วก็โบกมือไล่
“เข้าบ้านไป”
ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ไอ้แก่นั่นก็เคลื่อนตัวห่างออกไปพร้อมเจ้าของของมัน ฉันยืนกอดอกมองจนลับสายตา โดยที่ปากไม่สามารถหุบยิ้มลงได้เลย…
น่ารักจริง ๆ คนอะไร…
ตั้งแต่เล็กจนโต แทบไม่มีใครปฏิเสธคุณนลินได้เลย แล้วอีตานี่เป็นใครถึงเอาแต่ไล่ เอาแต่รำคาญ ยังไงต้องใจอ่อนเข้าสักวันล่ะวะ! ฉันเพียบพร้อมขนาดนี้! จะเมินกันได้สักกี่น้ำอยากจะรู้จริง ๆ
วันต่อมา
วันนี้เป็นวันหยุดฉันเลยมีเวลาแต่งตัวทั้งเช้าเพื่อที่จะไปเจอพี่สิงห์อีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะหยิบจับชุดไหนก็ดูเว่อร์วังไปหมด ไม่เหมาะสมกับสถานที่สุด ๆ ถ้าจะไปนั่งรอ จนสุดท้ายก็ได้ชุดที่ธรรมดาที่สุดที่มีออกมาจากก้นตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ ก็ได้แต่ยืนหมุนตัวเองอยู่หน้ากระจกอย่างไม่มั่นใจ เพราะมันก็แค่เสื้อยืดเอวลอย กับกางเกงขาสั้นธรรมดา ๆ โคตรจะไม่ใช่คุณนลิน
แต่ว่า… เขาอาจจะชอบลุคธรรมดา ๆ แบบนี้ก็ได้ ที่ไม่สนใจกันเพราะฉันเอาแต่ใส่ส้นสูงสี่นิ้วหรือเปล่า? หรือว่าฉันควรไปซื้อผ้าใบมาใส่? หรือแค่คีบแตะดี?
หลังจากผ่านมาเกือบชั่วโมงสุดท้ายฉันก็ล้มตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรง ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ต้องมานั่งคิดจนหัวจะระเบิดแบบนี้หรอก แต่งแบบที่เคยแต่งผู้ชายก็มองกันจนเหลียวหลังแล้ว… แต่นี่… กลับไม่ชอบเฉยเลย…
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณยิมมาหาค่ะคุณหนู” เสียงพี่จุ๋มดังมาจากหน้าห้อง
“!!!”
ฉันตกใจมากไม่คิดว่าเพื่อนจะมา ก้นติดสปริงรีบลุกขึ้นเตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้วเมื่อบานประตูขนาดใหญ่เปิดออก พร้อมร่างบางของยิมเดินเข้ามา มันมองฉันที่พยายามจะเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยสายตางุนงง
“แกจะไปไหน?” เรียวคิ้วสวยเลิกถาม พร้อมทั้งลากสายตามองการแต่งตัวของฉัน “แบบนี้ไม่เอานะ ธรรมดามาก”
“นี่ชุดอยู่บ้าน” ฉันยิ้มแล้วแก้ตัวทันที คนอื่นอาจจะมองว่ามันก็ชุดปกติใคร เขาก็ใส่กัน แต่ไม่ใช่สำหรับเราสองสหายที่ชอบทำตัวเว่อร์ ๆ กันมาตั้งแต่เด็กแน่นอน TT____TT
“ปกติอยู่บ้านแกยังใส่เดรสเลย?” ร่างบางของเพื่อนนั่งลงที่ขอบเตียง พร้อมกวาดตามองไปรอบ ๆ มีเสื้อผ้าหลายตัวถูกโยนอยู่บนพื้นรอบเตียง “สภาพนี้จะไปหาผู้มากกว่ามั้ง”
“ไม่ได้ไปไหนเลย แกก็เห็นว่ารถฉันเข้าอู่” ฉันยกมือขึ้นปาดเหงื่อทั้ง ๆ ที่อากาศในห้องนอนก็แอร์เย็นฉ่ำแท้ ๆ
“คุณนลินโกหกไม่เนียนเลยค่ะ” เพื่อนคนสวยหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของฉัน มันหรี่ตามองกันอย่างจับผิด “ผู้ชายแบบไหนกันที่ชอบสไตล์นี้?”
