รอยส์ปลุกเร้าขวัญชีวาตื่นตัวอย่างช่ำชอง กำแพงของความหวาดกลัวของเธอค่อยๆ ถูกเขาทำลายลงทีละน้อยก่อนจะแทนที่ด้วยความร้อนรุ่มจากไฟพิศวาสที่เริ่มลุกลามแผ่ซ่านยากจะควบคุม รสจูบที่ร้อนแรงดุดันเต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการของรอยส์กำลังจะแผดเผาให้ขวัญชีวามอดไหม้เป็นจุณบางครั้งเธอเผลอออกแรงผลักไสจึงถูกเขาลงโทษหนักขึ้น เพราะทันทีที่จัดการบิกินี่ปราการชิ้นสุดท้ายบนตัวของขวัญชีวาได้รอยส์ก็เคลื่อนตัวลงต่ำพร้อมกับจับขาเรียวทั้งสองข้างของเธอให้แยกห่างออกจากกันจากนั้นก็ฝังใบหน้าลงไป ทันทีที่ริมฝีปากร้อนและปลายลิ้นสัมผัสกลีบกุหลาบนุ่มขวัญชีวาก็ถึงกับสะดุ้งแล้วขยับตัวหนี รอยส์จึงใช้มือล็อคตัวเธอไว้ให้อยู่กับที่“ขะ…คุณรอยส์” ขวัญชีวาเอ่ยเรียกรอยส์อย่างไม่เต็มเสียงนัก ร่างเปลือยเปล่าบิดเร้าทรมานในขณะที่ใบหน้าหล่อเขาของรอยส์ก็ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหนปลายลิ้นของเขากำลังทำให้เธอทรมานเหลือเกิน ทรมานจนก่อให้เกิดเป็นเปลวเพลิงแห่งความปรารถนาที่เวลานี้ลุกโชนมอดไหม้เธออยู่และใช่ว่าขวัญชีวาจะเป็นแค่คนเดียว รอยส์เองก็รู้สึกไม่ต่างจากเธอเช่นกัน ยิ่งได้ครอบครองเขาก็ยิ่
ไม่นานความสุขสมรุนแรงที่บ่มเพาะมานานก็ระเบิดออกมาราวกับพลุที่ถูกจุดขึ้นบนฟ้าพร้อมๆ กัน ขวัญชีวานอนหายใจหอบกระเส่าหนักๆ อยู่ในอ้อมกอดของรอยส์ ทำไมเธอถึงรู้สึกอิ่มเอมในหัวใจแปลกๆ ทั้งๆ ที่เธอไม่ควรรู้สึกอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ นั่นเพราะวัตถุจุดประสงค์ที่เธอมาที่นี่ก็เพื่อนอนกับเขาแค่ครั้งเดียวแล้วแลกกับความช่วยเหลือที่อีกฝ่ายจะมอบให้ลูกชายรอยส์ใช้ปลายนิ้วนุ่มๆ ลูบไล้หัวไหล่มนของขวัญชีวาไปมาอย่างเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ “ฉันต้องกลับแล้ว” ขวัญชีวาเอ่ยบอกเพราะไม่อยากอยู่ให้เขาซักไซ้แต่มีหรือรอยส์จะยอมให้เธอกลับทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้ถามให้หายสงสัย“คุณมีลูกทั้งๆ ที่ยังเวอร์จิ้นได้ยังไง” คำถามอย่างตรงไปตรงมาจากรอยส์ทำให้ขวัญชีวาหายใจไม่ทั่วท้อง“ปล่อยฉันก่อนได้ไหมคะ” เอ่ยบอกเสร็จขวัญชีวาก็ใช้แรงน้อยนิดที่มีดันคนตัวโตกว่าให้ออกห่าง แต่รอยส์กลับแทบไม่ขยับเลยด้วยซ้ำ“ตอบคำถามผมมาก่อนแล้วผมจะปล่อย”“ฉันมาที่นี่ตามเงื่อนไขที่เราตกลงกันไว้และตอนนี้ทุกอย่างก็จบลงแล้ว ฉันไม่ขอตอบคำถามอะไรค่ะ” ในความคิ
