กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว คริสผู้ซึ่งไม่เคยมองโลกในแง่ดีใบหน้าเรียบเฉยถึงกระนั้นก็ยังดูดีเพราะเป็นคนผิวขาวใบหน้าหล่อเหลาจมูกโด่งเป็นสันดวงตาดำขลับขนตางอนยาวเป็นลูกครึ่งไทยจีนมีแม่เป็นคนจีน คิ้วดกดำขมวดเข้าหากันมองไปยังแพใหญ่ที่เพื่อนของเขากำลังดื่มกิน เร่งเครื่องสปีดโบ๊ทให้กระแทกไปบนพื้นน้ำ“คริส! มึงไม่ใส่ซูชีพวะ”คริสไม่มีทางจะได้ยินเพราะเสียงที่ดังกระหึ่ม สปีดโบ๊ทหักเลี้ยวออกห่างจากฝั่งไปไกลขึ้นจนแทบมองไม่เห็นแพ คริสเริ่งความเร็วราวกับโกรธใครมาน้ำที่กระเซ็นใส่ใบหน้าให้ความรู้สึกสดชื่น ภูเขาสูงข้างหน้ามองดูราวกับภาพฝันใต้พื้นน้ำข้างหน้าที่สปีดโบ๊ทกำลังจะแล่นผ่าน มีตอไม้มหึมาจมอยู่ใต้น้ำทำความเสียหายให้เสื้อหรือสปีดโบ๊ทที่วิ่งผ่านมานับครั้งไม่ถ้วน ปกติถ้าไม่ใช่หน้าฝนจะมองเห็นตอได้ชัดเจน แต่อนิจจาตอนนี้เป็นหน้าฝนทำให้สปีดโบ๊ทของคริสพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูง ความตกใจมือของคริสแทนที่จะผ่อนคันเร่งแต่กลับบิดคันเร่งจนสปีดโบ๊ทเหินขึ้นไปด้านบนพลิกตกลงมากระแทกที่ศีรษะของคริสจนรู้สึกเจ็บปวดอย่างแรง เลือดสีแดงเจือจางด้วยสายน้ำที่โอบรอบร่างหมดสติ จมดิ่งลงไปใต้ท้องน้ำ.“เฮือก!”“พี่สี่! เจ้าหมาน้
อันนี้มันปู้ปู้จิงซินชัดๆ ด้วยสมองอันชาญฉลาดของคริสหรือเก๊ามู่เฉินทำให้วิเคราะห์เรื่องนี้ได้ไม่ยาก“จะยากอะไรส่งคนผู้นี้ไปทรมานให้คายความจริงออกมา”องค์ชายเก้าอ้ายซิ่นเจี๋ยหลัวอิ๋นถังท่าทีเย่อหยิ่งแม้จะมีใบหน้าหล่อเหลาแต่สายตาไม่เป็นมิตร“น้องเก้า ทำอย่างนั้นก็เท่ากับไร้ความยุติธรรม เสด็จพ่อทรงสั่งสอนให้เราทั้งหมดยึดมั่นคุณธรรม คนไม่ผิดจะลงทัณฑ์ง่ายดายได้อย่างไร” อิ๋นสือปรามเบาๆ น้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟัง“องค์ชายแปดมาเพื่อการนี้ ตั้งใจปกป้องเขา พูดให้พี่สี่ดูแย่ว่าพี่สี่ไร้คุณธรรมเพื่อปกป้องคนของท่าน” อิ๋นเสียงยิ้มเหยียด“น้องสิบสาม เจ้าประเมินพี่แปดต่ำไป ข้าไม่ได้มีเจตนากล่าวร้ายพี่สี่”“ข้าไม่รู้จักใครทั้งนั้น ก็แค่คนเลี้ยงม้า” เก๊ามู่เฉินแก้สถานการณ์โดยเร็ว หากปล่อยไว้ต้องมีการประลองกระบี่กันแน่“เลี้ยงม้า?” คนทั้งหมดอุทานออกมาพร้อมกัน“เลี้ยงม้าอยู่ในน้ำอะเหรอ” อิ๋นถีแหนบ“ท่านไม่รู้จักม้าน้ำหรอ” เก๊ามู่เฉินถามกลับทันควันคนทั้งหมดส่ายหน้าถอนหายใจ“ข้าเห็นเจ้าลับๆ ล่อๆ ก่อนที่ข้าจะซัดฝ่ามือเข้าใส่จนตกลงไปในน้ำดีนะที่องค์ชายสามช่วยเจ้าไว้ไม่อย่างนั้นข้าจะปล่อยให้เจ้าจมน้ำตาย เจ้าผ่