“…” ฉันถึงกับต้องกลืนน้ำลายเมื่อเพื่อนคนเดียวดันฉลาดยิ่งกว่าไอ้จิงโจ้หมาพันธุ์โกลเดนฯ ของฉันเสียอีก!
“โอ๊ย… ไม่เอานะลิน” ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ตอบอะไรมันก็ทำท่าเบ้ปากเหมือนอ่านความคิดฉันออกทุกอย่าง “เราเคยมีปณิธานเหมือน ๆ กันจำไม่ได้เหรอ? ถ้ามีแฟนแล้วลำบาก…”
“…ไม่ต้องมีดีกว่า” ฉันต่อประโยคให้ เพราะเราท่องประโยคนี้มาได้หลายปีแล้วตั้งแต่เริ่มเข้าช่วงวัยรุ่นเลยมั้ง
“แล้วคนนี้?”
ยิมเลิกคิ้วถามสวนทันที ฉันได้แต่กระแอมเบา ๆ กับตัวเอง ไม่กล้าบอกความจริงเพื่อน คือฉันไม่ได้มีนิสัยดูถูกคนอื่นหรอก แต่… มันเป็นเรื่องของความคิดที่เราอยากจะอยู่ในจุดไหนมากกว่า ฉันไม่เคยซีเรียสเรื่องพวกนี้เลยฉันคบได้หมด อย่างที่บอก… ฉันแค่ชอบคนหล่อ…
แต่ไม่ใช่กับยิม ยัยนี่มาตรฐานสูงลิ่ว และมักจะบังคับให้ฉันเป็นแบบเดียวกันด้วยเพราะเราเป็นเพื่อนซี้กัน…
“แกทำฉันกลัวนะ” ยิมขมวดคิ้วใส่ และเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียด
“เออน่า… ไม่แย่แบบที่แกคิดหรอก”
“ก็แล้วทำไมต้องอึกอักด้วย?”
“ก็แกนั่นแหละเอาแต่จับผิดอยู่ได้” ฉันทำเป็นงอน คู่สนทนาเลยรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเดินเข้ามาหา พร้อมกอดเอวไว้อย่างรักใคร่
“ก็เป็นห่วง… แกยิ่งชอบทำอะไรนอกกรอบอยู่เรื่อย”
“เออก็รู้… แต่แกก็รู้ว่าฉันคลั่งคนหล่อ” ฉันทำปากยื่นบอกไปตามตรง จนคนข้าง ๆ หัวเราะ
“หล่อแค่ไหน?”
“หล่อมาก!!! หล่อแบบตะโกน!!”
“หืม? อยากเห็นเลยนะเนี่ย… ถ่ายรูปส่งมาดูบ้างสิ”
สถานการณ์เริ่มผ่อนคลายลง ร่างบางของมันเดินกลับไปนั่งบนเตียงเหมือนเดิม ส่วนฉันก็เดินเก็บเสื้อผ้าที่เรี่ยราดอยู่บนพื้น จะให้ถ่ายตอนไหนก่อน… เจอหน้ากี่ที ๆ ก็ใส่เสื้อช็อปอยู่แบบนั้น แถมยังเลอะคราบดำ ๆ ของน้ำมันเครื่องอีกต่างหาก
และช่วงบ่ายถึงหัวค่ำของวันฉันก็เลยยังไม่ได้ไปเฝ้าพี่สิงห์ที่อู่อย่างที่ตั้งใจ แต่กลับต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นแบรนด์หรูระดับไฮเอนด์ และใส่ส้นสูงเหมือนเดิมเพื่อที่จะไปเดินชอปปิงกระเป๋าใบใหม่กับยัยเพื่อนบ้าที่ตั้งใจมาหากันเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
เราสองคนรูดบัตรหมดกันคนละสองแสน จนป๊าถึงกับโทรมาด่าฉันจนหูแทบชา แต่ก็นั่นแหละรูดไปแล้วจะทำอะไรได้… ยิมเอาแต่หัวเราะตอนที่ฉันถูกป๊าบ่น มันรู้ดีว่าฉันไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ แต่มีปัญหาที่ป๊าค่อนข้างซีเรียสเรื่องการใช้เงินเป็นกระดาษมากกว่า และฉันเองก็รู้สึกว่าพักหลัง ๆ ฉันจะใช้เงินเยอะไปหน่อยอยู่เหมือนกัน
