เซียวเฟิงและโจวอวี้หมิงหันหน้าไปมองก็เห็นหลูติ้งไห่กับฉู่เฉินกำลังลงจากรถฝั่งซ้ายและฝั่งขวามุ่งหน้ามาทางนี้“ทำไมหัวหน้าหลูยังไม่ไล่คนแซ่ฉู่นั้นไปอีกนะ”ดวงตาเซียวเฟิงฉายแววความเกลียดชังจ้องมองไปที่ฉู่เฉิน“เหอะ ทำให้เจ้าหนุ่มผู้นั้นได้เห็นพลังของผมก็ดี อายุยังน้อยจะได้ไม่รู้จักเรียนที่ดี ๆ เอาแต่ทำเก่ง!”สองมือนักพรตชิงซงไพล่หลังมองไปทางฉู่เฉินด้วยสีหน้าดูแคลนโจวอวี้หมิงถอนหายใจเบาๆพร้อมกล่าว “พวกคุณพูดให้น้อยหน่อยเถอะ อีกเดี๋ยวยังมีศึกหนัก ความสามัคคีต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก”กล่าวเสร็จก็เดินไปหาหลูติ้งไห่และฉู่เฉินเป็นคนแรกเซียวเฟิงและนักพรตชิงซงมองกันแล้วก็เดินตามด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร“คนบางคนช่างไม่รู้ความจริงๆ ไม่มีความสามารถสักนิดยังแม่งมีหน้ามาร่วมแจมกับเขาด้วย ช่างไร้ยางอายจริงๆ”เซียวเฟิงเหลือบมองสำรวจท่าทีฉู่เฉิน กล่าวด่าแบบอ้อมๆฉู่เฉินหัวเราะเยาะหนึ่งครั้งและขี้เกียจที่จะสนใจเขาหลูติ้งไห่กล่าวเสียงเย็นชาด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ผู้บัญชาการเซียว ผมหวังว่าคุณจะพูดจาให้เกียรติสักหน่อย บาดหมางกันไม่เป็นผลดีกับทุกคนสักนิด”เซียวเฟิงได้ยินแล้วก็เอามือไพล่หลังถลึงตาใส่กล่
จะว่ายังไงก็ตามนักพรตชิงซงก็เป็นผู้บำเพ็ญพรตปราณชั้นห้า และมียันต์ในมือที่ไม่รู้ใครวาดออกมา ด้วยเหตุนี้การกระทำเมื่อกี้ค่อนข้างข่มขวัญคนได้จริงๆ เมื่อเห็นอานุภาพยันต์ศักดิ์สิทธิ์แค่เพียงใบเดียวของนักพรตชิงซงที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าลูกระเบิดแม้แต่น้อย โจวอวี้หมิงจึงกล่าวออกคำสั่งกับทีมที่ซุ่มโจมตีโดยไม่ลังเลใจอีก “ทีมแรกเตรียมตัว บุกเข้าไปในอีกห้านาทีนี้!”“ครับ!”เสียงแน่วแน่ดังขึ้นจากต้นทางของวิทยุสื่อสารจากนั้นทีมสามสิบกว่าคนต่างหยิบปืนและระเบิดมือออกมาแล้วเคลื่อนทีมไปทิศทางถ้ำอย่างเงียบ ๆนักพรตชิงซงแกว่งไม้ปัดนักพรตพร้อมก้าวเดินอาด ๆ ด้วยความรวดเร็วไปยังฝั่งตรงข้ามของทะเลสาบหย่งติ้งอย่างน่าเกรงขาม“คุณฉู่…”เห็นเซียวเฟิงไม่ฟังคำของฉู่เฉินสักนิด หลูติ้งไห่จึงกระซิบข้างหูฉู่เฉินครู่หนึ่งฉู่เฉินพยักหน้าเล็กน้อยกล่าว “ถอยห่างร้อยเมตรใกล้เกินไป ถอยสักหนึ่งกิโลเมตร”“ได้ครับ!”หลูติ้งไห่ตอบรับแล้วก็ก้าวฉับๆ มาถึงหน้าโจวอวี้หมิงพร้อมกล่าว “ผู้บัญชาการกองทัพโจว ตามความเห็นผม ในเมื่อมีนักพรตชิงซงออกคำสั่งด้วยตัวเองแล้วก็ไม่ต้องใช้ทหารมากมายขนาดนั้นสักนิด”“ไม่งั้นเอาอย่างนี้ ให้คน
โจวอวี้หมิงสั่งการอย่างเย็นชาในช่วงที่ทุกคนในทีมที่หนึ่งกำลังจะขว้างระเบิดมือครั้งที่สองนี้เองก็เกิดสิ่งผิดปกติขึ้นทันควัน“โอ่ว!”เสียงคำรามทุ้มต่ำดังขึ้นจากในถ้ำถึงแม้เป็นเพียงการคำรามโกรธ แต่พื้นดินรอบๆ หลายลี้กลับสั่นสะเทือนไม่หยุดแม้แต่ผิวน้ำทะเลสาบหย่งติ้งก็เกิดระลอกคลื่นเช่นกันแข็งแกร่งมาก!ฉู่เฉินหันหน้าขวับไปมองทางถ้ำพร้อมตะโกนเสียงดังลั่นทันที “ผู้บัญชาการกองทัพโจว รีบสั่งทีมแรกถอยออกมา เร็วเข้า!”โจวอวี้หมิงสั่นฉุกคิดขึ้นได้ฉับพลัน รีบพูดกับวิทยุสื่อสาร “ทีมแรก ถอย!”เขาเพิ่งสั่งการลงไปก็เห็นแสงสีแดงราวกับปกคลุมพื้นโลกพุ่งออกมาจากถ้ำ“ฟิ้ว!”ทหารที่ยืนแถวหน้าสุดยังไม่ทันตั้งสติได้ก็โดนลำแสงสีแดงนี้ฉีกจนเป็นเสี่ยงๆ“ถูกโจมตี! ถูกโจมตี!”วินาทีต่อมาทีมที่หนึ่งไม่ทันได้ตอบสนองใดๆ ก็มีทหารสองนายกลายเป็นหมอกโลหิตฟุ้งกระจายท่ามกลางแสงสีแดงนั้นจากนั้นปากถ้ำก็มีเสียงปืนดังขึ้นทันที“ปังๆ ๆ ๆ!”ในขณะเดียวกันลูกกระสุนนับไม่ถ้วนถูกยิงไปในทิศทางเดียวอาศัยช่วงแสงอ่อนลง ทุกคนต่างมองเห็นเงาร่างใหญ่สูงสองเมตรรางๆ จ้องมองด้วยดวงตาสีแดงก่ำ บินตรงไปยังทหารคนอื่นๆ ที่เหลื
ตูมตามตูมตาม!ขณะที่เขวี้ยงยันต์ปราบผีหลายสิบใบไปยังร่างผีดิบเลือดคลั่งก็เกิดควันดำขึ้น แต่นอกจากผีดิบเลือดคลั่งถูกแรงสะเทือนถอยหลังสองก้าวแล้วแม้แต่ขนก็ยังไม่เป็นอะไรนักพรตชิงซงอดสูดลมหายใจเข้าไม่ได้ตอนอวดเก่งได้ใจแค่ไหน ถึงคราวหน้าแหกก็เจ็บเท่านั้นจริงๆเมื่อเห็นว่าใช้ยันต์ปราบผีร้อยใบในตัวจนหมดเกลี้ยงแล้ว ผีดิบเลือดคลั่งตรงหน้าก็ยังไม่ตาย ตรงกันข้ามเหมือนได้กินยาบำรุงเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น พลังเพิ่มขึ้นสุดต้านทานและกลิ่นอายรอบตัวก็ยิ่งดุร้ายยิ่งขึ้นนักพรตชิงซงยังไม่ทันตั้งสติ ผีดิบเลือดคลั่งก็คำรามอย่างโมโหกระโจนเข้าไปหานักพรตชิงซงทันที“แม่งเอ๊ย! ไร้พลัง...ช่วยด้วย!”เดิมทีนักพรตชิงซงกะจะลองกระบี่ไม้ท้อในมือเขาแต่ผลลัพธ์คือเมื่อโดนตัวผีดิบเลือดคลั่ง กระบี่ไม้ท้อเล่มนั้นก็แตกเป็นเสี่ยงๆจนกลายเป็นขี้เลื่อย ระเบิดกลางอากาศเป็นลูกไฟนักพรตชิงซงเห็นฉากตรงหน้าแล้วก็ตัวเย็นแข็งทื่อไปเลย แม่งสะพรึงเกินไปแล้วท่ามกลางความเป็นความตาย ภาพลักษณ์เอ่ย หน้าตาเอย นักพรตชิงซงไม่สนอีกแล้ว โคจรปราณตันเถียนแล้ววิ่งใช้เท้าเหยียบไปบนผิวน้ำทะเลสาบหย่งติ้งถอนตัววิ่งหนีทันที“อ๊ากกก!”เขาวิ่ง
ขณะนี้เอง นักพรตชิงซงวิ่งหอบกลับมา กล่าวขึ้นด้วยความตื่นตระหนกพร้อมกับหายใจหอบไปด้วย “วิ่ง รีบหนี! นี่…นี่คือผีดิบเลือดคลั่ง ไม่อยากตายก็รีบหนีซะ!”“แต่ถ้าพวกเราหนีไป พวกพ้องแก๊งมังกรสิบกว่าคนนั้นจะทำยังไง?”โจวอวี้หมิงตวาดด้วยใบหน้าหนักใจ“ไปสนพวกเขาจะเป็นจะตายอะไรอยู่ ถ้ายังไม่หนี ยังไม่หนีอีกพวกเราได้ตายกันหมดแน่!”“ใครให้พวกเขายิงผีดิบเลือดคลั่งล่ะ? ถ้าไม่เป็นเพราะพวกเขายิงผีดิบเลือดคลั่งจนคลั่ง ผม... ผมคงทำให้ปีศาจร้ายนั่นยอมศิโรราบไปแล้ว!”นักพรตชิงซงตะคอกกล่าวเสียงดัง“แก!”แม้แต่เซียวเฟิงถึงกับจ้องมองนักพรตชิงซงด้วยใบหน้าเหลือเชื่อทั้งทั้งที่แกแม่งสั่งให้ยิงพวกพ้องของฉันทุ่มสุดตัวเพื่อช่วยชีวิตแกอยู่ข้างหน้า แกกลับวิ่งหนีซะได้?ทั้งยังโยนความผิดมาให้บรรดาพวกพ้องของฉันอีก?!ถ้าสถานการณ์ไม่เร่งรัดจริงๆ เซียวเฟิงคิดจะยิงไอ้สารเลวคนนี้ให้ตายไปซะ!ในระหว่างที่ทะเลาะกันอยู่นี่เอง เห็นเงาร่างหนึ่งพุ่งสวนทางตรงไปยังผีดิบเลือดคลั่ง!“แกไปทำอะไรวะ!”นักพรตชิงซงมองแผ่นหลังของฉู่เฉินด้วยสีหน้าโมโหจนเขียวปัดนี่มันแย่งบทเขาไม่ใช่เหรอ?เขาที่วิ่งหนีอย่างทุลักทุเลเหมือนหมาไม
“ผู้บัญชาการเซียว รีบมานี่เร็ว!”หลูติ้งไห่พูดกับวิทยุสื่อสารเสียงดังลั่นเซียวเฟิงหอบหายใจด้วยความหนักอึ้ง จัดการขว้างวิทยุสื่อสารทิ้งไปอีกทางพร้อมจดจ้องผีดิบเลือดคลั่งด้วยความเคียดแค้นคนของแก๊งมังกรสี่นายที่หนีรอดมาได้ก็ไปหยุดอยู่บริเวณใกล้กับเซียวเฟิงแล้วในเวลานี้ ทุกคนยกมือไรเฟิลขึ้นเล็งผีดิบเลือดคลั่ง“ยังไม่ถอยอีก!”ฉู่เฉินหันหน้ามาก็เห็นพวกเซียวเฟิงที่หมอบลงพื้นยกเล็งปืนไปทิศทางที่ผีดิบเลือดคลั่งอยู่พอดี เขาจึงรีบตะคอกเสียงดังยกใหญ่“ถ้าไม่ล้างแค้นให้พี่น้อง ฉันแม่งจะตายอยู่ตรงนี้นี่แหละ!”เซียวเฟิงกัดฟันกรอด ร่างกายเขาสั่นไม่หยุดฉู่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าลึกๆตอนนี้เขาไม่สนอะไรมากแล้ว หากชักช้าผีดิบเลือดคลั่งจะตามมาพัวพันเขาอีกครั้ง ถึงตอนนี้ก็คงไม่มีทางชนะได้แล้วฉู่เฉินคิดแล้วก็ควักกระจกแปดทิศออกมาจากอกทันที เคลื่อนพลังวิญญาณรอบกายไปสู่กระจกแปดทิศ“วิ้ง!”เงาของกระจกแปดทิศเปล่งแสงสีขาวออกมาอย่างกะทันหันมันส่องสว่างท้องฟ้ายามค่ำรอบๆ ฉู่เฉินในทันทีเหมือนกับไฟฉายจากนั้นลำแสงสีขาวนั้นส่องไปยังร่างผีดิบเลือดคลั่งจนเกิดควันสีแดงขึ้นพร้อมกับเสียงดังซู่
ถ้าไม่ใช่เพราะกระจกแปดทิศในมือฉู่เฉินเอาชนะสิ่งชั่วร้ายได้ละก็ ฉู่เฉินอาจถึงขั้นตกสู่สถานการณ์เลวร้ายมากกว่าดีฉู่เฉินสูดลมหายใจลึกๆ แล้วรีบเก็บกระจกแปดทิศ เว้นระยะและเผชิญหน้าจ้องมองผีดิบเลือดคลั่งสักพักใหญ่เมื่อเห็นว่าผีดิบเลือดคลั่งยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่ได้มีเจตนาลุกขึ้นจู่โจมใส่ฉู่เฉินสักนิด เขาจึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจบัดซบ!อันตรายมาก!ฉู่เฉินหยิบยาบำรุงปราณกลืนเข้าไปพลางเดินโซเซบนผิวน้ำตรงยังไปทิศทางของผีดิบเลือดคลั่งด้วยระดับของฉู่เฉินตอนนี้ม้าสามารถสังหารผีดิบเลือดคลั่งที่เทียบเท่าระดับรากฐานขั้นเจ็ดได้เลยถ้าสามารถทำให้จำนนได้ก็จะเป็นการดีที่สุด และก็นับว่าได้ผลตอบแทนกลับมาโดยไม่คาดคิดแต่ฉู่เฉินยังคงระมัดระวังตัวมากด้วยการกุมกระจกแปดทิศไว้ในมือ เตรียมพร้อมตอบโต้ทุกเมื่อถ้าผีดิบเลือดคลั่งเกิดระเบิดขึ้นมาเห็นฉู่เฉินเดินไปหาผีดิบเลือดคลั่งทีละก้าว หลูติ้งไห่และโจวอวี้หมิงต่างกลั้นหายใจ“นี่คุณฉู่จะทำอะไร?”โจวอวี้หมิงกลืนน้ำลายลงคออย่างแรงพร้อมกล่าวด้วยความตึงเครียด“ไม่… ไม่รู้สิ ทำไมผีดิบเลือดคลั่งตัวนั้นถึงคุกเข่าไม่ขยับเลยล่ะ?”หลูติ้งไห่ก็อยากรู้เหมือนกันแล
ฉู่เฉินหันหน้ามองเซียวเฟิงหัวเราะกล่าวอย่างขมขื่น “ถ้าแกคิดว่าฉันจัดการเขาได้ แล้วจะเก็บเขาไว้ทำไมล่ะ? ถ้าฉันไม่ทำให้ยอมจำนน วันนี้ทุกคนในที่แห่งนี้ได้ตายกันหมดแน่!”ทันทีที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา ผีดิบเลือดคลั่งที่คุกเข่าอยู่ไม่ไกลก็ปรากฏแสงสีเขียวส่องประกายในรูม่านตาที่กลวงนั้นทันใดนั้นมันรู้สึกเหมือนกำลังถูกมนุษย์เล่นงานถึงยังไงสติปัญญาของเขาก็ยังอยู่ในระดับเด็กเจ็ดขวบ ไม่สามารถคิดวิเคราะห์แยกแยะว่าฉู่เฉินในตอนนั้นถึงจุดที่พลังได้หมดลงจนถึงทางตันแล้วแม้จะแอบไม่ยินยอมแต่ได้ทำสัญญาเสร็จสิ้นไปแล้ว ตอนนี้เขาจะมาเสียใจก็ไม่ทันแล้ว“ว๊าก!”แม้จะเป็นเช่นนี้แล้วผีดิบเลือดคลั่งก็ยังคงคำรามเสียงต่ำด้วยความไม่ยินยอมหลูติ้งไห่ก็ถอนหายใจพร้อมกล่าว “คุณฉู่ทำเต็มที่แล้ว ขอแค่ปราบผีดิบเลือดคลั่งให้ยอมจำนนได้ก็นับว่าขจัดภัยร้ายให้ประชาชนได้แล้ว ตราบใดที่มันไม่ไปสร้างปัญหาอีก จะฆ่าหรือยอมจำนนก็ไม่สำคัญแล้ว”โจวอวี้หมิงพยักหน้าติดๆทุกคนก็ได้ประจักษ์พลังในการต่อสู้อันน่าสะพรึงของผีดิบเลือดคลั่งเมื่อครู่แล้ว ไม่อาจเอาชีวิตคนนับพันไปเสี่ยงเพียงเพื่อฆ่าผีดิบเลือดคลั่งตัวเดียวหรอกนะ?“เหอะ! ถ้า
สิ้นเสียง คนในตระกูลหลินต่างก้าวเท้าไปข้างหน้าและล้อมจ้าวเต๋อฉวนไว้ดูเหมือนว่าถ้าพูดไม่ถูกใจก็จะลงมือทันทีจ้าวเต๋อฉวนโกรธจนหัวเราะกับคนตระกูลหลิน มองสำรวจหลินเจิ้งไท่และกล่าวอย่างเย็นชา “ให้คำอธิบายกับคุณน่ะเหรอ? ผมจะอธิบายอะไรให้คุณล่ะ”หลินเจิ้งไท่สีหน้ามืดมน กัดฟันกล่าวว่า “พวกเราดักฆ่าฉู่เฉินที่นี่แล้วผิดอะไร? เจ้าสำนักก็เคยกล่าวไว้ ถ้าได้หยกโลหิตกิเลนมาก็เป็นประโยชน์ต่อสำนักชิงอวิ๋นของเราอย่างยิ่ง หัวหน้าจ้าวไม่รู้เหรอครับ?”“หึ ดักฆ่าฉู่เฉิน?”จ้าวเต๋อฉวนกัดฟันกรอดจนฟันแทบแตก มองหลินเจิ้งไท่อย่างเย็นชาและกล่าวว่า “พวกคุณคิดว่ามีแค่พวกคุณที่ได้รับข่าวว่าฉู่เฉินนำหยกโลหิตกิเลนเข้าสู่โลกแห่งการหยั่งรู้งั้นเหรอ?”“จนถึงตอนนี้ ฉู่เฉินยังคงปลอดภัยดี พวกคุณไม่คิดบ้างเหรอว่าทำไม?”หมายความว่ายังไง?เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินเจิ้งไท่ก็มองไปที่จ้าวเต๋อฉวนด้วยความไม่เข้าใจ“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าสำนักดูถูกพวกคุณตระกูลหลิน พวกคุณสร้างปัญหาให้เจ้าสำนักเก่งจริงๆ”ตอนนี้จ้าวเต๋อฉวนโกรธจนอยากจะด่าคน ไม่เคยเจอใครโง่งมขนาดนี้มาก่อน“หัวหน้าจ้าว หวังว่าคุณจะอธิบายให้ชัดเจนครับ”หลินเจิ้งไท่
ในขณะนี้ หลิงเสวี่ยก็รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยเช่นกันเพราะไม่ใช่แค่หลินเจิ้งไท่เท่านั้น รวมถึงยอดฝีมือของตระกูลหลินทั้งสามที่อยู่เบื้องหลังเขาต่างก็ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแม้ว่าตอนนี้หลิงเสวี่ยจะอยู่ระดับสร้างรากฐานขั้นแปด แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินเจิ้งไท่อย่างแน่นอนยิ่งกว่านั้น เหล่าคนที่อยู่เบื้องหลังหลินเจิ้งไท่ก็ล้วนมีพลังระดับสร้างรากฐานขั้นสูงสุด ถ้าลงมือขึ้นมาจริงๆ เธอและฉู่เฉินก็ไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย“ฉู่เฉิน ฉันบอกคุณนานแล้วว่าอย่าอยู่ในโลกแห่งการหยั่งรู้นานเกินไป คุณก็ไม่ฟัง”หลิงเสวี่ยกระซิบตำหนิฉู่เฉินไปพลาง มองไปรอบๆ อย่างกระวนกระวายไปพลางเมื่อเห็นว่าหลิงเสวี่ยเริ่มลนลานแล้ว หลินฮ่าวที่กำลังเอามือกุมหน้าก็ปาดเลือดที่มุมปากออก ก้าวไปข้างหน้าและมองสำรวจฉู่เฉินด้วยความดูถูกพลางกล่าวว่า “ไอ้คนแซ่ฉู่ ตอนนี้รู้แล้วหรือยังล่ะ?”ขณะกล่าว ก็กวาดตามองไปยังเหล่ายอดฝีมือของตระกูลหลินและกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนี้ จงส่งหยกโลหิตกิเลนมาซะ และทิ้งผู้หญิงข้างๆ แกไว้ ไม่งั้น ตาย!”ทันทีที่คำว่าตายหลุดออกมา คนในตระกูลหลินแทบจะก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกันแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว
ในขณะที่คนในตระกูลหลินกำลังหัวเราะเยาะอยู่ในใจ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ คนแซ่ฉู่คนนี้ช่างมีดวงผู้หญิงของผู้หญิงจริงๆ“ผมเอง มีอะไรเหรอครับ?”ฉู่เฉินเหลือบมองหลินฮ่าวและคนอื่นๆ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย“เหอะๆ มีอะไรงั้นเหรอ?”หลินฮ่าวหัวเราะอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ฉู่เฉิน แกคงไม่รู้ตัวว่าใกล้ถึงวาระสุดท้ายของแกแล้วสินะ?”ฉู่เฉินขมวดคิ้ว มองสำรวจหลินฮ่าวและคนอื่นๆ พร้อมกับสงสัยว่า “ใกล้ถึงวาระสุดท้าย? ดูเหมือนว่าเราจะไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันนะครับ?”ขณะกล่าว ฉู่เฉินและหลิงเสวี่ยต่างก็มองไปที่สมาชิกตระกูลหลินด้วยความระแวดระวังแม้ว่าคนเหล่านี้จะอยู่ในระดับสร้างรากฐานขั้นหกเท่านั้น แต่ฉู่เฉินกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ายอดฝีมือจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้เมื่อหลินฮ่าวได้ยินเช่นนี้ ก็แค่นเสียงเย็นและกล่าวว่า “คนแซ่ฉู่ แกจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไปทำไม เจ้าสำนักให้เวลาแกสามวันเพื่อไปรับโทษตายที่สำนักชิงอวิ๋น แกคิดว่าแกซ่อนตัวอยู่ในโลกแห่งการหยั่งรู้แล้วจะไม่มีใครหาแกเจองั้นเหรอ?”“ฉันแนะนำให้แกส่งหยกโลหิตกิเลนมาจะดีที่สุด แล้วทิ้งผู้หญิงข้างๆ แกไว้ ไม่งั้นฉันจะฆ่าแกให้ตายอย่างไม่เหลือซาก
ในความเป็นจริงทั้งเมืองชิงหลง แทบจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของสำนักชิงอวิ๋นตระกูลจ้าวและตระกูลสวี่ก็ล้วนเป็นศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นเช่นกันถ้าตระกูลหลินเป็นฝ่ายเริ่มเสนอการสังหารฉู่เฉินพื่อแย่งชิงสมบัติ จากนั้นนำหยกโลหิตกิเลนไปมอบให้กับธรรมมาจารย์สำนักชิงอวิ๋น ดูเหมือนว่าตระกูลหลินของพวกเขาก็คงจะได้ความดีความชอบเป็นอันดับแรกสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจ้าวเต๋อฉวนเป็นทายาทรุ่นที่สองของตระกูลจ้าวและยังเป็นเจ้าสำนักชิงอวิ๋นอีกด้วยถ้าใจร้อนอยากได้ความดีความชอบโดยปกปิดตระกูลจ้าว ทันทีที่เป็นศัตรูกับตระกูลจ้าว ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าในอนาคตจะไม่ถูกจ้าวเต๋อฉวนกีดกันดังนั้น ข้อเสนอของหลินฮ่าวจึงได้รับการเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์จากบรรดาผู้เฒ่าตระกูลหลินอย่างรวดเร็วในไม่ช้า ตระกูลหลินก็เริ่มดำเนินการ โดยส่งยอดฝีมือจำนวนมากติดตามหลินฮ่าวไปดักรอฉู่เฉินนอกเมืองชิงหลงอีกด้านหนึ่ง ยังได้ส่งลูกหลานตระกูลหลินไปจำนวนไม่น้อยไปแจ้งตระกูลจ้าวและตระกูลสวี่แค่ยอดฝีมือระดับสร้างรากฐานขั้นที่หกของตระกูลหลิน ก็มีมากถึงสิบกว่าคนแล้วเมื่อรวมกับตระกูลจ้าวและตระกูลสวี่ ภายใต้การร่วมมือของสามตระกูล ไม่ต้องพูดถึง
แม้ว่าจะไม่มีตึกสูง แต่ที่นี่ก็มีสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่บางชนิดจำหน่ายด้วยเหมือนกันหลังจากฟังคำแนะนำของหลิงเสวี่ย ฉู่เฉินก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ได้ งั้นไปที่เมืองชิงหลงกันก่อน”อันที่จริง ในด้านหนึ่งฉู่เฉินต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกแห่งการหยั่งรู้ และในอีกด้านหนึ่งก็ต้องการค้นหาวัตถุดิบยาในเมืองชิงหลงด้วยอย่างไรก็ตาม ตอนนี้เจ้าทึ่มก็ถึงคอขวดแล้ว และจำเป็นต้องคิดหาวิธีที่จะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นผีดิบเหินฟ้าโดยเร็วที่สุดไม่อย่างนั้น ฉู่เฉินก็คงจะขาดคู่ซ้อมที่แข็งแกร่งไปคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ“คุณจะไปเมืองชิงหลงจริงๆ เหรอ? คุณควรรู้ไว้ว่าตอนนี้คุณในโลกแห่งการหยั่งรู้ก็เหมือนกับเป็นสมบัติที่มีชีวิต ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไหร่ที่กำลังเล็งคุณอยู่”หลิงเสวี่ยกล่าวพลางขมวดคิ้วแน่นไม่ใช่ว่าเธอเป็นห่วงฉู่เฉินมากขนาดนั้น แต่ถ้าฉู่เฉินตกอยู่ในอันตราย เธอก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย“เมื่อวานเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ยังมีใครกล้าคิดร้ายกับผมอีกงั้นเหรอ?”ฉู่เฉินถามด้วยความสงสัยชิ!หลิงเสวี่ยกลอกตามองฉู่เฉินและกล่าวด้วยสีหน้าจนใจ “คุณคิดว่าเหตุการณ์เมื่อวานนี้จะสร้างความฮือฮาได้มากขนาดไหน แม้ว่า
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนอดหน้ามืดไม่ได้ แทบจะเป็นลมคาที่นี่ไม่อาจใช้คำว่ามากเกินไปมาบรรยายฉู่เฉินได้แล้ว ปรมาจารย์ฝืนข่มกลั้นโทสะในใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ ว่า “คุณฉู่ คุณไม่คิดว่าข้อเรียกร้องของคุณมันมากเกินไปเลยหรือไง?”“ฆ่าคนก็แค่เอาหัวโขกพื้น คะ...คุณเห็นวังเทียนเจี้ยนของผมรังแกง่ายจริง ๆ เหรอ?” ฉู่เฉินหัวเราะหยัน กวาดตามองปรมารจารย์ว่านเจี้ยนแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “รังแกคุณแล้วยังไง? เอาของตามใบรายการนี้มา แล้วผมจะหันกายจากไปโดยไม่พูดอะไรเลย”“ถ้าคุณกล้าพูดคำว่าไม่สักคำละก็ ผมก็มีวิธีทำให้วังเทียนเจี้ยนของคุณหายวับไปกับตา” ข่มขู่ ข่มขู่กันอย่างโจ่งแจ้ง“ไอ้คนแซ่ฉู่ แกเหิมเกริมไปแล้ว...” ไม่รอให้ศิษย์ของวังเทียนเจี้ยนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่เอ่ยปาก ปรมารจารย์ว่านเจี้ยนก็รีบยกมือห้ามเอ่ยว่า “หุบปากให้หมด!” หลังจากผ่านเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เวลานี้ปรมารจารย์ว่านเจี้ยรไม่สงสัยความสามารถของฉู่เฉินเลยสักนิดเดียวอย่างแย่ที่สุด ฉู่เฉินก็สามารถลากวังเทียนเจี้ยนให้ตายตกตามกันได้ต้องรีบไล่ตัวซวยคนนี้ออกไปโดยเร็วที่สุดถุงจะถูกเมื่อคิดได้ดังนั้น ปรมาจ
ไม่อย่างนั้น เธอก็คงไม่มีทางกระโดดจากสาวใช้ธรรมดา ๆ กลายเป็นสุดยอดฝีมือระดับสร้างรากฐานชั้นแปดภายในระยะเวลาห้าปีสั้น ๆ หรอก แต่ว่าฉู่เฉินรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?เมื่อเห็นหลิงเสวี่ยตะลึงจนพูดไม่ออก ฉู่เฉินก็แหงนหน้าหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ดูท่าจะตรงตามที่ผมเดาไว้จริง ๆ ปรมาจารย์คนดีของคุณอยากเลี้ยงคุณจนสมบูรณ์แล้วค่อยดูดกลืนคุณจนแห้งไงละ” เมื่อหลิงเสวี่ยได้ยินคำพูดนี้ พลันร้อนใจขึ้น ถลึงตามองฉู่เฉินอย่างเย็นชาและกล่าว “ฉู่เฉิน ห้ามคุณพูดจาเหลวไหลนะ”ถึงแม้ว่าปรมาจารย์ว่านเจี้ยนจะเห็นเธอเป็นของชิ้นหนึ่ง มอบเธอให้ฉู่เฉิน แต่ว่าสำนักเคยมีบุญคุณกับเธอจริง ๆ“พูดจาเหลวไหล? กลัวว่าคุณโดนคนอื่นขายแล้ว ยังช่วยเขานับเงินด้วยละมั้ง?”ฉู่เฉินหัวเราะหยัน จากนั้นก็อธิบายวิชาบำเพ็ญคู่ให้ฟังสั้น ๆ และบอกเรื่องคุณสมบัติร่างกายพิเศษอย่างร่างธาตุสวรรค์บริสุทธิ์ว่ามีประโยชน์มากเท่าไหร่ต่อผู้ฝึกวิชาบำเพ็ญคู่ให้ฟังตามความเป็นจริง หลังจากฟังคำพูดนี้ของฉู่เฉินจบก็ทำลายสามมุมมองของหลิงเสวี่ยอย่างแท้จริง “เป็นไปไม่ได้ ต้องไม่ใช่ความจริงแน่นอน ท่านปรมาจารย์มักจะสอนพวกเราว่าผู้บำเพ็ญเพียนต้องทำ
ถึงแม้ว่าในใจของปรมาจารย์ว่านเจี้ยนจะไม่เต็มใจอย่างยิ่ง แต่ก็ทำได้เพียงปล่อยให้ฉู่เฉินจูงมือหลิงเสวี่ยเดินเข้าไปในเรือนเจ้าสำนักที่เขาอาศัยอยู่ ในตอนที่ฉู่เฉินปิดประตูห้องจนสนิท พวกศิษย์ของวังเทียนเจี้ยนต่างก็เผยสีหน้าเจ็บปวดและไม่ยินยอมออกมาจบแล้ว!เทพธิดาในใจของพวกเขา น้องศิษย์เล็กที่พวกเขาเฝ้าปรารถนา โดนไอ้เดรัจฉานฉู่เฉินย่ำยีแบบนี้แล้วเมื่อผลักประตูเดินเข้าไปในห้องนอนด้านใน ฉู่เฉินก็อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ไอ้แก่ตายยากอย่างปรมาจารย์ว่านเจี้ยนคนนี้เสพสุขเก่งจริง ๆ บนเตียงหยกน้ำแข็งมีอุปกรณ์ของเล่นต่าง ๆ ครบครัน นอกจากนี้ยังมีหมอนรองเอวโดยเฉพาะอีกด้วยไอ้เชี่ยนี่ เฒ่าหัวงูถึงจะเป็นคนตัณหากลับ จริง ๆ เมื่อเห็นเฟอร์นิเจอร์ในห้องปรมาจารย์ว่านเจี้ยน หลิงเสวี่ยก็อดขมวดคิ้วไม่ได้พลางกล่าวว่า “ทำไมในห้องของปรมาจารย์ถึงจะมีหมอนสองใบล่ะ อีกอย่าง ทำไมหมอนใบนี้ดูไปแล้ว ไม่ค่อยเหมือนเลย?” หลิงเสวี่ยพูดพลางเอื้อมมือจะไปหยิบหมอนรองเอวใบนั้นขึ้นมา แต่โดนฉู่เฉินขวางไว้ทันที“อีกเดี๋ยวคุณก็จะรู้เองว่าหมอนใบนี้เอาไว้ใช้ทำอะไร เข้ามาสิ”ระหว่างที่พูด ฉู่เฉินก็ดึงหลิงเสวี่ยให้นั่งลงข้างเตียง
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ พวกว่านโซ่วเซียนเวิงก็ถอนหายใจติดต่อกันด้วยสีหน้าเสียดายในตอนนี้เอง แผ่นกระดาษสีขาวที่เขียนตำรับยาสร้างกล้ามเนื้อพลันลอยมาจากในวังเทียนเจี้ยน“ผู้อาวุโสทั้งหลาย ขอบคุณครับ”วินาทีต่อมา เสียงของฉู่เฉินดังออกมาจากห้องโถงใหญ่ของวังเทียนเจี้ยนพวกว่านโซ่วเซียนเวิงรับสูตรยาที่ฉู่เฉินส่งมา ก่อนจะมองไปทางตำหนักหลักของวังเทียนเจี้ยนอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง“พวกเราไปกันเถอะ”ว่านโซ่วเซียนเวิงคัดลอกสูตรยาไว้หนึ่งชุด แล้วก็พาลูกศิษย์แห่งสำนักว่านเซียนหันกายเดินจากไป“เหอะ ๆ... ไอ้หนูมีน้ำใจแล้ว ถือว่าฉันติดหนี้บุญคุณเธอแล้ว ไว้พบกันใหม่”ผู้เฒ่าเทียนเสวียนก็คว้าสูตรยามาเช่นกันก่อนจะคัดลอกทันที จากนั้นเขาก็หันกายพาหลินเจี้ยนเฟิงลอยจากไปไม่นานนัก ผู้คนที่มามุงดูความคึกคักรอบนอกวังเทียนเจี้ยนก็ทยอยกันแยกย้ายไปหมดฉู่เฉินมองปรมาจารย์ว่านเจี้ยนที่หน้าแดงก่ำดูอับอายอย่างยิ่งยวด ก่อนจะหัวเราะหยันแล้วพูดว่า “เมื่อกี้คุณบอกว่าใครใกล้ตายนะ?”ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนมองฉู่เฉินพลางกัดฟันกรอด แม้ว่าตอนนี้ภัยคุกคามของวังเทียนเจี้ยนจะถูกขจัดไปแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่กล้าแตะต้องฉู่เฉ