ในห้องมีกองตำราหนังสือวางกระจัดกระจายตามชั้นหนังสือและพื้น หากจะเดินจำต้องใช้เท้าเขี่ยแหวกทางหากไม่อยากเหยียบตำราบนพื้นที่ล้วนแต่เป็นตำราสำคัญ โต๊ะในสุดกลางห้องที่แดดส่องถึงอ่อนๆ แต่กระนั้นก็ยังมีฝุ่นเกาะเกรอะกรังเจ้าของห้องนั่งเขียนตำราอย่างขะมักเขม้นไม่สนใจผู้ที่ก้าวเข้ามาแม้แต่น้อยอ้ายซิ่นเจี๋ยหลัวอิ๋นจื่อองค์ชายสามผู้รูปงาม ริมฝีปากสีแดงระเรื่อผิวขาวจนเกือบซีดทว่าผมเผ้ารุงรังเพียงแค่มัดรวบไว้ลวกๆ อย่างเร่งรีบแขนเสื้อและมือมีรอยเลอะหมึกสีดำเป็นแถบ เสื้อผ้าหน้าผมถูกละเลยไม่เรียบร้อยหรูหราประณีตเหมือนองค์ชายทั่วไป“ข้าไม่แปลกใจเลยหากจะมีใครสักคนหายไปในห้องพี่สาม”อิ๋นถีใช้เท้าเขี่ยตำราบนพื้นพลางมองสำรวจ ไม่บ่อยนักจะมีธุระให้มาเจอพี่สาม อิ๋นจื่อเงยหน้าขึ้นมาหันซ้ายหันขวาก่อนจะกล่าวอย่างสับสน“ใคร มีใครหายไปในห้องข้า”“พี่สามน้องสิบสี่แค่เปรียบเปรย ทำไมท่านปล่อยให้ห้องรกแบบนี้” อิ๋นเสียงตอบยิ้มๆ“ข้าแค่เอาตำราทุกเล่มที่จำเป็นต้องใช้เข้ามาในห้อง นั่นเจ้าสิบสี่เจ้าเอาเท้าเขี่ยตำราเชียวหรือ”อิ๋นจื่อลุกขึ้นและหยิบตำราที่พื้นขึ้นมาวางกองบนโต๊ะหนังสือตัวเอง เมื่อเงยหน้าก็สังเกตเห็นเก๊ามู่เ
“ขอบคุณองค์ชายสาม”ดูจากท่าทีและคำเรียกแล้วอิ๋นเจิ้งและองค์ชายสามคงไม่สนิทกันถึงขั้นไม่ลงรอยแต่จะด่วนสรุปยังเร็วไป เขาต้องตอบตามความจริงละทิ้งอคติ“เจ้าเข้าไปที่จวนพี่สี่ทำไม เข้าไปได้ยังไง”“ข้าไม่รู้ ข้าจำไม่ได้”“เจ้ามีญาติพี่น้องหรือไม่”“ข้าไม่มี” อิ๋นจื่อขมวดคิ้วด้วยเป็นคนที่ชอบคิดวิเคราะห์“งั้นก็อยู่ที่นี้ช่วยงานข้าสักพักคงไม่เป็นปัญหา อยู่จนกว่าน้องสี่จะหายสงสัย”อิ๋นจื่อหันไปเก็บตำราต่อเหมือนหมดคำถามแค่นี้จริงๆ เก๊ามู่เฉินรีบลุกขึ้นตั้งใจจะช่วยแต่กลับถูกอีกฝ่ายห้ามทันทีอย่างแตกตื่น“นั่งก่อนเถอะ นั่งก่อนเถอะ เจ้าบาดเจ็บไว้หายดีจริงๆ แล้วข้าจะใช้งานเจ้าเอง”“ไม่เป็นไรๆ งานง่ายๆ แค่นี้ข้าทำได้”“งั้นก็ตามใจ”เก๊ามู่เฉินเดินไปเก็บตำราและเศษกระดาษที่ทั้งขยำและฉีกโยนไปทั่วห้อง โห้ อย่างเยอะเลย แอบดูนิดหน่อยคงไม่เป็นไรในเมื่อก็จะทิ้งอยู่แล้วเห็นๆ เมื่อแกะกระดาษออกดูก็พบตัวหนังสือเต็มหน้ากระดาษ บางแผ่นมีภาพวาดและบางแผ่นมีสูตรที่เขาเห็นแล้วเวียนหัวกระทันหันแต่ก็แปลกใจจนอดไม่อยู่“เห้ย องค์ชายสาม!”“หืม? เจ้าตกใจอะไร” อิ๋นจื่อหันมองอย่างงุนงงและเห็นเก๊ามู่เฉินอ่านกระดาษที่ยับยู่ยี่ข
“มันเขียนว่าอะไร” อิ๋นจื่ออดจะยื่นหน้ามาดูไม่ได้เก๊ามู่เฉินพับกระดาษเก็บอย่างเรียบร้อย อย่างน้อยนี่ก็คือของทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายมือองค์ชายเก้าในอดีตเขียนขึ้นเอง แต่ของชิ้นนี้เกรงว่าเมื่อว่างเขาจะต้องเอาไปเผาพร้อมพริกเกลืออย่างแน่นอน!