“ให้ไปส่งไหม? คุณนลินจะนั่งแท็กซี่จริง?” ยิมมองมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนักเมื่อเห็นฉันโบกมือไล่ให้มันรีบกลับ ๆ ไปซะที
“เออน่า… ไปถึงอู่แล้วเดี๋ยวขับรถกลับ”
“งั้นถึงบ้านแล้วโทรบอกด้วยนะ”
ฉันไม่ตอบแต่รีบโบกมือไล่เพื่อน เพราะแท็กซี่มาถึงแล้ว พอร์ช911คันเดิมเคลื่อนตัวออกไป หลังจากนั้นฉันก็หิ้วถุงกระดาษใบใหญ่หลายใบขึ้นแท็กซี่อย่างทุลักทุเล และใช้เวลาไม่นานก็มาถึงอู่จนได้ แต่ดูเหมือนจะเลยเวลาทำการอีกแล้ว เพราะประตูเหล็กบานเดิมลดลงเหลือแค่ครึ่งหนึ่ง
ฉันรีบลงจากแท็กซี่แล้วมองหาไอ้มอเตอร์ไซค์ซังกะบ๊วยคันนั้นแต่กลายเป็นว่าวันนี้มันไม่อยู่…
อย่างนี้พี่สิงห์ก็กลับไปแล้วน่ะสิ… ยังไม่ทันจะสามทุ่มเลยด้วยซ้ำ…
แต่ก่อนที่ฉันจะได้งอแงขี้มูกโป่งขาของใครคนหนึ่งก็เดินมาถึงหน้าประตูพร้อมเลื่อนประตูอู่เปิดขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงของพี่สิงห์ยืนเท้าสะเอวมองหน้าฉันนิ่ง ๆ เหมือนรู้อยู่แล้วว่าลูกค้าคนไหนที่จะมารับรถดึก ๆ ดื่น ๆ ป่านนี้ ฉันคลี่ยิ้มกว้างให้เขาพร้อมทั้งเดินผ่านร่างสูงเข้าไปด้านในอย่างร่าเริง
“ไม่มารับพรุ่งนี้เลยล่ะ” เสียงประชดดังตามหลังมา ทำมาพูด… แต่ก็ยังรอไม่ใช่เรอะ!
“ก็แล้วทำไมพี่รอลินล่ะ?” ฉันหมุนตัวกลับไปถาม เมื่อวางของลงบนโต๊ะเสร็จแล้ว และก็เพิ่งสังเกตว่าวันนี้คนหล่ออยู่ในชุดไปรเวตสีดำทั้งชุด ซ้ำยังดูสะอาดสะอ้านไม่ได้มีคราบดำ ๆ เปื้อนหน้าเปื้อนแขนเหมือนเมื่อวันที่ผ่านมา
และใช่… พี่มันหล่อขึ้นเป็นกอง!
“ไม่ได้รอ” เสี้ยวหน้าหล่อทำเป็นเมิน แต่ก็เดินไปคว้ากุญแจรถของฉันมาให้พร้อมเอ่ยปากไล่เสร็จสรรพครบสูตร “เสร็จแล้วก็กลับได้แล้ว”
“เดี๋ยวสิ…” ฉันปั้นหน้าบึ้ง พยายามจะหาเรื่องคุย “แล้วรถพี่ไปไหนซะล่ะ?”
“ไม่ได้เอามา” พี่สิงห์เดินไปที่ประตูเปิดให้สูงขึ้นอีก เพื่อที่จะให้ฉันถอยรถออกง่าย ๆ “จะไปทำงานต่อ”
“ทำงาน?” ฉันเบิกตาโต มองคนตรงหน้าอย่างอึ้ง ๆ ที่ทำทุกวันนี้ก็ดูเหมือนงานหนักมากแล้วนะ
“ใช่ เพราะงั้นรีบ ๆ ไปได้แล้ว”
“ทำที่ไหน? ทำอะไรอะ?” ฉันไม่สนใจคำไล่ แต่เดินเข้าไปกระแซะอยู่ใกล้ ๆ แทน
“…” คนหล่อมองหน้ากัน แล้วเบนสายตาไปทางอื่นก่อนจะพึมพำเบา ๆ “เรื่องไรจะบอก บอกแล้วเดี๋ยวก็ตามไปอีก”
“ไม่บอกก็ตามอยู่ดี” ฉันพูดกลั้วหัวเราะ จนคนตรงหน้าเผลอหลุดยกยิ้มขึ้นมา แต่แล้วก็สับสีหน้ากลับมาเป็นปกติพร้อมกระแอม
“ไม่ต้องตาม จะทำงาน”
“แล้วจะไปยังไง? นั่งแท็กซี่?”
