อันนี้มันปู้ปู้จิงซินชัดๆ ด้วยสมองอันชาญฉลาดของคริสหรือเก๊ามู่เฉินทำให้วิเคราะห์เรื่องนี้ได้ไม่ยาก
“จะยากอะไรส่งคนผู้นี้ไปทรมานให้คายความจริงออกมา”
องค์ชายเก้าอ้ายซิ่นเจี๋ยหลัวอิ๋นถังท่าทีเย่อหยิ่งแม้จะมีใบหน้าหล่อเหลาแต่สายตาไม่เป็นมิตร
“น้องเก้า ทำอย่างนั้นก็เท่ากับไร้ความยุติธรรม เสด็จพ่อทรงสั่งสอนให้เราทั้งหมดยึดมั่นคุณธรรม คนไม่ผิดจะลงทัณฑ์ง่ายดายได้อย่างไร”
อิ๋นสือปรามเบาๆ น้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟัง
“องค์ชายแปดมาเพื่อการนี้ ตั้งใจปกป้องเขา พูดให้พี่สี่ดูแย่ว่าพี่สี่ไร้คุณธรรมเพื่อปกป้องคนของท่าน”
อิ๋นเสียงยิ้มเหยียด
“น้องสิบสาม เจ้าประเมินพี่แปดต่ำไป ข้าไม่ได้มีเจตนากล่าวร้ายพี่สี่”
“ข้าไม่รู้จักใครทั้งนั้น ก็แค่คนเลี้ยงม้า”
เก๊ามู่เฉินแก้สถานการณ์โดยเร็ว หากปล่อยไว้ต้องมีการประลองกระบี่กันแน่
“เลี้ยงม้า?”
คนทั้งหมดอุทานออกมาพร้อมกัน
“เลี้ยงม้าอยู่ในน้ำอะเหรอ” อิ๋นถีแหนบ
“ท่านไม่รู้จักม้าน้ำหรอ” เก๊ามู่เฉินถามกลับทันควัน
คนทั้งหมดส่ายหน้าถอนหายใจ
“ข้าเห็นเจ้าลับๆ ล่อๆ ก่อนที่ข้าจะซัดฝ่ามือเข้าใส่จนตกลงไปในน้ำดีนะที่องค์ชายสามช่วยเจ้าไว้ไม่อย่างนั้นข้าจะปล่อยให้เจ้าจมน้ำตาย เจ้าผ่านองครักษ์ของข้าเข้ามาได้อย่างไร หากเป็นเพียงคนเลี้ยงม้าไร้ฝีมือ”
“ต้าชิงมีองค์ชายสามด้วยหรือ?” เก๊ามู่เฉินขมวดคิ้วดกดำ
“ข้าพลาดอะไรไปป่าวเนี้ย”
องค์ชายสิบอ้ายซิ่นเจี๋ยหลัวอิ๋นเอ๋อวิ่งเข้ามาในห้อง
“เรากำลังหารือกันว่าจะเอาเจ้าคนเลี้ยงม้าคนนี้ไปไว้ตรงไหน ที่พอจะจับตามองเขาได้ตลอดเวลา เพราะเขาทำให้พี่แปดของเจ้ากับพี่สี่บาดหมางกัน”
อิ๋นสือพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มชวนฟังทำให้ผู้ฟังรู้สึกผ่อนคลายแต่ไม่ใช่อิ๋นเจิ้งและอิ๋นเสียง
“ข้ารับไว้เอง”
อิ๋นเอ๋อเสนอตัวทั้งๆ ที่มาทีหลังไม่รู้เรื่องอะไร
“เหอะ อย่างเจ้าน่ะหรออิ๋นเอ๋อจะจับตาใครได้ ลำพังเจ้าเองยังเอาตัวไม่รอดเล่นสนุกไปวันๆ”
อิ๋นถังสบประมาท
“ข้าช่วยจับตาแทนเขาเอง รูปร่างผอมบางราวกับอิสตรีไม่คณามือข้าหรอก”
อิ๋นถีรีบเสนอตัว
“พวกเจ้าแย่งชิงอะไรกันคนเลี้ยงม้ามีค่าพอให้เจ้าจับตาหรือว่าต้องการปกปิดอะไรกันแน่”
อิ๋นเสียงตั้งข้อสังเกตอิ๋นเสียงผู้ที่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาแต่ทว่าเจ้ากลยุทธ์
“อ้ายซิ่นเจี๋ยหลัวแปลว่าอะไร?”
