หลิ่วชิงเหอที่วิ่งกลับไปยังห้องด้วยความรวดเร็ว ในขณะที่เธอกำลังจะปิดประตูนั้น เธอก็สัมผัสได้ถึงสายตาของหลิ่วหรูเยียนที่เต็มไปด้วยความสงสัยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายใจในหัวใจไอ้เลวนั่นมันทำอะไรกับร่างกายเธอกันแน่!หลิ่วชิงเหอแทบจะเป็นบ้าแล้ว!หากถูกหลิ่วหรูเยียนรู้เข้าว่าเมื่อคืนเธอกับฉู่เฉิน...แบบนั้นจะทำอย่างไรดีหลิ่วชิงเหอสีหน้าโกรธจัด รีบวิ่งเข้าไปในห้องอาบน้ำเมื่อเธอมองไปยังกระจก ก็เห็นข้อความบนบั้นท้ายเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า “รอฟังข่าวดี” เธออึ้งไปเลยเมื่อหวนนึกถึงเดิมพันระหว่างเธอกับฉู่เฉินเมื่อคืน หลิ่วชิงเหอถึงได้เข้าใจทันที“ฉู่เฉิน! ฉันจะฆ่าแก!”“กรี๊ด!”หลิ่วชิงเหอตัวสั่นไปหมด ฉู่เฉินนี่ไม่ได้เรียกว่าทำเกินไป แต่เรียกว่ารนที่ตายไม่ได้!เธอต้องใจเย็นๆ !หลิ่วชิงเหอกลืนน้ำลายลงไป หอบหายใจอย่างแรง เธอพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างหนักแต่พอยิ่งคิดในใจโกรธเป็นอย่างมากมันน่าโมโหจริงๆ!หลิ่วชิงเหอกระทืบเท้าอย่างบ้าคลั่ง เธอต้องการหาที่ระบาย แต่สุดท้ายกลับทำให้เธอโกรธหนักกว่าเดิม!“แม่คะ หนูไปทำงานก่อนนะ วันนี้บริษัทมีประชุมเช้า หนูต้องไปเข้าร่วมตรงเวลา
ฉู่เฉินจะเป็นปรมาจารย์ได้อย่างไร?“คุณชายจิน คุณจำผิดหรือเปล่าคะ? เมื่อไม่กี่วันก่อน ไอ้เจ้านั่นมันยังเป็นคนไร้ประโยชน์อยู่เลยนะคะ”หลิ่วหรูเยียนถามจี้ด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน“หรูเยียนเป็นมันแน่นอน ไอ้เจ้านั่นมันน่าจะเป็นปรมาจารย์ยุทธ์จริงๆ ดังนั้น...”“พอเถอะค่ะ ในเมื่อคุณทำไม่ได้ งั้นฉันค่อยหาทางอื่นแล้วกัน”ไม่รอให้จินอ้าวเทียนพูดจบ หลิ่วหรูเยียนก็พูดตัดบทขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา หลังจากนั้นก็กดวางสายทันทีปรมาจารย์เหรอ?หลิ่วหรูเยียนเม้มริมฝีปากของเธอเล็กน้อยแล้วส่ายหัว เป็นไปไม่ได้!มันต้องเป็นเพราะไอ้คนไร้ประโยชน์จินอ้าวเทียนดื่มเหล้าเยอะจนเสียสติแน่ๆ ถึงสู้ฉู่เฉินไม่ได้ ถึงได้หาข้ออ้างที่ไม่น่าเชื่อถือมาล้างผิดให้ตัวเองแบบนี้!ใช่!เป็นอย่างนี้แน่!เมื่อคิดอย่างนี้ ความตื่นตระหนกบนใบหน้าของหลิ่วหรูเยียนก็หายไป และเธอก็กลับมามีความมั่นใจอีกครั้งหึ!ฉู่เฉิน!ไม่ว่าแกจะเป็นปรมาจารย์อะไรก็ช่าง ฉันก็จะต้องฆ่าแกให้ได้!หลังจากนั้นหลิ่วหรูเยียนก็ขับรถออกไปอีกครั้ง ขับรถมุ่งหน้าไปยังบริษัท……อีกด้านหนึ่ง ณ โรงพยาบาลประชาชนเจียงจง จินอ้าวเทียนมือพันไปด้วยผ้าพันแผล เขากัดฟ
