ความสัมพันธ์ของอธิศและชนิตานั้นยังคงเหมือนเดิม ทั้งคู่ต่างห่วงใยกันแบบเพื่อนที่ดีต่อกัน ในขณะที่พรฟ้าที่รู้ใจตัวเองดีก็คอยเอาแต่หลบหน้าหลบตาอธิศ นั่นเพราะกลัวหากเจอชายหนุ่มเขาจะรู้ความในใจเข้า ขืนเป็นแบบนั้นต้องไม่ดีต่อเธอแน่“เบล”“ค่ะ...คุณอธิศ”“จะไปมหาวิทยาลัยเหรอ”“ค่ะ” พรฟ้าที่เวลานี้อยู่ในชุดนักศึกษาเอ่ยรับด้วยความเกรงใจ ก่อนจะถอยหลังไปยืนห่างอธิศอีกหลายก้าว“ไปด้วยกันสิ ฉันผ่านทางนั้นพอดี”“เอ่อ...ไม่ดีกว่าค่ะ คือ...เบลไปรถเมล์เหมือนทุกวันสะดวกกว่า”“ไปด้วยกันนี่แหละ ฝนตั้งเค้ามานู่นแล้ว เดี๋ยวก็เปียกก่อนถึงป้ายรถเมล์พอดี” อธิศมองออกไปนอกบ้าน ที่เวลานี้ฝนตั้งเค้ามาแล้ว และคงตกหนักแน่นอน“เบลติดร่มไปแล้วค่ะ” คำพูดแย้งของพรฟ้าทำให้อธิศถึงกับส่ายหน้า เห็นเรียบร้อยๆ แบบนี้ แต่บทจะดื้อก็ดื้อไม่ฟังคำพูดเขาเหมือนกัน&ldq
เมื่อคิดไปคิดมาก็ยังไม่ได้คำตอบพรฟ้าจึงเลิกคิด จากนั้นก็ก้าวขึ้นตึกเรียนไป ท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆ ในคณะที่มองมายังเธออย่างสนอกสนใจว่าวันนี้ใครมาส่ง แต่พรฟ้าก็บ่ายเบี่ยงที่จะตอบขณะเรียนพรฟ้าได้ตัดเรื่องของอธิศออกไปจากความคิดชั่วคราว แต่บางครั้งเขาก็มีอิทธิพลจนทำให้เธอเสียสมาธิอยู่บ้าง กระทั่งได้เวลาเลิกเรียน เธอก็ลงมาจากตึกพร้อมกับเพื่อนๆ แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าเวลานี้อธิศนั่งอยู่ใต้ตึก“คุณอธิศ!” พรฟ้าอุทานออกมาอย่างตกใจและแปลกใจ ก่อนจะมองไปยังอธิศที่เวลานี้ยังคงอยู่ในชุดสูทเต็มยศ ยิ่งสวมแว่นกันแดดสีเข้มรับรูปหน้าด้วยแล้วก็ยิ่งส่งให้เขาดูหล่อและสมาร์ทจนทำให้นักศึกษาผู้หญิงหลายคนหันไปมองแล้วมองอีก รวมถึงเพื่อนๆ ของเธอเองก็ดูจะตะลึงกับความหล่อของอธิศไม่น้อย“ใครอะ หล่อมาก”“คุณอธิศ สามีของคุณตา” พรฟ้าเป็นคนเฉลยให้รู้ว่าชายตรงหน้าคือใคร ทำเอาบรรดาสาวๆ อกหักกันไปเป็นแถว และเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มมีภรรยาแล้วแบบนี้ทุกคนจึงแยกย้ายทันทีพรฟ้าสูดอ
‘แต่งงานกันมาก็จะครบปีแล้ว เมื่อไหร่หนูตาจะท้องเสียทีละลูก’นั่นคือประโยคคำถามที่ชนิตาและอธิศมักจะได้ยินจากผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายเสมอ และเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ที่คนทั้งคู่แต่งงานกันด้วยซ้ำ คำถามเหล่านี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการรวมตัวทานอาหารของทั้งสองครอบครัว ซึ่งจะเกิดขึ้นทุกๆ เดือนหรือไม่ครอบครัวฝ่ายอธิศก็เอ่ยถามคำถามแบบนี้กับสะใภ้อย่างชนิตาอยู่เนืองๆ เหตุผลที่เป็นแบบนั้นเพราะพวกเขาต่างคาดหวังให้ชนิตาตั้งท้องเสียที และที่คาดหวังมากกว่าการตั้งท้องคือขอให้หลานคนแรกเป็นผู้ชายด้วย มรดกจากคุณทวดที่ยังไม่ได้แบ่งให้ใครก็จะได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งอธิศและชนิตาได้แต่ส่งยิ้มแห้งให้กันและกัน