หลังจากหลิง อี้หราน สัมภาษณ์งานที่บริษัทอีกที่เสร็จ เธอก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้าบูดหน้าเบี้ยวเธอคิดว่าเธอมีความพร้อมทางจิตใจและเต็มใจที่จะทำงานเป็นพนักงานส่งอาหาร โดยไม่กำหนดเงินเดือนขั้นพื้นฐาน ซึ่งบางบริษัทอาจจะมีการกำหนด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ถูกปฏิเสธอยู่ดีเมื่อเห็นว่าเวลาเกือบเที่ยงแล้ว หลิง อี้หราน ก็ไปที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ข้างทางและสั่งก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามในราคาสิบดอลลาร์นี่คือก๋วยเตี๋ยวชามที่ถูกที่สุดในร้านนอกจากนี้ยังมีโทรทัศน์เก่าตั้งอยู่ในร้าน ทีวีที่เปิดช่องข่าวอยู่และกำลังฉายซ้ำข่าวของเมื่อวาน หลิง อี้หราน ฟังอย่างไม่ตั้งใจนักในตอนแรก แต่เธอก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็วเมื่อนักข่าวเอ่ยถึงบริษัทที่คุ้นเคยมันคือ... บริษัทแรกที่เธอไปสัมภาษณ์งานเป็นพนักงานส่ง และยังเป็นที่เดียวกันที่เจ้าของบริษัทโทรหาอี้ จิ่นหลี และบอกเขาเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ของเธออี้ จิ่นหลี เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าเขาต้องการกำจัดบริษัทนี้ตอนนี้ข่าวบอกว่าบริษัทกำลังเผชิญกับเงินลงทุนที่กระจายออกไป เงินที่จัดสรรไว้สำหรับการลงทุนถูกยกเลิกอย่างกะทันหัน และผู้มีส่วนร่วมในการจัดหาเงินทุนของบริษัทได้ทำการประท้วงหน้
“เขาไม่ได้รบกวนฉันหรอกค่ะ ลูกชายของคุณน่ารักจัง" หลิง อี้หราน กล่าว “ดูเหมือนว่าเขาจะอยากกินก๋วยเตี๋ยวนะคะ เขามองก๋วยเตี๋ยวบ่อย ๆ”“ถ้าคุณให้ก๋วยเตี๋ยวเขา เขาอาจจะกินหรือไม่กินก็ได้ เขาแค่อยากเล่นสนุกด้วยค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นกล่าวและเริ่มทำท่าทางด้วยมือทั้งสองข้างต่อหน้าเด็กน้อยหลิง อี้หราน ตกตะลึงและสังเกตได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังทำอะไร... ภาษามือ!“เขา... ” เธอกล่าวโพล่งออกมาหญิงสาวกล่าวว่า “เขาไม่ได้ยิน แต่เขารู้ภาษามือค่ะ เขาเข้าใจได้ท่าทางง่าย ๆ”ผู้หญิงคนนั้นพูดและค่อย ๆ พูดต่อว่า “ขอโทษคุณน้าสิ” ในขณะทำท่าทางจากนั้นหลิง อี้หราน ก็เห็นเด็กน้อยโค้งคำนับมาทางเธอราวกับจะแสดงความขอโทษหลิง อี้หราน อดไม่ได้ที่จะลูบหัวของเด็กน้อย เขายังเด็กแต่เขาไม่สามารถได้ยิน เสียงทั้งหมดในโลกนี้ไม่มีอยู่จริงสำหรับเขาใช่ไหม?หญิงสาวคนนั้นอุ้มเด็กน้อยออกไป ในขณะที่หลิง อี้หราน ยังคงกินก๋วยเตี๋ยวของเธอต่อไป แต่เธอกลับรู้สึกเสียใจเธอกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จและกำลังจะออกจากร้านอาหารเล็ก ๆ เมื่อออกไปจากร้าน เธอก็เห็นแผ่นประกาศรับสมัครงานที่หน้าประตูพวกเขากำลังมองหาพนักงานส่งอาหารหลิง อี้หราน ห