“เจ้าอย่าคิดมากเลย เขาก็เป็นเช่นนั้นแต่ข้าขอเตือนเจ้า อยู่ให้ห่างเถอะ”“ข้าคงไม่ได้วุ่นวายอะไรพวกท่านหรอก…ข้าคงอยู่เป็นตัวประกอบนั้นแหละ” เพราะในประวัติศาสตร์ไม่มีชื่อเขานี่ ถูกไหมฮ่าฮ่าฮ่า“เช่นนั้นก็ดี เจ้าเก้าดีร้ายไม่อาจคาดเดาอีกทั้งยังเป็นอีกคนที่ข้าดูไม่ออกพอเช่นเดียวกับเจ้าสี่และเจ้าแปด”เป็นเช่นนั้นจริงๆ เก๊ามู่เฉินเริ่มชินกับการช่วยอิ๋นจื่อหยิบจับหาหนังสือตำราตอนนี้ ผ่านไปเพียงแค่สามวันเขาก็ทำงานคล่องขึ้นเยอะมาก อาจเพราะเขาเก็บตำราตามหมวดหมู่แล้ว เลยหยิบจับง่ายขึ้นกว่าก่อนหน้านี้แต่สงบสุขไม่ทันไรเสียงเจื้อยแจ้วของอิ๋นเอ๋อก็ดังขึ้นก่อนที่ตัวเจ้าของเสียงอันร่าเริงจะปรากฏพร้อมอิ๋นถี“เก๊ามู่เฉินนนนน มาาาเล่นนนกานนน”เก๊ามู่เฉินกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย อิ๋นเอ๋อแวะมาหาเขาทุกวันและเอาแต่ชวนคุยจนอิ๋นจื่อบางครั้งยังต้องถึงขั้นนวดขมับ คำที่ว่าไม่สร้า
อิ๋นถีที่ดื่มไปมากแล้วกำลังมองเก๊ามู่เฉินที่ยามนี้ไม่สนใจจะดื่มจะกินต่อแล้ว ทำเพียงวุ่นวายกับกระดาษกับที่อิ๋นถังให้มา อิ๋นถีเท้าคางบนโต๊ะมองเก๊ามู่เฉินที่มือตวัดพู่กันไปมาปากพึมพำ“เจ้าทำอะไร”“เรียบร้อย เอคือหนึ่งจุดหกสามศูนย์สามและบีคือหนึ่งจุดแปดสี่สามหนึ่ง”เก๊ามู่เฉินลุกขึ้นชูกระดาษสองใบโห่ร้องด้วยความดีใจจนองค์ชายทั้งสามสะดุ้งโหยง อิ๋นถังทำสุรากระฉอกโดนมือก็ขมวดคิ้วหันมาตำหนิเขา“เป็นบ้าอะไรอีก”“มีเรื่องน่าสนใจหรือเก๊ามู่เฉิน” อิ๋นเอ๋อรีบเข้ามาดูเสียงอ้อแอ้ไม่บอกก็รู้ว่าเมามาย“ดูนี่ ดูไว้ ของขวัญขอบคุณสำหรับองค์ชายสามจากเจ้าคนเลี้ยงม้าผู้แสนกตัญญู” กล่าวชื่นชมตัวเองหน้าด้านๆอิ๋นถีที่มองอยู่ตลอดก็หัวเราะเบาๆ“เจ้านี่จะว่าไปก็มีอารมณ์ขันใครกันจะยอมรับน้ำใจจากคนเลี้ยงม้าแล้วถือว่าเป็นบุญคุณ”“หา ข้ารื้อฟื้นแทบตายกว่าจะไขคำตอบได้” ลำพังองค์ชายสามผู้นั้นที่ไม่รู้ว่าใช้เวลากี่เดือนกี่วันจึงเห็นกระดาษถูกทิ้งบนพื้นห้องเกลื่อนกลาด“อืมมมเห็นจะจริง จะเอาไปให้พี่สามเลยหรือไม่”“ไม่ ข้าต้องถามเขาสักนิด ว่ามันสำคัญหรือไม่”“ข้าเคยได้ยินว่าเสด็จพ่อมอบหมายบางอย่างให้พี่สามไขความกระจ่างแต่
“เจ้าสิบสี่ พี่สี่ทำอะไรเปิดเผยจริงใจไม่เหมือนพี่แปดที่ปิดบังซ่อนเร้นภายนอกโปรยคำหวานแต่ข้างในยากหยั่งถึง”“ข้ายอมให้เขาโปรยคำหวานดีกว่าต้องมาทนดูสีหน้าบึ้งตึงของพี่สี่”“นี่ไง! สำเร็จแล้วววว เก๊ามู่เฉินเจ้าใช่ไหม เจ้าทำเป็นเจ้าใช่ไหม” มีบางคนที่อยู่เหนือความขัดแย้งอิ๋นจื่อตะโกนเสียงดังอย่างดีใจกอดกระดาษแผ่นนั้นไว้แน่นคล้ายกลัวกระดาษจะหายไป อิ๋นจื่อวิ่งออกไปอย่างรวจเร็วกระโดดคว้าตัวเก๊ามู่เฉินที่นอนนิ่งกำลังจะหลับใหลมากอดไว้แน่นอย่างดีใจก่อนจะผละออกและเขย่าให้เก๊ามู่เฉินตื่นเต็มตา