เพราะพวกเขานั้นต่างรู้ถึงสาเหตุว่าเพราะอะไรตอนนนี้ชนิตาถึงยังไม่ท้อง ก่อนที่อธิศจะเป็นฝ่ายตอบเหมือนทุกครั้งว่าเขาไม่อยากเร่งรัด ปล่อยให้เรื่องการตั้งท้องเป็นไปตามธรรมชาติ แต่หากหนึ่งหรือสองปีหลังจากนี้ชนิตายังไม่ท้องก็คงไปปรึกษาคุณหมอเฉพาะทางอย่างจริงจัง เมื่อการสนทนาเรื่องสำคัญจบลง การทานอาหารจึงเริ่มต้นขึ้น แต่คนที่ดูจะอัดอัดกับเรื่องนี้อย่างชนิตากลับกินอะไรไม่ค่อยลง ถึงอย่างนั้นก็ต้องฝืนกินและฝืนยิ้ม เพ
“ฉันเป็นคนชอบเที่ยวค่ะ ป่า ภูเขา ทะเล แต่ที่ชอบที่สุดคือสถานที่ที่ไม่ค่อยมีคนไป มีกล้องสักตัวไว้เก็บความทรงจำ แล้วคุณอธิศละคะ มีความฝันอะไรบ้าง” เมื่อได้พูดถึงความฝันที่อยากทำก็พลอยทำให้ใบหน้าของชนิตามีรอยยิ้มเกิดขึ้น “อืม...ผมอยากเป็นชาวสวน คงเพราะเบื่อกับการใช้ชีวิตในเมืองเต็มทนแล้วมั้งครับ เลยอยากไปขุดดินขุดหญ้าเลี้ยงสัตว์ดูบ้าง” นั่นคือความฝันที่อธิศอยากทำ ซึ่งมันเป็นความฝันที่เขาไม่เคยบอกใครมาก่อน ทุกวันนี้เวลาของเขาล้วนหมดไปกับงานที่ต้องรับผิดชอบ มันเหนื่อยจนรู้สึกล้าแต่ถ้าไม่มีเขางานก็คงหงุดชะงัก แบบนั้นมันคงไม่ส่งผลดี“ขอให้เราได้ทำตามความฝันค่ะ”“ครับ” เสียงทุ้มของอธิศเอ่ยรับ จากนั้นเขาก็เลี้ยวรถเข้าบ้านภายในโครงการหมู่บ้านจัดสรรระดับไฮเอน เพราะราคาบ้านของที่นี่เริ่มต้นคือสามสิบล้านบาท ซึ่งบ้านหลังนี้คือเรือนหอของเขากับชนิตา แต่ทว่าห้องหอที่ตกแต่งอย่างสวยงามกลับมีไว้เพียงเพื่อบังหน้าเท่านั้น เพราะนอกจากคืนแรกของการส่งตัวแล้วพวกเขาทั้งคู่ก็แทบไม่เคยเข้าไปนอน ต่างคนต่างมีห้องนอนเป็นของตัวเอง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน คนนอกไม่มีใครรู้เรื่องนี้ยกเว้นคนในบ้านโดยอธิศกำชับไว้เป็นอย่างดีว
ภาพของคนสนิทภรรยาที่ชื่อว่าพรฟ้า ซึ่งจู่ๆ ก็หยุดเดินและยังยืนแข็งทื่อเป็นหุ่นตรงหน้าในตอนนี้ สร้างความสงสัยให้อธิศว่าเขานั้นทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ทำไมเด็กสาวถึงได้ดูตกใจกลัวได้ถึงเพียงนั้น นั่นทำให้อธิศก้มสำรวจตัวเอง เสื้อผ้าเขาก็อยู่ครบทุกชิ้น ไม่มีอะไรผิดปกติสักนิดจะว่าไปนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พรฟ้ามีปฏิกิริยาเช่นในตอนนี้ เพราะทุกครั้งที่เขากับเธอบังเอิญเจอกัน พรฟ้ามักจะทำตัวไม่ถูก ลุกลี้ลุกลนแปลกๆ พยายามหลบหน้าหลบตาไปเสียทุกครั้ง ทั้งๆ ที่เธอน่าจะชินได้แล้ว เพราะเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ก็หลายเดือน “คุณอธิศจะไปไหนหรือคะ” พรฟ้ารวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยถามขึ้น เพื่อเปลี่ยนความสถานการณ์ที่แสนอึดอัดจากความประหม่าให้ผ่อนคลายลง เพราะถ้าจะให้เดินหนีไปเสียเฉยๆ ก็คงเสียมารยาทเธอไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมทุกครั้งที่เจออธิศใจถึงสั่นจนเธอควบคุมไม่ได้ รวมทั้งไม่กล้าสบตาไม่กล้าคุยกับชายหนุ่ม เลือกที่จะหลบมากกว่าเข้าใกล้ แต่มันก็มีอะไรที่ย้อนแย้งในความคิดเกิดขึ้น เพราะนี่คือความอึดอัดที่เธอนั้นอยากให้เกิดขึ้นบ่อยๆ ซึ่งพรฟ้าเองก็ไม่เข้าใจความคิดของตัวเองเช่นเดียวกัน “ลืมเอกสารไว้ที่รถ ว่าจะลงไปเอา” เสียงทุ้มเ
