“มีนไม่ได้มองนะคะมีนไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” น้ำเสียงหนักแน่น หากแต่มนต์มีนากลับหลบสายตาจับผิดของอีกฝ่าย
เลิ่กลั่กน่าดู
“ก็ดี เพราะฉันไม่อยากให้ใครเห็นรอยสักที่หน้าท้อง”
“หน้าท้องเฮียไม่มีรอยสักนี่คะ”
บิงโก...
เขามองเธอพร้อมกับพูดประโยคนี้อยู่ในใจแน่ ๆ
ให้ตายสิมีน เอ้ย! มีน แกจะปากไวเอาโล่เหรอ
“ไหนว่าเมื่อกี้ไม่ได้มองไง” แม้ว่ามนต์มีนาจะอาศัยอยู่บ้านเขาหลายปีแล้ว แต่เขาก็มั่นใจว่าไม่เคยเดินถอดเสื้อเพ่นพ่านในบ้าน
“มีนยอมรับก็ได้ค่ะว่ามีนเห็นตอนที่เฮียถอดเสื้อ แต่เฮียเล่นยืนถอดเสื้ออยู่กลางห้องแบบนั้นเป็นใครก็ต้องเห็นไหมคะ” สองแก้มยังคงผ่าวร้อนหัวใจเต้นผิดจังหวะไปหลายระดับ
เขาคือผู้ชายที่เธอแอบชอบ ต่อให้ไม่มีเรื่องนี้ หัวใจเธอก็เต้นรัวเร็วทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ ๆ
“กำลังจะบอกว่าเป็นความผิดของฉัน?” เขาดูไม่พอใจคำตอบของเธอสักเท่าไหร่ หนำซ้ำยังขยับเข้าไปใกล้เธอจนเนื้อตัวแทบจะชิดกัน
“เปล่าค่ะ มีนไม่ได้หมายความแบบนั้น” หญิงสาวอ้อมแอ้มตอบ หลุบสายตามองพื้นยอมรับผิดกลาย ๆ จังหวะนั้นเธอถึงมองเห็นว่าพิชยะไม่ได้ติดกระดุมเสื้อเม็ดล่าง หน้าท้องเต็มไปด้วยมัดกล้ามจึงปรากฏแก่สายตาเธอในระยะเผาขน
“มองอะไร” น้ำเสียงเข้มเอ่ยออกมาไม่เหมือนคนที่กำลังต่อว่าแต่เหมือนคนกำลังจับผิดมากกว่า
“เปล่าค่ะ มีนไปมหา’ ลัยก่อนนะคะ” คนตัวเล็กหันหลังให้ชายหนุ่มทันทีแต่ก็ถูกีกฝ่ายคว้าแขนเอาไว้ได้ทัน
“แอบเข้ามาในห้องคนอื่นแล้วจะออกไปง่าย ๆ ได้ไง” ไอร้อนผ่าวจากร่างสูงตามมาแนบชิดแผ่นหลังบอบบาง ดันให้มนต์มีนาจนมุมที่บานประตู มือแข็งแรงบีบข้อมือข้างที่กำลังคว้าจับ อีกข้างกดแขนเธอไว้แนบเอวบาง เหมือนกำลังกอดเธอกลาย ๆ
“ฉันควรจะบอกกฎระเบียบในการอยู่บ้านหลังนี้ให้เธอรู้ตั้งแต่แรกสินะ” ชายหนุ่มกระซิบชิดกับซอกคอขาวเนียน กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายหญิงสาวยั่วยวน ยังไม่ทันจรดจมูกสูดดมกลิ่นจนพอใจ มนต์มีนาก็เบี่ยงคอหนี เอี้ยวตัวมาถามเสียงสั่น
“กฎอะไรเหรอคะ” ใช่ว่าเธอจะไม่เคยสอบถามเรื่องนี้จากพิชชาหรือไม่รู้กาลเทศะว่าอะไรควรไม่ควรเมื่อมาอาศัยอยู่บ้านคนอื่น พิชยะถึงต้องพูดประโยคเช่นนี้ออกมาราวกับว่าที่ผ่านมาเธอปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม
“ก็กฎการอยู่ร่วมกันกับฉันไง” หูเธอไม่ฝาดแน่นะ เขาควรใช้คำว่า กฎในการอยู่บ้านหลังนี้ ถึงจะถูกสิ นัยน์ตาของชายหนุ่มเข้มขึ้นจนมนต์มีนาเริ่มรู้สึกผิดแปลก
พิชชะทำตัวแปลกไปจากทุกวัน หรือเป็นเพราะเธอถือวิสาสะเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเขา
ยัยเพื่อนตัวดี หาเรื่องให้เธอแล้วไง
“กฎอะไรคะ ต่อไปมีนจะได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด” มนต์มีนาสำนึกในควาผิดของตนเอง ทว่าคำพูดจากใจของเธอยิ่งกระตุ้นให้พิชยะอยากดอมดมดอกไม้ช่อนี้
“กฎของฉันก็คือ ต่อไปนี้ห้ามเธอหลบสายตาของฉัน”
“คะ?” เธอมองชายหนุ่มด้วยความงุนงง การสบสายตาของเขามันกลายเป็นกฎระเบียบในการอาศัยอยู่ที่นี่ไปได้ยังไง
“มีใครเคยบอกไหมว่าเวลาเธอทำหน้าตกใจแล้ว…น่ารักดี” มนต์มีนาเหมือนถูกมนต์ตราสะกดด้วยประโยคคำถามเมื่อครู่ เขาพูดไปอย่างนั้นเองหรือว่าเธอจะน่ารักในสายตาของเขาจริง ๆ
ดีที่เธอแต่งหน้าไปเรียนจัดกว่าทุกวัน มองจากผิวแก้มเขาคงไม่มีทางรู้เลยว่าเธอกำลังรู้สึกเขินกับคำพูดที่อาจจะไม่ได้มีความหมายซ่อนอยู่ ทว่าใบหูบอบบางของเธอก็ช่างซื่อตรง ไม่อาจซ่อนสีแดงแจ๋จากความอายเอาไว้ได้
