ขณะที่อีกคนซึ่งเพิ่งอกหักครั้งใหญ่ ตอนนี้ก็กำลังนั่งเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากอยู่ในบ้าน ศุภวุฒิทำตัวเหมือนคนหมดทางจะไป คำปฏิเสธของภัทรานิษฐ์ยังดังก้องอยู่ในความคิด ก่อนจะสั่งตัวเองให้หยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น ชายหนุ่มกลับขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวออกไปยังโรงเรียน หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้วแต่ก็ยังไม่ทั้งหมด ก่อนจะถึงโรงเรียนมีร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ศุภวุฒิเลี้ยวรถเข้าไปจอดอย่างไม่ลังเล ก่อนจะสั่งขนมเค้กทุกอย่างในร้านให้ไปเสิร์ฟที่โต๊ะ
ลักขณากำลังขับรถไปยังร้านอาหารร้านโปรดของพวกเธอ จังหวะที่มีคนข้ามถนนตรงทางม้าลาย ทำให้เธอต้องชะลอรถ สายตาของหญิงสาวมองไปเห็นศุภวุฒิที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟริมถนน เป็นร้านกาแฟที่ติดกระจกใสมองเห็นทุกอย่างภายในก็ว่าได้ ตรงหน้าของชายหนุ่มมีเค้กนับสิบชิ้น ชวนให้คิดถึงคำพูดของภัทรานิษฐ์เมื่อคืน พอเห็นว่ายังมีเวลาไปทันมื้อเที่ยงแน่นอน หญิงสาวจึงเลี้ยวรถเข้าไปในร้านกาแฟอีกคน “กินของหวานแก้อกหักเหรอคะครูใหญ่” รู้ทั้งรู้แต่ลักขณาก็ถามจี้ใจดำ “คุณเก๋… ผมไม่ตลกนะครับ” ศุภวุฒิเงยหน้าขึ้นมองคนถาม สีหน้าเรียบเฉย แต่สักพักก็“ดี… นึกว่าอยากได้ผู้หญิง”“ทำไม… ถ้าลูกฉันเป็นผู้หญิงจริงๆ แกจะทำไงเก๋” ศิรดาเอ่ยถามเสียงเขียว“ก็ถ้าลูกแกเป็นผู้หญิง แล้วลูกชายบ้านไหนได้เป็นเมีย สงสัยจะจนไปทั้งชาติ เพราะกินจุตั้งแต่ยังไม่ทันเกิดน่ะสิ”“ไอ้เก๋… แกว่าลูกฉันเหรอ” ว่าที่คุณแม่ตีหมับลงไปบนต้นแขนของเพื่อนทันที ที่กล้าว่าลูกของเธอแบบนี้ ถ้าคลอดแล้วจะไม่ให้ลักขณาอุ้มเลยคอยดู และคนที่ห้ามศึกที่ไม่จริงจังนี้คือภัทรานิษฐ์ เพราะรู้ว่าลักขณาแค่แหย่เพื่อนเล่นเท่านั้น“หยุด… พวกแกสองคนจะแขวะกันอีกนานไหม”“ไม่ได้แขวะ ฉันพูดเรื่องจริง” ลักขณาเอ่ยตอบ แต่ใบหน้านั้นยิ้มๆ ศิรดาเชิดหน้าขึ้นสูง ก่อนจะเอ่ยขึ้น“เชอะ ไม่สน”“จ้ะ ว่าที่คุณแม่” น้ำเสียงล้อๆ ของลักขณาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง“รู้ก็ดี แล้วนั่นแกถืออะไรมาด้วย” สายตาของศิรดามองไปยังกล่องสวยๆ ที่วางอยู่ข้างๆ ลักขณา ดูอารมณ์จะเปลี่ยนแปลงขึ้นลง รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ“เค
