“พี่พยายามหลีกเลี่ยงเย่ เหวินหมิงเหรอคะ?” หลิง อี้หรานถามแต่ถ้าหากพี่โจวคดีพลิกได้ เธออาจจะต้องพบกับเย่ เหวินหมิงอีกครั้ง“ฉันรับความเสี่ยงไม่ได้ ฉันไม่อยากให้เขารู้เรื่องของอาหยันน้อย ถ้าเขารู้ แล้วเขาคิดจะทำอะไร... ถ้าเขาต้องการตัวอาหยันน้อย ฉันคงเป็นบ้าจริง ๆ อี้หราน อาหยันน้อยคือชีวิตของฉัน!” โจว เชียนหยุนพูดหลิง อี้หรานสามารถเข้าใจความรู้สึกของโจว เชียนหยุนที่มีต่อหยันน้อยได้!แม้ว่าเธอจะไม่เคยเป็นแม่มาก่อน แต่เธอก็คิดว่าถ้าเธออยู่ในตำแหน่งเดียวกับโจว เชียนหยุนในตอนนี้ เธอก็อาจจะเลือกแบบเดียวกันการดูแลหนึ่งคนหนึ่งไว้นั่นย่อมดีกว่าการได้พลิกคดี!“เมื่อวานฉันเจอเย่ เหวินหมิงค่ะ” หลิง อี้หรานพูดดวงตาของโจว เชียนหยุนเบิกกว้างขึ้นทันทีขณะที่เธอมองไปที่หลิง อี้หรานด้วยความตกใจ“ฉันเจอเขาที่งานแสดงสินค้า เย่ เหวินหมิงจำอาหยันน้อยได้และต้องการเจอหยันน้อยอีกครั้ง” หลิง อี้หรานพูดร่างกายของโจว เชียนหยุนสั่นไหว ‘เขา... ต้องการเจออาหยันน้อยอีกครั้งเหรอ? เด็กที่เขาบอกว่าเขาไม่ต้องการ… แล้วเขาจะต้องการพบอาหยันน้อยเหรอ?’น่าขำสิ้นดี!“โจว เชียนหยุน เธอฟังนะ เธอไม่มีคุณสมบัติพอที
ดูเหมือนว่าเธอจะต้องรับรู้ไปถึงก้นบึ้งของความฝันและอาการปวดหัวให้ได้!หลิง อี้หรานตัดสินใจและนัดหมายกับหมอเหลิ่งทางโทรศัพท์หลังจากที่หลิง อี้หรานวางสาย เกา ฉงหมิงก็เคาะประตูและเข้าไปในห้องทำงานของอี้ จิ่นหลี“นายน้อยอี้ คุณหลิงเพิ่งติดต่อกับจิตแพทย์นามสกุลเหลิ่งเพื่อทำการนัดหมายวันมะรืนนี้ครับ”อี้ จิ่นหลีหลับตาลง เรียวนิ้วยาวของเขาที่กำลังถือปากกาไว้ในมือ ยังคงเซ็นชื่อบนกระดาษอย่างราบรื่น “อืม เข้าใจแล้ว”จากนั้น เกา ฉงหมิงก็ออกมาจากห้องทำงานขณะที่ประตูกำลังจะปิดลง เขาก็ได้ยินเสียงแตกเบา ๆ ดังเข้ามาในรูหูของเขาราวกับว่ามีบางอย่างแตกร้าวประตูห้องทำงานของท่านประธานปิดลงและอี้ จิ่นหลีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โซฟา ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่เขากลับหยุดสนใจที่จะเซ็นชื่อลงบนกระดาษต่อปากกาในมือของเขาหักออกเป็นสองส่วนและใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็เต็มไปด้วยความมืดมน‘อี้หราน... ยังคงพยายามเอาความทรงจำที่หายไปของเธอกลับคืนมา? เธอกำลังพยายามเรียกคืนความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับกู้ ลี่เฉินใช่ไหม?’‘ทำไมล่ะ? เธอบอกว่าเธออยากจะแก่ไปพร้อมกับฉัน แต่ทำไมเธอถึงต้องการเอาความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับผู
แต่หลังจากพบหวา ลี่ฟาง เขากลับไม่ได้มอบชุดให้เธอเขาไม่รู้ว่าทำไม เช่นเดียวกับสร้อยข้อมือเงินเส้นเล็ก เขาก็ไม่ได้มอบมันให้ลี่ฟางเช่นกันราวกับว่าถ้าเขามอบมันให้กับลี่ฟาง ความคิดทั้งหมดของเขาจะจบลง‘นี่มันเกิดบ้า... อะไรขึ้น?’สองวันที่เขาคิดได้คือคำพูดที่เธอพูดตอนที่เธอปวดหัวในเมื่อวันก่อน‘นั่นเป็นเรื่องไร้สาระจริง ๆ เหรอ?’รอยแดงบนข้อมือของเขาจางลง แต่ความรู้สึกที่เธอจับมือของเขาเอาไว้ ยังคงอยู่ที่นั่น“หลิง อี้หราน บอกมาสิว่านั่นคือเรื่องจริง!” กู้ ลี่เฉินพึมพำขณะที่มือของเขาโอบรอบชุดเดรสสีม่วงยาวที่แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าเหมือนได้กอดคนรักที่สนิทสนมที่สุด......“อ๊า!” หลิง อี้หรานตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด แต่เมื่อเธอสัมผัสหน้าผากของเธอ เธอกลับพบกับหน้าที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเธอฝันอีกแล้ว ในความฝัน เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ กำลังแบกเด็กชายไว้บนหลังของเธอขณะที่เธอเดินบนเนินเขา เธอสัมผัสได้ถึงความเหน็ดเหนื่อยของเด็กหญิงตัวน้อยแต่เด็กหญิงในความฝันของเธอยังคงยืนหยัดราวกับว่าเธอจะไม่ทิ้งเด็กชายไว้ตามลำพัง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามเธอฝันถึงความฝันนี้บ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงนี้ และฉา
‘ทำไมเขาถึงรีบแสวงหาความตาย? ทำไมเขาถึงไม่คิดถึงลูกชายที่เขายังมีอยู่? เขารู้บ้างไหมว่าการตายของเขา ทำให้จินที่อายุยังน้อยในตอนนั้นรู้สึกอย่างไร?’‘ชายผู้นี้คิดจริง ๆ เหรอว่าการส่งจินกลับมาหาตระกูลอี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด? เขาลืมไปหรือเปล่าว่าลูกของเขาต้องการพ่อ’‘จินสูญเสียแม่ของเขาไปแล้ว แล้วเขาก็สูญเสียพ่อไปด้วย’‘เขาต้องอยู่ในบ้านหลังนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย พร้อมด้วยปู่ที่เกลียดชังเลือดอีกครึ่งหนึ่งของเขา!’เธอแทบจะจินตนาการได้ว่าเขาต้องยากลำบากอย่างไรเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กในคฤหาสน์หลังนี้ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความรักระหว่างปู่กับหลาน มีเพียงเด็กที่ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด!หลิง อี้หรานเดินผ่านห้องโถงด้านหน้าและเข้าไปในห้องชั้นในที่ละก้าวการตกแต่งภายในนั้นเหมือนกับที่เธอเคยเห็นก่อนหน้านี้ มีการประดับแผ่นจารึกของพ่อของจินบนแท่นบูชาเธอเห็นร่างสูงยืนนิ่งราวกับรูปปั้นประติมากรรมตรงหน้าแผ่นจารึกที่ระลึกหลังของเขาตั้งตรงและมีเพียงแสงสลัวของตะเกียงส่องมาที่เขา ความสว่างเพียงเล็กน้อยที่ปะปนอยู่กับความมืดมิดความอ้างว้างแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขาราวกับว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวท
ความไม่สบายใจของเธอเพิ่มขึ้นพร้อมกับความเปราะบางของเขา“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ?”“บอกสิว่าจะไม่ทรยศฉัน ตกลงไหม?” น้ำเสียงของเขาแหบแห้งและฟังดูเว้าวอนชั่วขณะหนึ่ง เธอรู้สึกวิตกกังวลและเจ็บปวดในหัวใจ‘เขาคืออี้ จิ่นหลี! ทำไมเขาถึงใช้น้ำเสียงแบบนั้นขอร้องให้ฉันอย่าทรยศเขาล่ะ?’เธอมองผ่านเขาไปเห็นแผ่นจารึกที่อยู่ข้างหลังเขาเธอรู้ว่ามันเป็นแผ่นจารึกของพ่อเขา คนที่มีตาอ่อนโยนเลือกความตายเพราะคนรักที่ทอดทิ้งเขานั่น... เป็นการทรยศพ่อของเขาถูกแม่หักหลังจากนั้นเขาก็ถูกพ่อหักหลังที่ทิ้งเขาให้อยู่ตามลำพังในโลกนี้ดวงตาของเขายังคงจับจ้องมาที่เธอ รอให้เธอตอบเขาเธอรู้สึกเศร้าใจ ดูเหมือนว่าเขาจะได้ทุกอย่างที่เขาต้องการ แต่ใครจะรู้ว่าเขามีบาดแผลลึกที่ฝังใจถึงขนาดนี้ตอนนี้เธออยากจะปลอบโยนความอ่อนแอและบาดแผลของเขา“ฉันจะไม่ทรยศคุณ” ดวงตาของเธอสบตากับเขาขณะที่เธอพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ“จริงนะ?” เขาพึมพำ น้ำเสียงของเขาฟังดูเบามาก“จริงสิ” เธอตอบวินาทีถัดมา แก้มของเขาก็สัมผัสเข้ากับฝ่ามือของเธอ ราวกับว่าความอบอุ่นจากมือของเธอทำให้ร่างกายของเขาอบอุ่นเธอคงไม่รู้ว่าเขารู้สึกเศร้าเพียงใดเ
เธอรีบอาบน้ำแล้วไปโรงพยาบาลสิ่งที่เธอไม่รู้คือเมื่อปลายเท้าของเธอก้าวออกจากคฤหาสน์อี้ มีใครบางคนคอยรายงานการเคลื่อนไหวของเธอให้กับอี้ จิ่นหลี“นายน้อยอี้ คุณหลิงออกจากบ้านแล้วครับ” เกา ฉงหมิงในห้องทำงานของท่านประธานพูดขึ้นอี้ จิ่นหลีหลุบตาลง ขนตาสีดำยาวของเขาสั่นเล็กน้อย “อืม ฉันเข้าใจแล้ว”หลังจากนั้นความเงียบสงบก็ปกคลุมภายในห้องร่างกายของเกา ฉงหมิงสั่นเทา นายน้อยอี้เงียบมากจนเขาพบว่ามัน… น่ากลัวหลิง อี้หรานมาถึงโรงพยาบาล หยิบบัตรคิว แล้วเข้าพบกับหมอเหลิ่งเธอเป็นแพทย์หญิงอายุ 40 ปี และค่อนข้างอวบ ดวงตาที่ยิ้มแย้มของเธอทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นมิตรและเชื่อใจบางทีคนที่หน้าตาแบบนี้น่าจะเหมาะกับการจิตแพทย์ที่สุดหลิง อี้หรานนั่งลงและบอกเธอเกี่ยวกับอาการของเธอ รวมถึงความฝันของเธอที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ เมื่อเร็วๆ นี้โดยเฉพาะ... หลังจากที่ได้พบกับกู้ ลี่เฉินที่งานจัดแสดง เธอก็เริ่มฝันถึงเหตุการณ์เหล่านี้อีกครั้ง“เป็นไปได้สูงที่จะเป็นโรคความจำเสื่อม ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูด มันคงเกิดขึ้นเพราะมีคนอื่นบอกคุณในสิ่งเดียวกันที่คุณเผลอลืมไป ถ้าคุณคิดไปเองในตอนกลางคืน มันก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นซ้ำซ