เก๊ามู่เฉินเลิกคิ้วพูดตัดบทลดความตึงเครียด
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ข้าชอบเขา ข้าชอบเขา พี่สี่อย่าใจแคบไปหน่อยเลยให้เขาไปอยู่จวนข้าเถอะ”
อิ๋นเอ๋อหัวเราะดังลั่นดวงตาเป็นประกาย ทำให้ใบหน้าใสน่ามองยามหัวเราะร่า
อิ๋นเจิ้งขมวดคิ้วคมดวงตากร้าว
“เจ้าอยากรู้ไปทำไมกัน”
อิ๋นเสียงและอิ๋นถีกลั้นหัวเราะกับท่าทีขึงขังของอิ๋นเจิ้ง อิ๋นถังส่ายหน้าไปมาด้วยความเบื่อหน่าย
“อ้ายซิ่นเจี๋ยหลัวเป็นราชตระกูลในราชวงศ์ชิง ซึ่งมีเชื้อสายแมนจูในภาษาแมนจูแปลว่า...ทอง”
อิ๋นสืออธิบายสายตาเอ็นดูส่งมายังเก๊ามู่เฉินที่ทำตาปริบๆ นั่งตั้งใจฟังคำอธิบาย ทั้งน้ำเสียงที่นุ่มนวลและท่าที่อ่อนโยนทำให้คำพูดน่าเชื่อถือ ต้องเป็นคนแบบไหนกันที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง”
อิ๋นเจิ้งหันกลับมามองตาเก๊ามู่เฉินใส่สายตากดดันอย่างเห็นได้ชัด เก๋ามู่เฉินเก็บอาการไม่แสดงสีหน้าว่าไม่พอใจแบบที่เขาทำทุกครั้งที่ผ่านมากับเพื่อนๆ
แต่ก็โต้ตอบคำพูดอย่างใจเย็น
“ข้ายืนยันว่าข้าแค่คนเลี้ยงม้า ไม่รู้จักใคร”
“หากพูดแค่นี้ก็บริสุทธิ์ ก็คงไม่ต้องมีการพิสูจน์เกิดขึ้น”
“ข้าไม่มีอาวุธติดกายสักชิ้นท่านไม่สังเกตหรือ”
อิ๋นถีเลิกคิ้วมองเก๊ามู่เฉินอย่างสนใจพลางอมยิ้ม คนผู้นี้กล้าไม่เบาจริงๆ
“พี่สี่ น้องสิบสามขออาสาจับตาดูเขาเอง”
อิ๋นเสียงพูดอีกครั้ง
“เดี๋ยวๆ ข้าเสนอตัวก่อนทำไมจะชิงตัดหน้ากันแบบนี้” อิ๋นเอ๋อโวยวาย
“หากเป็นพี่สามเล่า? เขา…ช่วงนี้วุ่นวายกับการเขียนหนังสือคงไม่สนใจเรื่องพวกนี้และพี่สามยุติธรรมที่สุด ไหนๆ เขาก็เป็นคนเจอคนผู้นี้ก็ควรรับผิดชอบ จะอยู่หรือตายก็เป็นพี่สามที่ช่วยชีวิตเขาไว้”
อิ๋นถีเสนอพลางกวาดสายตามองหน้าองค์ชายที่เหลือเป็นเชิงถามความเห็นแต่ไม่มีใครคัดค้านมีเพียงเก๊ามู่เฉินที่ยังมีสีหน้างุนงงและครุ่นคิดคนเดียว
องค์ชายสาม? นึกว่าจะไม่มีบทบาทและเป็นตัวประกอบซะอีก
“พี่สาม อือไม่เลวทีเดียวเขาไม่ได้มีข้อขัดแย้งกับใครในพวกเรา แต่มีพี่สามคนเดียวที่ยังไม่มีชายาเกรงว่าหากให้เจ้าลูกหมาน้อยตกน้ำไปอยู่กับเขา จะยิ่งสร้างความวุ่นวายให้กับพี่สาม”
องค์ชายแปดอิ๋นสือ แบ่งรับแบ่งสู้
“เลือกมาเจ้าจะอยู่กับใคร”
อิ๋นเจิ้ง ที่ยังมีสีหน้าเรียบเฉยทว่าน้ำเสียงกดดันยิ่งนัก
“ข้าเลือกได้หรือ”
จะต้องตามน้ำไปใช่ไหมในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วจะไปทางไหนได้
“ได้ องค์ชายสาม”
เอาละว่ะ เอาองค์ชายโนเนมที่ไม่เคยเห็นในซีรี่ย์นี่แหละ อาจจะดีก็ได้ แต่ว่าก็ว่าเหอะซีรี่ย์แม่งเชื่อได้ป่าวว่ะ
“พี่สี่ ต้องอาศัยท่านแล้วแหละ ลำพังพวกเราก็ไม่กล้าจะรบกวนพี่สาม แล้วอีกอย่างท่านก็อยากจะพิสูจน์ว่าเก๊ามู่เฉินเป็นคนที่ถูกส่งมาสอดแนมจวนของท่าน”
อิ๋นถีขอร้องแกมบังคับ
“ทำไมข้าต้องทำแบบนั้นด้วยแค่ข้าบั่นคอเขาซ่ะ ก็ไม่ต้องไปพูดกับองค์ชายสามที่วันๆ หมกมุ่นอยู่แต่ตำราอะไรนั้น ข้าไม่เห็นว่าคนอย่างองค์ชายสามนั้นจะมีประโยชน์อะไรนอกจากเขียนหนังสือ และเป็นลูกที่เสด็จพ่อโปรดปราน”
นี้หย่งเจิ้งนี่คือหยงเจิ้งผู้ที่ไม่เคยญาติดีกับใครเลย ยกเว้นคู่จิ้นของเขาองค์ชายสิบสาม ไม่รู้จะรักอะไรนักหนาน้องแท้ๆก็ไม่ใช่
