“ฉันอยากลาออกเพราะอยากมีเวลาดูแลลูกชายหลังผ่าตัดอย่างใกล้ชิด อีกอย่างคุณให้เงินค่าตัวฉันตั้งมากขนาดนั้นต่อให้ตกงานสักปีสองปีคงไม่เป็นไร” ยิ่งพูดขวัญชีวาก็ยิ่งเจ็บปวด แต่ไม่ว่ายังไงเธอคงอยู่ทำงานร่วมกับรอยส์ไม่ได้อีกแล้วจริงๆ
รวมถึงบริษัทใหม่ที่ติดต่อมาคงต้องปฏิเสธไปก่อนเพราะเธอไม่อยากทิ้งกวินท์ให้พักฟื้นตามลำพัง แต่เธอก็ยังมั่นใจว่าจะหางานใหม่ได้แม้จะต้องใช้เวลาสักหน่อย รอยส์อยากเปลี่ยนเงื่อนไขที่ว่าแต่มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นสุดท้ายซีอีโอหนุ่มก็ต้องยอมรับ ก่อนจะวกกลับมาคุยเรื่องสำคัญซึ่งเขาระบุว่าจะส่งคนไปรับเธอที่บ้านพร้อมกับนัดแนะเรื่องเวลาและสถานที่ ซึ่งมันคือวันพรุ่งนี้เวลาสองทุ่มที่โรงแรม… คำตอบเดียวของขวัญชีวาขณะฟังรอยส์หลังจากนั้นมีแค่คำว่า ‘ค่ะ’ เธอพยายามคุมอารมณ์หน่วงจนอยากร้องไห้และโทนเสียงให้เป็นปกติทว่าก็ยากเหลือเกิน “เจอกันพรุ่งนี้” “ค่ะ” ขวัญชีวาเอ่ยรับอีกครั้งแล้วกดวางสายไป กว่าจะตัดสินใจได้แบบนี้มันยากเหลือเกิน ในเมื่อการผ่าตัดต้องเกิดขึ้นทันทีและข้อเสนอของรอยส์ก็เข้ามาในจังหวะนั้น แม้เธอจะไม่อยากทำแบบนี้ทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ปฏิเสธเขา ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอและนี่คือทางออกเพียงแค่ทางเดียวที่เธอมีในตอนนี้และเธอก็เต็มใจที่จะเลือกมันเอง คำตอบรับของขวัญชีวาสร้างรอยยิ้มพึ่งพอใจขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาของรอยส์ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ชนะ ทั้งๆ ที่พึ่งจะดื่มไวน์ไปเกือบหมดขวดแต่ปริมาณแอลกอฮอล์กลับไม่ได้ทำให้เขาร้อนรุ่มได้เท่ากับปล่อยให้สมองจินตนาการไปถึงค่ำคืนที่กำลังจะมาถึงทันทีที่วางสายจากรอยส์ ขวัญชีวาก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้ม แม้จะกลับมาบ้านแต่ในใจของเธอนั้นก็ยังคงอยู่ที่โรงพยาบาล คืนนั้นเธอนอนไม่หลับไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เหมือนทุกวัน ยิ่งเป็นวันหยุดก็ยิ่งตื่นเช้ากว่าวันทำงานเสียอีก เธอรีบจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็ตรงไปที่โรงพยาบาลเพื่อเฝ้าลูกชาย ชีวิตของขวัญชีวาเวลานี้วนเวียนอยู่ที่ทำงาน โรงพยาบาลและบ้านอยู่แบบนี้ ส่วนงานพิเศษหลังเลิกงานต้องหยุดพักมือไว้ก่อนชั่วคราวเนื่องจากไม่มีเวลาจริงๆ แม้มันจะสร้างรายได้ให้เธอเป็นกอบเป็นกำก็ตาม เมื่อขวัญชีวามาถึงโรงพยาบาลก็ได้เจอกับคนของรอยส์ที่ชายหนุ่มส่งมาจัดการเรื่องย้ายโรงพยาบาลให้ลูกชายของเธอ ขวัญชีวาทำตามอีกฝ่ายอย่างไม่อิดออด กระทั่งหมอเจ้าของไข้ของกวินท์เดินเข้ามาคุยด้วย