“เดิน” ว่าแล้วก็ทำเต๊ะท่าส่งสายตาไล่ “ทีนี้กลับได้ยัง? วันนี้ไม่ว่างคุยเล่น”
“เดินเนี่ยนะ? ไปกับลินสิเดี๋ยวไปส่ง” ฉันรีบเสนอตัว แต่พี่สิงห์กลับไม่สนใจ
“อย่ากวน คนยิ่งรีบ ๆ อยู่ด้วย”
“ก็ถ้าพี่ไม่ยอมให้ไปส่ง ก็ไม่ต้องไปมันทั้งคู่นั่นแหละ” ฉันบอกอย่างเอาแต่ใจ จนเขาทำหน้าเซ็งจัดอีกครั้ง
“ทำไมมันดื้อแบบนี้วะเนี่ย?”
“แค่ไปส่งเอง”
“…”
“ไม่งั้นลินก็จะยืนอยู่ตรงนี้แหละ พี่ก็ไม่ต้องปิดอู่ ไม่ต้องไปทำงาน”
“…”
“นิดเดียวเองน่า สัญญาว่าไม่วุ่นวาย”
“เออ… รีบถอยรถออกมาเลย”
ในที่สุดพี่สิงห์ก็โบกมือให้ฉันไปถอยรถอย่างรำคาญเต็มทน หน้าหล่อ ๆ ของเขาดูรำคาญขึ้นร้อยเท่าเห็นจะได้ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธนี่นา! ไม่เห็นจะดุเท่าไหร่เลย อีโธ่!!
เห็นไหมว่าตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก!
พี่สิงห์เด็กช่างคนดุกับคุณนลิน ตอนที่ 5สิบห้านาทีต่อมารถจอดนิ่งสนิทลงตรงหน้าร้านเหล้าแบบนั่งดื่มมีดนตรีสดร้านหนึ่ง ฉันเองก็ขับผ่านร้านนี้บ่อย ๆ แต่ไม่เคยได้มีโอกาสแวะมาเพราะยิมชอบเที่ยวผับมากกว่า พี่สิงห์หันมามองหน้ากันอีกครั้งบอกเสียงเครียด“กลับบ้านเลย เข้าใจ?”“อือฮึ” ฉันพยักหน้าพร้อมส่งยิ้มให้ คนข้าง ๆ ยังคงทำหน้าเหมือนไม่ไว้ใจกัน“ห้ามไปก่อกวนเวลาทำงาน?” ว่าแล้วก็ย้ำมาอีกที“รู้แล้วน่า รีบไปสิเดี๋ยวก็สายหรอก” ฉันทำเป็นโบกมือไล่“เออ”ร่างสูงเปิดประตูลงจากรถไปแล้ว แต่ยังคงยืนนิ่งโบกมือไล่กันอยู่อย่างนั้น ฉันพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ แล้วเริ่มเคลื่อนรถอีกครั้ง มองผ่านกระจกมองหลังยังเห็นว่าเจ้าตัวยืนอยู่ที่เดิมราวกับระแวงว่าฉันจะไม่ยอมกลับจริง ๆก็แหงสิ! เรื่องอะไรต้องกลับด้วย ไปวนรถมาอีกรอบก็ได้!ฉันทำเป็นขับรถตรงไปเรื่อย ๆ พอเห็นว่าเลยมาไกลพอสมควรก็หาที่กลับรถเพื่อจะกลับไปที่เดิมอีกครั้ง อยากรู้จะตายชักว่าทำงานเสริมอะไรอีก เรื่องอะไรต้องยอมกลับด้วยล่ะ…นี่ใคร นี่นลินนะ! ฉันเนี่ยเบอร์หนึ่งเรื่องดื้อเลยขอบอก!หลังจากหาที่จอดรถได้แล้ว ฉันก็เดินไปที่หน้าร้านเดิมที่พี่สิงห์เข้าไปเมื