“การที่ไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่นคือข้อดีของพี่สามเราควรหาประโยชน์จากการไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นของเขา”
อิ๋นเสียงให้เหตุผล มีเขาคนเดียวเท่านั้นที่ใช้เหตุผลคุยกับอิ๋นเจิ้งได้ ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะใคร
องค์ชายทั้งหกที่กำลังจะใช้เก๊ามู่เฉินเพื่อหาคนที่ต้องรับผิดชอบความบาดหมางนี้
พวกเขาต่างคนต่างที่ต้องการจะบอกกับอีกฝ่ายว่า อีกฝ่ายคิดผิด
ในห้องมีกองตำราหนังสือวางกระจัดกระจายตามชั้นหนังสือและพื้น หากจะเดินจำต้องใช้เท้าเขี่ยแหวกทางหากไม่อยากเหยียบตำราบนพื้นที่ล้วนแต่เป็นตำราสำคัญ โต๊ะในสุดกลางห้องที่แดดส่องถึงอ่อนๆ แต่กระนั้นก็ยังมีฝุ่นเกาะเกรอะกรังเจ้าของห้องนั่งเขียนตำราอย่างขะมักเขม้นไม่สนใจผู้ที่ก้าวเข้ามาแม้แต่น้อยอ้ายซิ่นเจี๋ยหลัวอิ๋นจื่อองค์ชายสามผู้รูปงาม ริมฝีปากสีแดงระเรื่อผิวขาวจนเกือบซีดทว่าผมเผ้ารุงรังเพียงแค่มัดรวบไว้ลวกๆ อย่างเร่งรีบแขนเสื้อและมือมีรอยเลอะหมึกสีดำเป็นแถบ เสื้อผ้าหน้าผมถูกละเลยไม่เรียบร้อยหรูหราประณีตเหมือนองค์ชายทั่วไป“ข้าไม่แปลกใจเลยหากจะมีใครสักคนหายไปในห้องพี่สาม”อิ๋นถีใช้เท้าเขี่ยตำราบนพื้นพลางมองสำรวจ ไม่บ่อยนักจะมีธุระให้มาเจอพี่สาม อิ๋นจื่อเงยหน้าขึ้นมาหันซ้ายหันขวาก่อนจะกล่าวอย่างสับสน“ใคร มีใครหายไปในห้องข้า”“พี่สามน้องสิบสี่แค่เปรียบเปรย ทำไมท่านปล่อยให้ห้องรกแบบนี้” อิ๋นเสียงตอบยิ้มๆ“ข้าแค่เอาตำราทุกเล่มที่จำเป็นต้องใช้เข้ามาในห้อง นั่นเจ้าสิบสี่เจ้าเอาเท้าเขี่ยตำราเชียวหรือ”อิ๋นจื่อลุกขึ้นและหยิบตำราที่พื้นขึ้นมาวางกองบนโต๊ะหนังสือตัวเอง เมื่อเงยหน้าก็สังเกตเห็นเก๊ามู่เ
“ขอบคุณองค์ชายสาม”ดูจากท่าทีและคำเรียกแล้วอิ๋นเจิ้งและองค์ชายสามคงไม่สนิทกันถึงขั้นไม่ลงรอยแต่จะด่วนสรุปยังเร็วไป เขาต้องตอบตามความจริงละทิ้งอคติ“เจ้าเข้าไปที่จวนพี่สี่ทำไม เข้าไปได้ยังไง”“ข้าไม่รู้ ข้าจำไม่ได้”“เจ้ามีญาติพี่น้องหรือไม่”“ข้าไม่มี” อิ๋นจื่อขมวดคิ้วด้วยเป็นคนที่ชอบคิดวิเคราะห์“งั้นก็อยู่ที่นี้ช่วยงานข้าสักพักคงไม่เป็นปัญหา อยู่จนกว่าน้องสี่จะหายสงสัย”อิ๋นจื่อหันไปเก็บตำราต่อเหมือนหมดคำถามแค่นี้จริงๆ เก๊ามู่เฉินรีบลุกขึ้นตั้งใจจะช่วยแต่กลับถูกอีกฝ่ายห้ามทันทีอย่างแตกตื่น“นั่งก่อนเถอะ นั่งก่อนเถอะ เจ้าบาดเจ็บไว้หายดีจริงๆ แล้วข้าจะใช้งานเจ้าเอง”“ไม่เป็นไรๆ งานง่ายๆ แค่นี้ข้าทำได้”“งั้นก็ตามใจ”เก๊ามู่เฉินเดินไปเก็บตำราและเศษกระดาษที่ทั้งขยำและฉีกโยนไปทั่วห้อง โห้ อย่างเยอะเลย แอบดูนิดหน่อยคงไม่เป็นไรในเมื่อก็จะทิ้งอยู่แล้วเห็นๆ เมื่อแกะกระดาษออกดูก็พบตัวหนังสือเต็มหน้ากระดาษ บางแผ่นมีภาพวาดและบางแผ่นมีสูตรที่เขาเห็นแล้วเวียนหัวกระทันหันแต่ก็แปลกใจจนอดไม่อยู่“เห้ย องค์ชายสาม!”“หืม? เจ้าตกใจอะไร” อิ๋นจื่อหันมองอย่างงุนงงและเห็นเก๊ามู่เฉินอ่านกระดาษที่ยับยู่ยี่ข