“ขะ...คุณอธิศได้เอกสารแล้วเหรอคะ” “ได้แล้ว” อธิศชูเอกสารที่อยู่ในมือขึ้นให้พรฟ้าดู แต่ดูเหมือนเธอจะเอาแต่มองพื้นมากกว่ามองมาที่เขา ถ้าเขายังยืนอยู่ตรงนี้พรฟ้าก็คงคอก้มจนเคล็ดเสียเปล่าๆ นั่นทำให้ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น“ฉันไปล่ะ” เอ่ยจบชายหนุ่มก็เดินกลับออกไปจากห้องครัว ซึ่งทันทีที่เขาเดินห่างออกไปพรฟ้าก็ถึงกับเป่าลมหายใจออกปากหนักๆ พร้อมยกมือขึ้นจับหัวใจของตัวเองที่เต้นโครมคราม“เต้นเป็นปกติได้แล้ว” พรฟ้าบอกตัวเอง ก่อนจะดึงสติแล้วเตรียมน้ำอุ่นให้ชนิตา จากนั้นจึงกลับขึ้นไปชั้นบน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ชนิตาเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี“น้ำอุ่นค่ะคุณตา”“ขอบใจมากจ้ะ แล้วนี่ไปเอากระบอกน้ำเก็บอุณหภูมิมาจากไหน” ชนิตาเอ่ยถามอย่างสงสัย “เบลเห็นมันเก็บไว้ในตู้นะคะ เลยเอามาใช้ก่อน”“จ้ะ” ชนิตาเอ่ยรับ ก่อนจะดื่มน้ำอุ่นๆ จากกระบอกน้ำเก็บอุณภูมิที่พรฟ้าเตรียมไว้ให้ จากนั้นก็บำรุงใบหน้าด้วยสกินแคร์ตัวโปรด ในขณะที่พรฟ้าเข้ามาเป่าผมให้กระทั่งแห้งดีแล้ว จึงส่งยิ้มให้“ขอบใจที่ดูแลฉัน”“ค่ะ...แต่สิ่งที่เบลดูแลคุณตา ยังเทียบไม่ได้กับที่คุณตาดูแลเบลเลยด้วยซ้ำ ชีวิตของเบลเป็นของคุณตาค่ะ”“ชีวิตเป็นของเธอไม่ใช่ขอ
แต่ความกดดันดูเหมือนจะไม่ได้มาจากฝ่ายครอบครัวของอธิศเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น เพราะพ่อและแม่ของชนิตาเองก็เริ่มกดดันลูกสาวในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน โดยยังคงให้เหตุผลว่าท่านอยากอุ้มหลานก่อนตาย ยิ่งทำชนิตารู้สึกไม่ดีมากขึ้นไปอีก จนต้องมานั่งถอนหายใจเฮือกๆ อย่างที่เป็นอยู่ ก่อนจะปรับอารมณ์ให้เป็นปกติแล้วเดินกลับเข้าบ้าน เพื่อสั่งให้แม่บ้านเตรียมมื้อเย็น เนื่องจากวันนี้จะมีเพื่อนของอธิศแวะมากินข้าวด้วย และเพื่อนคนนั้นของอธิศก็คือนพกรนั่นเอง โดยทั้งคู่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ไปมาหาสู่กันเสมอๆ แต่ระหว่างการสนทนาบนโต๊ะอาหารก็มีประโยคหนึ่งที่ทำให้ชนิตาถึงกับชะงักไป“ข้าไม่รีบมีลูกว่ะ ปล่อยไปตามธรรมชาติก่อนดีกว่า” อธิศ ตอบคำถามนั้นของนพกร พร้อมกับแอบสังเกตสีหน้าของชนิตาไปด้วย รู้สึกเห็นใจเธอที่ใครต่อใครมักจะถามคำถามทำนองนี้เสมอ แต่จะไปโทษคนเหล่านั้นก็คงไม่ได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าเขากับชนิตาแม้จะแต่งงานกันแต่กลับอยู่กันแบบเพื่อน ไม่ใช่สามีภรรยา“มีลูกตอนอายุเยอะๆ จะไม่ดีต่อสุขภาพคุณตาเขานะโว้ย เด็กก็เสี่ยงตามไปด้วย”“ขอบใจที่แนะนำ แล้วนี่นายดื่มหนักขนาดนี้จะขับรถกลับไหวเหรอ” เอ่ยรับเสร็จอธิศก