พี่สิงห์เด็กช่างคนดุกับคุณนลิน ตอนที่ 101.30 น.ไม่อยากจะเชื่อ…ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ ว่าฉันจะต้องมายืนรอเพื่อนมารับตรงซอยเปลี่ยวในเวลาตีหนึ่งกว่า ๆ แบบนี้ โอเค… มันก็เป็นย่านที่คนพลุกพล่านนั่นแหละ แต่ทีนี้เพราะซอยอื่นรถมันเยอะฉันเลยโดนสั่งให้มายืนรอตรงซอยนี้แทนไม่มีใคร… ไม่มีรถผ่าน… มีก็แต่…ร่างสูงของใครคนหนึ่งกำลังมุดหัวออกมาจากประตูเลื่อนที่ปิดลงมาครึ่งหนึ่งของอู่ซ่อมรถขนาดใหญ่ มันดูเหมือนจะเลยเวลาทำการมานานแล้วทว่าแสงไฟจากในอู่เพิ่งจะดับลงเมื่อครู่นี้เอง เพราะความหวาดระแวงฉันเลยลอบสังเกตผู้ชายคนนั้นเงียบ ๆ ร่างสูงดูทะมัดทะแมง แข็งแรง และที่สำคัญ… ขนาดมองจากตรงนี้ยังเห็นได้ชัดว่าเขาโคตรพ่อโคตรแม่หล่อเลยจริง ๆใบหน้าติดจะหงุดหงิดชำเลืองมามองฉันที่ยืนอยู่ชิดฟุตพาทฝั่งตรงข้ามเงียบ ๆ ฉันเลยพลอยได้จ้องเขาถนัดขึ้น นัยน์ตาสีอ่อนดูแปลกใจที่มีผู้หญิงที่แต่งตัวจัดเต็มมายืนแกร่วอยู่แถวนี้แต่แล้วจมูกโด่งก็พ่นลมหายใจหนักจนได้ยินเสียงดังฟังชัด เขายืดตัวขึ้นเต็มความสูง ทำให้มองเห็นว่าเจ้าตัวอยู่ในเสื้อช็อปสีกรม เหมือนจะเรียนวิทยาลัยช่างในละแวกนี้ เขาเสยผมสีน้ำตาลเข้มขึ้นก่อนมือสองข้างจะลดล
พี่สิงห์เด็กช่างคนดุกับคุณนลิน ตอนที่ 2วันต่อมาวันนี้หลังจากเลิกเรียน ฉันก็ตั้งใจจะเอาของกินไปขอบคุณผู้ชายคนเมื่อวานที่อู่ซ่อมรถอู่เดิม แต่กลายเป็นว่าไม่เห็นหน้าหล่อ ๆ ของเขาเลย เห็นก็แต่ผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังทำงานกันอยู่ บางคนใส่เสื้อช็อปแบบเดียวกับที่เขาใส่ แต่บางคนก็อยู่ในชุดทำงานของอู่ มีตัวอักษรเขียนกำกับบนหลังเสื้อว่า…‘อู่เฮียเล้ง’“ติดต่ออะไรครับ?”“…”อาจเป็นเพราะว่าทุกคนหันมาเห็นฉันยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ด้านหน้า อาเฮียที่อยู่ข้างในเลยส่งเสียงบอกให้ช่างของอู่หนึ่งในนั้นเดินออกมาหา เขาตัวสูงพอ ๆ กับคนเมื่อวาน หน้าตาหล่อเหมือนกัน ซ้ำยังใส่เสื้อช็อปของวิทยาลัยเดียวกัน… แต่ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่คนนี้แน่นอน เพราะคนที่ว่าหน้านิ่งกว่านี้เยอะ…“มาหาคนรู้จักค่ะ” ฉันยิ้มตอบพร้อมทั้งชูถุงขนมแบรนด์ดังที่กำลังเป็นกระแสขึ้นมาให้คนตรงหน้าดู“ใครครับ?” เขาไม่ได้มองถุงขนมราคาแพงแต่เลิกคิ้วถามอีกครั้งพร้อมหันไปมองเพื่อน ๆ ตัวเองอย่างข้องใจ “ไม่น่ามีใครที่นี่รู้จักกับคุณนะ”“มีสิ… คนที่หล่อ ๆ ตัวสูง ๆ หน้านิ่ง ๆ หน่อย” ฉันพยายามให้ข้อมูล ซึ่งมันก็ดูไม่ได้ช่วยอะไรมากเท่าไหร่“พ