“มันเขียนว่าอะไร” อิ๋นจื่ออดจะยื่นหน้ามาดูไม่ได้เก๊ามู่เฉินพับกระดาษเก็บอย่างเรียบร้อย อย่างน้อยนี่ก็คือของทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายมือองค์ชายเก้าในอดีตเขียนขึ้นเอง แต่ของชิ้นนี้เกรงว่าเมื่อว่างเขาจะต้องเอาไปเผาพร้อมพริกเกลืออย่างแน่นอน!“เจ้าอย่าคิดมากเลย เขาก็เป็นเช่นนั้นแต่ข้าขอเตือนเจ้า อยู่ให้ห่างเถอะ”“ข้าคงไม่ได้วุ่นวายอะไรพวกท่านหรอก…ข้าคงอยู่เป็นตัวประกอบนั้นแหละ” เพราะในประวัติศาสตร์ไม่มีชื่อเขานี่ ถูกไหมฮ่าฮ่าฮ่า“เช่นนั้นก็ดี เจ้าเก้าดีร้ายไม่อาจคาดเดาอีกทั้งยังเป็นอีกคนที่ข้าดูไม่ออกพอเช่นเดียวกับเจ้าสี่และเจ้าแปด”เป็นเช่นนั้นจริงๆ เก๊ามู่เฉินเริ่มชินกับการช่วยอิ๋นจื่อหยิบจับหาหนังสือตำราตอนนี้ ผ่านไปเพียงแค่สามวันเขาก็ทำงานคล่องขึ้นเยอะมาก อาจเพราะเขาเก็บตำราตามหมวดหมู่แล้ว เลยหยิบจับง่ายขึ้นกว่าก่อนหน้านี้แต่สงบสุขไม่ทันไรเสียงเจื้อยแจ้วของอิ๋นเอ๋อก็ดังขึ้นก่อนที่ตัวเจ้าของเสียงอันร่าเริงจะปรากฏพร้อมอิ๋นถี“เก๊ามู่เฉินนนนน มาาาเล่นนนกานนน”เก๊ามู่เฉินกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย อิ๋นเอ๋อแวะมาหาเขาทุกวันและเอาแต่ชวนคุยจนอิ๋นจื่อบางครั้งยังต้องถึงขั้นนวดขมับ คำที่ว่าไม่สร้า
อิ๋นถีที่ดื่มไปมากแล้วกำลังมองเก๊ามู่เฉินที่ยามนี้ไม่สนใจจะดื่มจะกินต่อแล้ว ทำเพียงวุ่นวายกับกระดาษกับที่อิ๋นถังให้มา อิ๋นถีเท้าคางบนโต๊ะมองเก๊ามู่เฉินที่มือตวัดพู่กันไปมาปากพึมพำ“เจ้าทำอะไร”“เรียบร้อย เอคือหนึ่งจุดหกสามศูนย์สามและบีคือหนึ่งจุดแปดสี่สามหนึ่ง”เก๊ามู่เฉินลุกขึ้นชูกระดาษสองใบโห่ร้องด้วยความดีใจจนองค์ชายทั้งสามสะดุ้งโหยง อิ๋นถังทำสุรากระฉอกโดนมือก็ขมวดคิ้วหันมาตำหนิเขา“เป็นบ้าอะไรอีก”“มีเรื่องน่าสนใจหรือเก๊ามู่เฉิน” อิ๋นเอ๋อรีบเข้ามาดูเสียงอ้อแอ้ไม่บอกก็รู้ว่าเมามาย“ดูนี่ ดูไว้ ของขวัญขอบคุณสำหรับองค์ชายสามจากเจ้าคนเลี้ยงม้าผู้แสนกตัญญู” กล่าวชื่นชมตัวเองหน้าด้านๆอิ๋นถีที่มองอยู่ตลอดก็หัวเราะเบาๆ“เจ้านี่จะว่าไปก็มีอารมณ์ขันใครกันจะยอมรับน้ำใจจากคนเลี้ยงม้าแล้วถือว่าเป็นบุญคุณ”“หา ข้ารื้อฟื้นแทบตายกว่าจะไขคำตอบได้” ลำพังองค์ชายสามผู้นั้นที่ไม่รู้ว่าใช้เวลากี่เดือนกี่วันจึงเห็นกระดาษถูกทิ้งบนพื้นห้องเกลื่อนกลาด“อืมมมเห็นจะจริง จะเอาไปให้พี่สามเลยหรือไม่”“ไม่ ข้าต้องถามเขาสักนิด ว่ามันสำคัญหรือไม่”“ข้าเคยได้ยินว่าเสด็จพ่อมอบหมายบางอย่างให้พี่สามไขความกระจ่างแต่
“เจ้าสิบสี่ พี่สี่ทำอะไรเปิดเผยจริงใจไม่เหมือนพี่แปดที่ปิดบังซ่อนเร้นภายนอกโปรยคำหวานแต่ข้างในยากหยั่งถึง”“ข้ายอมให้เขาโปรยคำหวานดีกว่าต้องมาทนดูสีหน้าบึ้งตึงของพี่สี่”“นี่ไง! สำเร็จแล้วววว เก๊ามู่เฉินเจ้าใช่ไหม เจ้าทำเป็นเจ้าใช่ไหม” มีบางคนที่อยู่เหนือความขัดแย้งอิ๋นจื่อตะโกนเสียงดังอย่างดีใจกอดกระดาษแผ่นนั้นไว้แน่นคล้ายกลัวกระดาษจะหายไป อิ๋นจื่อวิ่งออกไปอย่างรวจเร็วกระโดดคว้าตัวเก๊ามู่เฉินที่นอนนิ่งกำลังจะหลับใหลมากอดไว้แน่นอย่างดีใจก่อนจะผละออกและเขย่าให้เก๊ามู่เฉินตื่นเต็มตา อิ๋นเจิ้งและอิ๋นเสียงที่ตามมามองอย่างงุ่นงงมีเพียงอิ๋นถีที่ยิ้มกว้างเหมือนภูมิใจ“อะไร อะไร องค์ชายสาม ท่านใจเย็นๆ” เก๊ามู่เฉินสะลึมสะลือ“เจ้าใช่ไหม เจ้าทำใช่ไหม กระดาษพวกนี้ข้าเห็นเจ้าเอาวางไว้”“ท่านอ่านแล้วหรือ”“ใช่ ไป ไปกับข้าเดี๋ยวนี้เลย”“เดี๋ยวๆ ไปไหนองค์ชายสาม ข้าจะนอนข้าเวียนหัว”อิ๋นจื่อกำรอบข้อมือเก๊ามู่เฉินแน่นพยายามจะดึงเขาให้ลุกขึ้นจากที่นอน อิ๋นเจิ้งกระแอมเสียงดังทีหนึ่งก่อนจะเลิกคิ้วและถามอย่างใจเย็น“นี่มันเรื่องอะไรกันองค์ชายสาม ข้าไม่เข้าใจ”อิ๋นจื่อไม่ได้สนใจเสียงอย่างอื่นแต่โวยวายเ