“ฉันชื่อ โจว เชียนหยุน คุณจะเรียกฉันว่าพี่โจวก็ได้ คุณชื่ออะไรล่ะ?” เจ้าของร้านถาม“ฉันชื่อหลิง อี้หรานค่ะ พี่โจวจะเรียกฉันอี้หรานก็ได้นะคะ” หลิง อี้หราน กล่าวและในดูเหมือนว่าความเศร้าหมองในดวงตาของเธอได้หายไปโจว เชียนหยุน มองไปที่หลิง อี้หราน ดวงตาของเธอกระพริบหลิง อี้หราน ทิ้งชื่อและข้อมูลติดต่อของเธอไว้ ขณะเดียวกันผู้หญิงอายุราว ๆ ห้าสิบปีเดินมาหา โจว เชียนหยุน "ลูกคุยอะไรกับผู้หญิงคนนั้น?"“เธอเพิ่งสมัครเป็นพนักงานส่งอาหารของเรา และหนูตกลงที่จะให้เธอมาทำงานในวันพรุ่งนี้” โจว เชียนหยุน กล่าว“ผู้หญิงอายุเท่าเธอสมัครเป็นพนักงานส่งอาหารเหรอ? ต้องมีอะไรผิดปกติกับเธอแน่นอน ผู้หญิงอย่างเธอมักจะทำงานออฟฟิศไม่ใช่เหรอ?" งานพนักงานส่งอาหารได้รับค่าจ้างที่ต่ำ และมีเพียงคนในวัยห้าสิบปีเท่านั้นที่มาขอสมัครงานในตำแหน่งนี้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่พอใจกับค่าจ้างที่ต่ำและชั่วโมงที่ยาวนาน ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิเสธที่จะทำมัน”"เธอมีประวัติอาชญากรรมในทำให้คนเสียชีวิตด้วยรถยนต์" โจว เชียนหยุน กล่าว “หนูคิดว่าเธอเป็นคนดี เธอใจดีกับเยียน หนูไม่คิดว่าเธอจะเป็นคนไม่ดี การขับรถชนคนตายของเธอน่าจะเป็นอุบัติ
ปฏิกิริยาของหลิง อี้หราน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอี้ จิ่นหลี สามารถไปตามกำจัดร้านอาหารเล็ก ๆ ได้ แม้แต่บริษัทที่กำลังมาแรง ที่คนต่างกล่าวว่าจะมีอนาคตที่สดใส กลับกำลังมีข้อสงสัยและอาจจะถูกกำจัดไป ดังนั้นร้านอาหารเล็ก ๆ ก็น่าจะไม่รอด“ฉัน... ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น” เธอพึมพำ เธอไม่ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นกับร้านอาหารเล็ก ๆ ของพี่โจวเพราะฉัน เธอเห็นว่าพี่โจวเป็นคนดี ลูกชายของเธอที่หูหนวก ทำให้เธอต้องรับภาระหนัก “ดีแล้วที่พี่ไม่ได้คิดแบบนั้น พี่สามารถอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข” อี้ จิ่นหลี กล่าวด้วยรอยยิ้มหลิง อี้หราน เม้มริมฝีปากของเธอเข้าด้วยกันและไม่ได้พูดอะไรต่ออี้ จิ่นหลี จับมือของหลิง อี้หราน ขึ้นมาและวางฝ่ามือของเธอลงบนแก้มของเขา “เพราะพี่ตั้งใจจะหางานด้วยตัวเอง ไม่ว่าพี่จะกลับมาดึกแค่ไหน พี่ก็จะมา
