ขณะนี้ทุกท่วงท่าที่สองพี่น้องกำลังทำอยู่นั้น ช่างยั่วยวนเหลือเกินโดยเฉพาะต้วนหลิงเวย ที่ดูน่าหลงใหลและเย้ายวนใจยิ่งกว่า ด้วยดวงตาที่สวยงามระยิบระยับราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ทำให้ผู้คนรู้สึกทนไม่ได้ในฐานะที่เป็นนักฆ่าชั้นเลิศ เธอเข้าใจผู้ชายมากที่สุดแล้ววินาทีต่อมา ก็เห็นเพียงแต่ต้วนหลิงเวยที่เอียงศีรษะ และเอียงคอที่เหมือนหยกของเธอไปข้างหน้าริมฝีปากสีแดง เธอคาบองุ่นไว้ แล้วเข้าไปใกล้ๆ ริมฝีปากของฉู่เฉินด้วยการดูดริมฝีปากอย่างอ่อนโยนและการใช้ลิ้นอย่างชาญฉลาด องุ่นที่ปอกเปลือกแล้วก็ถูกส่งเข้าไปในปากของฉู่เฉินน้ำองุ่นค่อยๆ ไหลออกมาจากมุมปากของต้วนหลิงเวยอย่างช้าๆ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ไหลลงไปคอเสื้อของเธอ เทคนิคนี้มันสุดยอดไปเลยแม้แต่ฉู่เฉินก็ยังสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาแอบตกใจคนที่เคยได้รับการฝึกฝนนี่ไม่เหมือนใครจริงๆ ถ้าหากเทียบกับกู้รั่วเสวี่ยและหลินชือหย่าที่เป็นมือใหม่ต้วนหลิงเสวี่ยก็กะพริบตายั่วยวนเช่นกัน เลียนแบบการกระทำของต้วนหลิงเวยด้วยการป้อนองุ่นเข้าปากของฉู่เฉิน แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การเคลื่อนไหวของเธอก็ดูเกร็งและอึดอัดกว่ามากขนาดเปลือกองุ่นก็ยังปอกไม่เรียบร้
“หึ วันใดวันหนึ่ง ฉันกับพี่สาวฉันจะทำให้นายไม่อยากออกจากบ้านตั้งฟ้าสางยันตะวันตก”ต้วนหลิงเวยพูดออกมาด้วยความมั่นใจเรื่องอื่นเธออาจจะไม่แน่ใจ แต่เรื่องรับมือกับผู้ชาย เธอทำได้แน่นอนไม่อย่างนั้น ตอนที่เธอตามล่าหัวหน้าแอฟริกาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ทำไมเธอไม่เสียตัวล่ะ?“งั้นฉันจะรอการกระทำของพวกเธอนะ”ฉู่เฉินยิ้มอย่างร้ายกาจ เอามือลูบไปที่จมูกของต้วนหลิงเวย หลังจากนั้นเขาก็เดินออกไป ต้วนหลิงเสวี่ยมองไปที่ต้วนหลิงเวยที่ดูผิดหวัง เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “พี่บอกเธอแล้วว่าอาจจะมีบางเรื่องที่ไม่คาดคิดแทรกเข้ามา อีกทั้งสาวสวยรอบกายของนายท่านมากมาย หากอยากจะมัดใจเขาให้อยู่หมัด นั่นไม่เรื่องง่ายเลย”ต้วนหลิงเวยส่งเสียงหึในลำคอ “ฮึ! ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าในโลกนี้จะมีผู้ชายที่ฉันเอาไม่อยู่”พูดจบเธอก็หยิบเชอร์รี่ในจานยัดเข้าไปในปากของเธอ พร้อมทั้งเคี้ยวอย่างโมโห……อีกด้านหนึ่ง ตอนที่ฉู่เฉินผลักประตูออกจากบ้านใหญ่ฉู่เฉิน หลี่ฮุยยังคงคุกเข่าอยู่ข้างนอกประตูอย่างเชื่อฟัง“ว้าว คุณชายหลี่คุกเข่ามั่นคงดีจริงๆ นะเนี่ย”ฉู่เฉินยิ้มเห็นฟันให้กับหลี่ฮุย หลี่ฮุยสกัดกั้นความโกรธไว้ในใจ ก้มหั