หมอน่านอยากถามเหลือเกินว่าเธอได้เงินค่าผ่าตัดมาจากไหนหรือรับความช่วยเหลือจากใครถึงได้ย้ายไปที่โรงพยาบาลเอกชนด่วนแบบนี้ ถึงอย่างนั้นหมอหนุ่มก็ไม่อาจถามออกไป “ขอให้การผ่าตัดของน้องกวินท์ประสบความสำเร็จนะครับคุณเกี๊ยว” เพราะขวัญชีวาเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลมาแรมปีและเขาก็ดูแลกวินท์มาตั้งแต่ต้นทำให้ทั้งคู่ค่อนข้างสนิทกันพอสมควร อาจเพราะสนิทกันหัวใจของหมอน่านจึงหวั่นไหวกับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างขวัญชีวาเช่นกัน เขาพยายามช่วยเหลือเธอเท่าที่พอจะทำได้แม้บางอย่างก็ต้องวิ่งเต้นมากหน่อย แต่อย่างที่รู้ๆ กัน ระบบการทำงานของโรงพยาบาลรัฐมันเป็นยังไงไหนจะเครื่องไม้เครื่องมือก็ไม่ได้ทันสมัย คิวแพทย์เฉพาะทางเก่งๆ ก็ยาวข้ามปี “ขอบคุณมากนะคะหมอน่าน ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือที่ผ่านๆ มาด้วย” “ครับ” หมอหนุ่มเอ่ยรับ แววตาดูเป็นห่วงแต่ก็เชื่อว่าขวัญชีวาและลูกชายจะผ่านไปได้ “เอ่อ…ถ้าผมจะขอไปเยี่ยมน้องกวินท์บ้าง” “ค่ะ” ขวัญชีวาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธไม่ให้หมอน่านไปเยี่ยมลูกชาย คำตอบรับของเธอสร้างรอยยิ้มให้หมอหนุ่ม หัวใจที่เคยเต้นแรงขณะอยู่กับเธอก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้น อาการแบบนี้เขาไม่ได้เป็นมานานแล้วเพราะวันๆ ทำแต่งานแล้วก็งานจนแทบไม่มีเวลาสนใจเพศตรงข้ามกระทั่งได้เจอกับขวัญชีวา จังหวะที่หมอน่านกำลังจะสารภาพความในใจจู่ๆ ก็ถูกเรียกตัวด่วนเพราะมีเคสเข้ามาทำให้ทั้งคู่จบบทสนทนากันเพียงแค่นั้น ขวัญชีวาจึงเดินทางไปยังโรงพยาบาลใหม่ของลูกชาย ทุกอย่างดูแตกต่างจากโรงพยาบาลเก่าอย่างเห็นได้ชัด กำหนดเดิมเพราะจากการตรวจร่างกายของกวินท์อย่างละเอียดผลที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ในขณะที่คนของรอยส์ก็ปลีกตัวไปรายงานให้เจ้านายหนุ่มทราบเช่นกัน หลังจากคุยกับหมอเสร็จขวัญชีวาก็รีบรุดไปยังห้องพักฟื้นของลูกชาย ซึ่งขณะนั้นเด็กชายตัวน้อยที่จิตใจแข็งแกร่งเพราะต่อสู้กับอาการป่วยมาตลอดกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงของห้องพักแบบวีไอพีที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์และสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนเฝ้ารวมไปถึงคนเยี่ยมเช่นกัน “แม่เกี๊ยวครับ” “ครับลูก” ขวัญชีวาส่งยิ้มให้ลูกชายแล้วเดินตรงเข้าไปหา สุขภาพของกวินท์เวลานี้ดีขึ้นกว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนมากรวมไปถึงสุขภาพจิตก็พร้อมจะรับการผ่าตัดใหญ่เช่นกัน ตั้งแต่วันแรกๆ ที่รู้ว่ากวินท์ป่วย ขวัญชีวาก็เลือกที่จะบอกลูกชายอย่างตรงไปตรงมาถึงขั้นตอนการรักษา เพราะอยากให้กวินท์รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นและจะได้สู้ไปพร้อมกัน