“อืม…งั้นเปลี่ยนมากอดผมแทนก็ได้เพราะผมชอบให้กอด” รอยส์ออกตัวแต่มีหรือที่ขวัญชีวาจะยอมทำตามเขาง่ายๆ“ไม่ค่ะ”“ถ้าคุณยังพูดคำว่าไม่อีกคราวนี้ผมจะจูบและถ้าผมได้จูบบางอย่างมันอาจตื่นตัวจนคุณต้องรับผิดชอบ” คำขู่จากเขาทำให้ขวัญชีวาต้องเก็บคำพูดต่างๆ ทันทีสุดท้ายเธอก็ต้องยอมอยู่ในอ้อมกอดของรอยส์ แม้จะไม่อยากอยู่แบบนี้แต่ลึกๆ ก็ยอมรับว่าอ้อมกอดจากเขาช่วยทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย“นอนเถอะ พรุ่งนี้เช้าเราค่อยคุยกัน” เสียงทุ้มที่อบอุ่นจากรอยส์กระซิบบอกข้างๆ หู แม้จะไม่อยากหลับความเหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมอันเร่าร้อนที่พึ่งจบลงก็ทำให้ขวัญชีวาอ่อนเพลียจนเผลอหลับในอ้อมกอดของซีอีโอหนุ่มรอยส์ปัดปอยผมที่ชื้นด้วยเหงื่อออกจากใบหน้าสวยของขวัญชีวา ก่อนจะชื่นชมในความแข็งแกร่งของเธอเพราะกว่าจะมาถึงวันนี้ขวัญชีวาคงผ่านเหตุการณ์ทั้งดีและไม่ดีมามากมาย การเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวไม่ใช่เรื่องง่ายและเธอต้องรักกวินท์มากถึงได้ยอมรับเงื่อนไขของเขาแล้วมีเหต
เรื่องของเธอกับรอยส์มันจบลงไปแล้วและคนอย่างเขาคงไม่สนใจอะไรเธอ ที่ทำอยู่ตอนนี้ก็เพื่อให้มั่นใจว่าข้อแลกเปลี่ยนลุล่วงแล้วก็เท่านั้น ทว่าจนถึงตอนนี้รอยส์กลับไม่ไปไหน ซีอีโอหนุ่มยังคงนั่งอยู่แบบนั้นกระทั่งหมอน่านกลับมา ขวัญชีวากระอักกระอ่วนใจในการแนะนำทั้งคู่ให้ได้รู้จักกันแต่ก็ไม่อาจเสียมารยาททำเฉยได้“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณรอยส์” เสียงของหมอน่านเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นมือไปรอสัมผัสกับรอยส์ เจ้านายของ ขวัญชีวา“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับหมอน่าน” รอยส์เอ่ยรับพร้อมสัมผัสมือหมอน่านกลับไปอย่างสุภาพ ผู้ชายแค่มองตาก็ดูออกว่าอีกฝ่ายคิดยังไง นั่นทำให้รอยส์พร้อมเปิดศึกรบกับหมอหนุ่มทันที ในขณะที่หมอน่านก็ติดอาวุธครบมือเช่นเดียวกัน“แถวนี้มีร้านอาหารอะไรอร่อยๆ แนะนำไหมครับหมอ พอดีจู่ๆ ผมก็รู้สึกหิวขึ้นมา”“มีครับ เชิญทางนี้” หมอน่านเชื้อเชิญรอยส์จึงตามไป ทว่าพอคล้อยหลังขวัญชีวาได้ไม่เท่าไหร่ทั้งคู่ก็สบตากันอย่างท้าทาย ตาต่อตาฟันต่อฟันโดยมีหัวใจเป็นเดิมพัน “ผมชอบคุณเกี๊ยว”“หมอเป็นคนตรงไปตรง
ขวัญชีวาหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย ก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอรีบกดรับสายโดยไม่มองหน้าจอให้ชัดว่าใครโทรมาเพราะคิดว่าเป็นสายจากโรงพบาบาล“ผมอยู่หน้าบ้านคุณ ช่วยลงมาเปิดประตูให้หน่อยได้ไหม”“ฉันนอนแล้วค่ะ คงไม่สะดวกให้คุณเข้ามา”“นอนแล้วทำไมในบ้านยังเปิดไฟ”“ฉันคงลืมปิด”“งั้นช่วยลงมารับของหน่อย ผมซื้อข้าวมาฝาก”“ฉันไม่…”“แค่รับของ เร็วๆ คุณ ยุงจะหามผมไปอยู่แล้ว” รอยส์โอดโอยเพราะตอนนี้เขาถูกกองทัพยุงที่หิวโหยรุมดูดเลือดอยู่นั่นเอง แม้จะอยากปล่อยเบลอทำเป็นไม่สนใจทว่าสุดท้ายขวัญชีวาก็จำต้องออกไปหาเขา ซึ่งทันทีที่เธอเปิดประตูรั้วรอยส์ที่รออยู่ก่อนแล้วก็แทรกตัวเข้าไปในบ้านเธออย่างรวดเร็วจนเจ้าบ้านห้ามไม่ทัน“คุณยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม”“กินแล้วค่ะ”“กินแล้วก็กินอีกได้ไม่อ้วนหรอก คุณออกจะผอมไปด้วยซ้ำ”“ไหนคุณบอกว่าแค่ฉันรับของแล้วจะกลับ”“ผมบอกตอนไหนว่าจะ
“นี่ครับ” หมอน่านยื่นช่อดอกไม้สดสีเหลืองซึ่งเป็นสีที่ขวัญชีวาชอบมาให้เธอ ดอกไม้ช่อนั้นส่งกลิ่นหอมฟุ้งจนทำให้บรรยากาศรอบๆ พลอยสดชื่นขึ้นตามไปด้วย เมื่อวานเขาถูกรอยส์พูดใส่จนเสียความมั่นใจแต่เขาจะสู้อีกสักตั้ง“ขอบคุณค่ะ”“ผมอยากให้กำลังใจคุณเกี๊ยวคุณแม่ที่เข้มแข็ง รวมไปถึงผมอยากสารภาพความใจ ว่าผมชอบคุณเกี๊ยว”“หมอน่าน”“ผมรู้ว่าตอนนี้มันไม่เหมาะที่จะพูดอะไรทำนองนี้ออกไป แต่ผมไม่อยากเก็บมันไว้คนเดียวแล้วจริงๆ ถ้าคุณเกี๊ยวยังไม่มีใคร เราลองคบกันดูไหมครับ”“ฉันขอโทษนะคะหมอน่าน คือว่า…”“ผมนี่ดันทุรังจนได้เรื่องจริงๆ ทั้งๆ ที่คุณรอยส์บอกแล้วว่าคุณเกี๊ยวคงคิดอะไรกับผมไม่ได้ ผมก็ยังไม่เชื่อ” แม้ขวัญชีวาจะเอ่ยไม่จบประโยค ทว่าสีหน้ารวมไปถึงแววตาของเธอก็ทำให้หมอหนุ่มเข้าใจอะไรๆ ได้ดีขึ้น ว่าเขาไม่สามารถคว้าหัวใจของขวัญชีวามาได้จริงๆ“คุณรอยส์หรือคะ”“ผมยินดีกับความรักของคุณเกี๊ยวกับคุณรอยส์ด้วยนะครับ ต่อให้ไม่ได้เป็นคนรักแ
“เป็นงั้นไป” ปิยะดาส่ายหน้าให้เพื่อนสนิทก่อนจะขอตัวกลับไปทำงาน“คุณไม่มีงานหรือคะ”“ผมบอกแล้วว่าช่วงนี้ว่าง” รอยส์จงใจทำตัวให้ว่างมากกว่าแต่ถ้ามีงานด่วนเขาก็จะรีบเข้าไปบริษัทเพื่อจัดการทันที “ผมแจ้งฝ่ายบุคคลไปคร่าวๆ แล้วว่าคุณขอลาพักร้อน”“ทำแบบนั้นฉันก็ถูกเพ่งเล็งกันพอดี” นั่นเพราะเรื่องแจ้งลาพักร้อนเธอควรเป็นคนทำเองไม่ใช่ให้เจ้าของบริษัทอย่างรอยส์จัดการให้ ต่อให้เขาจะเป็นหัวหน้างานเธอโดยตรงก็เถอะ“จะได้ชิน อ้อ…วันนี้ผมไม่ได้มารับนะครับ พอดีนัดกินข้าวกับที่บ้านไว้”“ไม่ต้องบอกฉันก็ได้มั้งคะ”“บอกไว้เผื่อคุณรอ” เอ่ยบอกก็ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ขวัญชีวาซึ่งเธอไม่ได้ยิ้มตอบแต่อย่างใด เมื่อได้เวลาต้องกลับซีอีโอหนุ่มดูอิดออดเล็กๆ แต่ก็ไม่อาจยกเลิกนัดกับครอบครัวได้หลังจากรอยส์กลับไปได้ไม่นานขวัญชีวาก็ได้รับข่าวดีว่ากวินท์สามารถย้ายออกจากห้องไอซียูแล้วขึ้นไปพักฟื้นที่ห้องวีไอพีได้แล้ว นั่นทำให้ขวัญชีวายิ้มทั้งน้ำตาอีกครั้งคืนนั้นเธ
ในเมื่อรอยส์ยังไม่อนุมัติเรื่องลาออก ขวัญชีวาจึงต้องใช้วันพักร้อนที่มีเพื่ออยู่ดูแลลูกชายจะได้รักษาสิทธิ์การเป็นพนักงานให้คงอยู่ หลังการผ่าตัดกวินท์ก็ฟื้นตัวได้เป็นอย่างดีแต่ก็ยังคงต้องดูแลอย่างใกล้ชิดปิยะดาแวะเวียนมาเยี่ยมหลานเสมอและทุกครั้งที่มาเธอก็มักจะได้เจอกับรอยส์ต่อให้ไม่เจอตัวก็เจอสารพัดของฝากที่ชายหนุ่มนำมาให้ขวัญชีวาและกวินท์ แม้จะสงสัยว่ารอยส์คิดยังไงกับขวัญชีวากันแน่แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ถามในเวลานี้ไม่ใช่มีเพียงเพื่อนสนิทของขวัญชีวาเท่านั้นที่สงสัยเพราะเพื่อนสนิทของรอยส์อย่างธยศก็ปักธงความสงสัยในใจเช่นกัน แต่รายนี้หากได้สงสัยอะไรก็มักจะถามออกไปตรงๆ“นายคบใครอยู่”“ไม่มี” คนถูกถามปฏิเสธทันทีแต่มีหรือที่ธยศจะเชื่อ“อย่ามาเฉไฉ”“ไม่ได้เฉไฉ”“ไม่รู้ตัวเองเลยใช่ไหมว่าตอนนี้เป็นยังไง” ธยศสบตารอยส์อย่างรู้ทัน เป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้วมีหรือเรื่องพวกนี้จะปิดได้“ยังไง&rdq
“อ้อค่ะ” ขวัญชีวาเอ่ยรับ นั่งรถมาได้ครู่ใหญ่รอยส์ก็เลี้ยวรถไปยังคอมมูนิตี้มอล์แห่งหนึ่ง หลังจอดรถเสร็จเขาก็พาเธอเดินตรงไปยังร้านแห่งหนึ่งที่ด้านหน้ามีชุดเจ้าสาวตั้งโชว์อยู่ นั่นทำให้ขวัญชีวาหยุดกึกทันที“ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีชุดเจ้าสาวที่คุณชอบบ้างไหม”“อะไรนะคะ”“ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง ไม่รู้เซอร์ไพรส์แบบไหนหรือจะใช้คำไหนบอกก็เลยพาเกี๊ยวมาที่นี่แทน” ความซื่อในเรื่องพวกนี้ของรอยส์ทำให้ขวัญชีวายิ้มเขินออกมา“พูดคำง่ายๆ ว่าเราแต่งงานกันไหม แค่นี้ก็ได้ค่ะ”“เราแต่งงานกันไหมครับ” รอยส์พูดตามที่ขวัญชีวาแนะนำทันที เขาคิดเรื่องแต่งงานกับเธอมานานแล้วจึงไม่แปลกหากอยากแต่งงานทันที “ผมรักคุณ”“เกี๊ยวก็รักคุณ”“เราแต่งงานกันนะ”“นี่คุณยังไม่ล้มเลิกเรื่องขอฉันแต่งงานอีกเหรอ”“ยังครับ ถ้าวันนี้คุณไม่ตอบวันต่อๆ ไปผมก็จะพูดแบ
เพราะคิดถึงและโหยหาส่งผลให้สัมผัสของรอยส์นั้นเต็มไปด้วยความร้อนแรง ชายหนุ่มอุ้มขวัญชีวาจนตัวเธอลอยขึ้นจากพื้นแล้วก้าวยาวๆ ไปยังห้องพักผ่อนที่อยู่ทางปีกซ้ายของตัวบ้าน ทันทีที่มาถึงเขาก็วางเธอลงบนโซฟาตัวใหญ่ที่อยู่ริมหน้าต่างแล้วโน้มตัวลงไปเล้าโลมอย่างคิดถึงพร้อมกระซิบถาม“คิดถึงผมหรือเปล่า”“คิดถึงค่ะ คิดถึงมากจนฝันถึงทุกคืน” คำตอบจากขวัญชีวาทำให้ซีอีโอหนุ่มยิ้มกริ่มก่อนจะมอบจูบให้เธอ นั่นทำให้คนในอ้อมกอดครางกระเส่าออกมาอย่างต่อเนื่อง ความเสียวซ่านวาบหวามที่แสนคิดถึงทำให้เธอร้อนรุ่มไปทั้งตัวเพราะคิดถึงจังหวะรักของทั้งคู่จึงร้อนแรงและโหยหา เวลานี้ต่างช่วยกันปลดเปลื้องเสื้อผ้าให้หลุดพ้นไปจากร่างกายโดยเฉพาะส่วนสำคัญที่ต้องไร้การขวางกั้น การเล้าโลมเกิดขึ้นเพียงครู่เดียวทั้งสองก็อดใจไม่ไหวนั่นทำให้การสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงในขณะที่สะโพกสอบของรอยส์กำลังเคลื่อนไหวในจังหวะเข้าและออกหนักๆ เม็ดยอดสีชมพูบนหน้าอกอวบที่เวลานี้เปลือยเปล่าของขวัญชีวาช่างท้าทายสายตาเขาเ
แม้จะมั่นใจว่ารอยส์นั้นรักขวัญชีวาถึงขั้นวางแผนจะแต่งงานใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกัน แต่ภูริชก็ไม่วายบอกข่าวผิดๆ แก่รอยส์ นั่นทำเอาซีอีโอหนุ่มถึงกับหัวร้อนแล้วรีบบึ่งรถไปหาขวัญชีวาที่บ้านทันที“คุณจะทิ้งผมจริงๆ เหรอ”“ทิ้งคุณ!” สีหน้าและแววตาของขวัญชีวางุนงงอย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะเธอไม่เคยคิดจะทิ้งรอยส์เลยแม้แต่ครั้งเดียวแล้วเขาโวยวายเรื่องนั้นขึ้นมาทำไม“ใช่ คุณหนึ่งบอกว่าคุณจะไปอยู่ที่ฟินแลนด์ด้วย แล้วผมละครับ คุณจะเอาผมไปวางไว้ตรงไหน” นอกจากโวยวายแล้วรอยส์ยังร้อนใจจนเก็บอาการไม่อยู่“วางไว้ที่เดิมค่ะ”“คุณเกี๊ยว”“ดื่มน้ำดับอารมณ์ร้อนก่อนดีไหมคะ” ขวัญชีวายังคงแสดงท่าทางสบายๆ ไม่ได้ร้อนรนอะไร“ไม่ครับ” น้ำเสียงห้วนๆ ของรอยส์เอ่ยรับขึ้น“ถ้างั้นก็ตั้งใจฟังให้ดีๆ ฉันจะตามน้องกวินท์ไปที่ฟินแลนด์จริงๆ แต่แค่ไปส่งแล้วกลับค่ะไม่ได้ไปอยู่ถาวร”
อาการป่วยของกวินท์ดีวันดีคืน หมอจึงอนุญาตให้เด็กชายกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้แต่ข่าวดีนี้ก็ถูกกลบด้วยบรรยากาศที่อึมครึมเมื่อพลอยใสเดินทางมาถึงเมืองไทยเพื่อคุยเรื่องหย่ากับภูริชเธอยังคงยืนกรานที่จะไม่หย่าในขณะที่ภูริชก็ยืนกรานที่จะหย่าเช่นกัน สุดท้ายภูริชก็ฟ้องหย่าและเพราะไม่อยากให้เป็นข่าวใหญ่โตจนทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ทางครอบบครัวของพลอยใสจึงกดดันให้ลูกสาวคนโตยอมเซ็นใบหย่าเงียบๆต่อให้พลอยใสอยากเอาชนะภูริชมากขนาดไหนสุดท้ายก็ทนแรงกดดันจากคนในครอบครัวที่ไม่มีใครเข้าข้างเธอเลยสักคนไม่ได้ เมื่อหย่าเสร็จเธอก็บินกลับไปใช้ชีวิตที่บอสตันส่วนภูริชก็มีคำสั่งจากบริษัทให้ย้ายไปทำงานที่ฟินแลนด์เช่นกัน เพราะแบบนั้นเขาจึงอยากพากวินท์ไปด้วยทันทีที่ได้รู้ขวัญชีวาก็ถึงกับซึมนั่นเพราะไม่คิดว่าเธอจะต้องอยู่ห่างกับกวินท์ไกลถึงขนาดนั้น แต่ก็ยอมรับว่าที่นั่นดีต่อการดำเนินชีวิตของกวินท์ อีกอย่างเธอเป็นแค่ป้าคงไม่มีสิทธิ์เท่าพ่อแท้ๆ“ทำไมพี่หนึ่งใจร้ายกับแกแบบนั้น” ปิยะดาเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจที่จู่ๆ
“ขอบคุณมากนะครับที่คอยช่วยเหลือลูกชายผมกับเกี๊ยว” เมื่อมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ภูริชก็เอ่ยกับรอยส์ขึ้น“ผมยินดีและเต็มใจที่ได้ช่วยครับ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร”“เกี๊ยวบอกว่าคุณเป็นเจ้านายเธอที่บริษัท”“ใช่ครับ เราทำงานด้วยกันมาหลายปีแล้ว แต่จู่ๆ คุณเกี๊ยวก็ขอลาออกผมเลยรู้ว่าเธอกำลังมีปัญหา” หากไม่มีใบลาออกใบนั้นรอยส์ก็คงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ ขวัญชีวาบ้าง“ผมเป็นพ่อที่ไม่เอาไหนเลยจริงๆ” ยิ่งคิดภูริชก็ยิ่งรู้สึกผิด ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ถูกลูกชายเกลียดเอา“อย่าโทษตัวเองเลยครับเพราะอย่างน้อยตอนนี้คุณก็รู้ทุกอย่างแล้ว รู้ก่อนที่มันจะสายไป”“ผมเคยทำผิดแล้วครั้งหนึ่งที่เลิกรากับกุ้งโดยไม่รู้ว่าเธอกำลังตั้งท้องมารู้อีกทีคือวันที่ผมบินกลับร่วมงานศพของเธอ แต่แล้วก็ยังปล่อยปะละเลยชีวิตของกวินท์กับเกี๊ยวจนทำให้ทั้งคู่ลำบาก” ยิ่งคิดภูริชก็ยิ่งรู้สึกผิดหลังจากนี้เ
“เรากลับมาคุยกันก่อนนะคะคุณหนึ่ง” แม้จะไม่พอใจที่สามีบินกลับเมืองไทยโดยไม่บอกเธอ แต่สถานการณ์ในตอนนี้พลอยใสก็ต้องหว่านล้อมสามีให้กลับมาหาเธอให้ได้เสียก่อน “ต่อจากนี้เราคงไม่ต้องคุยอะไรกันอีก”“ไม่นะคะไม่ ถ้าคุณไม่สะดวกบินมาฉันจะบินไปหาคุณเพื่ออธิบายทุกอย่างเอง นะคะ”“อย่าเสียเวลาเลย”“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงหรือคุณจะหย่ากับฉันอย่างนั้นเหรอ”“ใช่”“คุณหนึ่ง!”“ผมคงใช้ชีวิตกับคุณต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เราหย่ากันน่าจะดีที่สุด” เรื่องหย่าอยู่ในหัวของภูริชมานานแล้ว น่าจะตั้งแต่แต่งงานกับพลอยใสด้วยซ้ำ เพียงแค่ที่ผ่านมาเขาพยายามไม่คิดถึงเรื่องหย่าและคิดว่าทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นเพราะหลังจากเลิกรากับปานชีวาน้องสาวของ ขวัญชีวาไม่นานเขาก็แต่งงานสายฟ้าแลบกับเธอ ที่ตัดสินใจแต่งงานทันทีเพราะผู้ใหญ่บีบบังคับบวกกับเขาต้องการใครสักคนเพื่อให้ลืมปานชีวา จากนั้นก็ย้ายไปอยู่ด้วยกันที่บอสตันโดยเขาไปทำงานในขณะที่พลอยใสก็ตามไปดูแลแต่ไ
สำหรับขวัญชีวาแล้ว แม้ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างรอยส์และเธอจะซับซ้อนแต่ก็มั่นใจว่าจะจัดการทุกอย่างเพื่อไม่ให้กระทบกับงานได้ เธอจะอดทนจนกว่าเขาจะเซ็นใบลาออกให้แต่เมื่อไหร่เส้นความอดทนของเธอมันขาดก็อีกเรื่องหนึ่ง สิ่งที่อยู่ในหัวของขวัญชีวามีเรื่องลูกและเรื่องงานเป็นหลัก ส่วนเรื่องของรอยส์ก็มีบ้างที่เธอปล่อยให้เขาเข้ามาในความคิดขณะอยู่ที่บริษัทรอยส์เองก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรจนเกินพอดี เขายังคงเว้นระยะห่างที่ควรจะทำเสมอนั่นเพราะห่วงความรู้สึกของขวัญชีวา แต่เมื่อไหร่ที่อยู่นอกเวลางานก็เป็นอีกเรื่องเช่นกันโดยเฉพาะที่โรงพยาบาล“คุณรอยส์”“อะไรครับ”“เลิกมองฉันแบบนั้นได้แล้ว มองอยู่ได้”“แม่เกี๊ยวกับลุงรอยส์คบกันอยู่ใช่ไหมฮะ” จู่ๆ ประโยคคำถามก็ดังมาจากเด็กชายวัยเจ็ดขวบ ถึงแม้จะยังเด็กแต่ก็พอรู้ว่าความรักคืออะไรเพราะตอนอยู่อนุบาลตัวเองก็เคยมีแฟนมาแล้ว แถมตอนนั้นยังเนื้อหอมมากอีกด้วย“เอ้” ขวัญชีวาอุทานออกมาอย่างตกใจนั่นเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคแบบนี้จากลูกชาย“ใช่ครับกวินท์ เรากำลังค
หลังการผ่าตัด อาการของกวินท์ก็หายวันหายคืนอาจเพราะใจสู้และได้กำลังใจดีจากแม่คนเก่งอย่างขวัญชีวารวมไปถึงลุงอย่างรอยส์ที่รายหลังนั้นหมั่นแวะเวียนมาเยี่ยมเสมอๆ การปรากฎตัวที่โรงพยาบาลของรอยส์บ่อยๆ ทำให้พี่ชายอย่างเรย์สนใจ ชายหนุ่มคอยสังเกตุอยู่ห่างๆ กระทั่งรู้ว่าคนไข้ที่เวลานี้ยังพักฟื้นอยู่ในห้องวีไอพีสำคัญกับน้องชายมากจึงขอประวัติการรักษาของกวินท์มาดูเป็นกรณีพิเศษพร้อมกับออกมาดักพบน้องชายที่หน้าลิฟต์ทางเข้าโซนวีไอพี “พอจะมีเวลาคุยกันสักสิบห้านาทีไหม” “ครับ” รอยส์เอ่ยรับแล้วเดินตามพี่ชายไป จุดหมายคือชั้นบนสุดของโรงพยาบาลซึ่งชั้นนั้นมีห้องทำงานของพี่ชายอยู่ด้วย “ได้ข่าวว่าระยะนี้นายเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาล เป็นอะไรหรือเปล่า” แม้จะรู้สาเหตุที่ทำให้รอยส์มาโรงพยาบาลบ่อยๆ แต่เรย์ก็ตั้งใจถามแบบนั้นออกไป เขากับน้องชายอายุห่างกันสี่ปี ตอนนี้เป็นผู้บริหารด้วยกันทั้งคู่ เขาสานต่อธุรกิจโรงพยาบาลที่ครอบครัวสร้างขึ้นส่วนรอยส์ขอเดินบนเส้นทางตัวเอง น้องคนนี้ชอบเรื่องรถเรื่องเทคโนโลยีจึงมุ่งเน้นไปทางนั้น ธุรกิจก็เติบโตมีชื่อเสียงไม่น้อย “ผมสบายดีครับ แต่พอดีญาติข
และก่อนที่ขวัญชีวาจะคิดไปไกลรอยส์ก็ทำให้เธอรุ่มร้อนอีกครั้ง นั่นเพราะตอนนี้เขาต้องไล่ตามเธอให้ทันก่อนจะถูกทิ้งไว้ท่ามกลางความครึ่งๆ กลางๆ จึงกระแทกกระทั้นสะโพกเข้าหาอย่างถี่กระชั้นจนร่างกึ่งเปลือยของขวัญชีวาไหวโยกตามแรงส่ง หน้าอกคู่สวยกระเพื่อมขึ้นลงยั่วสายตาอีกฝ่าย รอยส์อดใจไม่ไหวจึงยกมือข้างหนึ่งไปบีบคลึงรอยส์จ้องมองขวัญชีวาด้วยความรู้สึกที่ยังคงหื่นกระหาย สำหรับเธอแล้วความหล่อเหลาในระยะใกล้แบบนี้ของเขาทำให้หวั่นไหวแต่ก็ยังตื่นกลัวให้เห็น เพราะแบบนั้นซีอีโอหนุ่มจึงสลัดความกลัวของเธอออกแล้วแทนที่ด้วยความหฤหรรษ์ที่ยากจะต่อต้านของชายหญิง ขวัญชีวาพ่ายแพ้ต่อรอยส์เพราะไม่ว่าเขาจะจัดท่วงท่าเธอยังไงก็โอนอ่อนทำตามอย่างว่าง่าย กระทั่งรอยส์ปลดปล่อยจึงรวบตัวเธอเข้ามากอด“คุณเห็นฉันเป็นอะไร” เมื่อพายุอารมณ์ผ่านพ้นไปขวัญชีวาก็เอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงที่สั่นเครือ ทั้งๆ ที่เธอต่างหากที่ผิด เธอไม่ควรปล่อยให้มันเกิดขึ้น“ผมขอโทษแต่ผมพยายามหักห้ามใจตัวเองแล้วจริงๆ”“คุณมัน…เห็นแก่ตัว” ขวัญชีวาเอ่ยต่อว่