“ฉู่...”“ชู่!”ฉู่เฉินเหลือบมองไปที่หลี่เจี้ยนเย่ที่นอนตะแคงอยู่ เขาเอามือทำท่าชู่ใส่จางหลิงจางหลิงก็เข้าใจโดยทันที ดูแล้วนี่น่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉู่เฉินทำแบบนี้ ดูคล่องแคล่วจริงๆเพี้ยะ!ในตอนที่จางหลิงดึงฉู่เฉินเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ ฉู่เฉินก็ยกมือขึ้นมา แล้วฟาดเข้าไปที่ก้นงอนของเธอ“อ๊ะ!”จางหลิงตกใจเป็นอย่างมาก เธอถึงร้องออกมาทันทีหลี่เจี้ยนเย่ราวกับว่าได้ยินเสียงอะไร เขาขยับหัว แต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นมา แต่เสียงกรนเบาลงไปอย่างเห็นได้ชัดนี่ทำให้จางหลิงกังวล ถ้าหลี่เจี้ยนเย่ตื่นมาตอนนี้ แล้วเห็นฉู่เฉินที่อยู่ข้างๆ เธอไม่อยากจะคิดเลยว่าจุดจบจะเป็นอย่างไรแม้ว่าหลี่เจี้ยนเย่อยากจะยกเธอให้ฉู่เฉิน แต่ไม่มีทางจะใช้วิธีแบบนี้ที่ให้เขาเห็นกับตาแน่นอนอีกอย่างหนึ่งแม้ว่าหลี่เจี้ยนเย่จะจับจุดอ่อนของฉู่เฉินได้แล้ว แต่อีกด้านหนึ่งฉู่เฉินรับ “ของขวัญ” ที่ชิ้นใหญ่ขนาดนี้ เขาอาจจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อตระกูลหลี่หรือเปล่า?แต่การที่แอบกินลับๆ แบบนี้ ฉู่เฉินไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไร“มากับฉันค่ะ”จางหลิงกระซิบเบาๆ ข้างๆ หูของฉู่เฉินจากนั้นเธอก็ดึงฉู่เฉินและเดินอย่างย่องออกจากห้องน
“แค่กๆ!”จางหลิงปิ๊งไอเดียในยามคับขัน ส่งเสียงกระแอมผ่านม่านหลี่เจี้ยนเย่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา หันไปมองทางมุ้งแวบหนึ่ง ขมวดคิ้วพูดว่า “ดึกขนาดนี้แล้ว ยังไม่อาบน้ำอีก?”“อา… ใช่ อากาศร้อนแล้ว เนื้อตัวมีแต่เหงื่อ ไม่อาบน้ำก็นอนไม่ได้ ใช่สิ คะ… คุณหลับแล้วไม่ใช่เหรอ”จางหลิงแทบจะตึงเกร็งไปทั้งตัวแล้ว หากหลี่เจี้ยนเย่เปิดม่านขึ้น เขาก็จะเห็นฉู่เฉินที่ยืนอยู่ข้างหลังเธออย่างชัดเจน!“อืม ผมมาสูดอากาศหน่อย เราอาบน้ำด้วยกันดีกว่า”พูดจบ หลี่เจี้ยนเย่ยื่นมือออกไปจะเปิดม่านขึ้น เขาไม่ได้อาบน้ำแบบสามีภรรยากับจางหลิงมานานแล้ว วันนี้จังหวะเหมาะพอดี ถือโอกาสนี้ปลดปล่อยอารมณ์และความเครียดไปด้วย“หยุดนะ!”หัวใจของจางหลิงแทบจะกระเด็นออกมาแล้ว เธอตวาดเสียงดังลั่นออกไปโดยไม่รู้ตัว หลี่เจี้ยนเย่ถึงกับอึ้งงัน เขาเลิกคิ้ว มองเข้าไปหลังม่านอย่างสงสัยเอ๊ะ?ทำไมรู้สึกเหมือนจางหลิงตัวสูงขึ้นสิบกว่าเซนติเมตรในพริบตาเลยล่ะเงานั่นสูงกว่าหลี่เจี้ยนเย่ด้วยซ้ำ นี่มันอะไรกันภายใต้การขับเคลื่อนแห่งความสงสัย หลี่เจี้ยนเย่สาวเท้าเดินไปข้างหน้า แล้วเขาก็พบว่าพอเงาร่างของเขาสาดสะท้อนบนผ้าม่าน ส่วนสูงของเขาก็เหม