“อืม ผมก็มีเรื่องจะคุยกับคุณพอดี”ฉู่เฉินพูดขึ้นมาอย่างนิ่งเฉยเมื่อได้ยินเช่นนั้น โจวเทียนเฟิ่งก็ดีใจมากและรีบบอกที่อยู่ของตึกเฟิ่งให้ฉู่เฉินทราบ จากนั้นจึงกล่าวด้วยความเคารพ “ปรมาจารย์ฉู่ ฉันจะส่งคนไปรับคุณนะคะ”ฉู่เฉินตอบกลับ และวางสายลงอีกด้าน ตึกเฟิ่งตึกเฟิ่งเป็นภัตตาคารขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเจียงจง สำนักเฟิ่งเป็นผู้สร้างขึ้นมา สถานที่สำหรับผู้บริโภคชั้นนำที่ผสมผสานด้านอาหาร ที่พัก และความบันเทิงเพื่อต้อนรับฉู่เฉิน โจวเทียนเฟิ่งตั้งใจจัดงานเลี้ยง ทั้งยังเชิญคนจากต่างประเทศ และเชิญเชฟที่มีชื่อเสียงที่สุดจากทั่วประเทศมาจัดเตรียมอาหารให้เองกับมือมองโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหาร อีกทั้งสายตาที่เลื่อมใสของโจวเทียนเฟิ่ง อู๋กังยอดฝีมือของสำนักเฟิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าดูไม่ดีเป็นอย่างมากเขาไม่เพียงแต่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนักเฟิ่ง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้มาจีบโจวเทียนเฟิ่งอีกด้วยตอนนั้นเป็นเพราะเข้าหลงใหลท่าทีที่ไม่เหมือนใครของโจวเทียนเฟิ่ง ถึงตกหลุมรักเธอ เขาเต็มใจช่วยเหลือโจวเทียนเฟิ่งสร้างสำนักเฟิ่งจนมีในวันนี้ได้แต่ในสิบปีที่ผ่านมานี้ โจวเทียนเฟิ่งกลับไม่แคร์
“ครับ”แม้ว่าอู๋กังจะยอมจำนนต่อหน้า แต่เขาก็แอบเถียงในใจไอ้ฉู่ ฉันก็อยากจะเห็นจริงๆ ว่าแกจะเก่งขนาดไหนกัน!ผ่านไปสักพัก กูจะเปิดโปงต่อหน้าเจ๊เองว่าแกมันเป็นคนหลอกลวง เมื่อคิดได้เช่นนี้อู๋กังก็ส่งเสียงหึออกมาเบาๆ เขาวิ่งเข้าไปในห้องส่วนตัวกวักมือเรียกลูกน้องมาสองคน นำแผนที่ของบ้านใหญ่ตระกูลฉู่มอบให้“ไปรับตามคำสั่งของเจ๊ ไปรับปรมาจารย์ฉู่มา!”ลูกน้องสองคนที่ได้ยินเช่นนั้นรีบรับกระดาษนั่นมา พร้อมกับรับคำสั่งสามสิบนาทีผ่านไป ลูกน้องสำนักเฟิ่งสองคน จากนั้นเขาก็พาฉู่เฉินไปที่ประตูห้องเทียนจือในตึกเทียนเฟิ่ง และแสดงท่าทางแสดงความเคารพ พร้อมกับผายมือเชิญ “ปรมาจารย์ฉู่ เชิญด้านในครับ เจ๊รอคุณอยู่ในนี้นานแล้วครับ”ฉู่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย ผลักประตูเข้าไปมองไปที่แผ่นหลังของฉู่เฉินแป๊ปหนึ่ง ลูกน้องหนึ่งในนั้นยักคิ้วขึ้นมา เขากระซิบกับเพื่อนที่อยู่ข้างๆ “นี่คือปรมาจารย์ฉู่ที่อายุน้อยนั่นใช่ไหม?”“ฉันว่าเขาดูเด็กกว่าฉันไปสามสี่ปีเลยนะ”เพื่อนที่อยู่ข้างๆ เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่เห็นเหรอว่าเมื่อกี้สีหน้าของพี่อู๋แย่แค่ไหน? ฉันเดาว่าเด็กนี่ลำบากแล้วล่ะ”เมื่อได้ยินคำนี้ทั้งสองคนส
อู๋กังอดทนกับฉู่เฉินมานานแล้วตั้งแต่ที่ฉู่เฉินเดินเข้ามา อู๋กังก็ไม่ถูกชะตาฉู่เฉินแล้วโจวเทียนเฟิ่งสละที่นั่งให้เขา มันเป็นเพียงมารยาทเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วตึกเฟิ่งก็คือถิ่นของสำนักเฟิ่งอยู่ดีหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น จะไม่มีใครกล้านั่งที่หลักแน่นอน เพราะนั่นมันเป็นสิ่งต้องห้ามในโลกใต้ดินแต่ไอ้เจ้าหน้าจืดนี่มันช่างกล้า นั่งลงไปซะดื้อๆ แบบนั้นเขาอดทนแล้ว ใครใช้ให้โจวเทียนเฟิ่งเอาแต่ปกป้องไอ้หน้าจืดนี่ล่ะ? พอเมื่อพูดถึงซงหู่ ไอ้เจ้านี่มันก็เอาแต่แสร้งทำเป็นอำนาจบาตรใหญ่ พูดออกมาว่าเรื่องเล็กน้อยงั้นเหรอ?คำพูดแบบนี้ไอ้ฉู่มันก็พูดออกมาได้งั้นเหรอ?ในตอนนั้นกำราบซงหู่ พร้อมทั้งนำคนไปทำลายเหมิงหู่ถังกว่าสิบกว่าแห่งก็คืออู๋กังในขณะนั้น อู๋กังมีพลังกำลังภายในระดับพื้นฐานแล้วแต่ถึงอย่างนั้น การต่อสู้อันนองเลือดกับเหมิงหู่ถังก็ยังคงสดใหม่อยู่ในความทรงจำของอู๋กังในตอนที่เข้าสู้กับซงหู่นั้น ร่างกายได้รับบาดเจ็บจากคมมีดหลายจุด สุดท้ายก็เป็นเพียงชัยชนะอันหวุดหวิดไม่ได้เหมือนที่เขาพูดว่าชิวๆ เลยสักนิดผ่านไปก็หลายปีแล้ว ซงหู่พัฒนาไปถึงขั้นไหน แม้แต่อู๋กังก็ยังไม่สามารถเดาได้ที่จ
“แต่ถ้าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผมแล้วจะว่ายังไงอีก?”ฉึบ!สายตาหลายคู่ภายในห้องหันมาทางฉู่เฉินทันที ขนาดชายฉกรรจ์สี่คนที่เพิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องส่วนตัวก็สังเกตฉู่เฉินด้วยแววตาสงสัย อู๋กังย่อมเป็นยอดฝีมือที่คู่ควรเป็นอันดับหนึ่งในความคิดของพวกเขา ไม่เพียงแต่มีกล้ามเนื้อทั่งทั้งร่างและแข็งแกร่งทรงพลังแล้ว เขายังเป็นผู้ฝึกยุทธ์เพียงหนึ่งเดียวในสำนักเฟิ่งที่บรรลุถึงกำลังภายในระดับสูง! ตามการแบ่งลำดับของผู้ฝึกยุทธ์ เรียงลำดับจากต่ำไปถึงสูงคือกำลังภายในเริ่มต้น กำลังภายในระดับต่ำ กำลังภายในระดับสูง สุดท้ายถึงเป็นปรมาจารย์! จากการทำความเข้าใจของฉู่เฉิน ปรมาจารย์เทียบได้กับการฝึกปราณชั้นสี่โดยประมาณ แต่ฉู่เฉินทะลวงถึงขั้นฝึกปราณชั้นห้ามานานแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ก็อยู่ในสภาพที่พร้อมจะบดขยี้โดยสิ้นเชิง แล้วเขาจะสนใจการยั่วยุของคนที่มีกำลังภายในระดับสูงได้อย่างไรแต่ความอดทนของฉู่เฉินก็มีขีดจำกัดเช่นกัน อู๋กังยั่วยุติดต่อกันสองครั้ง ฉู่เฉินเห็นแก่หน้าของโจวเทียนเฟิ่งเลยขี้เกียจสนใจเขาแต่ไม่ควรเกินสามครั้ง! ฉู่เฉินค่อย ๆ เชยตาขึ้นมาสังเกตอู๋กังและกล่าวว่า “ยังไงก็ได้ เพี
อู๋กังกัดฟันกำหมัดสองข้างแน่น พูดกับโจวเทียนเฟิ่งด้วยสีหน้าไม่เต็มใจว่า “เจ๊! เมื่อกี้ผมแค่ประมาทไปชั่วคราว ถ้าเกิดให้โอกาสผมอีกสักครั้ง...” “เถียงข้าง ๆ คู ๆ!” นัยน์ตางดงามของโจวเทียนเฟิ่งเบิกกว้าง ตำหนิด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ประมาทไปชั่วคราว? ขนาดฝาถ้วยนายยังรับไม่ได้เลย ต่อให้นายไม่ได้ประมาท นายจะทำอะไรได้อีก?” “ฉันไม่อยากทวนคำพูดเมื่อกี้ซ้ำเป็นรอบที่สองหรอกนะ!” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ อู๋กังก็อดเดือดเป็นฟืนเป็นไฟไม่ได้ แต่คำพูดของโจวเทียนเฟิ่งมาถึงขนาดนี้แล้ว หากเขายืนกรานต่อไปอีกก็เป็นการต่อต้านโจวเทียนเฟิ่งแล้ว พอคิดถึงตรงนี้ อู๋กังก็ฝืนข่มกลั้นความโกรธในใจ เดินเข้าไปใกล้ฉู่เฉินแล้วคุกเข่าลงกับพื้นดังตุบก่อนจะกัดฟันกล่าวว่า “ขอโทษด้วยครับ”ฉู่เฉินกวาดตามองอู๋กังเหมือนขี้เกียจจะยุ่งกับเขาแล้วโบกมือเอ่ยว่า “ก็แค่นั้น”จากนั้นเขาก็หันหน้ามองไปทางโจวเทียนเฟิ่งอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “คุณรู้ที่อยู่ของซ่งหู่ไหม?”การจัดการกับซ่งหู สำหรับฉู่เฉินแล้วเป็นเพียงเรื่องง่าย ๆ เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นสำนักเฟิ่งมีความสำคัญมากต่อฉู่เฉินในเวลานี้ ยาบำรุงปราณจะสามารถเปิดตลาดชั้นสูงได้อย่
ถึงอย่างไรการขอความช่วยเหลือแบบนี้ ถ้าเกิดไม่บอกกล่าวล่วงหน้าก็ยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ฉู่เฉินเกิดความระแวงได้ “ไม่เป็นไรครับ ถ้าเกิดเขาจัดการซ่งหู่ได้ก็ ผมก็จะได้ไม่ต้องออกแรงเอง” ฉู่เฉินไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย เขาพูดกับโจวเทียนเฟิ่งอีกหลายประโยคแล้วก็วางสายโทรศัพท์ หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้ว ฉู่เฉินก็ศึกษาค่ายกลในวิชาเก้าผันกลืนสวรรค์ต่อเพียงแต่ว่าระดับของเขาในตอนนี้ไม่เพียงพอ ดังนั้นค่ายกลที่สามารถศึกษาได้เลยมีจำกัดอย่างมาก อย่างไรก็ตามเคล็ดวิชาค่ายกลกันเสียงในนั้นกลับทำให้ฉู่เฉินค่อนข้างรู้สึกสนใจ ฉู่เฉินเขียนตัวอักษรโบราณสมัยราชวงศ์ฉินที่ซับซ้อนหลายตัวกลางอากาศตามที่บันทึกไว้ในนั้นแล้วก็สั่งเบา ๆ ว่า “ลุกขึ้น!” ตูม!พริบตานั้นเหมือนกับมีม่านแสงสีขาวระเบิดขึ้นทั่วทั้งห้อง แต่ก็เป็นแค่ชั่วแวบเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นฉู่เฉินก็หาเครื่องบันทึกเสียงรุ่นเก่ามาปรับเสียงให้ดังที่สุดแล้วค่อยถอยไปที่ลานบ้านคิดไม่ถึงว่าจะไม่ได้ยินเสียงรอบ ๆ บริเวณเลยแม้แต่น้อย ประสิทธิผลของการกันเสียงดีมากจริง ๆ นอกจากนี้ฉู่เฉินยังค้นพบอย่างปาฏิหาริย์ว่าค่ายกลกันเสียงนี้ไม่เพียงสามารถเสียงได้เท่า