อิ๋นเจิ้งและอิ๋นเสียงที่ตามมามองอย่างงุ่นงงมีเพียงอิ๋นถีที่ยิ้มกว้างเหมือนภูมิใจ“อะไร อะไร องค์ชายสาม ท่านใจเย็นๆ” เก๊ามู่เฉินสะลึมสะลือ“เจ้าใช่ไหม เจ้าทำใช่ไหม กระดาษพวกนี้ข้าเห็นเจ้าเอาวางไว้”“ท่านอ่านแล้วหรือ”“ใช่ ไป ไปกับข้าเดี๋ยวนี้เลย”“เดี๋ยวๆ ไปไหนองค์ชายสาม ข้าจะนอนข้าเวียนหัว”อิ๋นจื่อกำรอบข้อมือเก๊ามู่เฉินแน่นพยายามจะดึงเขาให้ลุกขึ้นจากที่นอน อิ๋นเจิ้งกระแอมเสียงดังทีหนึ่งก่อนจะเลิกคิ้วและถามอย่างใจเย็น“นี่มันเรื่องอะไรกันองค์ชายสาม ข้าไม่เข้าใจ”อิ๋นจื่อไม่ได้สนใจเสียงอย่างอื่นแต่โวยวายเ
เก๊ามู่เฉินยิ้ม วิธีนี้แพร่หลายเป็นบทเรียนสำหรับลูกหลานโดยมีคนที่คอยสร้างสูตรให้เป็นหนังสือเรียน“มอบทองสามหีบเงินห้าหีบ และแต่งตั้งให้เก๊ามู่เฉินรั้งตำแหน่ง ซงมิงต้าจื่อ (ผู้ฉลาดรอบรู้ที่อยู่กับองค์ชายสาม) ”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”เก๊ามู่เฉินหุบยิ้มไม่ได้ รวยแล้วโว้ยยย แบบนี้ให้หนีไปใช้ชีวิตข้างนอกได้ด้วยตัวคนเดีวยแบบหรูๆ เริ่ดๆ ไม่ต้องทนรับความตึงขององค์ชายสี่และไม่ต้องยุ่งกับเรื่องแย่งชิงที่จะมาถึงระหว่างทางเดินกลับเก๊ามู่เฉินหันหน้าหันหลังเป็นห่วงหีบทองและหีบเงินในมือขันที ทั้งๆ ที่พวกเขาคงไม่มีโอกาสยักยอกไปไหนได้เพราะว่าเดินตามหลังเขาและองค์ชายสามมาขนาดนั้น“ไหนๆ เจ้าก็ได้รางวัลตั้งขนาดนี้ ช่วงนี้อยากไปเที่ยวเล่นพักผ่อนที่ไหนก็ไปเถอะ”“องค์ชายสาม ข้าย้ายออกเลยได้หรือไม่”“ย้ายออก? ..เจ้ามีตำแหน่งที่เสด็จพ่อแต่งตั้งให้แล้ว เจ้าคิดจะไปไหน”อิ๋นจื่อถามพลางหันไปชี้นิ้วสั่งให้ขันทีนำหีบทองและหีบเงินไปเก็บในห้องของเก๊ามู่เฉิน เก๊ามู่เฉินยืนอ้าปากตาค้าง“ข้าไปไม่ได้หรือ เดี๋ยวสิๆ ทำไม”“ตำแหน่งของเจ้าชื่อก็บอกแล้วว่าต้องอยู่ข้างๆ ข้าช่วยงานข้า และเจ้าก็ยังไม่หลุดจากข้อสงสัยของน้องสี่”“งั้น
“ข้าง่วงแล้วไปนอนกันเถอะ”จวนองค์ชายสามอิ๋นจื่อ“พี่สาม ข้ามาลา”องค์ชายสามอิ๋นจื่อขมวดคิ้ว“เจ้าจะไปไหนกันเจ้าสิบ”“ข้าหลังจากที่มาไตร่ตรองดูแล้วข้าควรจะไปเสียจากวังหลวง ลดแรงเสียดทานและออกห่างจากการแย่งชิง”“แน่ใจแล้วหรือ”“พี่สาม ตอนนี้ชายาของข้ากำลังตั้งครรภ์สิ่งที่ข้าอยากเห็นที่สุดก็คือใบหน้าลูกและความสำเร็จของลูกชายข้า และสิ่งที่ข้ากลัวที่สุดคือกลัวว่าลูกข้าจะกำพร้าพ่อ”องค์ชายสามทอดถอนใจ“ไม่อาจรั้งเจ้าไปแล้วน้องสิบ พี่สามขอให้เจ้าโชคดี”อิ๋นเอ๋อประสานมือคุกเข่าก้มหน้าจรดพื้น“ข้าสัญญา ข้าจะไม่มีทางลืมเลือนสายสัมพันธ์พี่น้องของเรา”“โชคดีเจ้าสิบและเราจะได้พบกันอีกครั้ง ข้าหวังอย่างนั้น”องค์ชายสิบไปแล้ว เฉิงหยิงเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับถ้วยชา“องค์ชายความขัดแย้งครั้งนี้แม้แต่องค์ชายสิบที่ไม่เคยจะทุกข์ร้อนกับเรื่องใดเขากลับเปลี่ยนแปลงตัวเอง