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเงยหน้ามองโคมไฟบนเพดาน แสงไฟนี่ก็ประหลาดจริงๆ ส่องเงาคนคนเดียวให้กลายเป็นสองคนได้จากนั้นก็หยิบโฟมล้างหน้าบนชั้นวาง และเปิดก๊อกน้ำล้างหน้าชั่วขณะหนึ่ง เสียงน้ำซู่ซ่าทั้งขึ้นพร้อมกันทั้งจากอ่างล้างหน้าและอ่างอาบน้ำ หลี่เจี้ยนเย่ไม่สงสัยอะไร เพียงล้างหน้าเสร็จ จากนั้นก็เดินเอื่อยเฉื่อยออกจากห้องน้ำไปจางหลิงได้ยินเสียงปิดประตู ก็อึ้งค้างด้วยความมึนงงฉู่เฉินจะโชคดีเกินไปแล้วมั้ง ถ้าเมื่อกี้หลี่เจี้ยนเย่เปิดม่าน ถึงแม้จะเห็นแค่แวบเดียว เธอกับฉู่เฉินจบเห่แน่นอน“ทำไมดูคุณเหมือนจะกลัวมาก”ฉู่เฉินโน้มตัวลงมาข้างหูของจางหลิง กระซิบถามด้วยน้ำเสียงกระเส่าเร่าร้อน“ละ… แล้วคุณไม่กลัวเหรอ มีแค่ผ้าม่านกั้นไว้อย่างนี้”ตอนนี้จางหลิงไม่ใช่แค่ขาสั่น แม้แต่เสียงพูดยังติดๆ ขัดๆ ไปด้วย น่ากลัวเกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่สถานการณ์ชวนหวาดเสียวแล้ว แต่เรียกว่าสถานการณ์ชวนหวาดกลัวมากกว่า“ไม่เป็นไร ถึงเขามาเจอเข้าก็ไม่เป็นไร ถึงยังไงคุณก็เป็นฝ่ายยั่วผมเอง”ฉู่เฉินยิ้มอย่างร้ายกาจจางหลิงได้ยินอย่างนั้นก็อยู่ไม่ติดกระทั่งหนึ่งชั่วโมงกว่าผ่านไป ฉู่เฉินจึงได้กระโดดออกจากหน้าต่างห้อง
หลังจากเดินผ่านเส้นทางภูเขาด้านหน้าคฤหาสน์ ทั้งสองเดินมาถึงประตูของอาคารไม้สูงใหญ่หลังหนึ่งเวลานี้ แสงไฟในอาคารสว่างเจิดจ้า สองข้างทางมีชายหนุ่มร่างกายกำยำ สวมใส่ชุดสีดำยืนเรียงรายกันอยู่ยี่สิบกว่าคนบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ตรงกลางห้องโถงใหญ่ ชายชราผมขาวอายุราวเจ็ดสิบปีคนหนึ่งนั่งอยู่บนนั้นแม้ชายชราจะอายุมากแล้ว แต่ดวงตาพยัคฆ์คู่นั้นกลับยังคงมีประกายเจิดจรัส ให้ความรู้สึกมีบารมีน่าเกรงขามเขาผู้นี้ก็คือผู้กุมอำนาจตระกูลหยางแห่งเมืองหลงเฉิง นายท่านใหญ่แห่งตระกูลหยาง หยางติ่งเทียน!ข้างกายเขามีชายชราอายุราวหกสิบปีคนหนึ่งในชุดสีดำนั่งอยู่ชายชรานั่งหลับตาทำสมาธิ ในมือหมุนลูกเหล็กไปเรื่อยๆ มือที่แห้งเหี่ยวดุจกิ่งไม้มีเส้นเลือดนูนชัดราวกับหนอนตัวใหญ่ชายชราชุดดำคนนี้ ก็คือหูเจี้ยนเซิง หนึ่งในสองภูติวายุดำแห่งตระกูลหยางด้านข้าง หยางเทียนหยางและหยางเทียนฉีสองพี่น้องก็นั่งอยู่ด้วยด้านล่างยังมีลูกหลานตระกูลหยางอีกสิบกว่าคนยืนเรียงรายอยู่ แต่ละคนล้วนหันมามองทางประตูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด“หยางเทียนหลงคารวะนายท่านใหญ่!”ขณะเอ่ย หยางเทียนหลงหมอบต่ำกับพื้น คลานเข่าเข้าไปในห้องโถงใหญ่“