พี่สิงห์เด็กช่างคนดุกับคุณนลิน ตอนที่ 3วันต่อมา…“รีบไปไหน?”เสียงของยิมเพื่อนสนิทเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นว่าฉันคว้ากระเป๋า GUCCI คอลเลกชันใหม่ล่าสุดมาสะพายเตรียมตัวจะกลับ สายตาจับผิดมองมาอย่างทะลุปรุโปร่ง ร่างแบบบางของมันขยับตัวลุกขึ้นจากโต๊ะเลกเชอร์ พร้อมสะบัดเรือนผมยาวสยายไปด้านหลังเรียกสายตาจากหนุ่ม ๆ ในคลาสได้มากโข ก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้ามาคล้องแขนฉันไว้“ว่าไงจ๊ะ? ไปตกหลุมรักผู้ชายที่ไหนอีก?” เสียงประชดประชันถามเค้นมาอีกรอบตา นัยน์ตาสีอ่อนฉายแววขบขันอย่างรู้ทันนิสัยกันฉันถึงกับหัวเราะออกมา ราวกับว่ามันอ่านใจฉันได้หมดทุกซอกทุกมุม ก็ใช่หรอก… ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเป็นแบบนี้ เวลาฉันชอบใครก็มักจะวิ่งเข้าใส่ทุกที และอาการเดิม ๆ ก็คือรีบกลับเพื่อจะไปหาผู้ชายคติพจน์ของเราก็คือผู้ชายมาก่อนเสมอ ยังไงเพื่อนก็ไม่ไปไหนอยู่แล้ว… ใช่! เราทั้งคู่มันคนแรดแบบนี้แหละ“คนนี้ฉันรู้จักไหม?” มันยังไม่เลิกกระแซะถาม ฉันเลยส่ายหน้าตอบ“ไม่หรอก”“เจอที่ไหน? ที่มอ.หรือเปล่า? คณะฯ อะไร?”“ใจเย็น… ไม่ได้เรียนที่นี่หรอก”“แล้ว?”“เจอตามข้างทาง” ฉันบอกไปตามจริง แต่ไม่คิดจะเล่ารายละเอียดอะไรให้ฟังมากนัก“หืม? คุณน
พี่สิงห์เด็กช่างคนดุกับคุณนลิน ตอนที่ 5สิบห้านาทีต่อมารถจอดนิ่งสนิทลงตรงหน้าร้านเหล้าแบบนั่งดื่มมีดนตรีสดร้านหนึ่ง ฉันเองก็ขับผ่านร้านนี้บ่อย ๆ แต่ไม่เคยได้มีโอกาสแวะมาเพราะยิมชอบเที่ยวผับมากกว่า พี่สิงห์หันมามองหน้ากันอีกครั้งบอกเสียงเครียด“กลับบ้านเลย เข้าใจ?”“อือฮึ” ฉันพยักหน้าพร้อมส่งยิ้มให้ คนข้าง ๆ ยังคงทำหน้าเหมือนไม่ไว้ใจกัน“ห้ามไปก่อกวนเวลาทำงาน?” ว่าแล้วก็ย้ำมาอีกที“รู้แล้วน่า รีบไปสิเดี๋ยวก็สายหรอก” ฉันทำเป็นโบกมือไล่“เออ”ร่างสูงเปิดประตูลงจากรถไปแล้ว แต่ยังคงยืนนิ่งโบกมือไล่กันอยู่อย่างนั้น ฉันพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ แล้วเริ่มเคลื่อนรถอีกครั้ง มองผ่านกระจกมองหลังยังเห็นว่าเจ้าตัวยืนอยู่ที่เดิมราวกับระแวงว่าฉันจะไม่ยอมกลับจริง ๆก็แหงสิ! เรื่องอะไรต้องกลับด้วย ไปวนรถมาอีกรอบก็ได้!ฉันทำเป็นขับรถตรงไปเรื่อย ๆ พอเห็นว่าเลยมาไกลพอสมควรก็หาที่กลับรถเพื่อจะกลับไปที่เดิมอีกครั้ง อยากรู้จะตายชักว่าทำงานเสริมอะไรอีก เรื่องอะไรต้องยอมกลับด้วยล่ะ…นี่ใคร นี่นลินนะ! ฉันเนี่ยเบอร์หนึ่งเรื่องดื้อเลยขอบอก!หลังจากหาที่จอดรถได้แล้ว ฉันก็เดินไปที่หน้าร้านเดิมที่พี่สิงห์เข้าไปเมื