แต่ก้าวแรกมันย่อมยากเสมอ“หมอที่นี่ใจดีไหมครับ”“ใจดีครับ ใจดีมากๆ ด้วย”“ผมจะหายใช่ไหม”“หายครับแต่กวินท์ก็ต้องสู้ไปพร้อมกับคุณหมอแล้วก็แม่ด้วยนะลูก” ขวัญชีวาส่งพลังบวกให้ลูกชาย นั่นเพราะการผ่าตัดคือสิ่งที่ทั้งคู่รอคอยมาตลอด “ครับ”“อีดนิดก็จะหายดีแล้ว แม่รักลูกนะกวินท์”“ลูกก็รักแม่เกี๊ยว” เด็กชายส่งยิ้มให้ผู้เป็นแม่ ในขณะที่ขวัญชีวาก็ส่งยิ้มอบอุ่นกลับมาให้พร้อมดึงลูกชายเข้ามากอด แม้ลึกๆ จะหวั่นใจกับการผ่าตัดที่กำลังจะเกิดขึ้นทว่าเธอก็เลือกที่เชื่อหมอและเชื่อในปาฏิหาริย์ว่ามันต้องเกิดขึ้นหลังจากส่งลูกเข้านอนเสร็จขวัญชีวาก็กลับออกไป เธอมุ่งหน้าตรงไปที่บ้านด้วยความรู้สึกประหม่าเนื่องจากคืนนี้เธอมีนัดสำคัญกับ…รอยส์ ขวัญชีวายืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจก เวลานี้เธอแต่งหน้าทำผมเสร็จแล้วก่อนจะหยิบลิปสติกสีโปรดขึ้นมาทาริมฝีปากอิ่ม ใบหน้าของเธอเรียบเฉยไร้รอยยิ้มในหัวใจตอนนี้มีแต่ความหนักอึ้ง แม้นี่จะเป็นการตัดสินใจของเธอเองแต่ก็ยอมรับว่าทำใจได้ยากจนน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้งเพื่อไม่ให้น้ำตามันไหลอาบแก้มขวัญชีวาจึงเงยหน้าขึ้นสูงแล้วสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ พอน้ำตามันแห้งเสียงแตรรถก็ดังขึ้นจากหน้าบ้านเป็นสัญญาณบอกว่าเวลานี้ค
บางจังหวะขวัญชีวาก็คล้อยตามบางจังหวะก็ผลักไส สุดท้ายรอยส์จึงยอมถอนจูบออกอย่างเสียดายแต่ไม่นานเขาจะมอบจูบที่ร้อนแรงกว่านี้ให้กับเธอ “คุณจูบไม่เป็น” เสียงแหบพร่ากระซิบถามในขณะที่ขวัญชีวาก็หอบหายใจหนักๆ ใบหน้าสวยเวลานี้แดงก่ำส่วนริมฝีปากบวมก็เจ่ออย่างเห็นได้ชัด “ฉันแค่ห่างมันมากนาน” ขวัญชีวาปฏิเสธทั้งๆ ที่อีกไม่นานรอยส์จะรู้ความจริงได้ด้วยตัวเขาเองว่าเพราะอะไรเธอจึงจูบไม่เป็นรวมไปถึงอาการประหม่าอย่างในตอนนี้ด้วย“อย่างนั้นเหรอ” รอยยิ้มผุดขึ้นหลังเอ่ยจบก่อนที่รอยส์จะรวบตัวขวัญชีวาเข้ามาแนบชิด พร้อมกับค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบไล้ร่างกายของเธออย่างหลงไหล เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้สนใจเธอและอยากได้มากถึงขนาดนี้ สัมผัสจากเขาทำให้ขวัญชีวาตื่นตัวในทุกๆ อณูของร่างกายก็ว่าได้ เธอทั้งตื่นตัวและตื่นกลัวจนเผลอแสดงสีหน้ายั่วยวนออกมาอย่างไม่ตั้งใจและเพราะแบบนั้นรอยส์จึงห้ามความต้องการของตัวเองไม่ได้เช่นกัน เขามอบจูบให้ขวัญชีวาอีกครั้งซึ่งครั้งนี้ซีอีโอหนุ่มไม่สนด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะตอบโต้มาแบบไหนไม่นานเขาก็ชนะและสามารถทำให้ขวัญชีวาคล้อยตามได้ส่งผลให้แรงเสน่หาที่เต็มไปด้วยความโหยหามากขึ้นตามไปด้วย ห