แต่พอเรื่องพัวพันถึงผู้บำเพ็ญพรต ถึงขั้นที่อาจดึงสำนักที่อยู่เบื้องหลังของฉู่เฉินให้เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย หยางติ่งเทียนจึงได้ลังเลแล้วลังเลเล่าทว่าในเมื่อแม้แต่หูเจี้ยนเซิงก็พูดอย่างนี้แล้ว ว่าฆ่าฉู่เฉินไปก็ไม่ได้นำพาความเดือดร้อนอะไรมาให้ อย่างนั้นเขาจะมัวกลัวอะไรอยู่อีก“อาวุโสหู อย่างนั้นแค้นอันใหญ่หลวงของหลานชายผมก็คงต้องฝากอาวุโสหูให้ช่วยสะสางแทนด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าต้องเตรียมตัวอะไรก่อนหรือไม่”หยางติ่งเทียนถามอย่างใส่ใจการต่อสู้ระหว่างผู้บำเพ็ญพรตต่างจากนักสู้ทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังเป็นถึงยอดฝีมือผู้ฝึกปราณขั้นเจ็ด หูเจี้ยนเซิงแม้เป็นผู้ฝึกปราณขั้นเก้า อย่างไรก็ไม่ควรประมาทเลินเล่อ“โปรดให้ผมยืมกระบี่ชื่อหลงไปใช้ นอกจากเรื่องนี้ก็ไม่มีอย่างอื่นแล้ว”หูเจี้ยนเซิงพูดกับหยางติ่งเทียนอย่างจริงจังว่า “พรุ่งนี้ก่อนอาทิตย์ลับขอบฟ้า ผมจะนำหัวของมันกลับมารายงานต่อหน้าผู้นำตระกูลให้ได้”คำพูดของเขาทำให้หยางติ่งเทียนสบายใจขึ้นมา เขารีบหันไปสั่งหยางเทียนฉีที่อยู่ข้างๆ ว่า “เทียนฉี ไปหยิบกระบี่ชื่อหลงในคลังเก็บของมา”ผ่านไปไม่นาน หยางเทียนฉีประคองกระบี่ล้ำค่าสีแดงสดที่ส่อง
ฉู่เฉินก้มมองนาฬิกาแวบหนึ่ง ก่อนพูดด้วยรอยยิ้มร้ายกาจว่า “นี่เพิ่งจะบ่ายโมง เธอขาดผู้ชายขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงได้รีบขนาดนี้”หลิ่วชิงเหอได้ยินอย่างนั้น ใบหน้าเรียวโกรธจนเขียวแล้วเธอรีบอะไรที่ไหนกัน หลังบ่ายสามโมง สวนสาธารณะเป๋ยหลิ่งผู้คนพลุกพล่าน แล้วจะให้เธอใช้ชีวิตต่อไปยังไงในอนาคต ฉู่เฉินจงใจถามทั้งรู้อยู่แล้วชัดๆ“ฉู่เฉิน ถึงแกจะอยากดูถูกเหยียดหยามฉันแค่ไหน ยังไงก็ต้องนึกถึงตัวเองบ้างรึเปล่า หลังสามโมงสวนสาธารณะเป๋ยหลิ่งมีวันไหนบ้างที่คนไม่พลุกพล่าน”“หรือ… หรือแกอยากดังมากรึไง”หลิ่วชิงเหอกัดฟันลอบสาปแช่งในใจ ไอ้เดรัจฉานนี่มันไม่ใช่คนแล้ว!ต้องให้ชื่อเสียงของเธอป่นปี้จนไม่เหลือชิ้นดีหรือไงถึงจะพอใจ“คนเยอะสิน่าตื่นเต้น”ฉู่เฉินพูดพร้อมรอยยิ้มชั่วร้ายอะไรนะ?!หลิ่วชิงเหอแทบจะคลั่งอยู่แล้วเรื่องอย่างนี้เขาทำกันตอนคนเยอะๆ เสียที่ไหนกัน“ฉู่เฉิน แกมันโรคจิตชัดๆ!”หลิ่วชิงเหอกัดฟันด้วยความเคียดแค้น ถ้าไม่ใช่ว่าฉู่ซื่อกรุ๊ปตกอยู่ในสภาวะวิกฤติ เป็นตายร้ายดียังไงเธอก็ไม่มีทางยอมทำอะไรบ้าๆ แบบนี้กับไอ้เดรัจฉานฉู่เฉินแน่นอน“โรคจิต? หลิ่วชิงเหอ ไม่รู้สึกอายบ้างเหรอที่พูดคำพูดน
สิ้นเสียง คนในตระกูลหลินต่างก้าวเท้าไปข้างหน้าและล้อมจ้าวเต๋อฉวนไว้ดูเหมือนว่าถ้าพูดไม่ถูกใจก็จะลงมือทันทีจ้าวเต๋อฉวนโกรธจนหัวเราะกับคนตระกูลหลิน มองสำรวจหลินเจิ้งไท่และกล่าวอย่างเย็นชา “ให้คำอธิบายกับคุณน่ะเหรอ? ผมจะอธิบายอะไรให้คุณล่ะ”หลินเจิ้งไท่สีหน้ามืดมน กัดฟันกล่าวว่า “พวกเราดักฆ่าฉู่เฉินที่นี่แล้วผิดอะไร? เจ้าสำนักก็เคยกล่าวไว้ ถ้าได้หยกโลหิตกิเลนมาก็เป็นประโยชน์ต่อสำนักชิงอวิ๋นของเราอย่างยิ่ง หัวหน้าจ้าวไม่รู้เหรอครับ?”“หึ ดักฆ่าฉู่เฉิน?”จ้าวเต๋อฉวนกัดฟันกรอดจนฟันแทบแตก มองหลินเจิ้งไท่อย่างเย็นชาและกล่าวว่า “พวกคุณคิดว่ามีแค่พวกคุณที่ได้รับข่าวว่าฉู่เฉินนำหยกโลหิตกิเลนเข้าสู่โลกแห่งการหยั่งรู้งั้นเหรอ?”“จนถึงตอนนี้ ฉู่เฉินยังคงปลอดภัยดี พวกคุณไม่คิดบ้างเหรอว่าทำไม?”หมายความว่ายังไง?เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินเจิ้งไท่ก็มองไปที่จ้าวเต๋อฉวนด้วยความไม่เข้าใจ“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าสำนักดูถูกพวกคุณตระกูลหลิน พวกคุณสร้างปัญหาให้เจ้าสำนักเก่งจริงๆ”ตอนนี้จ้าวเต๋อฉวนโกรธจนอยากจะด่าคน ไม่เคยเจอใครโง่งมขนาดนี้มาก่อน“หัวหน้าจ้าว หวังว่าคุณจะอธิบายให้ชัดเจนครับ”หลินเจิ้งไท่
ในขณะนี้ หลิงเสวี่ยก็รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยเช่นกันเพราะไม่ใช่แค่หลินเจิ้งไท่เท่านั้น รวมถึงยอดฝีมือของตระกูลหลินทั้งสามที่อยู่เบื้องหลังเขาต่างก็ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแม้ว่าตอนนี้หลิงเสวี่ยจะอยู่ระดับสร้างรากฐานขั้นแปด แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินเจิ้งไท่อย่างแน่นอนยิ่งกว่านั้น เหล่าคนที่อยู่เบื้องหลังหลินเจิ้งไท่ก็ล้วนมีพลังระดับสร้างรากฐานขั้นสูงสุด ถ้าลงมือขึ้นมาจริงๆ เธอและฉู่เฉินก็ไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย“ฉู่เฉิน ฉันบอกคุณนานแล้วว่าอย่าอยู่ในโลกแห่งการหยั่งรู้นานเกินไป คุณก็ไม่ฟัง”หลิงเสวี่ยกระซิบตำหนิฉู่เฉินไปพลาง มองไปรอบๆ อย่างกระวนกระวายไปพลางเมื่อเห็นว่าหลิงเสวี่ยเริ่มลนลานแล้ว หลินฮ่าวที่กำลังเอามือกุมหน้าก็ปาดเลือดที่มุมปากออก ก้าวไปข้างหน้าและมองสำรวจฉู่เฉินด้วยความดูถูกพลางกล่าวว่า “ไอ้คนแซ่ฉู่ ตอนนี้รู้แล้วหรือยังล่ะ?”ขณะกล่าว ก็กวาดตามองไปยังเหล่ายอดฝีมือของตระกูลหลินและกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนี้ จงส่งหยกโลหิตกิเลนมาซะ และทิ้งผู้หญิงข้างๆ แกไว้ ไม่งั้น ตาย!”ทันทีที่คำว่าตายหลุดออกมา คนในตระกูลหลินแทบจะก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกันแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว
ในขณะที่คนในตระกูลหลินกำลังหัวเราะเยาะอยู่ในใจ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ คนแซ่ฉู่คนนี้ช่างมีดวงผู้หญิงของผู้หญิงจริงๆ“ผมเอง มีอะไรเหรอครับ?”ฉู่เฉินเหลือบมองหลินฮ่าวและคนอื่นๆ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย“เหอะๆ มีอะไรงั้นเหรอ?”หลินฮ่าวหัวเราะอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ฉู่เฉิน แกคงไม่รู้ตัวว่าใกล้ถึงวาระสุดท้ายของแกแล้วสินะ?”ฉู่เฉินขมวดคิ้ว มองสำรวจหลินฮ่าวและคนอื่นๆ พร้อมกับสงสัยว่า “ใกล้ถึงวาระสุดท้าย? ดูเหมือนว่าเราจะไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันนะครับ?”ขณะกล่าว ฉู่เฉินและหลิงเสวี่ยต่างก็มองไปที่สมาชิกตระกูลหลินด้วยความระแวดระวังแม้ว่าคนเหล่านี้จะอยู่ในระดับสร้างรากฐานขั้นหกเท่านั้น แต่ฉู่เฉินกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ายอดฝีมือจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้เมื่อหลินฮ่าวได้ยินเช่นนี้ ก็แค่นเสียงเย็นและกล่าวว่า “คนแซ่ฉู่ แกจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไปทำไม เจ้าสำนักให้เวลาแกสามวันเพื่อไปรับโทษตายที่สำนักชิงอวิ๋น แกคิดว่าแกซ่อนตัวอยู่ในโลกแห่งการหยั่งรู้แล้วจะไม่มีใครหาแกเจองั้นเหรอ?”“ฉันแนะนำให้แกส่งหยกโลหิตกิเลนมาจะดีที่สุด แล้วทิ้งผู้หญิงข้างๆ แกไว้ ไม่งั้นฉันจะฆ่าแกให้ตายอย่างไม่เหลือซาก
ในความเป็นจริงทั้งเมืองชิงหลง แทบจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของสำนักชิงอวิ๋นตระกูลจ้าวและตระกูลสวี่ก็ล้วนเป็นศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นเช่นกันถ้าตระกูลหลินเป็นฝ่ายเริ่มเสนอการสังหารฉู่เฉินพื่อแย่งชิงสมบัติ จากนั้นนำหยกโลหิตกิเลนไปมอบให้กับธรรมมาจารย์สำนักชิงอวิ๋น ดูเหมือนว่าตระกูลหลินของพวกเขาก็คงจะได้ความดีความชอบเป็นอันดับแรกสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจ้าวเต๋อฉวนเป็นทายาทรุ่นที่สองของตระกูลจ้าวและยังเป็นเจ้าสำนักชิงอวิ๋นอีกด้วยถ้าใจร้อนอยากได้ความดีความชอบโดยปกปิดตระกูลจ้าว ทันทีที่เป็นศัตรูกับตระกูลจ้าว ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าในอนาคตจะไม่ถูกจ้าวเต๋อฉวนกีดกันดังนั้น ข้อเสนอของหลินฮ่าวจึงได้รับการเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์จากบรรดาผู้เฒ่าตระกูลหลินอย่างรวดเร็วในไม่ช้า ตระกูลหลินก็เริ่มดำเนินการ โดยส่งยอดฝีมือจำนวนมากติดตามหลินฮ่าวไปดักรอฉู่เฉินนอกเมืองชิงหลงอีกด้านหนึ่ง ยังได้ส่งลูกหลานตระกูลหลินไปจำนวนไม่น้อยไปแจ้งตระกูลจ้าวและตระกูลสวี่แค่ยอดฝีมือระดับสร้างรากฐานขั้นที่หกของตระกูลหลิน ก็มีมากถึงสิบกว่าคนแล้วเมื่อรวมกับตระกูลจ้าวและตระกูลสวี่ ภายใต้การร่วมมือของสามตระกูล ไม่ต้องพูดถึง
