หวา ลี่ฟางพยายามแสดงท่าทางเป็นห่วงเป็นใย “ลี่เฉิน คุณควรไปให้หมอตรวจมือนะคะ มันเจ็บมากหรือเปล่า? ฉันเป็นห่วงเรื่องมือคุณ”“คุณเคยเป็นห่วงเรื่องอี้หรานบ้างไหม?” กู้ ลี่เฉินสวนทันควัน“ฮะ?” ลี่ฟางนิ่งอึ้ง สับสนไปครู่หนึ่ง“คุณเคยห่วงไหมว่าอี้หรานจะเคยบาดเจ็บที่มือยิ่งกว่าผมอีก? คุณเคยห่วงมือเขาบ้างไหม? คุณเอาแต่บอกว่าพวกคุณสนิทกันดี แต่คุณเคยไปเยี่ยมเขาที่เรือนจำบ้างไหม?” ลี่เฉินถามขณะจ้องมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเมื่อเขาตรวจสอบประวัติของอี้หราน ลี่เฉินพบว่ามีเพียงชิน เหลียนอีที่เป็นเพื่อนสนิทของอี้หรานเท่านั้นที่มาเยี่ยมขณะที่ยังอยู่ในเรือนจำ ส่วนย่าของอี้หรานไม่สามารถเดินทางมาที่เมืองเฉินได้เนื่องจากสุขภาพย่ำแย่ แต่ถึงอย่างนั้นอี้หรานก็ยังได้รับโทรศัพท์จากผู้เป็นย่าหลายครั้งนอกเหนือจากนี้แล้ว ก็ไม่มีใครสนใจอี้หรานระหว่างที่ตกอยู่ในสถานะผู้ต้องขังอีกเมื่อลี่เฉินมาลองนึกถึงความเหินห่างระหว่างอี้หรานและครอบครัว รวมถึงเพื่อน ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดในใจโดยไม่อาจอธิบายได้หวา ลี่ฟางตั้งตัวไม่ถูก และไม่รู้ว่าควรตอบลี่เฉินไปอย่างไรในตอนนั้นเอง ชิน เหลียนอีก็วิ่งเข้ามาหากู้ ลี่เฉินพร้อม
“ลี่เฉินคะ ถึงอี้หรานจะถูกอี้ จิ่นหลีพาตัวไป คุณก็ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ สองคนนั้นเคยคบกันมาก่อน ถึงจะเลิกกันแล้ว แต่ก็ดูเหมือน…”หวา ลี่ฟางหยุดชะงักเมื่อสังเกตเห็นว่ากู้ ลี่เฉินไม่ได้ฟังเธอเลยแม้แต่น้อย! เหมือนกับว่าเธอเป็นเพียงธาตุอากาศและสิ่งเดียวที่เขานึกถึงคือหลิง อี้หราน!ลี่ฟางกัดฟันกรอด ‘อี้หรานมีดีอะไรนัก?’‘ทำไมทุกคนจะต้องทะเลาะกันแย่งอี้หรานด้วย?’‘ฉันจะไม่ยอมให้หลิง อี้หรานมาพรากความสุขของฉันไป!’…เมื่ออี้หราน ก้าวลงมาจากรถ เธอก็พบว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เธอคุ้นเคยบ้านทรงตะวันออกล้อมรอบด้วยป่าไผ่ ท่าทางราวกับตั้งอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานป่าไผ่ให้ความรู้สึกเก่าแก่ ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกราวกับกำลังมองย้อนไปในอดีต“อี้ จิ่นหลี คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม?” อี้หรานถามด้วยความหวาดระแวง“ทำไม? ก็เพื่อขังพี่ไว้ที่นี่ไง ถามมาได้” เขาตอบพลางฉุดกระชากเธอให้เข้าไปในบ้านด้วยการออกแบบของบ้านค่อนข้างเก่าแก่ ถึงแม้จะมีบางจุดที่ได้รับการตกแต่งใหม่ แต่มนต์ขลังของมันก็ยังคงอยู่ตามเดิม ที่นี่มีทั้งระเบียงทางเดิน สะพาน สระ และดอกบัวลอยอยู่เต็มไปหมด ดูเป็นภาพหาดูได้ยากทีเดียว!หากนี่คือการมาเยือนต