“ยื้อมากกว่านี้ไม่ได้แล้วนะครับคุณเกี๊ยว ถ้าเลื่อนการผ่าตัดออกไปอีก คราวนี้หมอว่าจะยิ่งอันตราย ดีไม่ดีโอกาสที่จะผ่าตัดสำเร็จแทบจะไม่มี”นั่นคือประโยคที่ทำให้ขวัญชีวาแทบหยุดหายใจ เธอพยายามตั้งสติแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกมาจากห้องคุณหมอหลังจากคุยเรื่องอาการป่วยเสร็จ เวลานี้ทุกอย่างมันหนักอึ้งมองไปทางไหนก็ยังไร้ซึ่งทางออก ขวัญชีวาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ใกล้สุดพร้อมกับบีบมือทั้งสองข้างจนเลือดแทบไหลผ่านไม่ได้ เธอเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงลูกชาววัยเจ็ดขวบมาตามลำพัง ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็ก้าวผ่านมาได้โดยมีรอยยิ้มจากเด็กชายเยียวยา กระทั่งเมื่อปีก่อนจู่ๆ เธอก็พบความผิดปกติของกวินท์จึงรีบพามาตรวจร่างกาย ก่อนจะได้รับข่าวร้ายว่าลูกชายเธอมีเนื้องอกในสมองมีหลายปัจจัยที่การผ่าตัดไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในทันทีที่ตรวจพบ ทั้งเรื่องอายุ เรื่องสุขภาพ เรื่องจุดที่เนื้องอกฝังตัวอยู่รวมไปถึงเรื่องเงินค่ารักษา ทุกๆ อย่างต้องค่อยเป็นค่อยไปแต่ยิ่งนานวันค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็มากขึ้นตามไปด้วย เพราะตั้งแต่รู้ว่าป่วยกวินท์ก็เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลเป็นว่าเล่นนั่นทำให้ขวัญชีวาทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอตเช่นเดียวกั
“เบาๆ เดี๋ยวเมา” เสียงห้ามดังมาจากธยศเพื่อนสนิทที่คบหากันมาหลายปี ธยศเป็นเจ้าของโรงแรมระดับไฮเอนที่ภาคใต้รวมถึงต่างประเทศอีกด้วย “แค่เหล้า ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” รอยส์ยิ้มมุมปากออกมาก่อนจะวาดปลายนิ้ววนไปมาบนปากแก้ว ในขณะที่สมองคิดถึงแต่ขวัญชีวา“เครียดเรื่องอะไร ตั้งแต่มาถึงก็เห็นดื่มเอาๆ”“ลูกน้องจะลาออก”“กี่คน” “คนเดียว”“ผู้หญิงผู้ชาย” ธยศเอ่ยถามต่อนั่นเพราะอยากรู้ต้นตอที่ทำให้รอยส์อารมณ์ไม่ดีอย่างที่เป็นอยู่ “ผู้หญิง”“โสด สวย”“ไม่โสดเพราะเธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ถามว่าสวยไหมก็…สวย” สำหรับนิยามความสวยผู้ชายที่มองผู้หญิงอาจไม่เหมือนกัน แต่ทว่าในความคิดของเขานั้นขวัญชีวาสวย สวยทั้งรูปร่างหน้าตารวมไปถึงความคิด ที่สำคัญคือเธอทำงานเก่งชนิดหาตัวจับยากจึงไม่แปลกหากจะมีบริษัทไหนสักที่ซื้อตัวเธอไปให้ทำงานด้วย และด้วยอะไรหลายๆ อย่างทำให้เขาสนใจเธอ เขาไม่เคยรู้สึกตกหลุมรักใครมานานแล้ว ชีวิตหนุ่มโสดตอนนี้ทุกอย่างก็ลงตัวดีกระทั่งได้เจอเธอคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ทำให้เขาว้าวุ่นใจ ที่เขารู้ว่าเธอเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเพราะในใบสมัครงานเธอระบุไว้แบบนั้นรวมทั้งงานเลี้ยงบริษัทเมื่อปีก่อนเธอก็ยังได้พ