เก๊ามู่เฉินยิ้ม วิธีนี้แพร่หลายเป็นบทเรียนสำหรับลูกหลานโดยมีคนที่คอยสร้างสูตรให้เป็นหนังสือเรียน“มอบทองสามหีบเงินห้าหีบ และแต่งตั้งให้เก๊ามู่เฉินรั้งตำแหน่ง ซงมิงต้าจื่อ (ผู้ฉลาดรอบรู้ที่อยู่กับองค์ชายสาม) ”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”เก๊ามู่เฉินหุบยิ้มไม่ได้ รวยแล้วโว้ยยย แบบนี้ให้หนีไปใช้ชีวิตข้างนอกได้ด้วยตัวคนเดีวยแบบหรูๆ เริ่ดๆ ไม่ต้องทนรับความตึงขององค์ชายสี่และไม่ต้องยุ่งกับเรื่องแย่งชิงที่จะมาถึงระหว่างทางเดินกลับเก๊ามู่เฉินหันหน้าหันหลังเป็นห่วงหีบทองและหีบเงินในมือขันที ทั้งๆ ที่พวกเขาคงไม่มีโอกาสยักยอกไปไหนได้เพราะว่าเดินตามหลังเขาและองค์ชายสามมาขนาดนั้น“ไหนๆ เจ้าก็ได้รางวัลตั้งขนาดนี้ ช่วงนี้อยากไปเที่ยวเล่นพักผ่อนที่ไหนก็ไปเถอะ”“องค์ชายสาม ข้าย้ายออกเลยได้หรือไม่”“ย้ายออก? ..เจ้ามีตำแหน่งที่เสด็จพ่อแต่งตั้งให้แล้ว เจ้าคิดจะไปไหน”อิ๋นจื่อถามพลางหันไปชี้นิ้วสั่งให้ขันทีนำหีบทองและหีบเงินไปเก็บในห้องของเก๊ามู่เฉิน เก๊ามู่เฉินยืนอ้าปากตาค้าง“ข้าไปไม่ได้หรือ เดี๋ยวสิๆ ทำไม”“ตำแหน่งของเจ้าชื่อก็บอกแล้วว่าต้องอยู่ข้างๆ ข้าช่วยงานข้า และเจ้าก็ยังไม่หลุดจากข้อสงสัยของน้องสี่”“งั้น
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว คริสผู้ซึ่งไม่เคยมองโลกในแง่ดีใบหน้าเรียบเฉยถึงกระนั้นก็ยังดูดีเพราะเป็นคนผิวขาวใบหน้าหล่อเหลาจมูกโด่งเป็นสันดวงตาดำขลับขนตางอนยาวเป็นลูกครึ่งไทยจีนมีแม่เป็นคนจีน คิ้วดกดำขมวดเข้าหากันมองไปยังแพใหญ่ที่เพื่อนของเขากำลังดื่มกิน เร่งเครื่องสปีดโบ๊ทให้กระแทกไปบนพื้นน้ำ“คริส! มึงไม่ใส่ซูชีพวะ”คริสไม่มีทางจะได้ยินเพราะเสียงที่ดังกระหึ่ม สปีดโบ๊ทหักเลี้ยวออกห่างจากฝั่งไปไกลขึ้นจนแทบมองไม่เห็นแพ คริสเริ่งความเร็วราวกับโกรธใครมาน้ำที่กระเซ็นใส่ใบหน้าให้ความรู้สึกสดชื่น ภูเขาสูงข้างหน้ามองดูราวกับภาพฝันใต้พื้นน้ำข้างหน้าที่สปีดโบ๊ทกำลังจะแล่นผ่าน มีตอไม้มหึมาจมอยู่ใต้น้ำทำความเสียหายให้เสื้อหรือสปีดโบ๊ทที่วิ่งผ่านมานับครั้งไม่ถ้วน ปกติถ้าไม่ใช่หน้าฝนจะมองเห็นตอได้ชัดเจน แต่อนิจจาตอนนี้เป็นหน้าฝนทำให้สปีดโบ๊ทของคริสพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูง ความตกใจมือของคริสแทนที่จะผ่อนคันเร่งแต่กลับบิดคันเร่งจนสปีดโบ๊ทเหินขึ้นไปด้านบนพลิกตกลงมากระแทกที่ศีรษะของคริสจนรู้สึกเจ็บปวดอย่างแรง เลือดสีแดงเจือจางด้วยสายน้ำที่โอบรอบร่างหมดสติ จมดิ่งลงไปใต้ท้องน้ำ.“เฮือก!”“พี่สี่! เจ้าหมาน้