‘เมื่อไหร่อี้หรานจะออกมา?’‘เธอเคยสัญญากับฉันแล้วว่าจะไม่ทรยศฉัน แต่ทำไมเธอยังมาหาจิตแพทย์อีก?’‘เธอยังอยากจะรื้อฟื้นความทรงจำเก่า ๆ ของเธอกับกู้ ลี่เฉินอยู่อีกเหรอ?’อี้ จิ่นหลีเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ และในที่สุดร่างบางในชุดสีขาวก็ปรากฎขึ้น‘นั่นคืออี้หราน!’แม้ว่าเธอจะถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูงชน แต่เขาก็จำเธอได้ในทันทีจากนั้นเขาเห็นเธอหยิบโทรศัพท์ออกมาและกำลังจะโทรออกครู่ต่อมา โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เขามองลงมาที่หมายเลขจากปลายสาย ‘พี่สาว’แม้ว่าเขาจะไม่ได้เรียกเธอแบบนั้นอีกต่อไป แต่เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนชื่อในโทรศัพท์ของเขาความทรงจำผุดขึ้นมาในหัวของเขา ผู้หญิงคนนี้เคยพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มว่า “คุณจะเป็นน้องชายของฉันได้ไหม?”เธอยังพูดอีกว่า “จากนี้ไป นายเป็นคนสำคัญสำหรับฉัน และฉันสำคัญกับนาย”‘พี่สาว... พี่สาว...’ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะทำให้เขาหลงรักเธอขณะที่โทรศัพท์ยังคงดังอยู่ อี้ จิ่นหลีกดปุ่มตอบรับและฟังเสียงของเธอ “จิน ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?”เขามองดูร่างบางที่ยังอยู่ข้างหน้าโรงพยาบาลจากระยะไกลและตอบว่า “ตอนนี้ฉันอยู่ที่ทำงานแล้ว”“เดี๋ยวฉันไปหานะ ยังไม่ถึงเวลากินข้า
เมื่อหลิง อี้หรานผลักประตูเข้าไปในห้องทำงานของท่านประธาน เธอก็เห็นร่างสูงที่ยืนมองออกไปด้านนอกหน้าต่างสไตล์ฝรั่งเศสซึ่งเป็นวิวที่มองเห็นเส้นขอบฟ้าของเมืองเฉินหลิง อี้หรานพบว่าภาพตรงหน้าเธอเหมือนกับภาพถ่ายบนโปสเตอร์ เพียงแค่เขายืนอยู่ที่นั่นก็ราวกับเมืองเฉินทั้งเมืองอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาแต่มันก็เป็นความจริงที่ว่าเขากำลังปกครองเมืองเฉินอยู่เขาดูแตกต่างจากชายผู้โดดเดี่ยวและเปราะบางที่เธอเคยเห็นในช่วงเช้าสร่าง“จิน” เธอเรียกเขาเสียงดังเขาหันศีรษะกลับมามองเธอ รอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา “มาถึงแล้วสินะ”“อืม ฉันเอาอาหารกลางวันมาให้คุณ ดูสิว่าคุณชอบไหม” ขณะที่เธอพูด เธอเดินไปที่โต๊ะกาแฟที่คุ้นเคยและวางกล่องอาหารกลางวันและผลไม้ในมือลงเขาเดินเข้ามา เปิดฝากล่องข้าว แล้วนั่งลงบนโซฟาหลิง อี้หรานรู้สึกราวกับว่าเธอได้ย้อนกลับไปในวันที่เธอรับประทานอาหารกลางวันกับเขาในที่ทำงานของเขา“ชอบไหม?” เธอถามอย่างมีความหวัง โดยไม่รู้ว่าอาหารกลางวันที่เธอเลือกนั้นเหมาะกับรสนิยมของเขาหรือไม่“ก็ดี” เขาตอบ“ดีแล้วที่ชอบ” เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก“แล้ววันนี้เธอไม่ปวดหัวแล้วเหรอ? ทำไ
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค