“เบาๆ เดี๋ยวเมา” เสียงห้ามดังมาจากธยศเพื่อนสนิทที่คบหากันมาหลายปี ธยศเป็นเจ้าของโรงแรมระดับไฮเอนที่ภาคใต้รวมถึงต่างประเทศอีกด้วย
“แค่เหล้า ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” รอยส์ยิ้มมุมปากออกมาก่อนจะวาดปลายนิ้ววนไปมาบนปากแก้ว ในขณะที่สมองคิดถึงแต่ขวัญชีวา “เครียดเรื่องอะไร ตั้งแต่มาถึงก็เห็นดื่มเอาๆ” “ลูกน้องจะลาออก” “กี่คน” “คนเดียว” “ผู้หญิงผู้ชาย” ธยศเอ่ยถามต่อนั่นเพราะอยากรู้ต้นตอที่ทำให้รอยส์อารมณ์ไม่ดีอย่างที่เป็นอยู่ “ผู้หญิง” “โสด สวย” “ไม่โสดเพราะเธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ถามว่าสวยไหมก็…สวย” สำหรับนิยามความสวยผู้ชายที่มองผู้หญิงอาจไม่เหมือนกัน แต่ทว่าในความคิดของเขานั้นขวัญชีวาสวย สวยทั้งรูปร่างหน้าตารวมไปถึงความคิด ที่สำคัญคือเธอทำงานเก่งชนิดหาตัวจับยากจึงไม่แปลกหากจะมีบริษัทไหนสักที่ซื้อตัวเธอไปให้ทำงานด้วย และด้วยอะไรหลายๆ อย่างทำให้เขาสนใจเธอ เขาไม่เคยรู้สึกตกหลุมรักใครมานานแล้ว ชีวิตหนุ่มโสดตอนนี้ทุกอย่างก็ลงตัวดีกระทั่งได้เจอเธอคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ทำให้เขาว้าวุ่นใจ ที่เขารู้ว่าเธอเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเพราะในใบสมัครงานเธอระบุไว้แบบนั้นรวมทั้งงานเลี้ยงบริษัทเมื่อปีก่อนเธอก็ยังได้พาลูกชายวัยน่ารักมาร่วมด้วย “ลูกน้องจะลาออกแค่คนเดียวแถมยังเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวแต่ทำให้นายเป็นได้ถึงขนาดนี้เชียวเหรอ ถามจริง คิดอะไรกับลูกน้องคนนั้นหรือเปล่า” “เปล่า” แม้จะคิดแต่รอยส์ก็เลือกที่จะปฏิเสธนั่นเพราะต่อให้สนิทกับธยศทว่าเรื่องบางเรื่องเขาก็ยังไม่พร้อมจะลงลึกถึงรายละเอียดที่ซับซ้อน แต่ท่าทางของรอยส์มีหรือที่อีกคนจะเชื่อ “เชื่อก็บ้าแล้ว ซีอีโอหนุ่มหล่อสุดเพอเฟคที่มีสาวสวยให้ควงไม่ขาดอย่างนายแต่กลับมานั่งเครียดกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ มองยังไงมันก็ไม่ปกติ” “ฉันกลับก่อนแล้วกัน” นั่นเพราะไม่มีอารมณ์ร่วมและไม่สนุกอย่างที่คิดรอยส์จึงเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวสิ น้องๆ กำลังมาไม่รอหน่อยเหรอ” น้องๆ ที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงคือบรรดาสาวๆ นั่นเอง “ไม่ วันนี้เบื่อไม่อยากทำอะไร” “โอเคๆ แต่เปลี่ยนใจเมื่อไหร่บอกนะครับ ผมจะพาน้องๆ ไปส่งให้ถึงห้อง” “อืม” รอยส์เอ่ยรับแต่ไม่คิดจะทำจริง นั่นเพราะคืนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะทำอะไรจริงๆ พอกลับมาถึงบ้านก็สั่งให้แม่บ้านเตรียมเหล้าและกับแกล้มให้จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งไขว่ข้างบนเก้าอี้หนังตัวโปรด ชงเหล้าด้วยความชำนาญแล้วหยิบแก้วเหล้าใบนั้นขึ้นมาจิบพร้อมกับคิดเรื่องขวัญชีวาไปด้วย “หวังว่าคุณจะให้คำตอบที่ตรงกับใจผม”“คุยอะไรกันอยู่ครับ หน้าตาซีเรียสเชียว” เสียงทุ้มของซีอีโอหนุ่มเอ่ยถาม เพราะทันทีที่มาถึงห้องทำงานก็มองเห็นเลขาส่วนตัวยืนคุยอยู่กับผู้จัดการฝ่ายบุคคล
“เอ่อคือว่า…” เลขาส่วนตัวของซีอีโอหนุ่มอึกอักทันที “ผมไม่มีสิทธิ์รู้เหรอ” “เปล่าๆ ค่ะ คือดิฉันกำลังคุยถึงเรื่องของน้องเกี๊ยว” “เรื่องของคุณขวัญชีวา เรื่องอะไร” “ดูเหมือนลูกชายน้องเกี๊ยวจะป่วยหนักค่ะ ทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้งให้รีบเข้าไปด่วน น้องเกี๊ยวรีบมากจนเกือบเดินตกบันไดดีที่ดิฉันคว้าแขนเอาไว้ได้ทัน พอถามไถ่ถึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” เลขาสาวค่อยๆ เรียบเรียงเรื่องราวแล้วเล่าให้เจ้านายหนุ่มได้ฟัง “ฝากคุณเป็นธุระแทนผมส่งของเยี่ยมไปให้ลูกชายของเธอด้วย” “ได้ค่ะคุณรอยส์” เลขาส่วนตัวเอ่ยรับปากทันที ได้ยินแบบนั้นรอยส์จึงเดินเข้าห้องทำงานไป ทันทีที่ประตูห้องทำงานของซีอีโอหนุ่มปิดลง เสียงพูดคุยของเลขาและผู้จัดการฝ่ายบุคคลก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง นั่นเพราะต่างเป็นห่วงลูกชายของขวัญชีวากระทั่งได้เวลาทำงานจึงแยกย้าย ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงเลขาส่วนตัวก็เข้ามาแจ้งว่าได้จัดการส่งกระเช้าไปที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมลูกชายของขวัญชีวาเรียบร้อยแล้ว เพราะแบบนั้นรอยส์จึงได้รู้ว่าขณะนี้ลูกชายของขวัญชีวารักษาตัวอยู่ที่ไหน ชายหนุ่มอาศัยจังหวะออกไปประชุมกับลูกค้าแวะไปหาเธอที่นั่น เขาถึงได้รู้ว่าอาการของลูกชายเธอแย่มากหนทางเดียวที่จะยื้อชีวิตไว้ได้คือการผ่าตัดที่ควรเกิดขึ้นในทันที หรือว่านั่นจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ขวัญชีวาขอลาออก เธอกำลังต้องใช้เงินและเป็นเงินที่มากทีเดียว แต่เพราะเขาไม่ใช่เทพบุตรที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้คนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแม้กระทั่งกับขวัญชีวาเองก็ตาม ในขณะที่เวลานั้นขวัญชีวานั่งอับจนหนทางอยู่หน้าห้องปลอดเชื้อที่ลูกชายอยู่ข้างใน คิวผ่าตัดที่เร็วที่สุดเป็นวันพรุ่งนี้ซึ่งเธอได้เซ็นเอกสารอนุญาตให้ทำการผ่าตัดได้ไปแล้วเช่นกัน หลังผ่าตัดเสร็จเธอจะหาเงินจากไหนมาจ่าย ญาติพี่น้องก็ไม่มีให้ไปหยิบยืม เพื่อนสนิทที่มีก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามีเงินหรือไม่มี “เกี๊ยว” “เบล”“น้องกวินท์เป็นไงบ้าง” คำถามที่ได้ยินทำให้ ขวัญชีวากลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีกต่อไป เธอปล่อยโฮออกมาเพราะความอัดอั้นและความกลัว กลัวว่าจะเสียลูกชายไปปิยะดาเองก็พลอยตกใจที่จู่ๆ ขวัญชีวาร้องไห้ออกมาแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อนอกจากนั่งปลอบใจกันอยู่แบบนั้น กระทั่งขวัญชีวาหยุดร้องไห้เธอก็ยื่นบางอย่างใส่มือเพื่อนสนิท“อะไรนะเบล”“เงินเก็บเราเอามาช่วยค่ารักษาน้องกวินท์” “แต่เรา…”“รับไปเถอะ มันไม่ได้มากมายอะไรหรอก มีเมื่อไหร่ก็ค่อยเอามาคืน” ปิยะดาแทบจะเทหมดกระเป๋าเหมือนกันนั่นเพราะอยากช่วยจริงๆ หลังจากนี้ค่อยเก็บออมกันใหม่ “ขอบใจนะเบล ขอบใจเธอมาก” จากที่หยุดร้องไปแล้วตอนนี้ขวัญชีวาก็กลับมาร้องไห้อีกแถมยังหนักไม่แพ้เมื่อครู่แม้แต่น้อย ปิยะดานั่งปลอบให้ขวัญชีวาหายเศร้าแต่ถึงจะหยุดร้องแล้วอาการสะอื้นก็ยังมีให้เห็นปิยะดาอยู่เป็นเพื่อนกระทั่งต้องกลับไปไลฟ์ขายของต่อนั่นทำให้ขวัญชีวาอยู่คนเดียวอีกครั้ง เธอเปิดดูเงินในซองที่มีอยู่จำนวนหนึ่งพอนำมารวมกับเงินของตัวเองก็ยังคงเครียดเพราะยังขาดอยู่อีกมาก ถ้าวันนี้รอยส์เซ็นอนุมัติเรื่องลาออกทันทีเธอก็จะได้เงินกองทุนคืนมาเร็วขึ้น เงินเดือนบวกกับเงินที
ใช่…เขาเป็นนักธุรกิจที่ทำอะไรแล้วต้องหวังกำไร แต่…ทำไมต้องเป็นเธอ ทำไมสถานการณ์ของเธอถึงได้เลวร้ายลงเรื่อยๆ เช่นนี้ ทำไมต้องได้ยินข้อเสนอแบบนี้ด้วย ทำไมกัน “คุณไม่กลัวฉันเอาเรื่องนี้ไปแบล็คเมล์เลยหรือคะ”“ไม่นี่หรือถ้าคุณต้องการทำแบบนั้นก็ตามสบายเพราะคนแบบผมจัดการคุณก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายได้แน่นอน” รอยส์ชิงพูดออกไปก่อนราวกับชายหนุ่มเข้ามานั่งอยู่ในความคิดของขวัญชีวา “ฉันต้องให้คำตอบคุณเมื่อไหร่” แม้จะอยากปฏิเสธเสียเดี๋ยวนี้แต่ชีวิตลูกชายคนเดียวของเธอคือประตูเหล็กที่สามารถปิดกั้นคำพูดเหล่านั้นของเธอได้“ผมรู้ว่าคุณมีเวลาในใจอยู่แล้ว เอาเป็นว่าผมจะกลับไปรอฟังคำตอบจากคุณ” เอ่ยจบรอยส์ก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไปทันที ขณะที่ขวัญชีวายังคงอึ้งและพูดอะไรไม่ออกอีกเลย สิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้นอกจากลมหายใจเบาๆ แล้วก็คือน้ำตาแม้กำลังร้องไห้แต่สมองกลับคิดถึงข้อเสนอของเจ้านายหนุ่ม นอนกับเขาแค่คืนเดียวแต่ช่วยชีวิตลูกชายได้ ลูกที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ ลูกที่เธอสัญญาไว้ว่าต่อให้ลำบากแค่ไหนก็จะเลี้ยงแกให้ดี เพราะถ้ากวินท์เป็นอะไรไปทั้งๆ ที่เธอมีโอกาสหาเงินมารักษาได้ นั่นคงเป็นตราบาปที่ทำให้เ
“ฉันอยากลาออกเพราะอยากมีเวลาดูแลลูกชายหลังผ่าตัดอย่างใกล้ชิด อีกอย่างคุณให้เงินค่าตัวฉันตั้งมากขนาดนั้นต่อให้ตกงานสักปีสองปีคงไม่เป็นไร” ยิ่งพูดขวัญชีวาก็ยิ่งเจ็บปวด แต่ไม่ว่ายังไงเธอคงอยู่ทำงานร่วมกับรอยส์ไม่ได้อีกแล้วจริงๆ รวมถึงบริษัทใหม่ที่ติดต่อมาคงต้องปฏิเสธไปก่อนเพราะเธอไม่อยากทิ้งกวินท์ให้พักฟื้นตามลำพัง แต่เธอก็ยังมั่นใจว่าจะหางานใหม่ได้แม้จะต้องใช้เวลาสักหน่อย รอยส์อยากเปลี่ยนเงื่อนไขที่ว่าแต่มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นสุดท้ายซีอีโอหนุ่มก็ต้องยอมรับ ก่อนจะวกกลับมาคุยเรื่องสำคัญซึ่งเขาระบุว่าจะส่งคนไปรับเธอที่บ้านพร้อมกับนัดแนะเรื่องเวลาและสถานที่ ซึ่งมันคือวันพรุ่งนี้เวลาสองทุ่มที่โรงแรม…คำตอบเดียวของขวัญชีวาขณะฟังรอยส์หลังจากนั้นมีแค่คำว่า ‘ค่ะ’ เธอพยายามคุมอารมณ์หน่วงจนอยากร้องไห้และโทนเสียงให้เป็นปกติทว่าก็ยากเหลือเกิน “เจอกันพรุ่งนี้”“ค่ะ” ขวัญชีวาเอ่ยรับอีกครั้งแล้วกดวางสายไป กว่าจะตัดสินใจได้แบบนี้มันยากเหลือเกิน ในเมื่อการผ่าตัดต้องเกิดขึ้นทันทีและข้อเสนอของรอยส์ก็เข้ามาในจังหวะนั้น แม้เธอจะไม่อยากทำแบบนี้ทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ปฏิเสธเขา ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอและน
“หมอที่นี่ใจดีไหมครับ”“ใจดีครับ ใจดีมากๆ ด้วย”“ผมจะหายใช่ไหม”“หายครับแต่กวินท์ก็ต้องสู้ไปพร้อมกับคุณหมอแล้วก็แม่ด้วยนะลูก” ขวัญชีวาส่งพลังบวกให้ลูกชาย นั่นเพราะการผ่าตัดคือสิ่งที่ทั้งคู่รอคอยมาตลอด “ครับ”“อีดนิดก็จะหายดีแล้ว แม่รักลูกนะกวินท์”“ลูกก็รักแม่เกี๊ยว” เด็กชายส่งยิ้มให้ผู้เป็นแม่ ในขณะที่ขวัญชีวาก็ส่งยิ้มอบอุ่นกลับมาให้พร้อมดึงลูกชายเข้ามากอด แม้ลึกๆ จะหวั่นใจกับการผ่าตัดที่กำลังจะเกิดขึ้นทว่าเธอก็เลือกที่เชื่อหมอและเชื่อในปาฏิหาริย์ว่ามันต้องเกิดขึ้นหลังจากส่งลูกเข้านอนเสร็จขวัญชีวาก็กลับออกไป เธอมุ่งหน้าตรงไปที่บ้านด้วยความรู้สึกประหม่าเนื่องจากคืนนี้เธอมีนัดสำคัญกับ…รอยส์ ขวัญชีวายืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจก เวลานี้เธอแต่งหน้าทำผมเสร็จแล้วก่อนจะหยิบลิปสติกสีโปรดขึ้นมาทาริมฝีปากอิ่ม ใบหน้าของเธอเรียบเฉยไร้รอยยิ้มในหัวใจตอนนี้มีแต่ความหนักอึ้ง แม้นี่จะเป็นการตัดสินใจของเธอเองแต่ก็ยอมรับว่าทำใจได้ยากจนน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้งเพื่อไม่ให้น้ำตามันไหลอาบแก้มขวัญชีวาจึงเงยหน้าขึ้นสูงแล้วสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ พอน้ำตามันแห้งเสียงแตรรถก็ดังขึ้นจากหน้าบ้านเป็นสัญญาณบอกว่าเวลานี้ค
บางจังหวะขวัญชีวาก็คล้อยตามบางจังหวะก็ผลักไส สุดท้ายรอยส์จึงยอมถอนจูบออกอย่างเสียดายแต่ไม่นานเขาจะมอบจูบที่ร้อนแรงกว่านี้ให้กับเธอ “คุณจูบไม่เป็น” เสียงแหบพร่ากระซิบถามในขณะที่ขวัญชีวาก็หอบหายใจหนักๆ ใบหน้าสวยเวลานี้แดงก่ำส่วนริมฝีปากบวมก็เจ่ออย่างเห็นได้ชัด “ฉันแค่ห่างมันมากนาน” ขวัญชีวาปฏิเสธทั้งๆ ที่อีกไม่นานรอยส์จะรู้ความจริงได้ด้วยตัวเขาเองว่าเพราะอะไรเธอจึงจูบไม่เป็นรวมไปถึงอาการประหม่าอย่างในตอนนี้ด้วย“อย่างนั้นเหรอ” รอยยิ้มผุดขึ้นหลังเอ่ยจบก่อนที่รอยส์จะรวบตัวขวัญชีวาเข้ามาแนบชิด พร้อมกับค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบไล้ร่างกายของเธออย่างหลงไหล เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้สนใจเธอและอยากได้มากถึงขนาดนี้ สัมผัสจากเขาทำให้ขวัญชีวาตื่นตัวในทุกๆ อณูของร่างกายก็ว่าได้ เธอทั้งตื่นตัวและตื่นกลัวจนเผลอแสดงสีหน้ายั่วยวนออกมาอย่างไม่ตั้งใจและเพราะแบบนั้นรอยส์จึงห้ามความต้องการของตัวเองไม่ได้เช่นกัน เขามอบจูบให้ขวัญชีวาอีกครั้งซึ่งครั้งนี้ซีอีโอหนุ่มไม่สนด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะตอบโต้มาแบบไหนไม่นานเขาก็ชนะและสามารถทำให้ขวัญชีวาคล้อยตามได้ส่งผลให้แรงเสน่หาที่เต็มไปด้วยความโหยหามากขึ้นตามไปด้วย ห
“ยื้อมากกว่านี้ไม่ได้แล้วนะครับคุณเกี๊ยว ถ้าเลื่อนการผ่าตัดออกไปอีก คราวนี้หมอว่าจะยิ่งอันตราย ดีไม่ดีโอกาสที่จะผ่าตัดสำเร็จแทบจะไม่มี”นั่นคือประโยคที่ทำให้ขวัญชีวาแทบหยุดหายใจ เธอพยายามตั้งสติแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกมาจากห้องคุณหมอหลังจากคุยเรื่องอาการป่วยเสร็จ เวลานี้ทุกอย่างมันหนักอึ้งมองไปทางไหนก็ยังไร้ซึ่งทางออก ขวัญชีวาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ใกล้สุดพร้อมกับบีบมือทั้งสองข้างจนเลือดแทบไหลผ่านไม่ได้ เธอเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงลูกชาววัยเจ็ดขวบมาตามลำพัง ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็ก้าวผ่านมาได้โดยมีรอยยิ้มจากเด็กชายเยียวยา กระทั่งเมื่อปีก่อนจู่ๆ เธอก็พบความผิดปกติของกวินท์จึงรีบพามาตรวจร่างกาย ก่อนจะได้รับข่าวร้ายว่าลูกชายเธอมีเนื้องอกในสมองมีหลายปัจจัยที่การผ่าตัดไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในทันทีที่ตรวจพบ ทั้งเรื่องอายุ เรื่องสุขภาพ เรื่องจุดที่เนื้องอกฝังตัวอยู่รวมไปถึงเรื่องเงินค่ารักษา ทุกๆ อย่างต้องค่อยเป็นค่อยไปแต่ยิ่งนานวันค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็มากขึ้นตามไปด้วย เพราะตั้งแต่รู้ว่าป่วยกวินท์ก็เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลเป็นว่าเล่นนั่นทำให้ขวัญชีวาทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอตเช่นเดียวกั