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะทำความเข้าใจกับการกระทำของอีกฝ่ายในเช้านี้ พิชยะก็สอดแขนช้อนแผ่นหลังรั้งร่างหอมกรุ่นเข้าใกล้จนอกอวบแนบชิดสนิทกับแผงอกกว้าง ริมฝีปากร้อนผ่าวเข้าครอบครองริมฝีปากบางสีแดงสด
ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนจะผละออกจากชายหนุ่ม แต่พิชยะก็ใช้ฝ่ามืออีกข้างรั้งท้ายทอยบังคับให้เธอรับจูบที่แสนเอาแต่ใจ
ริมฝีปากของหญิงสาวราวกับมีมนต์สะกด พิชยะเลาะชิมดูดดึงริมฝีปากคนตัวเล็กเบา ๆ เพื่อเป็นกลยุทธ์ในการให้เธอเผยอปากออก แล้วค่อยส่งลิ้นเร่าร้อนของตนเองไปกวาดไล้ หยอกเย้ากับปลายลิ้นที่เต็มไปด้วยรสชาติหวานหอม
หลายอึดใจกว่าที่จุมพิตของศัลยแพทย์หนุ่มจะหยุดลง
“จูบนี้เป็นการทำโทษที่เมื่อกี้เธอหลบสายตาของฉัน” ยังคลอเคลียอยู่ไม่ห่างจากริมฝีปากวาว ลูบไล้เบา ๆ ที่สะโพกหนั่นแน่นผ่านเนื้อผ้าของกระโปรงนักศึกษา อารมณ์อยากรู้อยากลองก่อนหน้านี้หายไปหมด เหลือเพียงความกระหายใคร่ อยากครอบครอง
มนต์มีนายืนอยู่ได้เพราะพิชยะช่วยพยุงรั้งเธอไว้ ในสมองของเธอประมวลผลช้าลงไปหลายระดับเพราะการกระทำของชายหนุ่มตรงหน้า
พอเขาจะก้มลงมาหาอีกรอบเธอก็เม้มเก็บริมฝีปาก หดคอให้หน้าผากยันกับอกกว้าง ในขณะที่สมองยังคงงุนงง
พิชยะเข้าใจการตอบสนองของมนต์มีนาในตอนนี้ดี ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยแสดงท่าทีอะไรกับเธอมา
เรียกว่าเป็นเสือที่เก็บเขี้ยวซ่อนเล็บไว้ ดูไม่มีพิษมีภัย
แต่เหตุผลที่ทำให้เขาเผยเขี้ยวเล็บให้เธอเห็น เป็นเพราะหลายวันก่อน เขาบังเอิญไปได้ยินอะไรเข้า
ชายหนุ่มเชยคางของหญิงสาวขึ้นให้สบตา ลิปสติกสีแดงของเธอเปรอะเลอะขอบปาก ดวงตาคู่สวยอ่อนไหวสั่นระริกอย่างเห็นได้ชัด
เธอคงกำลังตั้งคำถามกับเขามากมาย
ยังหรอก นี่มันแค่เริ่มต้น
เป็นว่าเขาได้ถูกใจใครแล้ว ไม่มีทางจะปล่อยให้หลุดมือ จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
ร้ายนะคูมหมอ
ก้าวเข้ามานั่งในรถแท็กซี่มนต์มีนาถึงได้รู้ว่าเนื้อตัวเธอสั่นเทา ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายเต้นรัวราวกลองรบ มองกระจกรถส่องหลังก็พบว่าสีแดงของลิปสติกแทบไม่หลงเหลืออยู่ มีเพียงรอยบวมเจ่อและสีแดงเรื่อจากการบดจูบของเขาเธอเพิ่งถูกพิชยะจูบจริง ๆ เหรอเธอเพียงแค่ฝันไปหรือยังไงกันแน่ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วไปหมดแม้การจูบ จะถือเป็นเรื่องธรรมดาของชายหญิงปัจจุบันนี้ แต่การที่เธอถูกพิชยะจูบ ถือเป็นเรื่องใหญ่หลวงในชีวิตจะทำยังไงดี กระทั่งตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถลืมรสจูบวาบหวามนั้นลงได้แต่ระหว่างเขากับแฟนสาวที่ชื่อรสสราคนนั้นล่ะสาเหตุที่พิชยะกลับมาทำงานที่นี่ก็เพราะทั้งสองคนเลิกรากันแล้ว มันมีมูลความจริงสักแค่ไหน เพราะเท่าที่เธอรู้พิชยะไม่เคยปริปากพูดถึงเรื่องนี้วันเกิดของพิชชาจัดขึ้นที่บ้านกิจธาดาวงศ์ในคืนวันเสาร์ของสัปดาห์ถัดมา ด้วยเจ้าของงานเน้นเป็นธีมชุดราตรี สุภาพบุรุษมาในชุดทักซิโด้ เพื่อน ๆ จึงแต่งตัวชนิดไม่มีใครยอมใครคุณมนูญกับคุณเพ็ญพิชย์มอบหมายให้บุตรสาวคนเล็กอยู่ในความดูแลของลูกชายคนโต ปาร์ตี้วันเกิดค่ำคืนนี้เขาเลยต้องนั่งคุมเป็นผู้ปกครองงานสังสรรค์ที่มีสาว ๆ สวย ๆ มากันเพียบ งานนี้หมอธนาจึ