กลายเป็นคนที่กลัวไปเสียทุกเรื่อง”องค์ชายสามอิ๋นจื่อยิ้มเศร้าๆ“ความบาดหมางครั้งนี้มากมายเกินไป บางทีข้าเองก็คิดว่าไม่อาจแก้ไขมันได้ เจ้าสี่เป็นคนที่ใจแข็ง เด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นสิ่งที่เขาทำเขาจะไม่มีวันเสียใจแม้ว่าจะผิดก็ตามเพราะเขาคิดว่ามันคุ้
ต้ากงเหวินวิ่งออกจากตรงนั้นไปที่ตำหนักเคียงฟ้าเก็บข้าวของที่จำเป็นก่อนจะวิ่งไปที่ตำหนักใหญ่ของฮ่องเต้ หลงเค่อตั๋วขมวดคิ้วเมื่อเห็นต้ากงเหวิน“องค์ชายใหญ่ฝ่าบาทบรรทมไปแล้ว หากท่านคิดจะมาร้องขอให้ฝ่าบาทตามใจท่านเรื่องใดอีกก็ควรจะมาในเวลาอื่น”ต้ากงเหวินทำเสียงจิ๊จ๊ะ บรรทมบ้าอะไร ฝ่าบาทอยู่กับชิงหยุนเนียเจ้าองครักษ์โง่นี่ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยว่ากำลังมีคนหนีเที่ยว“ฝ่าบาทยังไม่ได้บอกท่านอีกหรือว่าให้ข้ามาที่นี่”เดี๋ยวค่อยว่ากันใหม่ตอนนี้โกหกเจ้านี่ให้รอดก่อน หลงเค่อตั๋วยิ้มมุมปาก“จะมาอยู่ที่นี่ทำไมกัน ท่านมีประโยชน์ใดกันกับต้าชิงของเรา ตัวท่านเอาแต่เที่ยวเล่นสนุกสนานไปวันๆ ท่านควรจะกลับตงโกได้แล้ว อยู่ไปก็รังแต่จะสร้างความหนักใจให้ฝ่าบาท สร้างความร้าวฉานให้พวกพี่น้องเขาไม่มีท่านก็มีข้าที่คอยอารักขาฝ่าบาท สามกองธงขาวอะไรของท่านไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น”ต้ากงเหวินยิ้มมุมปาก“อ้าวหรอข้าพึ่งรู้ว่าสามกองธงขาวไม่มีความสำคัญ เช่นนั้นยามที่ฝ่าบาทเชิญข้าเข้าร่วมกับฝ่าบาทและทัพของต้าชิงข้าก็จะได้อ้างคำพูดของท่าน ทั้งๆ ที่ข้าคิดว่าสามอย่างไรก็มากกว่าหนึ่งกองธงขลิบเหลืองของท่านล่ะว่ะ”หลงเค่อตั๋วกัดฟ
ตำหนักเคียงฟ้าต้ากงเหวินเดินไปเดินมาภายในห้องด้วยท่าทีครุ่นคิด ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ขาดหายไปเท่าที่เขาจำได้องค์ชายสามอิ๋นจื่อใช้ชีวิตอย่างสงบเขียนตำราภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง องค์ชายแปดกลับมาในตำแหน่งเหลียนชินหวังเช่นเดิม องค์ชายสิบขอประทานอนุญาตใช้ชีวิตนอกเขตวังหลวง องค์ชายสิบสามกลับมาในตำแหน่งเหอซั่วอี๋ชินหวัง องค์ชายสิบสี่ผู้นั้นต่างหากที่น่าห่วงถูกคุมขังกักบริเวณไม่ให้ไปไหน บางทีนี่อาจไม่ใช่จุดจบแต่เป็นจุดเริ่มต้น ไม่มีใครตายอีกแล้วต่อจากนี้ เช่นนั้นเขาควรหาทางกลับไปเสียเพราะไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว จะต้องมีอะไรผิดไปแน่ๆ เขาจึงย้อนเวลากลับไปไม่ได้ข้าควรไปพบพี่สามคนนั้นดีกว่า นางจะต้องรู้อะไรแน่ๆ หรือบางที นางอาจพาเขากลับไปยังที่ที่จากมาสาวเท้าไปยังตำหนักฉาฮวาของชิงหยุนเนียจักรพรรดิหย่งเจิ้งก้าวขาเข้าไปในตำหนักฉาฮวาเพียงลำพังไร้องครักษ์และขันทีติดตามราวกลับเขาเร้นกายมาเพียงลำพัง บรรยากาศข้างนอกหนาวเหน็บ แสงสุรีย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ชิงหยุนเนียเดินเข้ามาปลดเสื้อคลุมที่มีเกล็ดหิมะเกาะไปทั่วหลังไหล่ออกช้าๆ ดึงเอาเสื้อคลุมขนสัตว์ที่ราวแขวนอาภรณ์มาคลุมให้หย่งเจิ้ง เติมฟื