แม้ว่าจะไม่มีตึกสูง แต่ที่นี่ก็มีสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่บางชนิดจำหน่ายด้วยเหมือนกันหลังจากฟังคำแนะนำของหลิงเสวี่ย ฉู่เฉินก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ได้ งั้นไปที่เมืองชิงหลงกันก่อน”อันที่จริง ในด้านหนึ่งฉู่เฉินต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกแห่งการหยั่งรู้ และในอีกด้านหนึ่งก็ต้องการค้นหาวัตถุดิบยาในเมืองชิงหลงด้วยอย่างไรก็ตาม ตอนนี้เจ้าทึ่มก็ถึงคอขวดแล้ว และจำเป็นต้องคิดหาวิธีที่จะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นผีดิบเหินฟ้าโดยเร็วที่สุดไม่อย่างนั้น ฉู่เฉินก็คงจะขาดคู่ซ้อมที่แข็งแกร่งไปคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ“คุณจะไปเมืองชิงหลงจริงๆ เหรอ? คุณควรรู้ไว้ว่าตอนนี้คุณในโลกแห่งการหยั่งรู้ก็เหมือนกับเป็นสมบัติที่มีชีวิต ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไหร่ที่กำลังเล็งคุณอยู่”หลิงเสวี่ยกล่าวพลางขมวดคิ้วแน่นไม่ใช่ว่าเธอเป็นห่วงฉู่เฉินมากขนาดนั้น แต่ถ้าฉู่เฉินตกอยู่ในอันตราย เธอก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย“เมื่อวานเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ยังมีใครกล้าคิดร้ายกับผมอีกงั้นเหรอ?”ฉู่เฉินถามด้วยความสงสัยชิ!หลิงเสวี่ยกลอกตามองฉู่เฉินและกล่าวด้วยสีหน้าจนใจ “คุณคิดว่าเหตุการณ์เมื่อวานนี้จะสร้างความฮือฮาได้มากขนาดไหน แม้ว่า
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนอดหน้ามืดไม่ได้ แทบจะเป็นลมคาที่นี่ไม่อาจใช้คำว่ามากเกินไปมาบรรยายฉู่เฉินได้แล้ว ปรมาจารย์ฝืนข่มกลั้นโทสะในใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ ว่า “คุณฉู่ คุณไม่คิดว่าข้อเรียกร้องของคุณมันมากเกินไปเลยหรือไง?”“ฆ่าคนก็แค่เอาหัวโขกพื้น คะ...