คืนนั้น เฉียวเนี่ยนได้ฝันในความฝัน นางย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน ตอนที่หลินยวนทําถ้วยแก้วแตกเมื่อเผชิญหน้ากับการตําหนิขององค์หญิง เซียวเหิงและหลินเย่ว์ในความฝันก็เข้าไปขวางหน้าองค์หญิงพร้อมกันในขณะที่เฉียวเนี่ยนรู้สึกซาบซึ้งใจกับเรื่องนี้ กลับพบว่าคนที่ถูกพวกเขาปกป้องอยู่ข้างหลังคือหลินยวน ไม่ใช่นางสุดท้าย นางที่อยู่ในความฝันก็ถูกพาไปที่กรมซักล้าง ถูกพวกนางบ่าวร่วมมือกันรังแก ถูกมามาเฆี่ยนตี...ในที่สุดเฉียวเนี่ยนก็ตื่นจากภวังค์ หอบหายใจอย่างหนักหน่วง บนหน้าผากมีเหงื่อเย็นบางๆ ปกคลุมอยู่ หัวใจเต้นรัวเร็วแน่นอนว่าสําหรับนาง กรมซักล้างนั้นเปรียบได้ดั่งนรกคงเพราะได้ยินเสียงเคลื่อนไหว หนิงซวงจึงเดินเข้ามาจากข้างนอก เห็นเฉียวเนี่ยนกําลังนั่งหอบหายใจอยู่บนเตียง จึงอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ "คุณหนูฝันร้ายหรือเจ้าคะ?"เฉียวเนี่ยนสูดหายใจเข้าลึกๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย "เป็นแค่ฝันร้ายเล็กๆ เท่านั้น ไม่เป็นไรหรอก"นางคิดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในกลางวันทําให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงฝันแบบนั้นแต่ว่า แม้แต่ในความฝัน เซียวเหิงและหลินเย่ว์ก็ไม่ได้ปกป้องนางนางยิ้มอย่างขมขื่นและส
ทําสองครั้งแรก มันก็กินยากจริงๆ นั่นแหละดังนั้นเขาจึงจ่ายเงินเรียนซะเลย แต่ไม่คิดว่าไส้ใหญ่หมูแบบนี้นี้ดูเหมือนง่าย แต่การทํามให้อร่อยไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อคืนหลังจากเรียนเสร็จ เขาก็รีบไปซื้อไส้ใหญ่หมูกลับไปอย่างอดใจรอไม่ไหว ไม่ง่ายเลยที่จะทําชามนี้ออกมาได้เขาคิดว่าของแบบนี้เย็นแล้วไม่อร่อย จึงถือโอกาสเอาไปให้เฉียวเนี่ยนตอนร้อนแต่จนกระทั่งเขาเคาะหน้าต่างของเฉียวเนี่ยน เขาถึงได้สติขึ้นมาอย่างกระทันหันฟ้าเพิ่งสว่าง เขาก็มาอย่างอดใจรอไม่ไหวแล้วซ้ำยังปีนกําแพงเข้ามาเพื่อเอาไส้ใหญ่หมูไปให้เฉียวเนี่ยนแค่ไส้ใหญ่หมูจานเดียวเอง!คิดแบบนี้แล้ว ใบหน้าของจิ่งเหยียนก็แดงก่ำจนเลือดแทบจะไหลออกมาแล้วเขารู้สึกว่าตัวเองบุ่มบ่ามเกินไปแล้วแต่ตอนนี้ เขาจากไปก็ไม่ใช่ อยู่ก็ไม่เชิงใบหน้าที่แข็งกระด้างในตอนแรก ตอนนี้เต็มไปด้วยความลําบากใจเฉียวเนี่ยนย่อมคิดไม่ถึงว่าจิ่งเหยียนจะมาส่งไส้ใหญ่หมูเห็นได้ชัดว่าครั้งที่แล้วนางแค่พูดไปอย่างนั้นเอง ผ่านไปนานขนาดนี้ นางก็ลืมไปแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะส่งมาแล้วเมื่อเห็นใบหน้าดําคล้ําของจิ่งเหยียนเกือบจะแดงจนยืนไม่อยู่ เฉียวเนี่ยนก็อดยิ้มไม่
เฉียวเนี่ยนตกใจจิ่งเหยียนถูกพบแล้ว!หนิงซวงรีบยัดกล่องอาหารที่ยังวางไม่ทันใส่มือของเฉียวเนี่ยน "คุณหนูอย่าใจร้อน บ่าวจะออกไปดูสักหน่อยเจ้าค่ะ"พูดจบก็เดินออกไปอย่างรวดเร็วผ่านไปครู่ใหญ่ หนิงซวงจึงกลับมา "คุณหนู คนที่องค์รักษ์ค้นพบก็คือรองแม่ทัพจิ่ง! แต่ท่านไม่ต้องกังวล รองแม่ทัพจิ่งวิ่งเร็ว ไม่ได้ถูกจับเจ้าค่ะ"เมื่อได้ยินคําพูดนี้ เฉียวเนี่ยนถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกถ้าจิ่งเหยียนเสียชื่อเสียงเพราะนาง แบบนี้นางมิต้องมีบาปติดตัวอย่างหนักเหรอแต่คิดไม่ถึงเลยว่าไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ประตูใหญ่ของเรือนฟางเหอก็ถูกคนเคาะเปิดแล้วเป็นหลินเย่ว์นั่นเองตอนที่เขามา เฉียวเนี่ยนเพิ่งกินอาหารเช้าเสร็จเมื่อเห็นเขา สีหน้าของเฉียวเนี่ยนย่อมไม่ค่อยดีนัก จึงพูดทันทีว่า "ในเมื่อท่านย่าลงโทษให้ข้าอยู่ในเรือนฟางเหอเพื่อคิดทบทวนตนเอง ก็ย่อมไม่อยากให้ผู้อื่นมารบกวน และไม่รู้ว่าท่านโหวน้อยมาหาข้าแต่เช้าตรู่เช่นนี้ มีธุระสําคัญอะไรหรือเจ้าคะ?"คําพูดนางเต็มไปด้วยความไม่ต้อนรับหลินเย่ว์จะฟังไม่ออกได้อย่างไร กลับมองไปที่หนิงซวงที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า "องครักษ์บอกว่า เช้านี้พบชายคนหนึ่งปีนกําแพงออกมา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความโกรธในใจของหลินเย่ว์ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น "ไม่ว่ายังไง เจ้าเป็นผู้หญิง ก็ควรให้ความสําคัญกับชื่อเสียงของตัวเอง เจ้าและยวนเอ๋อร์ต่างก็รอที่จะแต่งงานอยู่ หากมีข่าวซุบซิบใดๆ ออกมา มันจะไม่ดีต่อเจ้าและยวนเอ๋อร์เลย"ถ้ามีคนรู้ว่าเฉียวเนี่ยนพบผู้ชายตอนกลางคืนในห้องนอนของตัวเอง คนนอกจะคิดอย่างไรกับนาง จะคิดอย่างไรกับหญิงสาวของจวนโหว?เมื่อถึงเวลานั้น แม้แต่ชื่อเสียงของยวนเอ๋อร์ก็ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย!และฟังถึงตรงนี้ ในที่สุดเฉียวเนี่ยนก็เข้าใจนางอดยิ้มเย็นไม่ได้ "ข้าก็ว่าแล้ว ท่านโหวน้อยก็จ้างคนมามัดข้า แถมยังวางยาข้าอีก ทําไมจู่ๆ ถึงสนใจชื่อเสียงของข้าขึ้นมา ที่แท้ ก็เพื่อหลินยวนนี่เอง"หลินเย่ว์นิ่งไป ในที่สุดก็จําเรื่องไร้สาระที่เขาเคยทํามาก่อนได้จึงพูดว่า "วันนี้ข้าไม่ได้มาทะเลาะกับเจ้า สรุปแล้ว ท่านย่าลงโทษเจ้าให้ทบทวนความผิดตัวเอง ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าแอบนัดพบชายอื่นในจวน เจ้าจงดูแลตัวเองให้ดี"คําพูดนี้เท่ากับตัดสินโทษของเฉียวเนี่ยนหลินเย่ว์พูดจบก็เดินออกไปข้างนอกแต่ไม่คิดเลยว่า จานใบหนึ่งจะโจมตีจากด้านหลัง กระแทกใส่ไหล่ซ้ายของเขาอย่างแม่นยําเกิดอาการ
ตอนที่หลินเย่ว์มาถึงกองทัพ จิ่งเหยียนกําลังรายงานกิจการทหารกับเซียวเหิงอยู่ในห้องหนังสือประตูห้องถูกคนถีบเปิดออก จากนั้นหลินเย่ว์ก็พุ่งเข้ามา ไม่พูดพร่ำทําเพลง ชกหมัดใส่หน้าจิ่งเหยียนอย่างแรงโชคดีที่ปฏิกิริยาของจิ่งเหยียนไม่ช้า เขาเอนตัวไปข้างหลังและหลบได้อย่างหวุดหวิดแต่หลินเย่ว์ไม่ยอมแพ้และเตะออกไทันทีจิ่งเหยียนยังคงหลบอยู่ แต่ไม่คิดว่าหลินเย่ว์จะโจมตีต่อเมื่อเห็นดังนั้น เซียวเหิงก็ขมวดคิ้ว พลิกตัวจากหลังโต๊ะมาบังกําปั้นของหลินเย่ว์ที่กําลังจะฟาดลงบนใบหน้าของจิ่งเหยียนน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความโกรธที่สังเกตได้ยาก "บ้าไปแล้วหรือ?"หลินเย่ว์สะบัดมือของเซียวเหิงออก ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความโกรธ จ้องจิ่งเหยียนเขม็ง "เจ้าถามเขาสิ ว่าทําเรื่องอะไรมา!"เซียวเหิงขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหันไปมองจิ่งเหยียนกลับเห็นจิ่งเหยียนทําท่าทางสง่าผ่าเผย "ข้าน้อยฟังความหมายของท่านโหวน้อยไม่ออก"ก็แค่ส่งอาหารจานหนึ่งให้เฉียวเนี่ยน ทําไมต้องโมโหขนาดนี้ด้วย?เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของจิ่งเหยียน หลินเย่ว์ก็แทบอยากจะต่อยเขาอีกครั้ง "เช้านี้เจ้าปีนกําแพงออกมาจากเรือนเนี่ยนเนี่ยน องครักษ์ของจวนข้
จิ่งเหยียนหลุบตาลง ลูบมือขวาที่ปล่อยหมัดเมื่อครู่ของตน เอ่ยเสียงเรียบว่า "เช่นนั้นแม่นางเฉียวอาจแค่ชอบท่านแม่ทัพป้อนอาหารนางเท่านั้น ถ้าชอบขนมอบนั่นจริงๆ จะแบ่งให้คนอื่นได้อย่างไร?"ตอนนั้น เขาก็เคยกินขนมที่เฉียวเนี่ยนแบ่งให้ได้ยินดังนั้น หลินเย่ว์ก็พูดอะไรไม่ออกอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อก่อนเฉียวเนี่ยนชอบแบ่งขนมให้คนอื่นกินจริงๆเขาคิดว่านางแค่ชอบแบ่งปันแต่อย่างที่จิ่งเหยียนกล่าวไว้ ถ้าชอบกินจริงๆ แล้วจะแบ่งให้คนอื่นได้อย่างไร?ชั่วขณะหนึ่ง เซียวเหิงรู้สึกไม่รู้จะทําอย่างไรดี แม้แต่แรงที่กดจิ่งเหยียนไว้ก็ผ่อนคลายลงเขาคิดเสมอว่านางชอบกินขนมอบของหลี่จี้เมื่อก่อน ตอนที่เขาส่งขนมหวานให้นาง นางมักจะทําท่าทางประหลาดใจมาก สีหน้าดีใจเล็กๆ นั้น ราวกับว่าได้ของล้ําค่าที่สุดในโลกนี้แล้วแต่ต่อมา ขนมที่เขาตั้งใจวางไว้ในรถม้านางก็ไม่ได้แตะต้อง เป็นขนมที่มอบให้นางเองกับมือ นางก็หันมามอบให้หลินยวนเขาแค่คิดว่านางยังคงเกลียดเขา ดังนั้นแม้แต่ของที่เขาให้มาก็ไม่กินแต่ไม่เคยคิดว่านางไม่ชอบกินเลยเขากับนางเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เด็ก เพราะแก่กว่านางสองปี เขาจึงปกป้องนางทุกหนทุกแห่ง อดทนกับนางเ
คำพูดของจิ่งเหยียนทำเอาหลินเย่ว์ชะงักไป ก่อนจะเดือดดาลในทันใด"น้ำหน้าอย่างเจ้า ยังกล้าดีปฎิเสธเนี่ยนเนี่ยนอีกหรือ? คิดว่าเป็นรองแม่ทัพหนุ่มแล้วเก่งนักรึ? ข้าจะบอกอะไรให้นะ อย่างเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะหิ้วรองเท้าให้เนี่ยนเนี่ยนด้วยซ้ำ!"เดิมคิดว่าหลินเย่ว์ถ้อยคำดูถูกดูแคลนเช่นนี้ต้องทำให้จิ่งเหยียนทั้งแค้นเคืองทั้งอับอายเป็นแน่แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น จิ่งเหยียนกลับตอบเสียงแผ่วเบา "ข้ารู้"ดูแววตาเลื่อนลอย น้ำเสียงนิ่งเรียบของเขาสิ แค้นเคืองหรืออับอายเสียที่ไหน?หลินเย่ว์และเซียวเหิงต่างตกตะลึงกลับกันจิ่งเหยียนเริ่มพร่ำพรรณนา สายตาหยุดอยู่ที่พื้น ราวกลับกำลังนึกย้อนอดีตกาล"แต่ก่อน แม่นางเฉียวคือจันทร์แจ่มบนฟากฟ้า พวกเจ้าทนุถนอมนาง ป้องกันนาง ข้ารู้ว่าฐานะของตัวเองแตกต่างจากนางเพียงใด ได้แต่เฝ้าชะเง้อมองนางจากไกลๆ ไม่กล้าแม้แต่จะคิดเกินเลย แต่หลังจากนั้น โชคชะตาพลิกผัน นางตกจากสวรรค์สู่โคลนดิน พวกเจ้าทุกคนทอดทิ้งนาง!"หลินเย่ว์ขมวดคิ้ว ส่งเสียงฮึดฮัด เอ่ยเย้ยหยัน "เช่นนั้นตอนนี้เจ้าจึงกล้าคิดเกินเลยกับนางอย่างนั้นรึ?"คิดไม่ถึงเลยว่าจิ่งเหยียนจะส่ายหน้า "เขาแค่เห็นใจแม่นางเฉียว"
ทว่าความรู้สึกเจ้ากรรมนั้นเขาไม่อาจควบคุมได้เขาเห็นเฉียวเนี่ยนแล้วก็อดสงสารไม่ได้ จึงคิดหาหนทางเอาอกเอาใสนางอย่างห้ามไม่อยู่เขาเองก็จนปัญญายามนี้ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร จึงคำนับแล้วเอ่ยลา "เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน"เมื่อสิ้นเสียงแล้วแต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดจากเซียวเหิงจิ่งเหยียนรั้งรอ เมื่อเห็นว่าเซียวเหิงไม่ตอบเสียที สุดท้ายจึงหันหลังแล้วเดินออกไปจากห้องเมื่อประตูห้องปิดลง ความรู้อันอ้างว้างก็ปะทะเข้ามา เซียวเหิงกำมือหลวมๆ รู้สึกเหมือนถูกคนควักหักใจออกไปสิ่งที่เคยรู้เกี่ยวกับเฉียวเนี่ยน บัดนี้กลายเป็นเรื่องตลกในสายตาจิ่งเหยียนเขาไม่รู้ว่าเฉียวเนี่ยนเปลี่ยนไป หรือว่าเขาไม่เคยเข้าใจนางเลย...หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา อาหารที่ถูกส่งไปยังเรือนฟางเหอ มักจะมีกับเพิ่มเติมอีกหนึ่งอย่างจากนั้นหลายวัน หนิงซวงเห็นไส้ใหญ่หมูอยากที่คาดการไว้ ดวงน้ำหน้าน้อยง้ำงอเหมือนฝักมะระ "คุณหนูเจ้าคะ ...อีกแล้วหรือเจ้าคะ"เฉียวเนี่ยนบีบจมูกไว้ตั้งแน่ก่อนหน้าแล้ว "เอาออกไป"นางคิดในใจ วันนั้นหลินเย่ว์ต้องไปหาจิ่งเหยียนแน่นอน ไม่อย่างนั้นครัวในจวนไม่มีทางย่างไส้ใหญ่หมูให้นางทุกวันโดยไม่มีต้น
เขาไม่อยากหลีกให้ แต่ก็เข้าใจว่า วันนี้ตนไม่สามารถล้วงความลับจากปากของเซียวเหิงได้แน่คิดแล้วคิดอีก ก็ได้แต่ค่อยๆ หลีกทางให้เซียวเหิงจึงพลิกกายขึ้นม้าอีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังทิศทางของวังแต่เมื่อเดินผ่านหลินเย่ว์ ก็ได้ยินเขาถามด้วยเสียงต่ำว่า"เจ้าไม่เคยคิดว่าเจ้าทําแบบนี้ จะทําให้เนี่ยนเนี่ยนเกลียดเจ้ามากขึ้นเหรอ?"ร่างกายของเซียวเหิงพลันแข็งทื่อ แต่กลับไม่หยุดฝีเท้าย่อมเคยคิดมาก่อนแต่เขาไม่มีทางเลือกเขาทําไม่ได้ที่จะมองดูนางไปรักคนอื่นแขนซ้ายพันแผลอย่างง่ายๆ แล้วเซียวเหิงก็เข้าราชสํานักไปฮ่องเต้มองปราดเดียวก็มองออกทันที สีหน้าของเขาดูน่าเกลียดมาก ในประชุมเช้าไม่ได้เอ่ยคําใด เพียงแค่รั้งเขาเอาไว้หลังจากออกจากประชุมเช้าแล้วภายในท้องพระโรง เซียวเหิงคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่หน้าตําหนักฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์มังกร หลุบตามองเขา น้ำเสียงทุ้มต่ำ เปี่ยมไปด้วยความโกรธ "เจ้ากําลังก่อเรื่องอะไรอยู่กันแน่? เพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง ยังคิดจะก่อเรื่องวุ่นวายอีกเหรอ?"เซียวเหิงหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่ตอบฮ่องเต้ถลึงตาใส่เขา "ทําไม? ต้องเป็นนางเท่านั้นเหรอ?"ครั้งนี้เซียวเหิงกลับเอ่ยปาก"ใช่ กระ
ตกดึกเฉียวเนี่ยนนอนอยู่บนเตียง พลิกไปพลิกมา อย่างไรก็นอนไม่หลับนางรู้ว่าหนิงซวงอาจไม่สามารถเห็นคําใบ้ของ'นอกเมืองหลวง'ได้ แต่นางสามารถเข้าใจได้อย่างแน่นอนว่าคำว่าต้องรดน้ำมีปัญหานางรู้ว่าถ้าหนิงซวงไม่เข้าใจ นางจะต้องไปหาเซียวเหอแน่นอน และคําใบ้เกี่ยวกับนอกเมืองหลวง เซียวเหอจะต้องดูออกแน่นอนแต่นางก็ไม่รู้ว่านางอยู่นอกเมืองหลวงหรือไม่อย่างไรก็ตามนางถูกขังอยู่ในจวนตลอดเวลาและไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกคนรับใช้ในจวนก็ไม่พูดถึงแน่ ทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดาของนางเท่านั้นเป็นเพราะนางเดินผ่านกําแพงสูงของจวนหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ จากด้านนอกเลย จึงคิดว่าตําแหน่งของจวนหลังนี้จะต้องอยู่ห่างไกลจากเมืองแน่นอนบวกกับวันนั้นนางไม่ได้นอนทั้งคืน แต่ตอนเช้าตรู่กลับได้กลิ่นไอน้ำที่ชัดเจนและเข้มข้นจึงคิดว่าแถวนี้ต้องมีน้ำแน่นอนแม่น้ำก็ดี น้ำพุก็ดี ต้องมีแน่นอนแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าคําเตือนของนางถูกต้องหรือไม่ แต่ก็มีความหวังอยู่หวังว่า... นางสามารถออกจากที่นี่ได้โดยเร็วที่สุดวันรุ่งขึ้นเซียวเหิงออกจากบ้านแต่เช้าแม้ว่าเขาจะย้ายงานทหารมาที่นี่แล้ว แต่เขาก็ยังต้องไปประช
มันเป็นจดหมายที่สั้นมากและไม่มีสํานวนที่งดงามอะไร ในมุมมองของเฉียวเอ๋อร์และฮุ่ยเอ๋อร์ มันเป็นจดหมายธรรมดาเท่านั้นแต่ทั้งสองยังคงส่งจดหมายให้เซียวเหิงเซียวเหิงรับมาดูแวบหนึ่ง ดวงตาลึกล้ำไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า "ส่งไปเถอะ!""เจ้าค่ะ"เฉียวเอ๋อร์กับฮุ่ยเอ๋อร์ร์รับคําแล้วจากไปแต่แววตาคู่นั้นของเซียวเหิงกลับหม่นหมองลงเขารู้ว่าเฉียวเนี่ยนไม่ยินยอมอยู่ที่นี่แต่อาศัยแค่จดหมายฉบับเดียว ก็อยากหาคนมาช่วยนางเหรอ?ทําไมนางยังไม่เข้าใจว่าตอนนี้ไม่มีใครสามารถพรากนางไปจากเขาได้อีกแล้วเมื่อหนิงซวงได้รับจดหมายฉบับนี้ ก็งงไปหมด"นี่เป็นลายมือของคุณหนูจริงๆ!" หนิงซวงตื่นเต้นจนขอบตาแดงก่ำ หลายวันมานี้ น้ำตาของนางเกือบจะแห้งไปหมดแล้วหวังเอ้ออ่านเนื้อหาในจดหมายแล้วพยักหน้า "ข้าจําลายมือคุณหนูไม่ได้ แต่ในเมื่อคุณหนูบอกว่านางไม่เป็นไร ก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก"หนิงซวงเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น "นางเขียนแบบนี้เพื่อให้ข้าสบายใจ นางถูกแม่ทัพเซียวพาตัวไป แม้ว่าร่างกายจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ แต่ในใจต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ!"หวังเอ้อพยักหน้าตาม แต่เมื่อเขาอ่านเนื้อหาในจดหมาย เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ
ท้ายที่สุดเซียวเหิงก็จากไป เขาเดินโซซัดโซเซจากไปราวกับพ่ายแพ้สงครามส่วนเฉียวเนี่ยนนั่งอยู่ในห้องคนเดียว มองดูแสงเทียนที่ลุกโชติช่วง จนกระทั่งฟ้าสางก็ยังไม่รู้สึกง่วงเดิมทีคิดว่า หลังจากผ่านการทะเลาะกันเมื่อคืนมาแล้ว อย่างน้อยเซียวเหิงก็พอจะเข้าใจได้ว่านางไม่อยากมีอะไรกับเขาอีกจริงๆ แต่ใครจะรู้ว่าตอนที่เฉียวเอ๋อร์กับฮุ่ยเอ๋อร์มาปรนนิบัตินาง ก็ยังเรียก ‘ฮูหยิน’ อยู่ดีกระทั่งถึงวันที่ห้า เซียวเหิงก็ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านนี้โดยตรงเมื่อเห็นเหล่าเด็กรับใช้ขนหนังสือกองแล้วกองเล่าเข้าไปในเรือน คิ้วของเฉียวเนี่ยนก็ขมวดแน่นนางเดินตามเด็กรับใช้เข้าไปในห้องหนังสือ ก็เห็นเด็กรับใช้หลายคนกําลังรวบรวมหนังสืออยู่หน้าชั้นวางหนังสือ ส่วนเด็กรับใช้อีกคนหนึ่งกําลังวางหนังสือจํานวนหนึ่งไว้บนโต๊ะเฉียวเนี่ยนมองปราดหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าล้วนเป็นกิจการทหารหัวใจของนางจมดิ่งลง แม้แต่ในกองทัพเขาก็ไม่อยากไปแล้วเหรอ?เมื่อเด็กรับใช้เห็นนางก็ทําความเคารพพร้อมกัน "คารวะฮูหยิน"คําเรียกแบบนี้ทําให้เฉียวเนี่ยนฟังแล้วรู้สึกทรมานมาก แต่นางก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะโกรธพวกเขา จึงขมวดคิ้วถามว่า "เซียวเหิงล่ะ?""
"ว่ากันตามจริงแล้ว ข้าควรขอบคุณแม่ทัพเซียวที่ยังจดจําความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับท่านได้ ไม่เช่นนั้นตอนนี้ ข้าคงยังเป็นทาสอยู่ในกรมซักล้าง ข้าขอขอบคุณแม่ทัพเซียวสําหรับความเมตตาของท่าน! แต่ขอเพียงท่านอย่าเลือกตัวเลือกนี้หลังจากชั่งน้ำหนักครั้งแล้วครั้งเล่า บอกว่าเป็นการืำเพื่อข้าอีก"“ข้ารับไม่ไหว”คําสี่คําสุดท้ายนั้น ราวกับค้อนหนักทุบลงบนใจของเซียวเหิงอย่างแรงเซียวเหิงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง กลับถูกม้านั่งสะดุดขา โซเซจนเกือบล้มไปข้างหลังอาจเป็นเพราะเสียงนี้ดังไปหน่อย เฉียวเอ๋อร์และฮุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่นอกห้องจึงรีบวิ่งเข้ามาเซียวเหิงตวาดเสียงเข้มทันที "ใครให้พวกเจ้าเข้ามา! ออกไป!"แต่ไม่คิดว่า เฉียวเอ๋อร์และฮุ่ยเอ๋อร์จะคุกเข่าลงพร้อมกัน"ฮูหยิน ท่านให้อภัยท่านแม่ทัพเซียวเถอะ! ท่านแม่ทัพเซียวใส่ใจท่านจริงๆ! เขาได้ยินว่าท่านต้องการพบเขา ก็มาโดยไม่คํานึงถึงอาการบาดเจ็บหนัก!""ใครอนุญาตให้พวกเจ้าพูดมาก? ไสหัวไป!"เซียวเหิงตวาดเสียงเข้มอีกครั้งเฉียวเอ๋อร์กับฮุ่ยเอ๋อร์ยังอยากจะเกลี้ยกล่อมอีก พวกนางทนเห็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตัวเองน่าเวทนาเช่นนี้ไม่ได้ แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาคู่นั้นของเซ
แผลเป็นเหล่านั้นราวกับกำลังเป็นพยานให้กับเซียวเหิง ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาใส่ใจนางเพียงใดน้ำตาก็เอ่อล้นขึ้นมาในดวงตาของเฉียวเนี่ยนโดยไม่รู้ตัวนางยื่นมือออกไป ลูบเบา ๆ ลงบนแผลเป็นบริเวณอกของเขา ปลายนิ้วของนางเย็นเฉียบราวกับอาวุธอยู่ ๆ นางก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเบา "เจ็บไหม?"คิ้วของเซียวเหิงกระตุกขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัวเจ็บไหม?สองพยางค์นี้ นางเคยถามจิ่งเหยียนมาก่อนเขาเห็นกับตาว่าหลังจากนั้น นางกับจิ่งเหยียนโอบกอดกันแนบแน่นเพียงใด เพราะเหตุนี้ เวลานี้จึงมีอารมณ์บางอย่างที่ไม่อาจเอ่ยออกมาจุกอยู่กลางอก จนไม่อาจเปล่งถ้อยคำใดออกมาได้เลยแม้แต่คำเดียวแต่แล้วก็เห็นนางเงยหน้าขึ้นมามองเขากะทันหัน ท้ายที่สุดน้ำตาในดวงตาก็ไหลรินลงมาเสียงเบา ๆ อ่อนโยนนั้นเอ่ยว่า "จิ่งเหยียน… ต้องเจ็บมากแน่ ๆ เลย"เพราะนางเห็นกับตา ว่าบนร่างของจิ่งเหยียนตรงตำแหน่งนี้ มีรูขนาดใหญ่ทะลุเป็นโพรงเหล่าทหารกล่าวว่า นั่นคือบาดแผลจากดาบที่จิ่งเหยียนรับไว้แทนเซียวเหิง แทงทะลุผ่านร่างกายนางคิดว่า ตอนนั้นจิ่งเหยียนคงเจ็บมาก เจ็บมากจริง ๆเซียวเหิงไม่เคยคาดคิดเลยว่า เวลานี้ เวลาที่นางกำลังมองแผลเป็นทั่วร่างของเขา
"..."เฉียวเนี่ยนไม่รู้ว่าเฉียวเอ๋อร์กับฮุ่ยเอ๋อร์ไปพูดสิ่งใดกับเซียวเหิง แต่เห็นได้ชัดว่าเซียวเหิงกำลังเข้าใจผิดคิ้วเรียวงามของนางขมวดแน่น เฉียวเนี่ยนเอ่ยเสียงขรึม "ท่านต้องการอะไรกันแน่? เหตุใดต้องกักข้าทิ้งไว้ที่นี่?"รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวเหิงชะงักไปชั่วขณะ แต่ยังคงฝืนรักษารอยยิ้มอ่อนโยนไว้ ดวงตาสีเข้มลึกฉายแสงจากเปลวเทียน แวววาวนัก"นี่มิใช่การกักขัง ข้าเพียงแค่… อยากให้เราสองคน… มีโอกาสอีกครั้ง"โอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่งแต่ว่าดวงตาของเฉียวเนี่ยนกลับยิ่งหม่นมัว นางมองเซียวเหิง ปากยกยิ้มเย้ยหยัน "โอกาสหรือ? เมื่อสามปีก่อน แม่ทัพเซียวก็หาได้เคยให้โอกาสข้าไม่"เมื่อสามปีก่อน พวกเขาทั้งหมดต่างยืนอยู่ข้างหลินยวน กระทั่งคำแก้ตัวของนาง ก็ยังถูกสายตาอันดุดันของเขาบีบให้กลืนกลับลงไปหากสามปีก่อนเขาไม่ต้องการนางแล้ว เช่นนั้นเหตุใดสามปีให้หลังยังจะมากักนางไว้อีก!เมื่อได้ยินนางพูดถึงเรื่องในอดีตเมื่อสามปีก่อน หัวใจของเซียวเหิงก็เจ็บปวดราวกับถูกกรีดด้วยมีดเขาก้าวเข้าไปใกล้นาง แต่ก็เห็นนางถอยกรูดไปสามก้าวทันที มือที่กำปิ่นปักผมไว้แน่นก็ยกขึ้นเตรียมป้องกันตัวเขาจึงหยุด
สามวันต่อมาเฉียวเนี่ยนนั่งอยู่ใต้ชายคา ข้างซ้ายมีสาวใช้กำลังแกะเมล็ดแตงให้กับนาง ข้างขวามีสาวใช้อีกคนกำลังหั่นแตงโมให้นางสามวันแล้ว แต่นางกลับยังไม่ได้พบกับเซียวเหิงเลยกลับกัน ตอนนี้นางกลับคุ้นเคยกับสองสาวพี่น้องคู่นี้เป็นอย่างดีทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ฝั่งซ้ายชื่อเฉียวเอ๋อร์ ฝั่งขวาชื่อฮุ่ยเอ๋อร์สองนางมิใช่คนเมืองหลวง บ้านเกิดอยู่ไกลถึงชายแดนเมื่อครั้งอดีต เซียวเหิงช่วยชีวิตสองนางจากสนามรบ ญาติพี่น้องทั้งหมดล้วนเสียชีวิตเพราะสงคราม สองนางจึงติดตามเซียวเหิงกลับเมืองหลวงสำหรับสองนาง เซียวเหิงคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิต จึงเชื่อฟังเซียวเหิงทุกถ้อยคำแน่นอนว่าย่อมเคารพนบนอบต่อเฉียวเนี่ยนด้วยตลอดสามวันที่ผ่านมา ทั้งสองดูแลนางอย่างสุดความสามารถ ว่านอนสอนง่ายเป็นพิเศษ เพียงแต่ไม่ยอมบอกนางว่าที่นี่คือที่ใดหากเซียวเหิงไม่อนุญาต พวกนางจะไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่แห่งนี้แม้แต่น้อยไม่ใช่เฉียวเนี่ยนไม่เคยลองใช้วิธีอื่น สามวันมานี้นางเดินสำรวจทั่วทั้งจวน ทว่ากลับไม่พบเบาะแสที่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่น้อยไม่ว่าจะเป็นประตูหน้าหรือประตูหลัง ล้วนถูกผนึกไว้อย่างแน่นหนา
แต่แล้วก็เห็นว่า ร่างของเซียวเหิงเอียงวูบไปด้านข้าง นอนแน่นิ่งไป เขาหมดสติไปแล้วแม่เซียวตกใจสุดขีด รีบร้องลั่น "เร็วเข้า! รีบไปตามหมอมา! เหิงเอ๋อร์ เหิงเอ๋อร์! อย่าทำให้แม่ตกใจแบบนี้นะ เหิงเอ๋อร์!"เด็กรับใช้ข้างนอกรีบเข้ามา แล้วช่วยกันหามร่างของเซียวเหิงออกไปทันทีแม่เซียวก็ร้องไห้ตามออกไปทั้งน้ำตาพ่อเซียวมองดูรอยเลือดที่ยังติดอยู่บนแส้ ในใจพลันปวดร้าว สายตาหันไปมองหนิงซวงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วก็ทำได้แค่ถอนหายใจ "ไม่ใช่ว่าข้าไม่คิดจะช่วยเรื่องนี้ เพียงแต่เมื่อครู่ เจ้าก็เห็นกับตาแล้ว... เจ้ากลับไปก่อนเถอะ!"พูดจบ พ่อเซียวก็เดินจากไปทิ้งไว้เพียงหนิงซวงที่ยังยืนร้องไห้อยู่กับที่อย่างไร้ที่พึ่งนางไม่คิดเลยว่าแม่ทัพเซียวจะปากแข็งถึงเพียงนี้ ถึงขนาดยอมถูกตีจวนตายก็ไม่ยอมเอ่ยถึงเบาะแสของคุณหนูเลยสักคำแต่ถ้าคนที่พาตัวคุณหนูไปคือแม่ทัพเซียว เช่นนั้นคุณหนูของนางก็คงยังไม่มีอันตรายถึงชีวิตใช่ไหม?หากนายท่านเองยังไม่มีวิธีจัดการแม่ทัพเซียว เช่นนั้น บางทีคุณชายใหญ่อาจจะทำอะไรได้บ้างก็เป็นได้?หนิงซวงตัดสินใจว่าจะรอให้คุณชายใหญ่ฟื้นก่อนค่อยมาถาม……เฉียวเนี่ยนลืมตาขึ้นช้า ๆ สิ่งแรก