จักรพรรดิหย่งเจิ้งก้าวข้าลงมาจากบัลลังก์ช้าๆ มาหยุดยืนตรงหน้าองค์ชายสามอิ๋นจื่อ องค์ชายสิบสี่อิ๋นถีและองค์ชายสิบอิ๋นเอ๋อสาวเท้ามายืนข้างๆ องค์ชายสามอิ๋นจื่อ“ไม่เป็นไร ใครอยากจะตรวจสอบข้าก็ได้ตามสบาย ข้าเข้าใจว่าหากข้าเป็นพี่สามก็คงรู้สึกไม่พอใจเช่นกันในเมื่อแทนที่จะเป็นองค์ชายอันดับสามกลับเป็นอันดับสี่เช่นข้า” ยิ้มบางๆใต้เท้าฉู่ก้าวขาออกมาประสานมือด้านหน้า“ข้าน้อยเห็นควรว่า ควรจะแต่งตั้งให้ขุนนางที่มีความน่าเชื่อถือร่วมกันตรวจสอบพินัยกรรมพระปรมาภิไธยและตราประทับและอักษรคำว่าอันดับสี่ว่ามีใครปลอมแปลงขึ้นมาหรือไม่”จักรพรรดิหย่งเจิ้งหันไปทางหลงเค่อตั๋ว“หลงเค่อตั๋วรับบัญชาไปคัดคนมาตรวจสอบพินัยกรรม”องค์ชายสามอิ๋นจื่อยิ้มเย็น“น้องสี่จะไม่น่าเกลียดไปหน่อยหรือ หลงเค่อตั๋วเป็นคนของน้องสี่”“แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร มีใครอยากจะเสนอตัวบ้าง”ขุนนางหลายฝ่ายต่างซุบซิบ ใครบ้างจะกล้าเสนอตัว หากใครกล้าเสนอตัวนั่นเท่ากับตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับจักรพรรดิหย่งเจิ้ง องค์ชายสามอิ๋นจื่อพูดขึ้นดังๆ“ครั้งนี้ถือว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะทำเพื่อเสด็จพ่อ พวกท่านเหล่าขุนนางที่เคยภักดีต่อเสด็จพ่อหากพินัยกรรมเป็นของจร
“ไม่นะเพียงแค่อย่างที่บอกไว้ ก่อนคิดจะทำอะไรให้รักษาชีวิตไว้จึงดี”ต้ากงเหวินถอนหายใจพร้อมกับยิ้มกว้าง“ก็ได้ ข้าสัญญาว่าจะไม่เอาชีวิตข้าเข้าไปเสี่ยงหากไม่จำเป็นท้องพระโรงจักรพรรดิหย่งเจิ้งนั่งบนบัลลังก์สูงสุดสวมเสื้อคลุมมังกรสีทองอร่ามเข้ากันกับบัลลังก์ลวดลายมังกรที่นั่งฉีกงกงยืนอยู่ข้างๆ หลงเค่อตั๋วยืนไม่ห่างมือกำกระบี่ในท่าเตรียมพร้อม เหล่าเชื้อพระวงศ์ยืนด้านข้างบัลลังก์ด้วยท่าทีสงบหนึ่งในนั้นคือองค์ชายสิบสี่อิ๋นถีและองค์ชายสิบอิ๋นเอ๋อแต่ไร้ซึ่งวี่แววขององค์ชายสามอิ๋นจื่อและองค์ชายแปดอิ๋นสือ ในโถงกว้างเหล่าขุนนางต่างยืนเป็นระเบียบเรียบร้อย“บัดนี้ทุกคนต่างมาพร้อมหน้า ฉีกงกงเป็นหน้าที่ของท่านแล้ว”“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ข้าน้อยฉีกงกงขอประทานอนุญาตอัญเชิญพระพินัยกรรม”ฉีกงกงก้าวลงมาด้านล่างบัลลังก์ส่งพานที่ด้านบนมีพินัยกรรมของคังซีวางไว้“หลงเค่อตั๋วรับบัญชาข้า รับหน้าที่ถ่ายทอดพระบัญชาของไท่ซางหวง”องครักษ์นับร้อยต่างกรูกันเข้ามาอารักขารอบๆ ท้องพระโรง หลงเค่อตั๋วขยับลงมาด้านล่างบัลลังก์ราวกับเตรียมพร้อมไว้แล้ว ก้มศีรษะรับเอาม้วนกระดาษที่เชื่อว่าเป็นพินัยกรรมของคังซี เหล่าขุนนางต่างส่งเ
