เธอต้องการส่งออเดอร์ในส่วนที่เหลือ และเมื่อถึงเวลาทานอาหารกลางวันในเวลาบ่ายสองโมง หลิง อี้หราน กินอะไรได้ไม่มากนักโจว เชียนหยุน กล่าวขึ้นว่า “เป็นอะไรหรือเปล่าเธอกินน้อยจัง เธอไม่ชอบอาหารวันนี้เหรอ?” เมื่อถึงเวลาทานอาหารเที่ยงทุก ๆ คน ในร้านอาหารเล็ก ๆ นี้ จะใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์และขอให้เชฟทำอาหารหลาย ๆ อย่างให้พวกเขาได้ทานด้วยกัน“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันคิดว่าเมื่อเช้าก่อนมาทำงานฉันคงกินมามากเกินไป” หลิง อีหราน มองไปที่อาหยันน้อย “ทำไมคุณไม่กินล่ะ? ฉันจะป้อนผลไม้ให้อาหยันน้อยเองนะคะ เพราะตอนนี้ฉันอิ่มแล้วล่ะ”หลิง อี้หราน หยิบแอปเปิลไปปลอกเปลือก จากนั้นเธอก็หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ และป้อนให้อาหยันน้อยเจ้าตัวเล็กอ้าปากอย่างเชื่อฟังและแทะแอปเปิล และในบางครั้งก็ยิ้มให้หลิง อี้หรานหลังจากป้อนผลไม้ให้แล้วเจ้าตัวเล็กก็ง่วงนอน เขาหาวและกางมือออกกว้างแสดงท่าทางเพื่อให้หลิง อี้หราน กอดเขาหลิง อี้หราน อุ้มเจ้าตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนของเธออย่างเป็นธรรมชาติและค่อย ๆ กล่อมให้เขานอนหลับแม้ว่าเจ้าตัวน้อยจะไม่ได้ยินเสียงฮัมเพลงเบา ๆ ของเธอ แต่นิ้วที่อ่อนเยาว์ของเขาค่อย ๆ ปัดเข้ากับริมฝีปากของเธอราวก
“อีกอย่างเธอไม่ได้มาที่ออฟฟิศนี้นานมากแล้วนะ เพื่อนร่วมงานเก่า ๆ ของเธอคิดถึงเธอมากเลย ยังไงก็ตาม ตอนนี้ เราเจอกันได้ทุกเมื่อหากเธอต้องการนะ” กวาน ลี่หลี่ พูดในขณะที่ดึงหลิง อี้หราน เข้าไปในออฟฟิศ “ตั้งแต่มานี่ เธอยังไม่เจอเพื่อนร่วมงานเก่า ๆ ที่นี่เลยนะ” หลิง อี้หราน ชำเลืองมองกวาน ลี่หลี เธอรู้แน่นอนว่าเธอกำลังจะทำอะไรอยู่ ในกรณีนี่เธอควรจะเผชิญหน้ากับพวกเขา เพราะถ้าเธอหนีพวกเขาก็จะหัวเราะเยาะเย้ยเธอ “โอเค ฉันจะไปเจอกับพวกเขา” หลิง อี้หราน พูดโดยไม่แคร์ความรู้สึกของตัวเอง ในทางตรงกันข้าม ท่าทางของเธอทำให้กวาน ลี่หลี่ ประหลาดใจ ท้ายที่สุด มันเป็นสิ่งที่เธอไม่คิดว่าจะได้เห็น เมื่อเข้ามาข้างใน กวาน ลี่หลี ก็ปรบมือของเธอในสำนักงานใหญ่และดึงความสนใจจากทุกคน “มาดูนี่สิทุกคน อี้หราน เพื่อนร่วมงานของพวกเรากลับมาหาเราแล้ว” ทันใดนั้น ทุกคนในออฟฟิศ ก็หันมามองทางพวกเขา ในขณะที่หลิง อี้หราน มองไปรอบ ๆ เธอก็ได้เห็นทั้งเพื่อนร่วมงานและคนทำงานใหม่ที่เธอไม่รู้จัก “พี่กวาน เธอทำงานที่นี่มาก่อนเหรอคะ? แล้วตอนนี้เธอทำงานที่ไหนคะ?” เพื่อนร่วมงานคนใหม่ถาม คำถามนี้เป็นไปตามที่ กวาน ลี่หลี