“หวงก้างอะไรของมึง ไร้สาระ” พิชยะปฏิเสธออกไปทันทีแต่ก็ไม่ได้สะทกสะท้านกับท่าทีของเพื่อน หากแต่ภายในใจก็ยอมรับกลาย ๆ ตั้งแต่คืนนั้น…เขาก็รู้สึกอยากจะรู้จักตัวตนของมนต์มีนาให้มากกว่านี้“มึงอย่ามาปฏิเสธซะให้ยาก มึงก็เห็นไอ้ภิมแล้วไม่ใช่เหรอวะ ตอนแรก ๆ ก็ปฏิเสธกูเสียงแข็งแบบนี้แหละ สุดท้ายเป็นไง ทุกวันนี้หลงเมียจนโงหัวไม่ขึ้น หลงเมียจนลืมเพื่อนลืมฝูง ชวนไปเที่ยวก็ไม่ค่อยอยากจะไป” ใส่อารมณ์สุด ๆ เหมือนคนที่เก็บกดมานานแล้วได้ระบายออกมา ในขณะที่พิชยะนิ่งไป แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะยอมรับซะทีเดียวเขากับพิธาต่างกันลิบลับ…“เชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของมึง” เจ้าของร่างสูงลุกขึ้นยืนถือแก้ววิสกี้เดินออกไปจากงาน หมอธนามองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มอย่างคนกำลังใช้ความคิดถ้างานนี้พิชยะหมายจะตะครุบเหยื่อตัวเดียวกับเขา เขาจะไม่ยอมอ่อนข้อให้แน่เวลาล่วงเลยไปกระทั่งสามทุ่มเศษ ๆ ปาร์ตี้ฉลองวันเกิดลูกสาวคนเล็กของบ้านกิจธาดาวงศ์ยังคงครึกครื้น เสียงเพลงจังหวะเร้าอารมณ์ประกอบกับแอลกอฮอล์รสชาติขมปร่า ทำให้พิชชาและพวกเพื่อน ๆ ของเธอเริ่มจะเมากันบ้างแล้วหากแต่ทุกคนก็ยังอยากสนุกต่อ ระหว่างที่กำลังวาดลีลาอย่างไม่มีใครยอมใค
“กติกามีอยู่ว่า…ถ้าเป็นผู้ชายจับได้กระดาษใบนี้ต้องจูบกับยัยฟินน์ต่อหน้าทุกคน แต่ถ้าเป็นผู้หญิงจับได้…ต้องไปจูบพี่ชายของยัยฟินน์ที่นั่งอยู่ตรงโน้น” ทุกคนต่างพากันอึ้งหลังจากได้ฟังกติกาพิเรนทร์ ๆ ที่หนึ่งในพวกเขาเป็นคนคิดขึ้นมา ก่อนจะหันไปมองแขกรับเชิญพิเศษของกติกา ลุ้นว่าเจ้าตัวจะยอมมาร่วมสนุกด้วยหรือจะลุกขึ้นมาอบรมพวกตนเพราะตามกติกานั่นแปลว่า มนต์มีนาจะต้องเข้าไปจูบพิชยะต่อหน้าของทุกคน“ใครคิดกติกานี้วะ” หลังจากตรวจสอบข้อความในกระดาษแล้วพิชชาก็จ้องหน้าทีละคน ไม่เห็นด้วยที่พวกเพื่อนดึงคนอื่นเข้ามาเอี่ยวโดยไม่ยอมบอกตนหรือขออนุญาตพิชยะก่อน แต่ก็ไม่มีใครรับสารภาพ“ถ้ามีนไม่อยากทำก็จับใหม่ได้นะ” พิชชาพูดขึ้น“เฮ้ย! ได้ไง กติกาเป็นกติกาดิวะ” หนุ่มนักศึกษาคนหนึ่งแย้งขึ้นกลางวงก่อนจะรีบชูสามนิ้วเมื่อถูกเจ้าของวันเกิดเล็งสายตามาที่ตนเอง“กูเปล่านะเว้ยฟินน์กูไม่ได้เป็นคนคิดกติกานี้นะเว้ย จะให้กูไปสาบานวัดไหนหรือสาบานต่อหน้าศาลพระภูมิบ้านมึงตอนนี้เลยก็ได้”“มึงก็อย่าซีเรียสสิวะฟินน์ พี่มึงยังไม่เห็นจะว่าอะไรเลย เอางี้งั้นก็จับใหม่ แต่ตามกติกาคนที่ถูกจับชื่อขึ้นมาแล้วไม่ทำตามรอบหน้าก็เล่นไม่ได้แล
“เห็นแก่ที่วันนี้เป็นวันเกิดของน้องสาวสุดที่รัก จะยอมเสียเวลาสักวันก็ได้” ใบหน้ายังคงเรียบเฉย ดวงตาคมคายปราศจากความเจ้าเล่ห์แสนกลทั้งที่จริงแล้วพิชยะแทบจะรอจุมพิตจากมนต์มีนาไม่ไหวอยากรู้ว่ารสจูบของเธอจะพัฒนาขึ้นจากคราวที่แล้วไหมแม้จะมีบางส่วนอยากให้เธอปฏิเสธแต่พอได้ยินแบบนั้นต่างก็ส่งเสียงเชียร์ให้หญิงสาวรับคำท้ามนต์มีนาใช้เวลาตรึกตรองครู่เดียวก็ผละมือตัวเองออกจากมือของพิชชาและขอให้เพื่อนเข้าใจเธอในการตัดสินใจครั้งนี้ร่างบางระหงในชุดราตรีสั้นสีเงินเดินตรงไปหาเป้าหมายก่อนจะหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของศัลยแพทย์หนุ่มพิชยะละสายตาจากแก้ววิสกี้ในมือแล้วโฉบสายตาขึ้นไปจ้องใบหน้านวลเนียนนิ่ง ไม่ต่างจากสัตว์ป่าดุร้ายที่รอคอยเหยื่อมาแรมปีทว่ามนต์มีนากลับคาดเดาสายตาลุ่มลึกของอีกฝ่ายไม่ออกหญิงสาวผ่อนลมหายใจเข้าลึกอยู่หลายหนในการเตรียมใจไม่สิ ในการตระเตรียมริมฝีปากต่างหากเธอกำลังคิดว่าจูบของพวกเพื่อน ๆ หมายถึง…แค่แตะริมฝีปากลงไปหรือเธอต้องสอดลิ้นเข้าไปด้วยนะ???แต่เอ๊ะ! กติกาก็ไม่ได้ระบุไว้สักหน่อยนี่ เอาเป็นว่าเธอแค่เอาปากค้างไว้ที่ปากของพิชยะก็น่าจะพอแล้วใช่ เอาตามนี้แหละ เพื่อเงินสองหมื่
“ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ” เสียงทุ้มดังไล่หลังทำให้เท้าทั้งสองข้างของเธอหยุดโดยอัตโนมัติ มนต์มีนาค่อย ๆ หันกลับไปมองชายหนุ่ม“มีอะไรเหรอคะ” เธอยิ้มน้อย ๆ ภายใต้แสงไฟสลัวราง ศัลยแพทย์หนุ่มยกยิ้มที่มุมปากแล้วก้าวเข้าไปหาร่างเล็ก หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของหญิงสาวเหมือนกับที่เขาเพิ่งจะถูกเธอกระทำ“เปล่า แค่จะบอกว่า…” มือเล็กกอบกำเข้าหากันเมื่อชายหนุ่มโน้มตัวลงไปใกล้ น้ำเสียงพร่าแหบผสมกลิ่นเหล้าร้อนแรงดังชิดริมหู ใบหน้าสวยหวานผ่าวร้อนขึ้นมาทันทีที่พิชยะพูดประโยคนี้“จูบเมื่อกี้โคตรไม่ได้เรื่องเลย” การถูกคนที่แอบชอบพูดเรื่องแบบนี้ออกมาตรง ๆ ย่อมเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เธอก็ยอมรับความจริงตั้งใจจะเรียนหนังสือให้จบก่อนค่อยคิดเรื่องแฟน มนต์มีนาจึงไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครมาก่อนกระทั่งปีสุดท้ายในรั้วมหาฯลัยมาถึงมนต์มีนาจึงเริ่มคิดเรื่องความรัก อยากมีใครสักคนดูแลออกไปดูหนังทานข้าว ร่วมแชร์ทุกข์สุขให้กันและกันเหมือนหนุ่มสาวทั่วไป ตอนที่อคิณมาสารภาพความรู้สึกเธอจึงคิดจะให้โอกาสเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายจริงใจกับตนเองแต่พอพิชยะทำตัวแปลกไป เธอก็เริ่มลังเล...ไม่สิ ต้องบอกว่าเธอเริ่มรู้ใจตัวเองถึง
ดึกแล้วแต่มนต์มีนายังไม่หลับเธอกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนอน แหงนหน้ามองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ดวงจันทร์ที่ซ่อนอยู่หลังหมู่เมฆมืดดำทอแสงเข้ามากระทบหัวเตียงเป็นเงาสลัวราง'เตรียมรับมือไว้ด้วยนะ'ไม่ทันได้พูดอะไร พิชยะก็เดินออกไปโดยไม่เหลียวหลังมองมา เขาจงใจทำให้เธอกระวนกระวาย กระทั่งตอนนี้ก็ไม่อาจลบสายตาที่มองเธอในยามนั้นออกไปจากความคิดเมื่อคืนนี้นอนไม่ค่อยหลับด้วยมีเรื่องให้ขบคิด กว่าจะข่มตาลงหลับได้ก็เกือบรุ่งสาง เช้านี้มนต์มีนาจึงนอนตื่นสาย หญิงสาวลงมาข้างล่างจวนจะเจ็ดโมงเช้า“เมื่อคืนดื่มเยอะไปแหง ๆ วันนี้มีนถึงได้ตื่นสายแบบนี้” นาน ๆ ทีพิชชาจะลงมาก่อนจึงแซวขึ้น ก่อนจะหันไปบอกคนรับใช้ให้ตักข้าวใส่จานนาย ศร ที่ปกติจะดูแลงานสวนเสียมากกว่าต้องอยู่รับหน้าที่ทำทุกอย่างแทน เพราะภรรยากับน้องสาวออกไปทำธุระแต่เช้ามืด“คงงั้น” คลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนที่สายตาจะเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งทานข้าวอยู่ฝั่งตรงข้าม เช้านี้พิชยะไม่ได้ดูต่างไปจากเดิม เวลานั่งทานข้าวมักจะให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้า กาแฟและตำราแพทย์ ไม่ก็หนังสือพิมพ์ต่างประเทศมากกว่าจะมาร่วมวงสนทนา“ต้องเป็นเหล้าที่คิณให้มีนดื่มแน่เลย เห็นบอกเอาม
“โทษทีนะ ฉันยังไม่แก่แล้วอายุเท่าฉันเนี่ย เขาเรียกว่าเป็นวัยที่มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน สามารถดูแลตัวเองและคนอื่นได้ทั้งชีวิต เข้าใจ๊…” พูดจบศัลยแพทย์หนุ่มก็เดินออกไปจากโต๊ะอาหารไม่เหมือนคนที่กำลังร้อนตัวสักนิดเห็นท่าทางน่าหมั่นไส้พิชชาก็แต่กำหมัดขึ้นแทบอยากจะวิ่งเข้าไปกระโดดถีบขาคู่ไอ้พี่ชายผู้มั่นหน้ามั่นโหนกถ้าไม่ติดว่าตอนเด็ก ๆ พิชยะเป็นคนป้อนข้าวป้อนน้ำ แม่จะวิ่งเอาหมัดไปเสยคางให้ดู หึ้ยย!