พี่สิงห์เด็กช่างคนดุกับคุณนลินตอนที่ 4จนแล้วจนรอดฉันก็ยังคงคอนเซ็ปต์ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกอยู่ดี…ตอนนี้พี่สิงห์ทำงานเสร็จแล้ว และกำลังยืนกินมาม่าคัพอยู่ตรงเคาน์เตอร์ชงกาแฟลูกค้า ร่างสูงยืนกินไปมองหน้าฉันไปเงียบ ๆ โดยไม่คิดจะชวนกันสักแอะ…หลังจากกินเสร็จก็เดินผ่านหน้าฉันไปคว้ากุญแจมอเตอร์ไซค์ที่แขวนอยู่ตรงล็อกเกอร์ เสียงพ่นลมหายใจดังขึ้นเป็นรอบที่หนึ่งล้าน แล้วเสียงเรียบก็เอ่ยขึ้น“ออกมาได้แล้วจะปิดร้าน”ไม่ต้องบอกก็รู้หรอกน่า… ฉันมุดหัวออกทางประตูเหล็กที่ปิดลงมาแล้วครึ่งหนึ่ง ยืนนิ่งรอเขาล็อกประตู“เดี๋ยวเรียกแท็กซี่ให้” ว่าแล้วก็หันมาบอก พร้อมเลื่อนมือถือไปด้วย“อะไรอะ? นี่รอตั้งนานจะส่งขึ้นแท็กซี่?” ฉันร้องเสียงหลง พร้อมชี้นิ้วไปยังไอ้มอเตอร์ไซค์บุโรทั่งของเขา “จะนั่งไอ้นี่กลับ”“…” เจ้าตัวทิ้งแขนข้างที่ถือโทรศัพท์ลงข้างตัว สายตารำคาญมองมาอีกครั้งก่อนจะประชด “อยากนั่งไอ้แก่นี่นักรึไง?”“ใช่ อยากมาก” ฉันรีบบอกพร้อมขยับเข้าไปใกล้ไอ้แก่ที่ว่า พร้อมกับลูบ ๆ คลำ ๆ แสดงความต้องการ“…”เจ้าของไอ้แก่ยัดมือถือใส่เสื้อช็อป แล้วเดินมาถอยรถออกจากซองจอดเงียบ ๆ ราวกับเบื่อที่จะเถียงอะไรกับฉันแ
พี่สิงห์เด็กช่างคนดุกับคุณนลิน ตอนที่ 3วันต่อมา…“รีบไปไหน?”เสียงของยิมเพื่อนสนิทเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นว่าฉันคว้ากระเป๋า GUCCI คอลเลกชันใหม่ล่าสุดมาสะพายเตรียมตัวจะกลับ สายตาจับผิดมองมาอย่างทะลุปรุโปร่ง ร่างแบบบางของมันขยับตัวลุกขึ้นจากโต๊ะเลกเชอร์ พร้อมสะบัดเรือนผมยาวสยายไปด้านหลังเรียกสายตาจากหนุ่ม ๆ ในคลาสได้มากโข ก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้ามาคล้องแขนฉันไว้“ว่าไงจ๊ะ? ไปตกหลุมรักผู้ชายที่ไหนอีก?” เสียงประชดประชันถามเค้นมาอีกรอบตา นัยน์ตาสีอ่อนฉายแววขบขันอย่างรู้ทันนิสัยกันฉันถึงกับหัวเราะออกมา ราวกับว่ามันอ่านใจฉันได้หมดทุกซอกทุกมุม ก็ใช่หรอก… ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเป็นแบบนี้ เวลาฉันชอบใครก็มักจะวิ่งเข้าใส่ทุกที และอาการเดิม ๆ ก็คือรีบกลับเพื่อจะไปหาผู้ชายคติพจน์ของเราก็คือผู้ชายมาก่อนเสมอ ยังไงเพื่อนก็ไม่ไปไหนอยู่แล้ว… ใช่! เราทั้งคู่มันคนแรดแบบนี้แหละ“คนนี้ฉันรู้จักไหม?” มันยังไม่เลิกกระแซะถาม ฉันเลยส่ายหน้าตอบ“ไม่หรอก”“เจอที่ไหน? ที่มอ.หรือเปล่า? คณะฯ อะไร?”“ใจเย็น… ไม่ได้เรียนที่นี่หรอก”“แล้ว?”“เจอตามข้างทาง” ฉันบอกไปตามจริง แต่ไม่คิดจะเล่ารายละเอียดอะไรให้ฟังมากนัก“หืม? คุณน
พี่สิงห์เด็กช่างคนดุกับคุณนลิน ตอนที่ 2วันต่อมาวันนี้หลังจากเลิกเรียน ฉันก็ตั้งใจจะเอาของกินไปขอบคุณผู้ชายคนเมื่อวานที่อู่ซ่อมรถอู่เดิม แต่กลายเป็นว่าไม่เห็นหน้าหล่อ ๆ ของเขาเลย เห็นก็แต่ผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังทำงานกันอยู่ บางคนใส่เสื้อช็อปแบบเดียวกับที่เขาใส่ แต่บางคนก็อยู่ในชุดทำงานของอู่ มีตัวอักษรเขียนกำกับบนหลังเสื้อว่า…‘อู่เฮียเล้ง’“ติดต่ออะไรครับ?”“…”อาจเป็นเพราะว่าทุกคนหันมาเห็นฉันยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ด้านหน้า อาเฮียที่อยู่ข้างในเลยส่งเสียงบอกให้ช่างของอู่หนึ่งในนั้นเดินออกมาหา เขาตัวสูงพอ ๆ กับคนเมื่อวาน หน้าตาหล่อเหมือนกัน ซ้ำยังใส่เสื้อช็อปของวิทยาลัยเดียวกัน… แต่ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่คนนี้แน่นอน เพราะคนที่ว่าหน้านิ่งกว่านี้เยอะ…“มาหาคนรู้จักค่ะ” ฉันยิ้มตอบพร้อมทั้งชูถุงขนมแบรนด์ดังที่กำลังเป็นกระแสขึ้นมาให้คนตรงหน้าดู“ใครครับ?” เขาไม่ได้มองถุงขนมราคาแพงแต่เลิกคิ้วถามอีกครั้งพร้อมหันไปมองเพื่อน ๆ ตัวเองอย่างข้องใจ “ไม่น่ามีใครที่นี่รู้จักกับคุณนะ”“มีสิ… คนที่หล่อ ๆ ตัวสูง ๆ หน้านิ่ง ๆ หน่อย” ฉันพยายามให้ข้อมูล ซึ่งมันก็ดูไม่ได้ช่วยอะไรมากเท่าไหร่“พ
พี่สิงห์เด็กช่างคนดุกับคุณนลิน ตอนที่ 101.30 น.ไม่อยากจะเชื่อ…ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ ว่าฉันจะต้องมายืนรอเพื่อนมารับตรงซอยเปลี่ยวในเวลาตีหนึ่งกว่า ๆ แบบนี้ โอเค… มันก็เป็นย่านที่คนพลุกพล่านนั่นแหละ แต่ทีนี้เพราะซอยอื่นรถมันเยอะฉันเลยโดนสั่งให้มายืนรอตรงซอยนี้แทนไม่มีใคร… ไม่มีรถผ่าน… มีก็แต่…ร่างสูงของใครคนหนึ่งกำลังมุดหัวออกมาจากประตูเลื่อนที่ปิดลงมาครึ่งหนึ่งของอู่ซ่อมรถขนาดใหญ่ มันดูเหมือนจะเลยเวลาทำการมานานแล้วทว่าแสงไฟจากในอู่เพิ่งจะดับลงเมื่อครู่นี้เอง เพราะความหวาดระแวงฉันเลยลอบสังเกตผู้ชายคนนั้นเงียบ ๆ ร่างสูงดูทะมัดทะแมง แข็งแรง และที่สำคัญ… ขนาดมองจากตรงนี้ยังเห็นได้ชัดว่าเขาโคตรพ่อโคตรแม่หล่อเลยจริง ๆใบหน้าติดจะหงุดหงิดชำเลืองมามองฉันที่ยืนอยู่ชิดฟุตพาทฝั่งตรงข้ามเงียบ ๆ ฉันเลยพลอยได้จ้องเขาถนัดขึ้น นัยน์ตาสีอ่อนดูแปลกใจที่มีผู้หญิงที่แต่งตัวจัดเต็มมายืนแกร่วอยู่แถวนี้แต่แล้วจมูกโด่งก็พ่นลมหายใจหนักจนได้ยินเสียงดังฟังชัด เขายืดตัวขึ้นเต็มความสูง ทำให้มองเห็นว่าเจ้าตัวอยู่ในเสื้อช็อปสีกรม เหมือนจะเรียนวิทยาลัยช่างในละแวกนี้ เขาเสยผมสีน้ำตาลเข้มขึ้นก่อนมือสองข้างจะลดล