แน่นอนว่าคนที่ตอบคำถามนั้นก็คือ กวาน ลี่หลี่, กวาน ลี่หลี่ ดูเหมือนตั้งใจส่งเสียงของเธอ เธอพูดถึงเรื่องที่หลิง อี้หราน เข้าคุกเพราะเธอขับรถชนคนตาย ขณะที่เมาแล้วขับ... หลิง อี้หราน ยิ้มอ่อน กวาน ลี่หลี ต้องการเยียบย่ำเธอเพื่อชดเชยกับความขับแค้นใจจากการที่ถูกเธอกดขี่ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาสินะ? แน่นอนว่าคุณไม่สามารถรู้ถึงนิสัยใจคอของผู้คนได้ทั้งหมดในตอนที่คุณถูกยกย่องสรรเสริญ และแน่นอนว่าเมื่อไหร่ที่คุณตกอับ คุณจะรู้นิสัยที่แท้จริงของคนได้หมดเปลือก ขณะที่หลิง อี้หราน กำลังออกจากบริษัทไปยังลิฟต์ ก็มีเสียงฝีเท้าตามหลังเธอมาอย่างรวดเร็ว และเสียงก็ดังขึ้น “เดี๋ยวก่อน อี้หราน!” หลิง อี้หราน หันหัวกลับไปและเห็นผู้ชายคนหนึ่งรีบเขามา ก่อนที่จะหยุดตรงหน้าของเธอ เขากำลังมองเธอด้วยสายตาที่คลุมเครือ เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีพอสมควร อายุราว ๆ 30 เขามีรูปร่างปานกลางและแต่งกายด้วยชุดสูทแบบที่คนมีฐานะในเมืองมักใส่กัน “มีอะไรเหรอ?” หลิง อี้หราน ถามขณะที่มองไปทางเพื่อนร่วมงานเก่าของเธอ เขาเคยเป็นเพื่อนร่วมงานกับเธอที่บริษัทและก็มีช่วงหนึ่งมีข่าวลือขึ้นว่าเขาแอบชอบเธอ แต่เธอได้คบกับเซียว จื่อฉี
งานเลี้ยงอาหารในค่ำคืนนั้น มีเธอเพียงคนเดียว ที่เป็นคนออกตัวเพื่อเตือนเพื่อนร่วมงานที่ดื่มเหล้าไม่ให้ขับรถกลับ แต่ให้หาคนมาขับรถแทน แล้วคนอย่างเธอจะดื่มแล้วขับได้อย่างไร? เขาคิดว่าเธอต้องถูกใส่ร้ายแน่ ๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เขาเป็นทนายความ แต่เขากลับไม่กล้าแม้แต่จะช่วยลบชื่อของเธอได้ เขากลัวว่าคดีของเธอจะมีความซับซ้อนเกินไป และเขากลัวที่จะต้องต่อสู้กับอี้ จิ่นหลี มีใครไหมในเมือง เฉิน ที่จะกล้ายุ่งกับอี้ จิ่นหลี? เขาพูดได้แค่ว่าอี้หราน... โชคร้าย! ... ในตอนเที่ยง เลขาของอี้ จิ่นหลี ได้สั่งอาหารจำนวนมาก และหลิง อีหราน ก็เป็นคนรับผิดชอบในการส่ง กิจวัตรนี้ยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายวัน และ... อี้ จิ่นหลี ก็ต้องการให้เธอพักทานอาหารการวัน หลิง อี้หราน ได้มีการบอกใบ้อย่าชัดเจนกับอี้ จิ่นหลี หลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ หวังให้เขาจะไม่ทำอีก อย่างไรก็ตาม เขายักคิ้วและถามด้วยรอยยิ้มที่สดใสว่า “พี่ไม่ชอบทานอาหารกลางวันกับผมเหรอ? ผมก็แค่อยากให้พี่กินข้าวกับผม”หลิง อี้หราน พูดอะไรไม่ออก มันเหมือนกำลังปะทะกับรอยยิ้มที่มีความต้องการและในแววตาของเขาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของเข
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของโจว เชียนหยุน หลิง อี้หราน ก็ถอนหายใจอย่างโล่งใจกับตัวเองและนำออเดอร์ใส่บนรถจักรยานไฟฟ้า ด้วยออเดอร์ที่มากขึ้น พี่โจวจึงสารมารถทำรายได้ ได้เยอะมากขึ้นและจะได้รับการปลูกถ่ายประสาทหูเทียมให้อาหยันน้อยได้ เมื่อเธอนึกถึงอาหยันน้อย หลิง อีหราน ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดในใจของเธอ เด็กที่น่ารักอย่างเขามีข้อบกพร่องเช่นนี้ นอกจากนี้เธอก็ยังไม่เคยเห็นพ่อของอาหยันน้อยเลย อาหยันน้อยก็ใช้นามสกุล โจว ดังนั้นเธอก็เดาอะไรได้ว่า บางทีเด็กอาจจะอยู่กับพี่โจวเพียงลำพัง ในกรณีนี้แน่นอนว่าต้องลำบากกว่า หลิง อี้หราน ขี่จักรยานไฟฟ้ามาถึงทางเขาอาคาร อี้ กรุ๊ป รปภ. หลายคนคุ้นเคยกับ หลิง อี้หราน แล้ว เมื่อพวกเขาเห็นหลิง อี้หราน พวกเขาก็วางอาหารทั้งหมดลงบนรถเข็นอย่างกระตือรือร้นและยังช่วยเข็นมันเข้าไปในอาคารจนถึงลิฟต์และพวกเขายังมีน้ำใจกดลิฟต์ให้เธออีกด้วย สำหรับพนักงานต้อนรับยังทักทาย หลิง อี้หราน ด้วยรอยยิ้มและยังโค้งคำนับเธอด้วยความเคารพ หลิง อี้หราน อาจจะเป็นเพียงแค่สาวส่งอาหารที่มีความสุขกับสิ่งนี้ แน่นอนเธอรู้ว่าทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะ อี้ จิ่
หลิง อี้หราน เม้มปากของเธอและไม่รู้ว่าจะพูดอะไร และในตอนนั้นเธอก็เปิดกล่องอาหารกลางวันและเริ่มกิน สายตาของ อี้ จิ่นหลี จ้องมองไปที่หลิง อี้หราน ดูเหมือนว่ามันจะค่อย ๆ กลายเป็นที่ไม่สมควร ที่เขาพยายามกักขังให้เธอทำแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่อยากปล่อยเธอไป แต่เขาคิดถึงแค่ว่าอะไรที่เขาควรทำเพื่อให้เธอเต็มใจที่จะอยู่กับเขา การทานอาหารกลางวัน กลายเป็นสิ่งที่เขาตั้งหน้าตั้งตารอไปตั้งแต่เมื่อไร? เขาแค่ได้กินข้าวกับเธอแบบนี้ เขาก็มีความสุขแม้ว่าพวกเขาจะกินข้าวกันด้วยความเงียบเท่านั้นก็ตาม ลองคิดดูว่า ความสุขที่สุดของเขาอาจจะเป็นในวันที่เขาคือ ‘จิน’ อย่างน้อยเธอก็น่าจะหยอกล้อกับเขาทำกับเขาเหมือนคนธรรมดา เป่าผมให้กับเขาด้วยความรักและเรียกเขาว่า ‘จิน’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จิน... จิน... เธอจะรู้ไหมว่าเขาอยากได้ยินเธอเรียกเขาแบบนั้นมากขนาดไหน? ราวกับว่าเธอกำลังเรียกครอบครัวที่สำคัญที่สุดของเธอ เมื่อหลิง อี้หราน ทานข้าวเสร็จเธอก็เงยหน้าขึ้นมอง เธอมองตรงเข้าไปในแววตาของอี้ จิ่นหลี เขาได้แต่มองเธอและไม่ได้แตะที่กล่องอาหารกลางวันที่อยู่ในมือด้วยซ้ำ หรือเรียกอีกอย่างว่า เขาเฝ้ามองดูเธอตลอด
“ขอบคุณค่ะ” หลิง อี้หรานกล่าว ขณะที่เธอกำลังหยิบหนังสือ “ฉันต่างหากที่ต้องเป็นคนที่ขอบคุณเธอ” โจว เชียนหยุน กล่าว “อาหยันน้อย มีการสื่อสารได้เพียงเล็กน้อยกับบุคคลภายนอก นอกจากนี้ เขายังไม่สามารถได้ยินหรือพูดได้ คนอื่น ๆ จึงไม่ค่อยเต็มใจที่จะสื่อสารกับเขา ฉันดีใจมากที่เธอเต็มใจที่จะเรียนรู้ภาษามือเพื่อสนทนากับเขา” “อาหยันน้อยเป็นเด็กน่ารักและดูเหมือนว่าเขาจะชอบฉันด้วย ฉันคิดว่ามันเป็นเพียงโชคชะตา” หลิง อี้หรานกล่าว โชคชะตา... ริมฝีปากของโจว เชียนหยุน ขยับ แต่ในที่สุดเธอก็พูดเพียงแค่ว่า “ใช่บางที... นี่อาจจะเป็นโชคชะตา” “ฉันต้องไปแล้วนะคะพี่โจว” หลิง อี้หราน กล่าว “เอาล่ะ พรุ่งนี้เจอกันนะ” โจว เชียนหยุน รอจนหลิง อี้หราน ออกไป ก่อนจะปิดประตูร้านและเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านหลังร้านอาหาร เธอมองดูลูกชายของเธอบนเตียงของเขา ที่หลับไปแล้ว คุณนายโจวกำลังตบเบา ๆ บนตัวของเขา “เขาหลับแล้วเหรอ?” โจว เชียนหยุน ถามอย่างเบา ๆ ลดเสียงลงโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้จะรู้ว่าลูกชายของเธอจะไม่ได้ยินก็ตาม “ใช่ เขาเพิ่งจะหลับไป” คุณนายโจว กล่าว “หลิง อี้หราน กำลังจะเรียนภาษามือเหรอ?” “มันต้องไม่น่า
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ห้องนี้เงียบมากไม่มีใครส่งเสียงใด ๆ หลิง อี้หราน สังเกตเห็นว่า นายท่านอี้ กำลังมองมาที่เธออย่างระมัดระวัง แต่ในแววตาของเขายังมีความรังเกียจและความขยะแขยงอยู่ นอกเหนือจากพยาบาลแล้ว ยังมีผู้ชายที่พาเธอมาที่นี่ด้วยเขาอ้างว่าเป็นเลขาส่วนตัวของนายท่านอี้ “เธอรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงพาเธอมาที่นี่?” ในที่สุด หลังจากนั้นไม่นานเสียงของนายท่านอี้ก็ทำลายความเงียบนั้น “ค่ะ” หลิง อี้หรานตอบ “อาจจะเป็นเพราะ อี้ จิ่นหลี มั้งคะ” คงจะเป็นเรื่องโกหกหากจะบอกว่าเธอไม่ประหม่าเลยเมื่อมาถึงที่นี่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอมาถึงที่นี่เธอก็เงียบลงหลังจากที่ได้มองไปที่แววตาที่ดูรังเกียจของ นายท่าอี้ เธอเคยผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว แล้วตอนนี้มันจะเลวร้ายสักแค่ไหนกันเชียว นายท่านอี้ ตะคอก “เธอคงจะรู้นะ!” “ท่านพยายามจะพูดอะไรคะ?” ที่ หลิง อี้หราน ถามออกไปบางทีมันอาจจะเป็นเพราะเธอเหนื่อยมามากหลังจากที่เธอผ่านเรื่องราวมาทั้งหมด แต่เธอไม่ต้องการที่จะอ้อมค้อมวกวนอีกต่อไป “ฉันไม่เคยคิดที่จะปล่อยให้เธออาศัยอยู่กับเขา ในคฤหาสน์ อี้ ผู้หญิงอย่างเธอ เธอคิดว่าเธอสมควรที่จะเข้ามาในตระกูลอี้แบบ