แทนที่จะกลับไปสู่อ้อมอกแม่อย่างเชื่อฟังเหมือนที่เคยทำเมื่อวานนี้ เขากลับจับขาของหลิง อี้หราน ไว้แน่นโจว เชียนหยุน กล่าวว่า “ขอโทษนะ ปกติแล้วอาหยันน้อยมักจะไม่เป็นแบบนี้ ดูเหมือนเขาจะชอบเธอ”“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็ชอบอาหยันน้อยเหมือนกัน” หลิง อี้หราน พูดพลางอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาขณะที่เธอพูดเจ้าตัวเล็กไม่ดิ้นและเชื่อฟังอย่างน่าทึ่ง เขายิ้มกว้างให้กับหลิง อี้หราน หลังจากที่เธออุ้มเขาขึ้นมารอยยิ้มมีร่องรอยของความขี้อายและขี้อ้อนที่ทำให้หลิง อี้หราน เศร้าอย่างประหลาด "สวัสดีจ้า อาหยันน้อย" หลิง อี้หราน กล่าวยกมือขึ้นแตะศีรษะของเด็กน้อยอย่างไรก็ตาม เจ้าตัวเล็กไม่ได้ยินเสียงของเธอ เขาไม่รู้ว่าเธอพูดอะไร เขามองเธอด้วยความสับสนเท่านั้นโจว เชียนหยุน มองไปที่ลูกชายของเธอแล้วมองไปที่หลิง อี้หราน ทันใดนั้น ดวงตาของเธอก็เศร้าหมองขึ้น อาหยันน้อย... เข้าใจผิดว่าอี้หรานเป็นคนนั้นหรอ? นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้ใกล้ชิดอย่างผิดธรรมชาติ... ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าเศร้า... ที่พวกเขาไม่สามารถเห็นคน ๆ นั้นได้อีก“พี่โจวช่วยสอนภาษามือให้ฉันได้ไหมคะ? ฉันอยากเรียนรู้ที่จะสื่อสารกับอาหยันน้อย” หลิง อี้หราน
นอกจากนี้ ในฐานะหัวหน้า เธอยังต้องดูแลแคชเชียร์, เสิร์ฟอาหาร, ทำความสะอาดโต๊ะ มันเหมือนกับว่าเธอต้องทำทุกอย่าง เมื่อตอนที่ร้านยุ่ง ๆ เธอก็แทบจะไม่มีเวลาว่างเลย ความสามารถของเธออาจจะมีจำกัด แต่เธอก็มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกชายของเธอ ประมาณบ่ายสามโมง ทางร้านก็ได้มีออเดอร์อื่นเข้ามา มีทั้งขนมปังไส้สับปะรดและชานม เมื่อกี้แค่หลิง อีหราน ได้เห็นที่อยู่ เธอถึงกับฟุ้งซ่าน “มีอะไรเหรอ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” โจว เชียนหยุน ได้เตรียมออเดอรให้ หลิง อี้หราน และสังเกตเห็นว่าเธอจ้องไปที่ใบสั่งซื้ออย่าเหม่อลอย “เปล่าไม่มีอะไรค่ะ” หลิง อี้หราน ตอบพร้อมกับหยิบขนมปังสับปะรดและชานม ชัดเจนว่า ที่อยู่ของคำสั่งซื้อนั้นเป็นสำนักงานกฎหมายที่เธอเคยทำงานอยู่ ตอนนี้เธอกำลังจะไปส่งอาหารที่นั่น และเธอจะต้องพบเจอกับอดีตเพื่อนร่วมงานของเธอเป็นธรรมดา ย้อนกลับไป เธอเป็นพนักงานที่ยอดเยี่ยมในออฟฟิศคนหนึ่งเลย แต่บางทีในอีกสักพัก เธออาจจะต้องรู้สึกอับอายใจมาก ๆ หลิง อี้หราน รู้สึกถึงความเจ็บปวดในใจ แต่ในตอนนี้เธอเลือกมุ่งมั่นที่จะทำตรงนี้แล้ว เธอก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอกับสถานการณ์เหล่านี้ นอกจากนี้
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นแขนของเธอก็ถูกจับไว้ ด้วยแรงกระตุกเธอจึงเขาไปอยู่ในอ้อมกอดที่แสนกว้าง เธออยากจะเอาตัวออกมาจากอ้อมแขนของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว แต่มือของเขาโอบรอบตัวเธอและกอดเธอไว้ใกล้ ๆ “มันคงจะเป็นฝันที่ดีจริง ๆ สินะพี่สาว!” เขาบ่นพึมพำขณะที่ปากของเขาอยู่ใกล้ ๆ กับหูของเธอ เธอตัวสั่นเล็กน้อยและได้ และรู้สึกว่าลมหายใจของเขาอยู่ข้าง ๆ หูของเธอ เหมือนร่างการของเธอถูกโอบล้อมด้วยลมหายใจของเขา “นี่คุณ... ปล่อยนะ” เธอพูด และหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง “ทำไมพี่ไม่เล่าให้ผมฟัง เกี่ยวกับการทำงานวันแรกของพี่ก่อนล่ะ?” เขาถาม “มันก็เป็นแค่งานส่งอาหารตามปกติ มีคนสั่งอะไรฉันก็แค่ไปส่งให้” เธอด้วยความรู้สึกหัวใจเธอเต้นเร็วขึ้น แม้แต่การไหลเวียนของเลือดก็เร็วขึ้นมากด้วย “ถ้าอย่างงั้น วันนี้พี่ทานอาหารดี ๆ แล้วหรือยัง?” เสียงของเขาดังขึ้นในหูของเธอ อีกครั้ง “ใช่สิ ฉันทานข้าวกับเจ้านาย เธอเตรียมให้ฉันวันละสองมื้อ” หน้าของเธอร้อนขึ้น ราวกับว่ามันกำลังจะไหม้ ความรู้สึกแปลก ๆ ของเธอทำให้เธอขวัญเสีย ตอนนี้ทั้งหมดที่เธอต้องการก็แค่ให้เขาปล่อย อย่างไรก็ตาม เขาไม่ให้ในสิ่งที่เธอต้องกา
ในไม่กี่ชั่วโมงของวันนี้ ในตอนที่หลิง อี้หราน นอนหลับอย่ารวดเร็วอยู่บนที่นอน ประตูระหว่างห้องสองห้องก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ร่างสูง ๆ ก็เดินเข้ามา ผู้ที่มักจะเย็นชา มองไปที่ผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสายตารักใคร่ การจ้องมองของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความผูกพัน “ฝันดีนะพี่สาว” เสียงเบา ๆ และนุ่มนวลดังออกมาจากปากของเขามันผสมไปด้วยความผูกพันและในเวลาเดียวกันมันก็มีความสิ้นหวังที่ไม่อาจจะบรรยายความรู้สึกได้ ... วันรุ่งขึ้น เมื่อหลิง อี้หราน ไปทำงาน ช่วงเที่ยงที่ร้านได้รับออเดอร์ เยอะมาก มากกว่า 30 รายการ ปกติแล้ว รอบหนึ่งเธอจะส่งเพียงแค่ 7-8 รายการ แต่ตอนนี้ มีออเดอร มากกว่า 30 รายการโดยกะทันหัน มันเป็นอะไรที่เลิศมากสำหรับร้านเล็ก ๆ ที่จะส่งอาหารในบ่ายวันนี้ โจว เชียนหยุน เตรียมออเดอร์ให้พร้อมและพูดกับหลิง อี้หราน ว่า “ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการส่งอาหารพวกนี้นะ” “แล้วออเดอร์อื่น ๆ ล่ะคะ?” หลิง อี้หรานกล่าว สุดท้ายแล้ว เมื่อเธอส่งออเดอร์นี้แล้ว เธออาจจะไม่ต้องส่งออเดอร์อื่น ๆ ก็ได้ “ไม่เป็นไร ฉันจะขอให้แม่ มาช่วยทำหน้าที่แทนตรงเครื่องคิดเงินหลังจากที่พาอาหยันน้อยเข้านอน แล้วฉันจะไปส่งใ
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค