“เบาๆ เดี๋ยวเมา” เสียงห้ามดังมาจากธยศเพื่อนสนิทที่คบหากันมาหลายปี ธยศเป็นเจ้าของโรงแรมระดับไฮเอนที่ภาคใต้รวมถึงต่างประเทศอีกด้วย
“แค่เหล้า ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” รอยส์ยิ้มมุมปากออกมาก่อนจะวาดปลายนิ้ววนไปมาบนปากแก้ว ในขณะที่สมองคิดถึงแต่ขวัญชีวา “เครียดเรื่องอะไร ตั้งแต่มาถึงก็เห็นดื่มเอาๆ” “ลูกน้องจะลาออก” “กี่คน” “คนเดียว” “ผู้หญิงผู้ชาย” ธยศเอ่ยถามต่อนั่นเพราะอยากรู้ต้นตอที่ทำให้รอยส์อารมณ์ไม่ดีอย่างที่เป็นอยู่ “ผู้หญิง” “โสด สวย” “ไม่โสดเพราะเธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ถามว่าสวยไหมก็…สวย” สำหรับนิยามความสวยผู้ชายที่มองผู้หญิงอาจไม่เหมือนกัน แต่ทว่าในความคิดของเขานั้นขวัญชีวาสวย สวยทั้งรูปร่างหน้าตารวมไปถึงความคิด ที่สำคัญคือเธอทำงานเก่งชนิดหาตัวจับยากจึงไม่แปลกหากจะมีบริษัทไหนสักที่ซื้อตัวเธอไปให้ทำงานด้วย และด้วยอะไรหลายๆ อย่างทำให้เขาสนใจเธอ เขาไม่เคยรู้สึกตกหลุมรักใครมานานแล้ว ชีวิตหนุ่มโสดตอนนี้ทุกอย่างก็ลงตัวดีกระทั่งได้เจอเธอคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ทำให้เขาว้าวุ่นใจ ที่เขารู้ว่าเธอเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเพราะในใบสมัครงานเธอระบุไว้แบบนั้นรวมทั้งงานเลี้ยงบริษัทเมื่อปีก่อนเธอก็ยังได้พาลูกชายวัยน่ารักมาร่วมด้วย “ลูกน้องจะลาออกแค่คนเดียวแถมยังเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวแต่ทำให้นายเป็นได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ ถามจริง คิดอะไรกับลูกน้องคนนั้นหรือเปล่า” “เปล่า” แม้จะคิดแต่รอยส์ก็เลือกที่จะปฏิเสธนั่นเพราะต่อให้สนิทกับธยศทว่าเรื่องบางเรื่องเขาก็ยังไม่พร้อมจะลงลึกถึงรายละเอียดที่ซับซ้อน แต่ท่าทางของรอยส์มีหรือที่อีกคนจะเชื่อ “เชื่อก็บ้าแล้ว ซีอีโอหนุ่มหล่อสุดเพอเฟคที่มีสาวสวยให้ควงไม่ขาดอย่างนายแต่กลับมานั่งเครียดกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ มองยังไงมันก็ไม่ปกติ” “ฉันกลับก่อนแล้วกัน” นั่นเพราะไม่มีอารมณ์ร่วมและไม่สนุกอย่างที่คิดรอยส์จึงเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวสิ น้องๆ กำลังมาไม่รอหน่อยเหรอ” น้องๆ ที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงคือบรรดาสาวๆ นั่นเอง “ไม่ วันนี้เบื่อไม่อยากทำอะไร” “โอเคๆ แต่เปลี่ยนใจเมื่อไหร่บอกนะครับ ผมจะพาน้องๆ ไปส่งให้ถึงห้อง” “อืม” รอยส์เอ่ยรับแต่ไม่คิดจะทำจริง นั่นเพราะคืนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะทำอะไรจริงๆ พอกลับมาถึงบ้านก็สั่งให้แม่บ้านเตรียมเหล้าและกับแกล้มให้จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งไขว่ข้างบนเก้าอี้หนังตัวโปรด ชงเหล้าด้วยความชำนาญแล้วหยิบแก้วเหล้าใบนั้นขึ้นมาจิบพร้อมกับคิดเรื่องขวัญชีวาไปด้วย “หวังว่าคุณจะให้คำตอบที่ตรงกับใจผม”“คุยอะไรกันอยู่ครับ หน้าตาซีเรียสเชียว” เสียงทุ้มของซีอีโอหนุ่มเอ่ยถาม เพราะทันทีที่มาถึงห้องทำงานก็มองเห็นเลขาส่วนตัวยืนคุยอยู่กับผู้จัดการฝ่ายบุคคล
“เอ่อคือว่า…” เลขาส่วนตัวของซีอีโอหนุ่มอึกอักทันที “ผมไม่มีสิทธิ์รู้เหรอ” “เปล่าๆ ค่ะ คือดิฉันกำลังคุยถึงเรื่องของน้องเกี๊ยว” “เรื่องของคุณขวัญชีวา เรื่องอะไร” “ดูเหมือนลูกชายน้องเกี๊ยวจะป่วยหนักค่ะ ทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้งให้รีบเข้าไปด่วน น้องเกี๊ยวรีบมากจนเกือบเดินตกบันไดดีที่ดิฉันคว้าแขนเอาไว้ได้ทัน พอถามไถ่ถึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” เลขาสาวค่อยๆ เรียบเรียงเรื่องราวแล้วเล่าให้เจ้านายหนุ่มได้ฟัง “ฝากคุณเป็นธุระแทนผมส่งของเยี่ยมไปให้ลูกชายของเธอด้วย” “ได้ค่ะคุณรอยส์” เลขาส่วนตัวเอ่ยรับปากทันที ได้ยินแบบนั้นรอยส์จึงเดินเข้าห้องทำงานไป ทันทีที่ประตูห้องทำงานของซีอีโอหนุ่มปิดลง เสียงพูดคุยของเลขาและผู้จัดการฝ่ายบุคคลก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง นั่นเพราะต่างเป็นห่วงลูกชายของขวัญชีวากระทั่งได้เวลาทำงานจึงแยกย้าย ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงเลขาส่วนตัวก็เข้ามาแจ้งว่าได้จัดการส่งกระเช้าไปที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมลูกชายของขวัญชีวาเรียบร้อยแล้ว เพราะแบบนั้นรอยส์จึงได้รู้ว่าขณะนี้ลูกชายของขวัญชีวารักษาตัวอยู่ที่ไหน ชายหนุ่มอาศัยจังหวะออกไปประชุมกับลูกค้าแวะไปหาเธอที่นั่น เขาถึงได้รู้ว่าอาการของลูกชายเธอแย่มากหนทางเดียวที่จะยื้อชีวิตไว้ได้คือการผ่าตัดที่ควรเกิดขึ้นในทันที หรือว่านั่นจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ขวัญชีวาขอลาออก เธอกำลังต้องใช้เงินและเป็นเงินที่มากทีเดียว แต่เพราะเขาไม่ใช่เทพบุตรที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้คนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแม้กระทั่งกับขวัญชีวาเองก็ตาม ในขณะที่เวลานั้นขวัญชีวานั่งอับจนหนทางอยู่หน้าห้องปลอดเชื้อที่ลูกชายอยู่ข้างใน คิวผ่าตัดที่เร็วที่สุดเป็นวันพรุ่งนี้ซึ่งเธอได้เซ็นเอกสารอนุญาตให้ทำการผ่าตัดได้ไปแล้วเช่นกัน หลังผ่าตัดเสร็จเธอจะหาเงินจากไหนมาจ่าย ญาติพี่น้องก็ไม่มีให้ไปหยิบยืม เพื่อนสนิทที่มีก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามีเงินหรือไม่มี “เกี๊ยว” “เบล”“น้องกวินท์เป็นไงบ้าง” คำถามที่ได้ยินทำให้ ขวัญชีวากลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีกต่อไป เธอปล่อยโฮออกมาเพราะความอัดอั้นและความกลัว กลัวว่าจะเสียลูกชายไปปิยะดาเองก็พลอยตกใจที่จู่ๆ ขวัญชีวาร้องไห้ออกมาแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อนอกจากนั่งปลอบใจกันอยู่แบบนั้น กระทั่งขวัญชีวาหยุดร้องไห้เธอก็ยื่นบางอย่างใส่มือเพื่อนสนิท“อะไรนะเบล”“เงินเก็บเราเอามาช่วยค่ารักษาน้องกวินท์” “แต่เรา…”“รับไปเถอะ มันไม่ได้มากมายอะไรหรอก มีเมื่อไหร่ก็ค่อยเอามาคืน” ปิยะดาแทบจะเทหมดกระเป๋าเหมือนกันนั่นเพราะอยากช่วยจริงๆ หลังจากนี้ค่อยเก็บออมกันใหม่ “ขอบใจนะเบล ขอบใจเธอมาก” จากที่หยุดร้องไปแล้วตอนนี้ขวัญชีวาก็กลับมาร้องไห้อีกแถมยังหนักไม่แพ้เมื่อครู่แม้แต่น้อย ปิยะดานั่งปลอบให้ขวัญชีวาหายเศร้าแต่ถึงจะหยุดร้องแล้วอาการสะอื้นก็ยังมีให้เห็นปิยะดาอยู่เป็นเพื่อนกระทั่งต้องกลับไปไลฟ์ขายของต่อนั่นทำให้ขวัญชีวาอยู่คนเดียวอีกครั้ง เธอเปิดดูเงินในซองที่มีอยู่จำนวนหนึ่งพอนำมารวมกับเงินของตัวเองก็ยังคงเครียดเพราะยังขาดอยู่อีกมาก ถ้าวันนี้รอยส์เซ็นอนุมัติเรื่องลาออกทันทีเธอก็จะได้เงินกองทุนคืนมาเร็วขึ้น เงินเดือนบวกกับเงินที
ใช่…เขาเป็นนักธุรกิจที่ทำอะไรแล้วต้องหวังกำไร แต่…ทำไมต้องเป็นเธอ ทำไมสถานการณ์ของเธอถึงได้เลวร้ายลงเรื่อยๆ เช่นนี้ ทำไมต้องได้ยินข้อเสนอแบบนี้ด้วย ทำไมกัน “คุณไม่กลัวฉันเอาเรื่องนี้ไปแบล็คเมล์เลยหรือคะ”“ไม่นี่หรือถ้าคุณต้องการทำแบบนั้นก็ตามสบายเพราะคนแบบผมจัดการคุณก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายได้แน่นอน” รอยส์ชิงพูดออกไปก่อนราวกับชายหนุ่มเข้ามานั่งอยู่ในความคิดของขวัญชีวา “ฉันต้องให้คำตอบคุณเมื่อไหร่” แม้จะอยากปฏิเสธเสียเดี๋ยวนี้แต่ชีวิตลูกชายคนเดียวของเธอคือประตูเหล็กที่สามารถปิดกั้นคำพูดเหล่านั้นของเธอได้“ผมรู้ว่าคุณมีเวลาในใจอยู่แล้ว เอาเป็นว่าผมจะกลับไปรอฟังคำตอบจากคุณ” เอ่ยจบรอยส์ก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไปทันที ขณะที่ขวัญชีวายังคงอึ้งและพูดอะไรไม่ออกอีกเลย สิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้นอกจากลมหายใจเบาๆ แล้วก็คือน้ำตาแม้กำลังร้องไห้แต่สมองกลับคิดถึงข้อเสนอของเจ้านายหนุ่ม นอนกับเขาแค่คืนเดียวแต่ช่วยชีวิตลูกชายได้ ลูกที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ ลูกที่เธอสัญญาไว้ว่าต่อให้ลำบากแค่ไหนก็จะเลี้ยงแกให้ดี เพราะถ้ากวินท์เป็นอะไรไปทั้งๆ ที่เธอมีโอกาสหาเงินมารักษาได้ นั่นคงเป็นตราบาปที่ทำให้เ
“ฉันอยากลาออกเพราะอยากมีเวลาดูแลลูกชายหลังผ่าตัดอย่างใกล้ชิด อีกอย่างคุณให้เงินค่าตัวฉันตั้งมากขนาดนั้นต่อให้ตกงานสักปีสองปีคงไม่เป็นไร” ยิ่งพูดขวัญชีวาก็ยิ่งเจ็บปวด แต่ไม่ว่ายังไงเธอคงอยู่ทำงานร่วมกับรอยส์ไม่ได้อีกแล้วจริงๆ รวมถึงบริษัทใหม่ที่ติดต่อมาคงต้องปฏิเสธไปก่อนเพราะเธอไม่อยากทิ้งกวินท์ให้พักฟื้นตามลำพัง แต่เธอก็ยังมั่นใจว่าจะหางานใหม่ได้แม้จะต้องใช้เวลาสักหน่อย รอยส์อยากเปลี่ยนเงื่อนไขที่ว่าแต่มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นสุดท้ายซีอีโอหนุ่มก็ต้องยอมรับ ก่อนจะวกกลับมาคุยเรื่องสำคัญซึ่งเขาระบุว่าจะส่งคนไปรับเธอที่บ้านพร้อมกับนัดแนะเรื่องเวลาและสถานที่ ซึ่งมันคือวันพรุ่งนี้เวลาสองทุ่มที่โรงแรม…คำตอบเดียวของขวัญชีวาขณะฟังรอยส์หลังจากนั้นมีแค่คำว่า ‘ค่ะ’ เธอพยายามคุมอารมณ์หน่วงจนอยากร้องไห้และโทนเสียงให้เป็นปกติทว่าก็ยากเหลือเกิน “เจอกันพรุ่งนี้”“ค่ะ” ขวัญชีวาเอ่ยรับอีกครั้งแล้วกดวางสายไป กว่าจะตัดสินใจได้แบบนี้มันยากเหลือเกิน ในเมื่อการผ่าตัดต้องเกิดขึ้นทันทีและข้อเสนอของรอยส์ก็เข้ามาในจังหวะนั้น แม้เธอจะไม่อยากทำแบบนี้ทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ปฏิเสธเขา ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอและน
“หมอที่นี่ใจดีไหมครับ”“ใจดีครับ ใจดีมากๆ ด้วย”“ผมจะหายใช่ไหม”“หายครับแต่กวินท์ก็ต้องสู้ไปพร้อมกับคุณหมอแล้วก็แม่ด้วยนะลูก” ขวัญชีวาส่งพลังบวกให้ลูกชาย นั่นเพราะการผ่าตัดคือสิ่งที่ทั้งคู่รอคอยมาตลอด “ครับ”“อีดนิดก็จะหายดีแล้ว แม่รักลูกนะกวินท์”“ลูกก็รักแม่เกี๊ยว” เด็กชายส่งยิ้มให้ผู้เป็นแม่ ในขณะที่ขวัญชีวาก็ส่งยิ้มอบอุ่นกลับมาให้พร้อมดึงลูกชายเข้ามากอด แม้ลึกๆ จะหวั่นใจกับการผ่าตัดที่กำลังจะเกิดขึ้นทว่าเธอก็เลือกที่เชื่อหมอและเชื่อในปาฏิหาริย์ว่ามันต้องเกิดขึ้นหลังจากส่งลูกเข้านอนเสร็จขวัญชีวาก็กลับออกไป เธอมุ่งหน้าตรงไปที่บ้านด้วยความรู้สึกประหม่าเนื่องจากคืนนี้เธอมีนัดสำคัญกับ…รอยส์ ขวัญชีวายืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจก เวลานี้เธอแต่งหน้าทำผมเสร็จแล้วก่อนจะหยิบลิปสติกสีโปรดขึ้นมาทาริมฝีปากอิ่ม ใบหน้าของเธอเรียบเฉยไร้รอยยิ้มในหัวใจตอนนี้มีแต่ความหนักอึ้ง แม้นี่จะเป็นการตัดสินใจของเธอเองแต่ก็ยอมรับว่าทำใจได้ยากจนน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้งเพื่อไม่ให้น้ำตามันไหลอาบแก้มขวัญชีวาจึงเงยหน้าขึ้นสูงแล้วสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ พอน้ำตามันแห้งเสียงแตรรถก็ดังขึ้นจากหน้าบ้านเป็นสัญญาณบอกว่าเวลานี้ค
บางจังหวะขวัญชีวาก็คล้อยตามบางจังหวะก็ผลักไส สุดท้ายรอยส์จึงยอมถอนจูบออกอย่างเสียดายแต่ไม่นานเขาจะมอบจูบที่ร้อนแรงกว่านี้ให้กับเธอ “คุณจูบไม่เป็น” เสียงแหบพร่ากระซิบถามในขณะที่ขวัญชีวาก็หอบหายใจหนักๆ ใบหน้าสวยเวลานี้แดงก่ำส่วนริมฝีปากบวมก็เจ่ออย่างเห็นได้ชัด “ฉันแค่ห่างมันมากนาน” ขวัญชีวาปฏิเสธทั้งๆ ที่อีกไม่นานรอยส์จะรู้ความจริงได้ด้วยตัวเขาเองว่าเพราะอะไรเธอจึงจูบไม่เป็นรวมไปถึงอาการประหม่าอย่างในตอนนี้ด้วย“อย่างนั้นเหรอ” รอยยิ้มผุดขึ้นหลังเอ่ยจบก่อนที่รอยส์จะรวบตัวขวัญชีวาเข้ามาแนบชิด พร้อมกับค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบไล้ร่างกายของเธออย่างหลงไหล เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้สนใจเธอและอยากได้มากถึงขนาดนี้ สัมผัสจากเขาทำให้ขวัญชีวาตื่นตัวในทุกๆ อณูของร่างกายก็ว่าได้ เธอทั้งตื่นตัวและตื่นกลัวจนเผลอแสดงสีหน้ายั่วยวนออกมาอย่างไม่ตั้งใจและเพราะแบบนั้นรอยส์จึงห้ามความต้องการของตัวเองไม่ได้เช่นกัน เขามอบจูบให้ขวัญชีวาอีกครั้งซึ่งครั้งนี้ซีอีโอหนุ่มไม่สนด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะตอบโต้มาแบบไหนไม่นานเขาก็ชนะและสามารถทำให้ขวัญชีวาคล้อยตามได้ส่งผลให้แรงเสน่หาที่เต็มไปด้วยความโหยหามากขึ้นตามไปด้วย ห
รอยส์ปลุกเร้าขวัญชีวาตื่นตัวอย่างช่ำชอง กำแพงของความหวาดกลัวของเธอค่อยๆ ถูกเขาทำลายลงทีละน้อยก่อนจะแทนที่ด้วยความร้อนรุ่มจากไฟพิศวาสที่เริ่มลุกลามแผ่ซ่านยากจะควบคุม รสจูบที่ร้อนแรงดุดันเต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการของรอยส์กำลังจะแผดเผาให้ขวัญชีวามอดไหม้เป็นจุณบางครั้งเธอเผลอออกแรงผลักไสจึงถูกเขาลงโทษหนักขึ้น เพราะทันทีที่จัดการบิกินี่ปราการชิ้นสุดท้ายบนตัวของขวัญชีวาได้รอยส์ก็เคลื่อนตัวลงต่ำพร้อมกับจับขาเรียวทั้งสองข้างของเธอให้แยกห่างออกจากกันจากนั้นก็ฝังใบหน้าลงไป ทันทีที่ริมฝีปากร้อนและปลายลิ้นสัมผัสกลีบกุหลาบนุ่มขวัญชีวาก็ถึงกับสะดุ้งแล้วขยับตัวหนี รอยส์จึงใช้มือล็อคตัวเธอไว้ให้อยู่กับที่“ขะ…คุณรอยส์” ขวัญชีวาเอ่ยเรียกรอยส์อย่างไม่เต็มเสียงนัก ร่างเปลือยเปล่าบิดเร้าทรมานในขณะที่ใบหน้าหล่อเขาของรอยส์ก็ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหนปลายลิ้นของเขากำลังทำให้เธอทรมานเหลือเกิน ทรมานจนก่อให้เกิดเป็นเปลวเพลิงแห่งความปรารถนาที่เวลานี้ลุกโชนมอดไหม้เธออยู่และใช่ว่าขวัญชีวาจะเป็นแค่คนเดียว รอยส์เองก็รู้สึกไม่ต่างจากเธอเช่นกัน ยิ่งได้ครอบครองเขาก็ยิ่
ไม่นานความสุขสมรุนแรงที่บ่มเพาะมานานก็ระเบิดออกมาราวกับพลุที่ถูกจุดขึ้นบนฟ้าพร้อมๆ กัน ขวัญชีวานอนหายใจหอบกระเส่าหนักๆ อยู่ในอ้อมกอดของรอยส์ ทำไมเธอถึงรู้สึกอิ่มเอมในหัวใจแปลกๆ ทั้งๆ ที่เธอไม่ควรรู้สึกอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ นั่นเพราะวัตถุจุดประสงค์ที่เธอมาที่นี่ก็เพื่อนอนกับเขาแค่ครั้งเดียวแล้วแลกกับความช่วยเหลือที่อีกฝ่ายจะมอบให้ลูกชายรอยส์ใช้ปลายนิ้วนุ่มๆ ลูบไล้หัวไหล่มนของขวัญชีวาไปมาอย่างเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ “ฉันต้องกลับแล้ว” ขวัญชีวาเอ่ยบอกเพราะไม่อยากอยู่ให้เขาซักไซ้แต่มีหรือรอยส์จะยอมให้เธอกลับทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้ถามให้หายสงสัย“คุณมีลูกทั้งๆ ที่ยังเวอร์จิ้นได้ยังไง” คำถามอย่างตรงไปตรงมาจากรอยส์ทำให้ขวัญชีวาหายใจไม่ทั่วท้อง“ปล่อยฉันก่อนได้ไหมคะ” เอ่ยบอกเสร็จขวัญชีวาก็ใช้แรงน้อยนิดที่มีดันคนตัวโตกว่าให้ออกห่าง แต่รอยส์กลับแทบไม่ขยับเลยด้วยซ้ำ“ตอบคำถามผมมาก่อนแล้วผมจะปล่อย”“ฉันมาที่นี่ตามเงื่อนไขที่เราตกลงกันไว้และตอนนี้ทุกอย่างก็จบลงแล้ว ฉันไม่ขอตอบคำถามอะไรค่ะ” ในความคิ
“อืม…งั้นเปลี่ยนมากอดผมแทนก็ได้เพราะผมชอบให้กอด” รอยส์ออกตัวแต่มีหรือที่ขวัญชีวาจะยอมทำตามเขาง่ายๆ“ไม่ค่ะ”“ถ้าคุณยังพูดคำว่าไม่อีกคราวนี้ผมจะจูบและถ้าผมได้จูบบางอย่างมันอาจตื่นตัวจนคุณต้องรับผิดชอบ” คำขู่จากเขาทำให้ขวัญชีวาต้องเก็บคำพูดต่างๆ ทันทีสุดท้ายเธอก็ต้องยอมอยู่ในอ้อมกอดของรอยส์ แม้จะไม่อยากอยู่แบบนี้แต่ลึกๆ ก็ยอมรับว่าอ้อมกอดจากเขาช่วยทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย“นอนเถอะ พรุ่งนี้เช้าเราค่อยคุยกัน” เสียงทุ้มที่อบอุ่นจากรอยส์กระซิบบอกข้างๆ หู แม้จะไม่อยากหลับความเหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมอันเร่าร้อนที่พึ่งจบลงก็ทำให้ขวัญชีวาอ่อนเพลียจนเผลอหลับในอ้อมกอดของซีอีโอหนุ่มรอยส์ปัดปอยผมที่ชื้นด้วยเหงื่อออกจากใบหน้าสวยของขวัญชีวา ก่อนจะชื่นชมในความแข็งแกร่งของเธอเพราะกว่าจะมาถึงวันนี้ขวัญชีวาคงผ่านเหตุการณ์ทั้งดีและไม่ดีมามากมาย การเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวไม่ใช่เรื่องง่ายและเธอต้องรักกวินท์มากถึงได้ยอมรับเงื่อนไขของเขาแล้วมีเหต
“อ้อค่ะ” ขวัญชีวาเอ่ยรับ นั่งรถมาได้ครู่ใหญ่รอยส์ก็เลี้ยวรถไปยังคอมมูนิตี้มอล์แห่งหนึ่ง หลังจอดรถเสร็จเขาก็พาเธอเดินตรงไปยังร้านแห่งหนึ่งที่ด้านหน้ามีชุดเจ้าสาวตั้งโชว์อยู่ นั่นทำให้ขวัญชีวาหยุดกึกทันที“ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีชุดเจ้าสาวที่คุณชอบบ้างไหม”“อะไรนะคะ”“ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง ไม่รู้เซอร์ไพรส์แบบไหนหรือจะใช้คำไหนบอกก็เลยพาเกี๊ยวมาที่นี่แทน” ความซื่อในเรื่องพวกนี้ของรอยส์ทำให้ขวัญชีวายิ้มเขินออกมา“พูดคำง่ายๆ ว่าเราแต่งงานกันไหม แค่นี้ก็ได้ค่ะ”“เราแต่งงานกันไหมครับ” รอยส์พูดตามที่ขวัญชีวาแนะนำทันที เขาคิดเรื่องแต่งงานกับเธอมานานแล้วจึงไม่แปลกหากอยากแต่งงานทันที “ผมรักคุณ”“เกี๊ยวก็รักคุณ”“เราแต่งงานกันนะ”“นี่คุณยังไม่ล้มเลิกเรื่องขอฉันแต่งงานอีกเหรอ”“ยังครับ ถ้าวันนี้คุณไม่ตอบวันต่อๆ ไปผมก็จะพูดแบ
เพราะคิดถึงและโหยหาส่งผลให้สัมผัสของรอยส์นั้นเต็มไปด้วยความร้อนแรง ชายหนุ่มอุ้มขวัญชีวาจนตัวเธอลอยขึ้นจากพื้นแล้วก้าวยาวๆ ไปยังห้องพักผ่อนที่อยู่ทางปีกซ้ายของตัวบ้าน ทันทีที่มาถึงเขาก็วางเธอลงบนโซฟาตัวใหญ่ที่อยู่ริมหน้าต่างแล้วโน้มตัวลงไปเล้าโลมอย่างคิดถึงพร้อมกระซิบถาม“คิดถึงผมหรือเปล่า”“คิดถึงค่ะ คิดถึงมากจนฝันถึงทุกคืน” คำตอบจากขวัญชีวาทำให้ซีอีโอหนุ่มยิ้มกริ่มก่อนจะมอบจูบให้เธอ นั่นทำให้คนในอ้อมกอดครางกระเส่าออกมาอย่างต่อเนื่อง ความเสียวซ่านวาบหวามที่แสนคิดถึงทำให้เธอร้อนรุ่มไปทั้งตัวเพราะคิดถึงจังหวะรักของทั้งคู่จึงร้อนแรงและโหยหา เวลานี้ต่างช่วยกันปลดเปลื้องเสื้อผ้าให้หลุดพ้นไปจากร่างกายโดยเฉพาะส่วนสำคัญที่ต้องไร้การขวางกั้น การเล้าโลมเกิดขึ้นเพียงครู่เดียวทั้งสองก็อดใจไม่ไหวนั่นทำให้การสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงในขณะที่สะโพกสอบของรอยส์กำลังเคลื่อนไหวในจังหวะเข้าและออกหนักๆ เม็ดยอดสีชมพูบนหน้าอกอวบที่เวลานี้เปลือยเปล่าของขวัญชีวาช่างท้าทายสายตาเขาเ
แม้จะมั่นใจว่ารอยส์นั้นรักขวัญชีวาถึงขั้นวางแผนจะแต่งงานใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกัน แต่ภูริชก็ไม่วายบอกข่าวผิดๆ แก่รอยส์ นั่นทำเอาซีอีโอหนุ่มถึงกับหัวร้อนแล้วรีบบึ่งรถไปหาขวัญชีวาที่บ้านทันที“คุณจะทิ้งผมจริงๆ เหรอ”“ทิ้งคุณ!” สีหน้าและแววตาของขวัญชีวางุนงงอย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะเธอไม่เคยคิดจะทิ้งรอยส์เลยแม้แต่ครั้งเดียวแล้วเขาโวยวายเรื่องนั้นขึ้นมาทำไม“ใช่ คุณหนึ่งบอกว่าคุณจะไปอยู่ที่ฟินแลนด์ด้วย แล้วผมละครับ คุณจะเอาผมไปวางไว้ตรงไหน” นอกจากโวยวายแล้วรอยส์ยังร้อนใจจนเก็บอาการไม่อยู่“วางไว้ที่เดิมค่ะ”“คุณเกี๊ยว”“ดื่มน้ำดับอารมณ์ร้อนก่อนดีไหมคะ” ขวัญชีวายังคงแสดงท่าทางสบายๆ ไม่ได้ร้อนรนอะไร“ไม่ครับ” น้ำเสียงห้วนๆ ของรอยส์เอ่ยรับขึ้น“ถ้างั้นก็ตั้งใจฟังให้ดีๆ ฉันจะตามน้องกวินท์ไปที่ฟินแลนด์จริงๆ แต่แค่ไปส่งแล้วกลับค่ะไม่ได้ไปอยู่ถาวร”
อาการป่วยของกวินท์ดีวันดีคืน หมอจึงอนุญาตให้เด็กชายกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้แต่ข่าวดีนี้ก็ถูกกลบด้วยบรรยากาศที่อึมครึมเมื่อพลอยใสเดินทางมาถึงเมืองไทยเพื่อคุยเรื่องหย่ากับภูริชเธอยังคงยืนกรานที่จะไม่หย่าในขณะที่ภูริชก็ยืนกรานที่จะหย่าเช่นกัน สุดท้ายภูริชก็ฟ้องหย่าและเพราะไม่อยากให้เป็นข่าวใหญ่โตจนทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ทางครอบบครัวของพลอยใสจึงกดดันให้ลูกสาวคนโตยอมเซ็นใบหย่าเงียบๆต่อให้พลอยใสอยากเอาชนะภูริชมากขนาดไหนสุดท้ายก็ทนแรงกดดันจากคนในครอบครัวที่ไม่มีใครเข้าข้างเธอเลยสักคนไม่ได้ เมื่อหย่าเสร็จเธอก็บินกลับไปใช้ชีวิตที่บอสตันส่วนภูริชก็มีคำสั่งจากบริษัทให้ย้ายไปทำงานที่ฟินแลนด์เช่นกัน เพราะแบบนั้นเขาจึงอยากพากวินท์ไปด้วยทันทีที่ได้รู้ขวัญชีวาก็ถึงกับซึมนั่นเพราะไม่คิดว่าเธอจะต้องอยู่ห่างกับกวินท์ไกลถึงขนาดนั้น แต่ก็ยอมรับว่าที่นั่นดีต่อการดำเนินชีวิตของกวินท์ อีกอย่างเธอเป็นแค่ป้าคงไม่มีสิทธิ์เท่าพ่อแท้ๆ“ทำไมพี่หนึ่งใจร้ายกับแกแบบนั้น” ปิยะดาเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจที่จู่ๆ
“ขอบคุณมากนะครับที่คอยช่วยเหลือลูกชายผมกับเกี๊ยว” เมื่อมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ภูริชก็เอ่ยกับรอยส์ขึ้น“ผมยินดีและเต็มใจที่ได้ช่วยครับ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร”“เกี๊ยวบอกว่าคุณเป็นเจ้านายเธอที่บริษัท”“ใช่ครับ เราทำงานด้วยกันมาหลายปีแล้ว แต่จู่ๆ คุณเกี๊ยวก็ขอลาออกผมเลยรู้ว่าเธอกำลังมีปัญหา” หากไม่มีใบลาออกใบนั้นรอยส์ก็คงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ ขวัญชีวาบ้าง“ผมเป็นพ่อที่ไม่เอาไหนเลยจริงๆ” ยิ่งคิดภูริชก็ยิ่งรู้สึกผิด ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ถูกลูกชายเกลียดเอา“อย่าโทษตัวเองเลยครับเพราะอย่างน้อยตอนนี้คุณก็รู้ทุกอย่างแล้ว รู้ก่อนที่มันจะสายไป”“ผมเคยทำผิดแล้วครั้งหนึ่งที่เลิกรากับกุ้งโดยไม่รู้ว่าเธอกำลังตั้งท้องมารู้อีกทีคือวันที่ผมบินกลับร่วมงานศพของเธอ แต่แล้วก็ยังปล่อยปะละเลยชีวิตของกวินท์กับเกี๊ยวจนทำให้ทั้งคู่ลำบาก” ยิ่งคิดภูริชก็ยิ่งรู้สึกผิดหลังจากนี้เ
“เรากลับมาคุยกันก่อนนะคะคุณหนึ่ง” แม้จะไม่พอใจที่สามีบินกลับเมืองไทยโดยไม่บอกเธอ แต่สถานการณ์ในตอนนี้พลอยใสก็ต้องหว่านล้อมสามีให้กลับมาหาเธอให้ได้เสียก่อน “ต่อจากนี้เราคงไม่ต้องคุยอะไรกันอีก”“ไม่นะคะไม่ ถ้าคุณไม่สะดวกบินมาฉันจะบินไปหาคุณเพื่ออธิบายทุกอย่างเอง นะคะ”“อย่าเสียเวลาเลย”“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงหรือคุณจะหย่ากับฉันอย่างนั้นเหรอ”“ใช่”“คุณหนึ่ง!”“ผมคงใช้ชีวิตกับคุณต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เราหย่ากันน่าจะดีที่สุด” เรื่องหย่าอยู่ในหัวของภูริชมานานแล้ว น่าจะตั้งแต่แต่งงานกับพลอยใสด้วยซ้ำ เพียงแค่ที่ผ่านมาเขาพยายามไม่คิดถึงเรื่องหย่าและคิดว่าทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นเพราะหลังจากเลิกรากับปานชีวาน้องสาวของ ขวัญชีวาไม่นานเขาก็แต่งงานสายฟ้าแลบกับเธอ ที่ตัดสินใจแต่งงานทันทีเพราะผู้ใหญ่บีบบังคับบวกกับเขาต้องการใครสักคนเพื่อให้ลืมปานชีวา จากนั้นก็ย้ายไปอยู่ด้วยกันที่บอสตันโดยเขาไปทำงานในขณะที่พลอยใสก็ตามไปดูแลแต่ไ
สำหรับขวัญชีวาแล้ว แม้ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างรอยส์และเธอจะซับซ้อนแต่ก็มั่นใจว่าจะจัดการทุกอย่างเพื่อไม่ให้กระทบกับงานได้ เธอจะอดทนจนกว่าเขาจะเซ็นใบลาออกให้แต่เมื่อไหร่เส้นความอดทนของเธอมันขาดก็อีกเรื่องหนึ่ง สิ่งที่อยู่ในหัวของขวัญชีวามีเรื่องลูกและเรื่องงานเป็นหลัก ส่วนเรื่องของรอยส์ก็มีบ้างที่เธอปล่อยให้เขาเข้ามาในความคิดขณะอยู่ที่บริษัทรอยส์เองก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรจนเกินพอดี เขายังคงเว้นระยะห่างที่ควรจะทำเสมอนั่นเพราะห่วงความรู้สึกของขวัญชีวา แต่เมื่อไหร่ที่อยู่นอกเวลางานก็เป็นอีกเรื่องเช่นกันโดยเฉพาะที่โรงพยาบาล“คุณรอยส์”“อะไรครับ”“เลิกมองฉันแบบนั้นได้แล้ว มองอยู่ได้”“แม่เกี๊ยวกับลุงรอยส์คบกันอยู่ใช่ไหมฮะ” จู่ๆ ประโยคคำถามก็ดังมาจากเด็กชายวัยเจ็ดขวบ ถึงแม้จะยังเด็กแต่ก็พอรู้ว่าความรักคืออะไรเพราะตอนอยู่อนุบาลตัวเองก็เคยมีแฟนมาแล้ว แถมตอนนั้นยังเนื้อหอมมากอีกด้วย“เอ้” ขวัญชีวาอุทานออกมาอย่างตกใจนั่นเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคแบบนี้จากลูกชาย“ใช่ครับกวินท์ เรากำลังค
หลังการผ่าตัด อาการของกวินท์ก็หายวันหายคืนอาจเพราะใจสู้และได้กำลังใจดีจากแม่คนเก่งอย่างขวัญชีวารวมไปถึงลุงอย่างรอยส์ที่รายหลังนั้นหมั่นแวะเวียนมาเยี่ยมเสมอๆ การปรากฎตัวที่โรงพยาบาลของรอยส์บ่อยๆ ทำให้พี่ชายอย่างเรย์สนใจ ชายหนุ่มคอยสังเกตุอยู่ห่างๆ กระทั่งรู้ว่าคนไข้ที่เวลานี้ยังพักฟื้นอยู่ในห้องวีไอพีสำคัญกับน้องชายมากจึงขอประวัติการรักษาของกวินท์มาดูเป็นกรณีพิเศษพร้อมกับออกมาดักพบน้องชายที่หน้าลิฟต์ทางเข้าโซนวีไอพี “พอจะมีเวลาคุยกันสักสิบห้านาทีไหม” “ครับ” รอยส์เอ่ยรับแล้วเดินตามพี่ชายไป จุดหมายคือชั้นบนสุดของโรงพยาบาลซึ่งชั้นนั้นมีห้องทำงานของพี่ชายอยู่ด้วย “ได้ข่าวว่าระยะนี้นายเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาล เป็นอะไรหรือเปล่า” แม้จะรู้สาเหตุที่ทำให้รอยส์มาโรงพยาบาลบ่อยๆ แต่เรย์ก็ตั้งใจถามแบบนั้นออกไป เขากับน้องชายอายุห่างกันสี่ปี ตอนนี้เป็นผู้บริหารด้วยกันทั้งคู่ เขาสานต่อธุรกิจโรงพยาบาลที่ครอบครัวสร้างขึ้นส่วนรอยส์ขอเดินบนเส้นทางตัวเอง น้องคนนี้ชอบเรื่องรถเรื่องเทคโนโลยีจึงมุ่งเน้นไปทางนั้น ธุรกิจก็เติบโตมีชื่อเสียงไม่น้อย “ผมสบายดีครับ แต่พอดีญาติข
และก่อนที่ขวัญชีวาจะคิดไปไกลรอยส์ก็ทำให้เธอรุ่มร้อนอีกครั้ง นั่นเพราะตอนนี้เขาต้องไล่ตามเธอให้ทันก่อนจะถูกทิ้งไว้ท่ามกลางความครึ่งๆ กลางๆ จึงกระแทกกระทั้นสะโพกเข้าหาอย่างถี่กระชั้นจนร่างกึ่งเปลือยของขวัญชีวาไหวโยกตามแรงส่ง หน้าอกคู่สวยกระเพื่อมขึ้นลงยั่วสายตาอีกฝ่าย รอยส์อดใจไม่ไหวจึงยกมือข้างหนึ่งไปบีบคลึงรอยส์จ้องมองขวัญชีวาด้วยความรู้สึกที่ยังคงหื่นกระหาย สำหรับเธอแล้วความหล่อเหลาในระยะใกล้แบบนี้ของเขาทำให้หวั่นไหวแต่ก็ยังตื่นกลัวให้เห็น เพราะแบบนั้นซีอีโอหนุ่มจึงสลัดความกลัวของเธอออกแล้วแทนที่ด้วยความหฤหรรษ์ที่ยากจะต่อต้านของชายหญิง ขวัญชีวาพ่ายแพ้ต่อรอยส์เพราะไม่ว่าเขาจะจัดท่วงท่าเธอยังไงก็โอนอ่อนทำตามอย่างว่าง่าย กระทั่งรอยส์ปลดปล่อยจึงรวบตัวเธอเข้ามากอด“คุณเห็นฉันเป็นอะไร” เมื่อพายุอารมณ์ผ่านพ้นไปขวัญชีวาก็เอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงที่สั่นเครือ ทั้งๆ ที่เธอต่างหากที่ผิด เธอไม่ควรปล่อยให้มันเกิดขึ้น“ผมขอโทษแต่ผมพยายามหักห้ามใจตัวเองแล้วจริงๆ”“คุณมัน…เห็นแก่ตัว” ขวัญชีวาเอ่ยต่อว่