“น้องกวินท์เป็นไงบ้าง” คำถามที่ได้ยินทำให้ ขวัญชีวากลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีกต่อไป เธอปล่อยโฮออกมาเพราะความอัดอั้นและความกลัว กลัวว่าจะเสียลูกชายไปปิยะดาเองก็พลอยตกใจที่จู่ๆ ขวัญชีวาร้องไห้ออกมาแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อนอกจากนั่งปลอบใจกันอยู่แบบนั้น กระทั่งขวัญชีวาหยุดร้องไห้เธอก็ยื่นบางอย่างใส่มือเพื่อนสนิท“อะไรนะเบล”“เงินเก็บเราเอามาช่วยค่ารักษาน้องกวินท์” “แต่เรา…”“รับไปเถอะ มันไม่ได้มากมายอะไรหรอก มีเมื่อไหร่ก็ค่อยเอามาคืน” ปิยะดาแทบจะเทหมดกระเป๋าเหมือนกันนั่นเพราะอยากช่วยจริงๆ หลังจากนี้ค่อยเก็บออมกันใหม่ “ขอบใจนะเบล ขอบใจเธอมาก” จากที่หยุดร้องไปแล้วตอนนี้ขวัญชีวาก็กลับมาร้องไห้อีกแถมยังหนักไม่แพ้เมื่อครู่แม้แต่น้อย ปิยะดานั่งปลอบให้ขวัญชีวาหายเศร้าแต่ถึงจะหยุดร้องแล้วอาการสะอื้นก็ยังมีให้เห็นปิยะดาอยู่เป็นเพื่อนกระทั่งต้องกลับไปไลฟ์ขายของต่อนั่นทำให้ขวัญชีวาอยู่คนเดียวอีกครั้ง เธอเปิดดูเงินในซองที่มีอยู่จำนวนหนึ่งพอนำมารวมกับเงินของตัวเองก็ยังคงเครียดเพราะยังขาดอยู่อีกมาก ถ้าวันนี้รอยส์เซ็นอนุมัติเรื่องลาออกทันทีเธอก็จะได้เงินกองทุนคืนมาเร็วขึ้น เงินเดือนบวกกับเงินที
ใช่…เขาเป็นนักธุรกิจที่ทำอะไรแล้วต้องหวังกำไร แต่…ทำไมต้องเป็นเธอ ทำไมสถานการณ์ของเธอถึงได้เลวร้ายลงเรื่อยๆ เช่นนี้ ทำไมต้องได้ยินข้อเสนอแบบนี้ด้วย ทำไมกัน “คุณไม่กลัวฉันเอาเรื่องนี้ไปแบล็คเมล์เลยหรือคะ”“ไม่นี่หรือถ้าคุณต้องการทำแบบนั้นก็ตามสบายเพราะคนแบบผมจัดการคุณก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายได้แน่นอน” รอยส์ชิงพูดออกไปก่อนราวกับชายหนุ่มเข้ามานั่งอยู่ในความคิดของขวัญชีวา “ฉันต้องให้คำตอบคุณเมื่อไหร่” แม้จะอยากปฏิเสธเสียเดี๋ยวนี้แต่ชีวิตลูกชายคนเดียวของเธอคือประตูเหล็กที่สามารถปิดกั้นคำพูดเหล่านั้นของเธอได้“ผมรู้ว่าคุณมีเวลาในใจอยู่แล้ว เอาเป็นว่าผมจะกลับไปรอฟังคำตอบจากคุณ” เอ่ยจบรอยส์ก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไปทันที ขณะที่ขวัญชีวายังคงอึ้งและพูดอะไรไม่ออกอีกเลย สิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้นอกจากลมหายใจเบาๆ แล้วก็คือน้ำตาแม้กำลังร้องไห้แต่สมองกลับคิดถึงข้อเสนอของเจ้านายหนุ่ม นอนกับเขาแค่คืนเดียวแต่ช่วยชีวิตลูกชายได้ ลูกที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ ลูกที่เธอสัญญาไว้ว่าต่อให้ลำบากแค่ไหนก็จะเลี้ยงแกให้ดี เพราะถ้ากวินท์เป็นอะไรไปทั้งๆ ที่เธอมีโอกาสหาเงินมารักษาได้ นั่นคงเป็นตราบาปที่ทำให้เ