ภัทรานิษฐ์อยู่ด้วยความระแวง กลัวว่าพัฒน์ชนะจะบุกมาหาเธอตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มนั้นไม่อยู่เมืองไทย เพราะบินไปดูงานด่วนที่มาเลเซียแล้ว เธอซื้อกุญแจตัวใหญ่มาหลายอันเพื่อล็อคบ้าน หวังว่ามันจะปลอดภัยมากขึ้น ภัทรานิษฐ์ดูจะไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น ยิ่งคืนนี้ลักขณาบอกว่าจะกลับดึกด้วยเธอก็ยิ่งระแวง เมื่อไปรับลูกเรียบร้อยเธอก็รีบล็อคบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด คอยสอดส่องมองหาความไม่ปลอดภัยและตอนนี้ยังมีเครื่องช็อตไฟฟ้าติดตัวตลอดเวลาอีกลักขณาขับรถมาที่โรงเรียนอนุบาลของศุภวุฒิ เธอไม่ได้ลงไปจากรถ เอาแต่นั่งนิ่งอยู่แบบนั้น เพราะกำลังชั่งใจตัวเองว่าจะไปกับชายหนุ่มดีหรือไม่ ถึงจะตัดสินใจเด็ดขาดไม่ได้ แต่ตอนนี้เธอกลับมารอเขาแถวๆ โรงเรียนซะแล้ว ศุภวุฒิเองก็ไม่ได้ลืมนัด ชายหนุ่มรีบเคลียร์งานก่อนจะมานั่งรอหญิงสาวที่หน้าโรงเรียน เกือบสองทุ่มก็ยังไม่เห็นเธอ แต่เขานั้นจำได้ว่ารถคันที่จอดอยู่ไม่ไกลต้องเป็นรถของลักขณาแน่ๆ เห็นมาตั้งแต่เย็นแต่ทำไมเธอถึงยังไม่ยอมลงจากรถอีก ศุภวุฒิจึงเดินเข้าไปหา ก่อนจะเคาะกระจกเรียกทำเอาลักขณาสะดุ้ง กดกระจกรถลงเพื่อจะคุยกับเขา“จะนั่งในรถอีกนานไหม
“คุณเก๋...เคยแอบชอบใครไหมครับ” คำถามของชายหนุ่ม ทำให้คนฟังจ้องมองเขา สายตาบ่งบอกว่าคิดยังไง แต่คงไม่ชัดเจนเท่าคำพูด“เคย”“แล้วตอนนี้คุณเก๋กำลังคบอยู่กับเขาหรือเปล่า”“เปล่า”“แสดงว่าคุณเก๋ก็แอบชอบใครอยู่เหมือนผม”“ค่ะ เก๋แอบชอบเขา แต่เขากลับโง่ มองไม่เห็น” แววตาของลักขณามองตรงไปยังศุภวุฒิ ผู้ชายโง่ๆ ที่เธอแอบชอบ ครูใหญ่โรงเรียนอนุบาลของน้องพลอยที่เธอปิ้งเขาตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นหน้า แต่เธอกับเก็บความรู้สึกนั้นซะมิด ทั้งๆ ที่คิดว่าศุภวุฒิไม่ได้สนใจเธอเลย แต่คำพูดของเขาตอนอยู่ในร้านกาแฟก็ทำให้ลักขณาแปลกใจ เพราะเหมือนกับเขาคอยมองเธออย่างนั้นแหละ แต่มันคงไม่ใช่หรอก“แล้วทำไมไม่บอกเขาละครับ” ศุภวุฒิเอ่ยตามตรงๆ เพราะเขาเคยผ่านความรู้สึกของคำว่าแอบชอบมาก่อน มันอึดอัดแต่พอได้พูดออกไปแล้ว อีกฝ่ายจะรับความรู้สึกนั้นหรือไม่ เขาก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาก แม้คำตอบของเขาจะคือไม่ก็ตามที&ldqu
ภัทรานิษฐ์ลงมาเตรียมอาหารเช้าตามปรกติ แม้ทุกอย่างในช่วงนี้จะน่าอึดอัดและหวาดกลัวแค่ไหน แต่เธอก็ยังต้องดำเนินชีวิตต่อไป เมื่อคืนเธอแทบนอนไม่หลับเพราะกลัวพัฒน์ชนะจะบุกเข้ามาหาอีก แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้น เพราะถ้าบุกเข้ามาครั้งนี้เธอจะสู้ไม่ถอยตายเป็นตาย แต่หญิงสาวก็ต้องหยุดเดิน เมื่อเห็นลักขณานั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก จึงเดินเข้าไปหา“เก๋… เก๋...”“หือ” ลักขณาถึงขั้นสะดุ้ง เมื่อรับรู้ว่ามีฝ่ามือของภัทรานิษฐ์วางลงมาบนบ่า“แกเป็นอะไรหรือเปล่า มานั่งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” คิ้วของภัทรานิษฐ์ขมวด เมื่อคืนเธอไปนอนในห้องพลอยไพลิน จึงไม่เห็นว่าลักขณามานั่งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน“เมื่อคืน”“เกิดอะไรขึ้น ท่าทางเหมือนยังไม่ได้นอน”“ก็ตามนั้น นั่งคิดอะไรเพลินๆ” ลักขณานอนไม่หลับต่างหากตาค้างเลยก็ว่าได้ เพราะอะไรถ้าไม่ใช่เพราะศุภวุฒิ สงสัยจะเข้าหน้ากันไม่ติดไปอีกนาน เป็นบ้าอะไรถึงได้พูดและทำแบบนั้นกับเธอกัน เมาแล้วบ้
“ได้กลิ่นเหรอครับ…” ศุภวุฒิขยับออกห่างภัทรานิษฐ์ เพราะกลัวเธอจะรังเกียจ แต่หญิงสาวไม่ได้คิดแบบนั้น“ค่ะ ฉันว่าคุณวุฒิน่าจะกลับไปพักอีกหน่อยนะคะ ท่าทางยังไม่ดีเลย”“ผมก็ตั้งใจจะทำแบบนั้น” สาเหตุที่ศุภวุฒิลากตัวเองออกจากบ้าน ก็เพียงเพื่ออยากพบลักขณาต่างหาก แต่เขากลับไม่ได้เห็นเธอ“หวา ขอคืนนะคะ” ภัทรานิษฐ์ยื่นแหวนให้ชายหนุ่ม ซึ่งเขาก็รับไว้“ครับ ขอโทษด้วย ถ้าทำให้อึดอัด”“ไม่เป็นไรค่ะ”“เราจะยังคงเป็นเพื่อนกันได้แบบนี้อีกใช่ไหมครับ” อีกหนึ่งสิ่งที่ศุภวุฒิกลัว คือเขากับภัทรานิษฐ์จะไม่มีแม้กระทั่งความเป็นเพื่อนให้กัน เพราะการกระทำของเขา“ได้สิคะ หวายินดี”“ขอบคุณมากครับ” แต่พอได้ฟังแบบนี้ ศุภวุฒิก็พลอยยิ้มออก“ขอโทษนะคะ เมื่อคืนเก๋ไปเป็นเพื่อนคุณวุฒิดื่มเหรอเปล่า” ภัทรานิษฐ์รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังถาม สายตาของเธอมองใบหน้าชายหนุ่มอย่างวิเคราะห์ แต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลย อาจจะเป็นเพราะเธอคิ
“เก๋ ขอดูตารางงานก่อนนะคะ เพราะพักนี้ยุ่งมาก” ลักขณาบอกปัดกรายๆ อย่างไว้ตัวทั้งๆ ที่ดีใจแทบบ้า ที่จะได้ไปกินข้าวกับเขา“ครับ ผมจะรอ” พูดจบชายหนุ่มก็เดินกลับออกไปจากบ้าน ลักขณาทรุดนั่งกับเก้าอี้ หัวใจเต้นโครมครามกับคำพูดที่บอกว่าผมจะรอของศุภวุฒิ มันดังก้องอยู่ในความคิด ก่อนที่เธอจะหยุดตัวเองและขึ้นไปอาบน้ำเพื่อออกไปทำงาน จะเอายังไงกับนัดครั้งนี้ดี ลักขณาชั่งใจอยู่นานก่อนจะตกลงกับตัวเองว่าไม่ไปจะดีกว่าเมื่ออาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะออกไปทำงานเรียบร้อย ลักขณาก็ขับรถภัทรานิษฐ์ไปเปลี่ยนเป็นรถเธอที่ร้านของเพื่อนสาว โดยไม่ได้บอกภัทรานิษฐ์ว่าศุภวุฒิมาหาเธอที่บ้าน แต่ก็แอบย่นจมูกให้เพื่อนที่ไปบอกชายหนุ่มว่าเธอจะไปเชียงราย ซึ่งภัทรานิษฐ์ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป แม้ภายนอกจะปรกติแต่ภายในใจของภัทรานิษฐ์กำลังหวาดหวั่น แม้จะไม่เห็นพัฒน์ชนะมาวันสองวันแล้ว แต่เธอก็ยังไม่วางใจภัทรานิษฐ์ตัดสินใจแน่แล้วว่าเธอจะไปอยู่ที่ไหน หญิงสาวได้ข้อมูลที่แน่ชัดและคุยกับเจ้าของร้านที่เธอจะไปเซ้งต่อเรียบร้อย แม้จะเป็นที่ที่ไม่คุ้นเคยแต่มันคงไม่อยากหรอก ใกล้ๆ ร้านใหม่