“พูดแค่นี้ทำเป็นจริงจังไปได้ ชิ! แบบนี้ยังไม่เรียกว่าแก่อีกเหรอ ว่าไหม”“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” ศรที่ยังยืนรอรับใช้ตอบคำถามเพราะคิดว่าพิชชาขอความเห็นจากตน“ฟินน์ไม่ได้ถามพี่ศรค่ะฟินน์ถามยัยมีน” มนต์มีนาหลุดขำแต่การที่จู่ ๆ ก็ถูกดึงเข้าไปร่วมในสงครามเล็ก ๆ ระหว่างพี่กับน้องก็ทำตัวไม่ถูกอยู่ดี ไม่แน่ใจด้วยว่าพิชชาหมายถึงเรื่องที่พิชยะไม่ควรจริงจังกับคำพูดแค่นี้ หรือเรื่องอายุอานามกันแต่หากเป็นอย่างหลัง พิชยะไม่ได้ดูแก่เลยสักนิดถึงแม้อายุจะเข้าเลขสามแต่รูปร่างเนื้อหนัง ทุกอย่างของเขายังดูดีและน่ามองยิ่งกล้ามท้องกล้ามแขนไม่ต้องพูดถึง เห็นแค่นั้นเธอก็พอจะรู้ว่ามันแข็งแรง ฟิตปึ๋งปั๋งแค่ไหนต
“ช่วยปลดกระดุมเสื้อด้วยนะครับ” ชายหนุ่มแต่งกายภูมิฐานนั่งลงเก้าอี้เบื้องหน้าของมนต์มีนาโดยมีพยาบาลเป็นผู้ช่วย ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงหรือท่าที พิชยะก็ทำเหมือนไม่เคยรู้จักกับเธอมาก่อน“คะ?”“ในการตรวจหาก้อนเนื้อคนไข้จำเป็นต้องปลดกระดุมเสื้อออกนะคะ” พยาบาลช่วยชี้แจงแทนคุณหมอเมื่อเห็นหญิงสาวทำหน้าตกใจ แต่ถึงอย่างนั้นมนต์มีนาก็ยังไม่ได้ทำตาม พยาบาลเข้าใจว่าเธอกังวลเรื่องที่เป็นหมอผู้ชายจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงให้กำลังใจ“ไม่ต้องกังวลนะคะ คุณหมอเชี่ยวชาญด้านนี้มาก คนไข้สบายใจได้ค่ะ”ก็เพราะถึงมือหมอแล้วนี่ยังไงเล่าเธอถึงได้นั่งเป็นตอไม้อยู่เธอต้องปลดกระดุมเสื้อให้เขาคลำหน้าอก สำหรับเธอเป็นปัญหาใหญ่เลยต่างหากถ้าหากคุณหมอที่ทำการตรวจให้ไม่ใช่พิชยะ เธอคงจะกังวลน้อยกว่านี้วันนี้เธอสวมเชิ้ตมาเพื่อสะดวกต่อวิธีการตรวจรักษา มนต์มีนารวบรวมความกล้าได้ก็ค่อย ๆ ลงมือปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกทีละเม็ด เผยให้เห็นขอบบราเซียสีเดียวกันกับเสื้อหญิงสาวหายใจไม่ทั่วท้องมือเล็กทั้งสองข้างสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อการกระทำของเธออยู่ในสายตาของชายหนุ่มตลอดเวลาและแน่นอนว่านอกจากชุดชั้นในลายลูกไม้อย่างที่เธอชอบใส่ ตอนน
คุณมนูญกับคุณเพ็ญพิชย์หันไปมองหน้ากัน ไม่คาดคิดว่าจะเห็นคนอย่างเขายอมคุกเข่าให้กับผู้หญิง“อะไรที่อยากพูดก็พูดไปหมดแล้ว วันนี้เฮียแค่จะบอกว่าเฮียรักมีนจริง ๆ นะ รักจนไม่รู้จะรักยังไงแล้ว ไม่ว่ามีนจะให้อภัยเฮียวันไหน เฮียก็จะรอ”“สักสิบปีรอได้ไหมคะ” เขาคำนวณในใจทันที ตอนนี้เขาอายุสามสิบสอง แปลว่าอีกสิบปีข้างหน้า เขาอายุสี่สิบสองวิจัยหนึ่งบอกว่าปัจจุบันนี้ผู้ชายอายุสี่สิบก็เริ่มมีปัญหานกเขาไม่ขัน ถ้าถึงตอนนั้นเขาจะยังทำเรื่องอย่างว่าได้อยู่ไหมนะไม่สิ คุณภาพมันจะเหลือเท่าไหร่ต่างหาก“ว่าไง ทำไมไม่รีบตอบหนูมีนไปล่ะ” เป็นคุณเพ็ญพิชย์เร่งเอาคำตอบจากลูกชายของตัวเองบ้าง จนในที่สุดเขาก็พูดคำนี้ออกมา“ได้ รอได้”“สิบปีนะคะ ระหว่างนี้ห้ามมาเข้าใกล้มีน” เขาพยักหน้า สิบปีก็สิบปีวะ ต่อไปนี้เขาคงต้องออกกำลังกายให้หนักขึ้นกว่าเดิม เพื่อที่อีกสิบปีข้างหน้าน้องชายของเขาจะยังใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ“ระหว่างสิบปีนี้มีนจะไปอยู่อเมริกานะคะ”“ไปทำอะไร” ให้รอสิบปียังพอทน แต่ห่างกันสิบปี ใจขาดกันพอดีสิ“ไปเรียนต่อค่ะ แล้วก็จะทำงานอยู่ที่โน่น คุณมุกเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้” ทั้งที่คิดว่าเขากำลังจะได้อุ้มลูก