ต้ากงเหวินยืนอยู่หน้าไทม์แมชชีนขึ้นไปยืนข้างบนแผ่นไม้ที่มีรอยซ่อมขององค์ชายสามอิ๋นจื่อนั่นแหละเวาลาเรียนเขาให้จำไม่จำ ว่าแต่มันอะไรวะละติจูดลองติจูดที่เท่าไหร่ เคยสงสัยว่าเขาให้เรียนไปทำไม ที่แท้ก็ให้มาหมุนไทม์แมชชีนนี่เอง ราวกับรู้ล่วงหน้าเลยว่ากูจะได้มาหมุนไทม์แมชชีน วันนี้แหละจำได้คลับคล้ายคลับคลาเป็นโคราชบ้านเอ็งหมุนแผ่นไม้ให้ตรงที่ตำแหน่งตัวเลขสองฝั่งXคือละติจูด 15 องศาเหนือ Yคือลองติจูด 102 องศาตะวันออก ต้ากงเหวินขึ้นไปยืนบนแผ่นไม้ตรงกลางพอดิบพอดี ก้มลงมองไทม์แมชชีนย่อส่วนหมุนตัวเลขให้ตรงกัน ต้ากงเหวินหลับตาแทบจะกลั้นลมหายใจเขาจะไปแล้ว เขากำลังจะไปแล้วจริงใช่ไหม ทำไมรู้สึกใจหายอย่างนี้ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ เขากลับคิดว่าไม่ได้ผูกพันอะไรก็แค่เหมือนมาเที่ยว แต่มาถึงตอนนี้คริสกลับรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ทั้งๆ ที่โลกปัจจุบันเขามีพ่อแม่เพื่อนฝูงแต่กลับรู้สึกว่าเหมือนเขากำลังจะจากบ้านไปแต่ดูสิ จะไปทั้งทีกลับทะเลาะกับองค์ชายสามที่งี่เง่าคนนั้น ก็ใช่น่ะซิ ตัวเองมีเมียแล้วนี่คงอยากให้เขาไปพ้นๆ เสียที หากย้อนเวลาได้อีกครั้งต้ากงเหวินก็คงจะทำเหมือนเดิม ทอดถอนใจลาก่อนต้าชิงเ
“ไม่ไม่ไม่ไม่ ต่อไปนี้เขาจะไม่ฆ่าใครอีกแล้ว ท่านวางใจเถอะ”“เจ้ารู้ได้ยังไง ดูเจ้าจะไว้ใจพี่สี่นะ” อิ๋นถีขมวดคิ้ว“ก็…ก็…ก็เขารับปากข้าแล้วนี่ว่าจะไม่ฆ่าใครอีก เขาไม่ลืมสัญญาแน่”“เจ้าเชื่อในสิ่งที่พี่สี่พูดด้วยหรือ”ต้ากงเหวินส่ายหน้าไปมา ก็ตามประวัติศาสตร์เขาฆ่าไปกี่คนแล้วล่ะก็อ่านไม่จบอ่านถึงแค่นั้นแล้วจะรู้ได้ไงว่าเขาฆ่าไปกี่คนจริงๆ แล้ว แล้วสิ่งที่ชิงหยุนเนียต้องการจะบอกคืออะไรกันแน่ ผู้หญิงคนนี้มาจากไหนก่อนคำพูดของเจ้าหล่อนทำเอาเขาคิดว่าต้องรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเขาควรไปเสียเหมือนที่ชิงหยุนเนียต้องการดีไหม ก็นั่นแหละนะเป้าหมายของเขาคือการกลับไป เขาไม่ได้อยากมาที่นี่เสียหน่อย ช่างหัวที่นี่มันเถอะ ประวัติศาสตร์ถูกเขียนไว้แล้วจะลบได้อย่างไรไว้พรุ่งนี้เถอะเขาจะกลับบ้านทันทีจวนองค์ชายสามอิ๋นจื่อ“ไปไหนมาไหนได้สะดวก อิ๋นเจิ้งไม่ได้กักตัวเจ้าไว้หรือ” อิ๋นจื่อไม่ได้แสดงท่าทีว่าดีใจหรือเสียใจที่เห็นอิ๋นถี“ยังมีข้ากับต้ากงเหวินที่ไม่ถูกกักตัว” อิ๋นถีถอนหายใจยาว“ต้ากงเหวินอยู่นอกกฎเกณฑ์นี้อยู่แล้ว อิ๋นเจิ้งไม่ได้เห็นเขาเป็นศัตรู” อิ๋นจื่อน้ำเสียงแกว่งๆ ในตอนท้าย“เพราะแบบนี้ไงข้าถึงไ