“เปล่า ฉันรักแกนะ”“อ้าว ไอ้นี่มาบอกรักฉันทำไม” คนฟังออกอาการเขิน จึงเอ่ยเสียงดังกลับไป เพื่อกลบความรู้สึก ที่อยากร้องไห้เหมือนกัน“ก็แกจะไปอยู่เชียงงรายแล้วนี่ไง ฉันคิดถึง”“ก็แค่เชียงราย ไม่ได้ไปตาย คิดถึงก็ขึ้นไปหาสิ ที่หลับที่นอนมีพร้อม พวกแกล่ะก็” ลักขณาส่ายหน้าให้ เพราะทั้งภัทรานิษฐ์และศิรดาทำยังไงกับจะไม่ได้เจอกันอีกแบบนั้น“ก็เราไม่ค่อยอยู่ห่างกันแบบนี้ มันรู้สึกแปลกๆ นี่หว่า” ศิรดาสูดน้ำมูก ก่อนจะยกมือปาดน้ำตา เพราะเธอร้องไห้ตั้งแต่นั่งรถมาที่นี่แล้ว“แปลกตรงไหน ทีแกหนีจากอกฉันไปซบอกพี่คริส แต่งงาน แซงหน้าฉันไป ฉันยังไม่ว่าเลย”“อ้าว...” คำอุทานของศิรดาดังขึ้น เพราะเหมือนเธอเป็นคนผิดอย่างนั้นแหละ ภัทรานิษฐ์ส่ายหน้าให้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น“ฝน ไม่คิดจะทักลูกฉันหน่อยเหรอ นั่งมองแกตาปริบๆแล้วนั่นนะ”“โอ๋ๆ น้องพลอย มาหาแม่ฝนมาม๊ะ” ศิรดาไม่ได้ลืมพลอยไพลิน เธออ้าแขนรับเด็กหญิงตัวน้อย ที่กำลังคลานลงจากเตียง ก่อนจะลงไป
ทางด้านพัฒน์ชนะที่บินมาคุยธุรกิจที่มาเลเซีย ชายหนุ่มยังตกลงเรื่องการซื้อขายไม่ได้ เพราะต้องรอให้เจ้าของที่ดินตัดสินใจอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้ารับปากว่าจะขายให้แท้ๆ เขาจึงบินมาด้วยตัวเอง แต่พอมาถึงกลับเล่นแง่ และต่อรองเรื่องราคาอีก พัฒน์ชนะจึงต้องอยู่และแสตนด์บายให้พร้อม เพราะเจ้าของที่ดินจะนัดมาเอง ทางเขาจะไปเจาะจงไม่ได้ ปัญหานี่แหละคือสิ่งที่ชายหนุ่มไม่ชอบเอาเสียเลย เพราะรู้สึกมันเสียเวลาแต่เขาก็ต้องรอ ทั้งๆ ที่ใจนั้นอยากกลับเมืองไทยจะแย่แล้วแต่ละวันที่อยู่มาเลเซีย พัฒน์ชนะโทรศัพท์หาลูกน้องที่ให้คอยดูแลภัทรานิษฐ์หลายต่อหลายครั้ง แต่ยังดีที่หญิงสาวไม่หนีหายไปไหน กลับไปเมืองไทยคงต้องจัดการให้จบๆ ไม่ต้องมานั่งเครียดทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวแบบนี้ ทำอะไรไม่ได้นอกจากการนั่งรอเวลา ผ่านมาวันแล้ววันเล่าจนถึงวันเสาร์เข้าไปแล้ว ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อ“ทางนั้น ยังไม่ติดต่อมาอีกหรือไง” พัฒน์ชนะเอ่ยถามลูกน้องที่ส่งมาทำงานที่นี่นานแล้ว“ยังเลยครับ”“วุ่นวาย ถ้าไม่ติดว่าฉันอยากได้ที่ตรงนั้น ไม่มีทางที่ฉันจะนั่งรอแบบนี้แน่”