สามวันให้หลังพิชยะได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ คนที่เสียสละทั้งเวลางานและเวลาส่วนตัวเป็นสารถีขับรถให้เขานั่งสบาย ๆ ก็ไม่พ้นคุณหมอธนาเพราะพิธาติดประชุมกับคณะผู้บริหาร“กลับบ้านได้แล้วไม่ดีใจเหรอวะ” ตั้งแต่เข้ามานั่งในรถเขาก็เห็นพิชยะทำหน้าเหมือนตูดลิง“แค่กลับบ้านมีอะไรให้ดีใจ” เป็นเมื่อก่อนก็ว่าไปอย่าง ที่พอเขากลับไปแล้วจะได้เจอมนต์มีนาอยู่ที่บ้านแต่ตอนนี้อย่าว่าแต่ได้เจอ เขาโทรไปหาเป็นร้อย ๆ ครั้งเธอก็ยอมไม่รับสายถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่มีทางที่เขาจะอยู่เฉยแบบนี้แน่ ต้องตามไปลงโทษกันบ้าง“ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะน้องมีนของกูยังไม่ยอมรับโทรศัพท์เหรอวะ เห้ยย อย่านะเว้ย กูพาเสยเสาไฟจริงด้วย เอาสิ” ธนาร้องโวยวายพร้อมกับข่มขู่ตอนที่พิชยะจะยกเท้าขึ้นมาประทุษร้ายที่ธนาพูดจาไม่เข้าหู แถมยังเรียกมนต์มีนาว่า ‘น้องมีนของกู’ อีก “แม้ระหว่างทางจะเกิดสงครามเล็ก ๆ ระหว่างเพื่อนจนเกือบจะเกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง แต่ทั้งสองคนก็มาถึงบ้านกิจธาดาวงศ์ด้วยความปลอดภัยธนายังมีธุระที่อื่นต่อ พอเข้าไปทักทายคุณมนูญกับคุณเพ็ญพิชย์ที่เพิ่งลงเครื่องมาหมาด ๆ ก็ขอตัวกลับทันที ตอนนี้ในที่โถงรับแขกจึงมีเพียงพ่อแม่ลูกนั่
ไม่รู้ว่าจะทนอดเปรี้ยวไว้กินหวานได้อีกนานอีกไหน“คุยกับมีนเหรอคะ?” มนต์มีนาเอียงคอถาม มองมาที่ชายหนุ่ม ความจริงหูของเธอได้ยินที่เขาพูดชัดทุกคำ แต่แกล้งทำเหมือนไม่ได้ตั้งใจฟัง“ถ้าเฮียไม่คุยกับมีนแล้วจะให้เฮียคุยกับใคร”“ไม่รู้สิคะ คุยกับพยาบาลไหมล่ะคะ เดี๋ยวมีนไปตามมาให้สักสองสามคน” เรื่องที่พิชยะล้มงานวิวาห์กระจายไปทั่วโรงพยาบาล บรรดาพยาบาลต่างก็ดีใจที่เขากลับมาโสดอีกครั้งแต่พวกเธอก็ดีใจได้ไม่กี่วัน พิชยะก็ให้พิธาบอกกับทุกคนว่าผู้หญิงที่มาเยี่ยมเขาทุกวันคือคนที่เขารักและกำลังตามง้ออยู่ ทำเอาพยาบาลอกหักไปตาม ๆ กันทว่าก็ยังมีพยาบาลหลายคนที่ไม่ถือสาว่าศัลยแพทย์หนุ่มจะมีเจ้าของหัวใจแล้ว ยังแวะเวียนกันเอาของมาเยี่ยมจนหัวกระไดห้องนี้ไม่เคยแห้ง“หึงเหรอ” เขายิ้มที่มุมปาก พอใจที่เห็นความหึงหวงเป็นประกายอยู่ในแววตาของหญิงสาว“ใครหึง มีนไม่ได้หึงสักหน่อย” มนต์มีนาปอกแอปเปิลในมือต่อ ไม่สบสายตาคู่คม กลัวตัวเองจะเผยความรู้สึกนึกคิดออกไปแม้ว่าบาดแผลในใจจะได้รับการเยียวยาจนเกือบจะหายดีแล้วแต่เธอยังไม่สามารถกลับมาคืนดีกับเขาได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเธอยังอยากดูความจริงใจจากเขาอีกสหน่อยไม่สิ
กว่าสามสัปดาห์แล้วที่พิชยะพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ‘วิวัฒเวช’ อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นตามลำดับจนใกล้จะหายดี เมื่อเช้าหมอแจ้งว่าอีกไม่เกินสองสามวันนี้เขาก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วมนต์มีนามาเยี่ยมชายหนุ่มทุกวัน แต่เธอไม่ได้อยู่นอนเฝ้าอย่างที่ควรจะเป็นเพราะยังต้องไปฝึกงาน ซึ่งตอนนี้การเป็นนักศึกษาฝึกงานของเธฮก็เข้าสู่เดือนสุดท้ายแล้วถึงแม้ว่าเธอจะใจอ่อนให้พิชยะไปเยอะแล้วก็ตาม แต่ถ้าจะให้เธอทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ก็คงจะเป็นไปไม่ได้แกรกก…ทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องเข้ามา คนซึ่งกำลังยืนยืดเส้นยืดสายอยู่ที่หน้าต่างห้องรับอาการดี ๆ ของวันใหม่ แทบจะกระโจนขึ้นไปบนเตียงของโรงพยาบาล ก่อนจะทำทีว่าตนเองนอนหลับอยู่ถ้าคนที่เข้ามาเป็นมนต์มีนาอย่างที่ชายหนุ่มคิด เธอก็อาจจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของเขา แต่บังเอิญว่าเป็นพิธากับธนา พวกเขาจึงรู้เท่าทัน“ลืมตาได้แล้ว พวกกูเอง” พอได้ยินเสียงของหมอธนาพิชยะก็ลืมตาขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์“มาทำไมนักหนาวะ ไม่มีการมีงานทำรึไง”“อ้าว! พูดแบบนี้ มึงหาว่าท่าน ผอ.ของกูอู้งานเหรอวะ” ธนานั่งลงที่โซฟาภายในห้องผู้ป่วยพิเศษ ไม่ใส่ใจกับคำพูดอ้อม ๆ ของพิชยะที่บ่งบ
พิชยะถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินทันที โชคดีที่คมมีดไม่โดนจุดสำคัญตอนนี้เขาจึงปลอดภัยแล้วพิธากับธนารู้ว่าเพื่อนถูกแทงก็รีบมาที่ห้องฉุกเฉินทุกคนในแผนกต่างก็พากันตกใจที่เนื้อตัวของศัลยแพทย์หนุ่มเต็มไปด้วยเลือดไม่กี่วันก่อนพิชยะเพิ่งจะประกาศยกเลิกวิวาห์กลางคัน จนกลายเป็นหัวข้อหลักในวงสนทนาของบรรดาหมอและพยาบาลทั้งวอร์ด วันนี้เขากลับได้รับบาดเจ็บมาพ้นขีดอันตรายจวนจะเข้าวันที่สองแล้วแต่จนป่านนี้พิชยะก็ยังไม่ได้สติ มนต์มีนาเป็นห่วงเขามาก เธอไม่ยอมลุกไปไหนแม้ว่าพิธากับธนาจะหมุนเวียนกันมาเฝ้า เธอนั่งกุมมือเขาไว้ตลอดเวลา หวังเพียงให้เขาตื่นขึ้นมาอย่างปลอดภัย แต่ร่างกายที่อ่อนเพลียจากการอดนอนทำให้หญิงสาวฟุบหลับไปมนต์มีนาจึงไม่เห็นตอนที่พิชยะลืมตาขึ้นมา และทันทีที่เขาเห็นหญิงสาวนอนเฝ้าอยู่ข้างเตียง น้ำตาของลูกผู้ชายก็ซึมออกมาโดยไม่รู้ตัวตอนนี้เธอจะยอมยกโทษให้เขาหรือไม่นั้น ไม่สำคัญอีกต่อไป แค่เสี้ยวหนึ่งที่เธอเป็นห่วงเขา เขาก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วมือเรียวยาวของชายหนุ่มค่อย ๆ ขยับเข้าไปหาใบหน้าจิ้มลิ้ม ใบหน้าของคนที่เขาคิดถึงและโหยหามาตลอดนิ้วเรียวยาวนั่นค่อย ๆ วางลงบนพวงแก้มขาวเนียน หัวใจที่เ
วันต่อมา ทั้งวันมนต์มีนาไม่เห็นพิชยะมาที่บริษัทจึงคิดว่าเหตุการณ์วันก่อนคงทำให้เขาถอดใจไปแล้ว สุดสัปดาห์ทีไรบรรยากาศในการทำงานของพนักงานบริษัทตะวันฉายก็จะครึกครื้นเป็นพิเศษ เพราะบางคนวางแผนจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกับคนรัก บางคนก็วางแผนจะใช้เวลาในวันหยุดเสาร์อาทิตย์อยู่กับครอบครัว ถึงเวลาเลิกงานมนต์มีนาก็เดินออกมาที่ประตูฝั่งด้านหน้าของบริษัทหลังจากแน่ใจว่าพิชยะไม่ได้มาดักรอเจอเธอ วันนี้อาทิตย์กับมุกรินไม่ได้เข้าบริษัทเพราะมุกรินต้องไปตรวจครรภ์ตามนัด ส่วนเจนจิราขอลาหยุดหนึ่งวันเพราะต้องไปเฝ้าพี่สะใภ้ที่โรงพยาบาลแทนพี่ชาย ส่วนภูวเนศออกไปพบลูกค้าตั้งแต่เช้ายังไม่กลับเข้ามา วันนี้เธอเลยต้องนั่งรถประจำทางกลับไปที่อพาร์ทเม้นท์คนเดียวเพราะเกศินีที่ชอบไปขลุกอยู่ที่ห้องเธอจนดึกดื่นแทบจะทุกวันขอลาไปทำธุระกับครอบครัวที่ต่างจังหวัด แต่พอเดินออกมาเธอก็พบว่ามีคนมายืนรออยู่ หญิงสาวกอบกำมือทั้งสองเข้าหากันเมื่อต้องการเรียกความเข้มแข็งให้ตัวเอง “ขอคุยด้วยหน่อยสิ” “ถ้าคุณรสสราจะมาติดต่อเรื่องงานคุยกับพี่มุกโดยตรงได้เลยนะคะ ขอตัวค่ะ” “ไม่ต้องมาแกล้งโง่” ถ้อยคำที่แฝงไปด้วยการด่าทอเอ่ยไล่หลังหญิงสาวอ