“เช่นไรจึงเรียกว่าประหลาดใจ กลับมาอีกครั้งฮ่องเต้กลายเป็นท่าน บางทีข้าก็สงสัยว่าข้าพลาดอะไรไปหรือเปล่า”คำพูดเป็นเลศนัยทำเอาจักรพรรดิหย่งเจิ้งขมวดคิ้ว“บัลลังก์ไม่อาจขาดฮ่องเต้ได้แม้แต่เพียงวันเดียว อีกทั้งยังมีคำสั่งเสียของเสด็จพ่อเป็นลายลักษณ์อักษรว่าบัลลังก์นี้มอบให้ข้า”“เห้อ ข้าต้องพลาดอะไรแน่เลย ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เสด็จพ่อตั้งใจจะมอบบัลลังก์ให้พี่สี่”“สิ่งที่คาดเดายากที่สุดคือพระทัยของฮ่องเต้ แล้วทำไมเสด็จพ่อต้องป่าวประกาศบอกเจ้าด้วยว่าให้ข้านั่งบัลลังก์ต่อจากเสด็จพ่อ”“ฝ่าบาทท่านพูดแบบนี้ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือ เสด็จพ่อโปรดปรานพี่สามใครๆ ก็รู้ดี ส่วนพี่แปดช่วยงานในราชสำนักได้ไม่น้อยหากให้เขาเป็นฮ่องเต้ย่อมไม่มีข้อบกพร่อง องค์ชายของเสด็จพ่อมีตั้งมากมายใครกันจะคิดว่าเป็นพี่สี่”จักรพรรดิหย่งเจิ้งกัดฟันจนเป็นสันนูน“เจ้าสิบสี่ เจ้าคงอยากจะเห็นคำสั่งเสียของเสด็จพ่อที่เป็นลายลักษณ์อักษร”“แน่นอน ข้าไม่ใช่คนที่เชื่อคนง่าย หากฝ่าบาทจะกรุณาพรุ่งนี้ที่ท้องพระโรงทุกคนจะได้เห็นพร้อมกัน”“ข้าจะได้ไม่ต้องอธิบายให้ใครฟังอีก”อิ๋นถีประสานมือตรงหน้ายิ้มมุมปาก“ขอบพระทัยฝ่าบาท”ต้ากงเหวินน
ต้ากงเหวินตกใจกับท่าทีของชิงหยุนเนียไม่น้อย“องค์ชายใหญ่ ข้าน้อยบังอาจขอ ฝ่าบาทเจ็บปวดแต่เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปได้ก็ควรจะเดินหน้าต่อไปไม่มองย้อนกลับ ท่านจะรื้อฟื้นเรื่องนี้ทำไมกัน การนั่งบัลลังก์ของฝ่าบาทมิใช่ถูกกำหนดมาแล้วหรือ”ต้ากงเหวินนิ่งงัน เรื่องนี้เป็นเขาที่เปลี่ยนแปลงได้หรือในเมื่อประวัติศาสตร์เขียนไว้ชัดเจนอิ๋นเจิ้งก้าวขาออกมายืนเอามือไพล่หลังอยู่หลังประตู“ข้าแค่อยากจะขอร้องฝ่าบาทว่าสิ่งที่ทำลงไปมีแต่จะสร้างความเกลียดชัง ต่อไปภายภาคหน้าหน้าถึงจะโกรธพวกเขาเพียงใดก็ให้เมตตาพวกเขา ถือว่าข้าขอร้อง”อิ๋นเจิ้งนัยน์ตาไหววูบชะงักงัน คำพูดของต้ากงเหวินถอดแบบมาจากคำพูดของคังซีราวกับเป็นคนคนเดียวกัน คำพูดเดียวกันนี้ของคังซีทำให้อิ๋นเจิ้งแค่เพียงให้องค์ชายเก้าอิ๋นถังเลือกวิธีตาย สำหรับเขานั้นถือว่าเมตตามากพอแล้ว แต่มาบัดนี้คำพูดของต้ากงเหวินกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญคือความเจ็บปวดในใจที่ต้องแบกรับไว้เพียงลำพัง บาปเคราะห์ทั้งหมดกัดกินหัวใจ จนแทบจะตายทั้งเป็น“บังอาจ! องค์ชายใหญ่ช่างปากกล้าสั่งสอนฝ่าบาท ท่านเป็นใคร ฝ่าบาทให้อยู่จึงอยู่ได้ ข้าในฐานะหัวหน้าองครักษ์เพื่อรักษาพระเกียรติของฝ่า