เธอตัวสั่น ‘นี่เขา... ตั้งใจเก็บฉันไว้ที่นี่จนกว่าฉัน... จะตกหลุมรักเขาอีกครั้ง งั้นเหรอ?’“นี่คุณบ้าไปแล้วเหรอ? ที่คุณกักขังฉันไว้มันผิดกฎหมายนะ!” หลิงอี้หรานตะโกนออกมา ราวกับว่านี่เป็นวิธีเดียวที่เธอจะบรรเทาความกลัวออกจากใจของเธอได้“ฉันเป็นบ้าไปแล้วงั้นเหรอ?” เขาพูด จูบเย็น ๆ ของเขาก็เลื่อนลงมายังใบหูของเธอ ลากไล้จากแก้มไปยังระหว่างคิ้วของเธอ “ก็คงบ้านั่นแหละ”เขาคงจะเป็นบ้าไปแล้วในตอนที่เขาตกหลุมรักเธอ และปล่อยให้เธอควบคุมทั้งความสุขและความเศร้าของเขา“เธอทำให้ฉันรู้ว่าความหึงหวงสามารถรุนแรงได้จนฉันสามารถทำลายโลกใบนี้ได้...” เขาพึมพำเสียงแผ่วของเขาทำให้บรรยากาศในห้องสลัวนี้ดูคลุมเครือหลิงอี้หรานไม่สามารถผลักอี้จิ่นหลีออกไปได้ เขาระดมจูบไปบนใบหน้าของเธอ และนิ้วของเขาก็พยายามจะถอดชุดตัวยาวออกไปจากร่างของเธอ“อย่า!” เธอกรีดร้อง“ฉันไม่ชอบให้เธอสวมชุดที่ผู้ชายคนอื่นให้” เขาพูดอย่างเย็นชา โดยเฉพาะชุดที่เธอกำลังสวมอยู่ซึ่งมีไว้สำหรับคนที่กู้ลี่เฉินคิดถึงมากที่สุดกู้ลี่เฉินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอี้หรานเป็นเด็กหญิงที่ช่วยชีวิตของเขาไว้ตอนเด็ก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มอบชุดให้กับเธออยู่ดี
ชินเหลียนอีและไป๋ทิงซินมายังคฤหาสน์ตระกูลอี้ แต่พวกเขากลับไม่พบกับอี้จิ่นหลี!เป็นเพราะพ่อบ้านของตระกูลอี้ อี้จิ่นหลีจึงไม่เคยพาหลิงอี้หรานมาบ้านเลยสักครั้งแน่นอนว่าเมื่อชินเหลียนอีขอเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลอี้ พ่อบ้านประจำตระกูลย่อมต้องปฏิเสธเธอ! เพราะแบบนั้น ชินเหลียนอีจึงทำได้เพียงมองประตูทางเข้าคฤหาสน์อี้และกระทืบเท้าเท่านั้นไป๋ทิงซินมองไปยังแฟนสาวที่กระวนกระวาย และรู้แล้วว่าหลินอี้หรานเป็นคนสำคัญของชินเหลียนอี“ถ้าผมเป็นคนที่โดนพาตัวไป คุณจะเป็นห่วงและออกตามหาผมไหม?” ไป๋ทิงซินถามขึ้นชินเหลียนอีตกตะลึงไป จากนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ทำไมคุณถึงถามอะไรแบบนั้นขึ้นมาตอนนี้? นี่คุณคงไม่ได้หึงอี้หรานหรอก ใช่ไหม?”“แล้วถ้าใช่ล่ะ?” ไป๋ทิงซินถามขณะที่จ้องมองไปยังคนตรงหน้าชินเหลียนอีกะพริบตาใช้ความคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จู่ ๆ เธอจะเขย่งตัวขึ้น สองมือของเธอก็ดึงคอปกเสื้อของไป๋ทิงซินลงมา และจูบเขาด้วยริมฝีปากบาง “เอาล่ะ ๆ เป็นเด็กดีนะ คุณเป็นคนเดียวที่ฉันรักค่ะ อี้หรานน่ะเป็นเพื่อนสนิทฉัน อย่าหึงไปเลยนะ”ตอนนี้กลายเป็นไป๋ทิงซินแทนที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี‘เป็
เขาเปิดประตูทิ้งไว้ แต่... เธอรู้ดีกว่าถ้าเขาพูดว่าเขาจะกักตัวเธอไว้ที่นี่ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วก็ไม่มีทางที่เธอจะออกไปจากบ้านหลังนี้ได้แม้ว่าเธอจะเหยียบออกไปนอกประตูแล้วก็ตามตอนนั้นเองที่ประตูเปิดออก อี้จิ่นหลีเดินเข้ามาพร้อมด้วยกองเสื้อผ้าในมือ“ตื่นแล้วเหรอ?” เขาถามพลางมองหลิงอี้หรานที่นั่งอยู่บนเตียง และห่อตัวด้วยผ้าปูที่นอนเธอกัดริมฝีปากและมองเขาเงียบ ๆเขายักไหล่และเดินเข้าไปหาเธอแล้วพูดว่า “นี่ชุดให้เธอเปลี่ยน ให้ฉันช่วยเปลี่ยนนะ จะได้ดูว่าพอดีหรือเปล่าน่ะ”เธอรีบปฏิเสธเขาทันที “ไม่ต้อง! ฉันเปลี่ยนเองได้!”“ก็ได้ ๆ เธอเปลี่ยนเองก็ได้” เขาไม่ขัดและวางเสื้อผ้าลงข้างตัวเธอเธอมองไปยังเขา ‘เขายังอยู่ตรงนี้ แล้วจะให้ฉันแต่งตัวยังไง?’ดูเหมือนเขาจะเห็นเธอดูลังเล “ตอนที่เราอยู่ด้วยกัน เธอก็เคยเปลี่ยนชุดต่อหน้าฉันไม่ใช่เหรอ?”“คุณเคยเป็นแฟนและคนรักของฉัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว” เธอกล่าวสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ หลับตาลง “ก็ได้ ฉันไม่มองแล้วนี่ไง เปลี่ยนซะสิ”เธอตะลึงไป และไม่คิดว่าเขาจะหลับตาลงแบบนี้การที่เขายืนนิ่งหลับตาอยู่เช่นนั้น ทำให้เขาดูเหมือ
”ฉันบอกคุณแล้วว่า ฉันไม่...”“เธอไม่รู้สึกอะไรกับฉันเลย?” เขาขัดจังหวะเธอ “แล้วตอนนี้เธอรู้สึกกับใครอยู่?”เธออึ้งไป ดูเหมือนความอันตรายจะฉายวาบผ่านแววตาของเขาขณะที่มองมายังเธอ“ฉันไม่รู้สึกอะไรกับใครทั้งนั้นแหละ รวมถึงกู้ลี่เฉินด้วย!” เธอพูด เธอไม่อยากให้กู้ลี่เฉินเข้ามาเกี่ยวข้องแบบนี้ อี้จิ่นหลีหักข้อมือของกู้ลี่เฉินก็เพราะเธอ และเธอก็อยากรู้ว่าตอนนี้อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง“ถ้าเธอไม่มีความรู้สึกอะไร ทำไมเธอถึงปล่อยให้มันกอดเธอล่ะ? เธอไปสนิทกับลี่เฉินตอนไหน?” เขาถามเสียงดุจู่ ๆ เธอก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา ถ้าคำตอบของเธอไม่ถูกใจเขา ถ้าอย่างนั้น...หลิงอี้หรานพูดอย่างสัตย์จริง “ฉัน... คิดกับกู้ลี่เฉินแค่เพื่อนสมัยเด็กเท่านั้น ฉัน... รู้สึกผิดเวลาที่ฉันเห็นเขา”“รู้สึกผิด?” อี้จิ่นหลีเลิกคิ้ว“เขาตามหาฉันมาตั้งหลายปี แต่ฉันไม่เคยบอกว่าฉันคือคนที่เขาตามหา” ทั้งยังปล่อยให้กู้ลี่เฉินคิดว่าเป็นคนอื่นและทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า “อีกอย่าง ที่เขากอดฉันอาจจะเป็นแค่ความรู้สึกที่เขามีให้ฉันตอนเด็ก”เพราะเธอสวมชุดสีม่วงตัวนั้น ดังนั้นกู้ลี่เฉินคงจะคิดว่าเธอเป็นเด็กสาวในจินตนาการของเขา เธอรู้
เขาพูดอย่างเผด็จการ “ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือหัวใจของเธอ ฉันก็ต้องการให้เธอรักฉัน! ถึงหัวใจเธอจะไม่รักฉัน แต่ไม่ช้าก็เร็ว เธอก็ต้องรักฉันมากเท่าที่เธอเคยรัก อี้หราน จำคำฉันไว้!”น้ำเสียงของเขาฟังดูมั่นใจเลือดในกายของเธอดูเหมือนถูกแช่แข็งไปเสียแล้ว! ‘จะเป็นไปได้ไง? ฉันจะยังรักเขาเหมือนเมื่อก่อนได้งั้นเหรอ?’ความสัมพันธ์ที่แตกสลายไปแล้วจะกลับไปเหมือนเก่าได้อย่างไร? ...ตกกลางคืน เย่เหวินหมิงขึ้นไปบนรถและถูหน้าผากตัวเองด้วยท่าทีค่อนข้างเหนื่อย เขาเพิ่งคุยกับทนายเรื่องคดีความสิทธิ์การเลี้ยงดูทนายที่เขาจ้างมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในคดีความเหล่านี้ ในตอนที่วิเคราะห์คดีความ เขาบอกว่า มีโอกาสที่เย่เหวินหมิงจะชนะคดีนี้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์แม้ว่าเด็กจะอยู่กับโจวเชียนหยุนมาหลายปี แต่ข้อเสียเปรียบใหญ่ที่สุดของโจวเชียนหยุนคือเวลาที่เธอถูกจำคุก ประวัติของเธอมีโอกาสที่จะทำให้ผู้พิพากษาเลือกเขาเป็นคนที่ได้รับสิทธิ์เลี้ยงดูเขาไม่รู้เลยว่าคดีความในครั้งนั้นจะกลายเป็นอาวุธในการแย่งชิงสิทธิ์เลี้ยงดูขึ้นมา ดวงตาของเย่เหวินหมิงเหนื่อยล้าอย่างช่วยไม่ได้เมื่อคิดถึงคดีความหัวใจของเขาคล้ายจะเจ็บปวดอีกครั้ง
รถเคลื่อนมาจนถึงถนนฮวยไห่ และมีร้านริมทางอยู่ข้างหน้า เย่เหวินหมิงบอกคนขับรถให้จอด จากนั้นเขาก็ลงจากรถไปตามลำพังคนขับพูดว่า “คุณเย่ครับ ผมแนะนำร้านอื่นให้คุณได้นะครับ ถ้าคุณอยากทานมื้อดึกที่นี่”“ไม่เป็นไร ขอบคุณ” เย่เหวินหมิงกล่าวปฏิเสธเบา ๆ จากนั้นเขาก็ตรงไปยังสถานที่ที่คนพลุกพล่านร้านข้างทางดูไม่เข้ากับเย่เหวินหมิงเลยแม้แต่น้อย ปกติแล้ว เขาก็คงไม่เคยมาในที่แบบนี้แต่วันนี้... ในที่สุดเขาก็เห็นร่างบางตรงนั้นแม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่เขาก็เห็นเธอด้วยเพียงแวบเดียวที่มอง... เธอยังคงผอมบางอย่างเช่นเคย แต่งตัวเชย ๆ ในชุดสีน้ำตาลพร้อมด้วยผ้ากันเปื้อน เธอดูแตกต่างไปมากจากเมื่อก่อนตอนที่อยู่กับเขา โจวเชียนหยุนก้มหน้าก้มตาทำอาหาร ความร้อนจากกระทะพุ่งเข้าหาใบหน้าที่ยังสวยงามของเธอ การเคลื่อนไหวของเธอมีชั้นเชิง เธอใช้แขนเรียวโยนอาหารและพลิกออกจากกระทะได้อย่างคล่องแคล่วจู่ ๆ เย่เหวินหมิงก็นึกไปถึงตอนที่เธอบอกว่า เธอจะไปทำอาหารให้เขา แต่กลับจบลงด้วยสภาพที่ดูไม่จืด และในท้ายที่สุดเขาก็ทำข้าวผัดไข่ที่พวกเขาสองคนช่วยกันจัดการจนหมดเกลี้ยงตอนนั้นเธอพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เหวินหมิง คอยดูนะค