คนที่โง่มันคือเขาต่างหากเขาโง่ที่ไม่เคยรู้อะไรเลย ไม่เคยรู้แม้กระทั่งว่าผู้หญิงที่เขาลงมือทำร้ายคือคนที่หัวใจของเขาต้องการชายหนุ่มหยัดกายลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา ทุกย่างก้าวของเขาหนักอึ้งไปด้วยความปวดใจจากการกระทำในวันวาน ไม่ว่าจะเหลียวมองไปทางไหนก็พบแต่ความสิ้นหวัง เห็นเพียงใบหน้าหมางเมินของมนต์มีนาที่ฉายวนซ้ำไปมาคำพูดเชือดเฉือนหัวใจมันยังดังก้องอยู่ภายในหัวของเขา ร่างสูงเดินออกไปจากตรงนั้นไม่ต่างจากคนไร้วิญญาณ ไหล่ที่เคยสง่าผ่าเผยกลับลู่ลงข้างกายอย่างสิ้นไร้ความหวังเขาจะทำอย่างไรดี เขาควรทำอย่างไรต่อถึงจะตามหัวใจของเขากลับคืนมาได้เมื่อหมดหนทางสุดท้ายคืนนั้นพิชยะก็ตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากอาทิตย์ เจ้าของบริษัทตะวันฉายที่มนต์มีนาฝึกงานอยู่ โดยเขาได้นัดอีกฝ่ายออกมาเจอที่ไนต์คลับของพิธาทั้งสองนั่งพูดคุยกัน ตอนแรกอาทิตย์ปฏิเสธที่จะเข้ามายุ่งเรื่องนี้เพราะอย่างไรเขาก็เป็นคนนอก แต่พอเห็นว่าพิชยะสำนึกผิดจริง ๆ และต้องการจะแก้ไขทุกอย่างให้ดีขึ้น อาทิตย์ก็เกิดเห็นใจผู้ชายด้วยกันครั้งหนึ่งอาทิตย์ก็เคยทำผิดพลาดครั้งใหญ่กับมุกริน เขาเลยเข้าใจความรู้สึกของพิชยะดี คนที่ต้องก
“พี่เจนไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ค่ะ เดี๋ยวมีนออกไปคุยกับเขาเอง”“เดี๋ยวก่อนมีน…” เจนจิรากลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเลยรีบตามหญิงสาวออกไป ตอนนั้นพิชยะกำลังจะเดินกลับไปที่รถ เขาเห็นมนต์มีนาจึงหน้าถอดสี“มีน…” ชายหนุ่มเดาได้ทันทีว่ามนต์มีนาอาจจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว แต่เขากลับไม่ได้มีความกังวลหรือกลัวอะไร เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้เธอยอมออกมาเจอเขา“เอาของพวกนี้กลับไปด้วยค่ะ มีนไม่ต้องการ” มนต์มีนาโยนของที่ถืออยู่ในมือลงพื้นราวกับว่าเป็นสิ่งของเน่าเสีย ชายหนุ่มได้แต่มองของที่หล่นกระจายอยู่ที่พื้นตรงหน้าของเขาด้วยความเจ็บปวด“เฮียยอมรับผิดทุกอย่างแล้ว มีนให้โอกาสเฮียสักครั้งได้ไหม” นาทีนี้พิชยะแทบจะก้มศีรษะขอโอกาสจากเธอ ทว่าเขากลับได้รับเพียงคำพูดที่ไร้เยื่อใยกลับมา และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ตะโกนออกมา แต่คำขอโทษที่มาจากข้างในก็ดังไปถึงความรู้สึกของมนต์มีนาอย่างไม่น่าเชื่ออานุภาพของมันทำให้ขาทั้งสองข้างที่กำลังจะก้าวออกไปหยุดชะงัก แต่เธอก็ไม่ได้หันกลับมามองเขา“มีนไม่มีโอกาสอะไรให้หรอกค่ะ ถ้าไม่อยากให้มีนเกลียดเฮียไปมากกว่านี้ก็อย่ามาให้มีนเห็นหน้าอีก แล้วต่อไปนี้ก็ไม่ต้องเอาอะไรมาให้ เพราะทุกอย่
พิชยะขับรถมาที่โรงพยาบาลเพราะเขารู้ว่าตัวเองมีไข้สูง ตอนที่มาถึงเขาจึงถูกพาเข้าห้องฉุกเฉินหมอและพยาบาลรีบเข้ามาตรวจอาการของเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะให้ยาลดไข้ในทันทีชายหนุ่มนอนหลับไปครึ่งวัน ตื่นมาอีกทีเขาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล“เป็นไงไอ้คนเก่ง ฟื้นแล้วเหรอมึง” ธนาทักเขาเป็นคนแรก ถ้ามาช้ากว่านี้สักครึ่งชั่วโมง พิชยะอาจจะถูกพิษไข้ที่สูงกว่าสี่สิบองศาเล่นงานจนไม่มีโอกาสได้ไปง้อเมียอีกแน่ ๆ“ไม่ต้องห่วงหรอก กูยังดวงแข็ง”“ปากดีขนาดนี้กูไม่น่าเช็ดตัวให้มึงเลย น่าจะปล่อยให้มึงหนาวตายไปซะ” ธนาพูดด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะหันไปเห็นว่าพิชชากำลังมองเขม่นมาที่ตัวเอง“แต่ก็เห็นแก่ที่มึงเคยเปิดเมมเบอร์เลาจน์ให้กู หนี้ชีวิตที่กูช่วยเช็ดตัวให้มึงกูไม่คิดก็ได้”“พร่ำอะไรของมึงวะ” พิธาที่ฟังอยู่นานพูดขึ้นบ้าง เขาได้รับรายงานเรื่องที่พิชยะจัดการเรื่องผ่าตัดโดยไม่ผ่านระเบียบของโรงพยาบาลแล้ว“มึงมีอะไรจะพูดกับกูไหม”“ไม่มี แล้วแต่มึงจะพิจารณาเลย” ตอนที่ตัดสินใจทำลงไปเขาย่อมรู้ความผิดของตนเองและผลที่จะตามมาอยู่แล้วจึงไม่คิดจะอาศัยความเป็นเพื่อนขอให้พิธาผ่อนปรนโทษให้“งั้นกูหักเงินเดือนมึงทั้งเ