เก๊ามู่เฉินยิ้ม วิธีนี้แพร่หลายเป็นบทเรียนสำหรับลูกหลานโดยมีคนที่คอยสร้างสูตรให้เป็นหนังสือเรียน“มอบทองสามหีบเงินห้าหีบ และแต่งตั้งให้เก๊ามู่เฉินรั้งตำแหน่ง ซงมิงต้าจื่อ (ผู้ฉลาดรอบรู้ที่อยู่กับองค์ชายสาม) ”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”เก๊ามู่เฉินหุบยิ้มไม่ได้ รวยแล้วโว้ยยย แบบนี้ให้หนีไปใช้ชีวิตข้างนอกได้ด้วยตัวคนเดีวยแบบหรูๆ เริ่ดๆ ไม่ต้องทนรับความตึงขององค์ชายสี่และไม่ต้องยุ่งกับเรื่องแย่งชิงที่จะมาถึงระหว่างทางเดินกลับเก๊ามู่เฉินหันหน้าหันหลังเป็นห่วงหีบทองและหีบเงินในมือขันที ทั้งๆ ที่พวกเขาคงไม่มีโอกาสยักยอกไปไหนได้เพราะว่าเดินตามหลังเขาและองค์ชายสามมาขนาดนั้น“ไหนๆ เจ้าก็ได้รางวัลตั้งขนาดนี้ ช่วงนี้อยากไปเที่ยวเล่นพักผ่อนที่ไหนก็ไปเถอะ”“องค์ชายสาม ข้าย้ายออกเลยได้หรือไม่”“ย้ายออก? ..เจ้ามีตำแหน่งที่เสด็จพ่อแต่งตั้งให้แล้ว เจ้าคิดจะไปไหน”อิ๋นจื่อถามพลางหันไปชี้นิ้วสั่งให้ขันทีนำหีบทองและหีบเงินไปเก็บในห้องของเก๊ามู่เฉิน เก๊ามู่เฉินยืนอ้าปากตาค้าง“ข้าไปไม่ได้หรือ เดี๋ยวสิๆ ทำไม”“ตำแหน่งของเจ้าชื่อก็บอกแล้วว่าต้องอยู่ข้างๆ ข้าช่วยงานข้า และเจ้าก็ยังไม่หลุดจากข้อสงสัยของน้องสี่”“งั้น
“เจ้าสิบสี่ พี่สี่ทำอะไรเปิดเผยจริงใจไม่เหมือนพี่แปดที่ปิดบังซ่อนเร้นภายนอกโปรยคำหวานแต่ข้างในยากหยั่งถึง”“ข้ายอมให้เขาโปรยคำหวานดีกว่าต้องมาทนดูสีหน้าบึ้งตึงของพี่สี่”“นี่ไง! สำเร็จแล้วววว เก๊ามู่เฉินเจ้าใช่ไหม เจ้าทำเป็นเจ้าใช่ไหม” มีบางคนที่อยู่เหนือความขัดแย้งอิ๋นจื่อตะโกนเสียงดังอย่างดีใจกอดกระดาษแผ่นนั้นไว้แน่นคล้ายกลัวกระดาษจะหายไป อิ๋นจื่อวิ่งออกไปอย่างรวจเร็วกระโดดคว้าตัวเก๊ามู่เฉินที่นอนนิ่งกำลังจะหลับใหลมากอดไว้แน่นอย่างดีใจก่อนจะผละออกและเขย่าให้เก๊ามู่เฉินตื่นเต็มตา อิ๋นเจิ้งและอิ๋นเสียงที่ตามมามองอย่างงุ่นงงมีเพียงอิ๋นถีที่ยิ้มกว้างเหมือนภูมิใจ“อะไร อะไร องค์ชายสาม ท่านใจเย็นๆ” เก๊ามู่เฉินสะลึมสะลือ“เจ้าใช่ไหม เจ้าทำใช่ไหม กระดาษพวกนี้ข้าเห็นเจ้าเอาวางไว้”“ท่านอ่านแล้วหรือ”“ใช่ ไป ไปกับข้าเดี๋ยวนี้เลย”“เดี๋ยวๆ ไปไหนองค์ชายสาม ข้าจะนอนข้าเวียนหัว”อิ๋นจื่อกำรอบข้อมือเก๊ามู่เฉินแน่นพยายามจะดึงเขาให้ลุกขึ้นจากที่นอน อิ๋นเจิ้งกระแอมเสียงดังทีหนึ่งก่อนจะเลิกคิ้วและถามอย่างใจเย็น“นี่มันเรื่องอะไรกันองค์ชายสาม ข้าไม่เข้าใจ”อิ๋นจื่อไม่ได้สนใจเสียงอย่างอื่นแต่โวยวายเ
อิ๋นถีที่ดื่มไปมากแล้วกำลังมองเก๊ามู่เฉินที่ยามนี้ไม่สนใจจะดื่มจะกินต่อแล้ว ทำเพียงวุ่นวายกับกระดาษกับที่อิ๋นถังให้มา อิ๋นถีเท้าคางบนโต๊ะมองเก๊ามู่เฉินที่มือตวัดพู่กันไปมาปากพึมพำ“เจ้าทำอะไร”“เรียบร้อย เอคือหนึ่งจุดหกสามศูนย์สามและบีคือหนึ่งจุดแปดสี่สามหนึ่ง”เก๊ามู่เฉินลุกขึ้นชูกระดาษสองใบโห่ร้องด้วยความดีใจจนองค์ชายทั้งสามสะดุ้งโหยง อิ๋นถังทำสุรากระฉอกโดนมือก็ขมวดคิ้วหันมาตำหนิเขา“เป็นบ้าอะไรอีก”“มีเรื่องน่าสนใจหรือเก๊ามู่เฉิน” อิ๋นเอ๋อรีบเข้ามาดูเสียงอ้อแอ้ไม่บอกก็รู้ว่าเมามาย“ดูนี่ ดูไว้ ของขวัญขอบคุณสำหรับองค์ชายสามจากเจ้าคนเลี้ยงม้าผู้แสนกตัญญู” กล่าวชื่นชมตัวเองหน้าด้านๆอิ๋นถีที่มองอยู่ตลอดก็หัวเราะเบาๆ“เจ้านี่จะว่าไปก็มีอารมณ์ขันใครกันจะยอมรับน้ำใจจากคนเลี้ยงม้าแล้วถือว่าเป็นบุญคุณ”“หา ข้ารื้อฟื้นแทบตายกว่าจะไขคำตอบได้” ลำพังองค์ชายสามผู้นั้นที่ไม่รู้ว่าใช้เวลากี่เดือนกี่วันจึงเห็นกระดาษถูกทิ้งบนพื้นห้องเกลื่อนกลาด“อืมมมเห็นจะจริง จะเอาไปให้พี่สามเลยหรือไม่”“ไม่ ข้าต้องถามเขาสักนิด ว่ามันสำคัญหรือไม่”“ข้าเคยได้ยินว่าเสด็จพ่อมอบหมายบางอย่างให้พี่สามไขความกระจ่างแต่
“มันเขียนว่าอะไร” อิ๋นจื่ออดจะยื่นหน้ามาดูไม่ได้เก๊ามู่เฉินพับกระดาษเก็บอย่างเรียบร้อย อย่างน้อยนี่ก็คือของทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายมือองค์ชายเก้าในอดีตเขียนขึ้นเอง แต่ของชิ้นนี้เกรงว่าเมื่อว่างเขาจะต้องเอาไปเผาพร้อมพริกเกลืออย่างแน่นอน!“เจ้าอย่าคิดมากเลย เขาก็เป็นเช่นนั้นแต่ข้าขอเตือนเจ้า อยู่ให้ห่างเถอะ”“ข้าคงไม่ได้วุ่นวายอะไรพวกท่านหรอก…ข้าคงอยู่เป็นตัวประกอบนั้นแหละ” เพราะในประวัติศาสตร์ไม่มีชื่อเขานี่ ถูกไหมฮ่าฮ่าฮ่า“เช่นนั้นก็ดี เจ้าเก้าดีร้ายไม่อาจคาดเดาอีกทั้งยังเป็นอีกคนที่ข้าดูไม่ออกพอเช่นเดียวกับเจ้าสี่และเจ้าแปด”เป็นเช่นนั้นจริงๆ เก๊ามู่เฉินเริ่มชินกับการช่วยอิ๋นจื่อหยิบจับหาหนังสือตำราตอนนี้ ผ่านไปเพียงแค่สามวันเขาก็ทำงานคล่องขึ้นเยอะมาก อาจเพราะเขาเก็บตำราตามหมวดหมู่แล้ว เลยหยิบจับง่ายขึ้นกว่าก่อนหน้านี้แต่สงบสุขไม่ทันไรเสียงเจื้อยแจ้วของอิ๋นเอ๋อก็ดังขึ้นก่อนที่ตัวเจ้าของเสียงอันร่าเริงจะปรากฏพร้อมอิ๋นถี“เก๊ามู่เฉินนนนน มาาาเล่นนนกานนน”เก๊ามู่เฉินกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย อิ๋นเอ๋อแวะมาหาเขาทุกวันและเอาแต่ชวนคุยจนอิ๋นจื่อบางครั้งยังต้องถึงขั้นนวดขมับ คำที่ว่าไม่สร้า
“ขอบคุณองค์ชายสาม”ดูจากท่าทีและคำเรียกแล้วอิ๋นเจิ้งและองค์ชายสามคงไม่สนิทกันถึงขั้นไม่ลงรอยแต่จะด่วนสรุปยังเร็วไป เขาต้องตอบตามความจริงละทิ้งอคติ“เจ้าเข้าไปที่จวนพี่สี่ทำไม เข้าไปได้ยังไง”“ข้าไม่รู้ ข้าจำไม่ได้”“เจ้ามีญาติพี่น้องหรือไม่”“ข้าไม่มี” อิ๋นจื่อขมวดคิ้วด้วยเป็นคนที่ชอบคิดวิเคราะห์“งั้นก็อยู่ที่นี้ช่วยงานข้าสักพักคงไม่เป็นปัญหา อยู่จนกว่าน้องสี่จะหายสงสัย”อิ๋นจื่อหันไปเก็บตำราต่อเหมือนหมดคำถามแค่นี้จริงๆ เก๊ามู่เฉินรีบลุกขึ้นตั้งใจจะช่วยแต่กลับถูกอีกฝ่ายห้ามทันทีอย่างแตกตื่น“นั่งก่อนเถอะ นั่งก่อนเถอะ เจ้าบาดเจ็บไว้หายดีจริงๆ แล้วข้าจะใช้งานเจ้าเอง”“ไม่เป็นไรๆ งานง่ายๆ แค่นี้ข้าทำได้”“งั้นก็ตามใจ”เก๊ามู่เฉินเดินไปเก็บตำราและเศษกระดาษที่ทั้งขยำและฉีกโยนไปทั่วห้อง โห้ อย่างเยอะเลย แอบดูนิดหน่อยคงไม่เป็นไรในเมื่อก็จะทิ้งอยู่แล้วเห็นๆ เมื่อแกะกระดาษออกดูก็พบตัวหนังสือเต็มหน้ากระดาษ บางแผ่นมีภาพวาดและบางแผ่นมีสูตรที่เขาเห็นแล้วเวียนหัวกระทันหันแต่ก็แปลกใจจนอดไม่อยู่“เห้ย องค์ชายสาม!”“หืม? เจ้าตกใจอะไร” อิ๋นจื่อหันมองอย่างงุนงงและเห็นเก๊ามู่เฉินอ่านกระดาษที่ยับยู่ยี่ข
ในห้องมีกองตำราหนังสือวางกระจัดกระจายตามชั้นหนังสือและพื้น หากจะเดินจำต้องใช้เท้าเขี่ยแหวกทางหากไม่อยากเหยียบตำราบนพื้นที่ล้วนแต่เป็นตำราสำคัญ โต๊ะในสุดกลางห้องที่แดดส่องถึงอ่อนๆ แต่กระนั้นก็ยังมีฝุ่นเกาะเกรอะกรังเจ้าของห้องนั่งเขียนตำราอย่างขะมักเขม้นไม่สนใจผู้ที่ก้าวเข้ามาแม้แต่น้อยอ้ายซิ่นเจี๋ยหลัวอิ๋นจื่อองค์ชายสามผู้รูปงาม ริมฝีปากสีแดงระเรื่อผิวขาวจนเกือบซีดทว่าผมเผ้ารุงรังเพียงแค่มัดรวบไว้ลวกๆ อย่างเร่งรีบแขนเสื้อและมือมีรอยเลอะหมึกสีดำเป็นแถบ เสื้อผ้าหน้าผมถูกละเลยไม่เรียบร้อยหรูหราประณีตเหมือนองค์ชายทั่วไป“ข้าไม่แปลกใจเลยหากจะมีใครสักคนหายไปในห้องพี่สาม”อิ๋นถีใช้เท้าเขี่ยตำราบนพื้นพลางมองสำรวจ ไม่บ่อยนักจะมีธุระให้มาเจอพี่สาม อิ๋นจื่อเงยหน้าขึ้นมาหันซ้ายหันขวาก่อนจะกล่าวอย่างสับสน“ใคร มีใครหายไปในห้องข้า”“พี่สามน้องสิบสี่แค่เปรียบเปรย ทำไมท่านปล่อยให้ห้องรกแบบนี้” อิ๋นเสียงตอบยิ้มๆ“ข้าแค่เอาตำราทุกเล่มที่จำเป็นต้องใช้เข้ามาในห้อง นั่นเจ้าสิบสี่เจ้าเอาเท้าเขี่ยตำราเชียวหรือ”อิ๋นจื่อลุกขึ้นและหยิบตำราที่พื้นขึ้นมาวางกองบนโต๊ะหนังสือตัวเอง เมื่อเงยหน้าก็สังเกตเห็นเก๊ามู่เ
อันนี้มันปู้ปู้จิงซินชัดๆ ด้วยสมองอันชาญฉลาดของคริสหรือเก๊ามู่เฉินทำให้วิเคราะห์เรื่องนี้ได้ไม่ยาก“จะยากอะไรส่งคนผู้นี้ไปทรมานให้คายความจริงออกมา”องค์ชายเก้าอ้ายซิ่นเจี๋ยหลัวอิ๋นถังท่าทีเย่อหยิ่งแม้จะมีใบหน้าหล่อเหลาแต่สายตาไม่เป็นมิตร“น้องเก้า ทำอย่างนั้นก็เท่ากับไร้ความยุติธรรม เสด็จพ่อทรงสั่งสอนให้เราทั้งหมดยึดมั่นคุณธรรม คนไม่ผิดจะลงทัณฑ์ง่ายดายได้อย่างไร” อิ๋นสือปรามเบาๆ น้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟัง“องค์ชายแปดมาเพื่อการนี้ ตั้งใจปกป้องเขา พูดให้พี่สี่ดูแย่ว่าพี่สี่ไร้คุณธรรมเพื่อปกป้องคนของท่าน” อิ๋นเสียงยิ้มเหยียด“น้องสิบสาม เจ้าประเมินพี่แปดต่ำไป ข้าไม่ได้มีเจตนากล่าวร้ายพี่สี่”“ข้าไม่รู้จักใครทั้งนั้น ก็แค่คนเลี้ยงม้า” เก๊ามู่เฉินแก้สถานการณ์โดยเร็ว หากปล่อยไว้ต้องมีการประลองกระบี่กันแน่“เลี้ยงม้า?” คนทั้งหมดอุทานออกมาพร้อมกัน“เลี้ยงม้าอยู่ในน้ำอะเหรอ” อิ๋นถีแหนบ“ท่านไม่รู้จักม้าน้ำหรอ” เก๊ามู่เฉินถามกลับทันควันคนทั้งหมดส่ายหน้าถอนหายใจ“ข้าเห็นเจ้าลับๆ ล่อๆ ก่อนที่ข้าจะซัดฝ่ามือเข้าใส่จนตกลงไปในน้ำดีนะที่องค์ชายสามช่วยเจ้าไว้ไม่อย่างนั้นข้าจะปล่อยให้เจ้าจมน้ำตาย เจ้าผ่
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว คริสผู้ซึ่งไม่เคยมองโลกในแง่ดีใบหน้าเรียบเฉยถึงกระนั้นก็ยังดูดีเพราะเป็นคนผิวขาวใบหน้าหล่อเหลาจมูกโด่งเป็นสันดวงตาดำขลับขนตางอนยาวเป็นลูกครึ่งไทยจีนมีแม่เป็นคนจีน คิ้วดกดำขมวดเข้าหากันมองไปยังแพใหญ่ที่เพื่อนของเขากำลังดื่มกิน เร่งเครื่องสปีดโบ๊ทให้กระแทกไปบนพื้นน้ำ“คริส! มึงไม่ใส่ซูชีพวะ”คริสไม่มีทางจะได้ยินเพราะเสียงที่ดังกระหึ่ม สปีดโบ๊ทหักเลี้ยวออกห่างจากฝั่งไปไกลขึ้นจนแทบมองไม่เห็นแพ คริสเริ่งความเร็วราวกับโกรธใครมาน้ำที่กระเซ็นใส่ใบหน้าให้ความรู้สึกสดชื่น ภูเขาสูงข้างหน้ามองดูราวกับภาพฝันใต้พื้นน้ำข้างหน้าที่สปีดโบ๊ทกำลังจะแล่นผ่าน มีตอไม้มหึมาจมอยู่ใต้น้ำทำความเสียหายให้เสื้อหรือสปีดโบ๊ทที่วิ่งผ่านมานับครั้งไม่ถ้วน ปกติถ้าไม่ใช่หน้าฝนจะมองเห็นตอได้ชัดเจน แต่อนิจจาตอนนี้เป็นหน้าฝนทำให้สปีดโบ๊ทของคริสพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูง ความตกใจมือของคริสแทนที่จะผ่อนคันเร่งแต่กลับบิดคันเร่งจนสปีดโบ๊ทเหินขึ้นไปด้านบนพลิกตกลงมากระแทกที่ศีรษะของคริสจนรู้สึกเจ็บปวดอย่างแรง เลือดสีแดงเจือจางด้วยสายน้ำที่โอบรอบร่างหมดสติ จมดิ่งลงไปใต้ท้องน้ำ.“เฮือก!”“พี่สี่! เจ้าหมาน้