คุณเห็นวังเทียนเจี้ยนของผมรังแกง่ายจริง ๆ เหรอ?” ฉู่เฉินหัวเราะหยัน กวาดตามองปรมารจารย์ว่านเจี้ยนแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “รังแกคุณแล้วยังไง? เอาของตามใบรายการนี้มา แล้วผมจะหันกายจากไปโดยไม่พูดอะไรเลย”“ถ้าคุณกล้าพูดคำว่าไม่สักคำละก็ ผมก็มีวิธีทำให้วังเทียนเจี้ยนของคุณหายวับไปกับตา” ข่มขู่ ข่มขู่กันอย่างโจ่งแจ้ง“ไอ้คนแซ่ฉู่ แกเหิมเกริมไปแล้ว...” ไม่รอให้ศิษย์ของวังเทียนเจี้ยนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่เอ่ยปาก ปรมารจารย์ว่านเจี้ยนก็รีบยกมือห้ามเอ่ยว่า “หุบปากให้หมด!” หลังจากผ่านเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เวลานี้ปรมารจารย์ว่านเจี้ยรไม่สงสัยความสามารถของฉู่เฉินเลยสักนิดเดียวอย่างแย่ที่สุด ฉู่เฉินก็สามารถลากวังเทียนเจี้ยนให้ตายตกตามกันได้ต้องรีบไล่ตัวซวยคนนี้ออกไปโดยเร็วที่สุดถุงจะถูกเมื่อคิดได้ดังนั้น ปรมาจ
ไม่อย่างนั้น เธอก็คงไม่มีทางกระโดดจากสาวใช้ธรรมดา ๆ กลายเป็นสุดยอดฝีมือระดับสร้างรากฐานชั้นแปดภายในระยะเวลาห้าปีสั้น ๆ หรอก แต่ว่าฉู่เฉินรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?เมื่อเห็นหลิงเสวี่ยตะลึงจนพูดไม่ออก ฉู่เฉินก็แหงนหน้าหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ดูท่าจะตรงตามที่ผมเดาไว้จริง ๆ ปรมาจารย์คนดีของคุณอยากเลี้ยงคุณจนสมบูรณ์แล้วค่อยดูดกลืนคุณจนแห้งไงละ” เมื่อหลิงเสวี่ยได้ยินคำพูดนี้ พลันร้อนใจขึ้น ถลึงตามองฉู่เฉินอย่างเย็นชาและกล่าว “ฉู่เฉิน ห้ามคุณพูดจาเหลวไหลนะ”ถึงแม้ว่าปรมาจารย์ว่านเจี้ยนจะเห็นเธอเป็นของชิ้นหนึ่ง มอบเธอให้ฉู่เฉิน แต่ว่าสำนักเคยมีบุญคุณกับเธอจริง ๆ“พูดจาเหลวไหล? กลัวว่าคุณโดนคนอื่นขายแล้ว ยังช่วยเขานับเงินด้วยละมั้ง?”ฉู่เฉินหัวเราะหยัน จากนั้นก็อธิบายวิชาบำเพ็ญคู่ให้ฟังสั้น ๆ และบอกเรื่องคุณสมบัติร่างกายพิเศษอย่างร่างธาตุสวรรค์บริสุทธิ์ว่ามีประโยชน์มากเท่าไหร่ต่อผู้ฝึกวิชาบำเพ็ญคู่ให้ฟังตามความเป็นจริง หลังจากฟังคำพูดนี้ของฉู่เฉินจบก็ทำลายสามมุมมองของหลิงเสวี่ยอย่างแท้จริง “เป็นไปไม่ได้ ต้องไม่ใช่ความจริงแน่นอน ท่านปรมาจารย์มักจะสอนพวกเราว่าผู้บำเพ็ญเพียนต้องทำ
ถึงแม้ว่าในใจของปรมาจารย์ว่านเจี้ยนจะไม่เต็มใจอย่างยิ่ง แต่ก็ทำได้เพียงปล่อยให้ฉู่เฉินจูงมือหลิงเสวี่ยเดินเข้าไปในเรือนเจ้าสำนักที่เขาอาศัยอยู่ ในตอนที่ฉู่เฉินปิดประตูห้องจนสนิท พวกศิษย์ของวังเทียนเจี้ยนต่างก็เผยสีหน้าเจ็บปวดและไม่ยินยอมออกมาจบแล้ว!เทพธิดาในใจของพวกเขา น้องศิษย์เล็กที่พวกเขาเฝ้าปรารถนา โดนไอ้เดรัจฉานฉู่เฉินย่ำยีแบบนี้แล้วเมื่อผลักประตูเดินเข้าไปในห้องนอนด้านใน ฉู่เฉินก็อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ไอ้แก่ตายยากอย่างปรมาจารย์ว่านเจี้ยนคนนี้เสพสุขเก่งจริง ๆ บนเตียงหยกน้ำแข็งมีอุปกรณ์ของเล่นต่าง ๆ ครบครัน นอกจากนี้ยังมีหมอนรองเอวโดยเฉพาะอีกด้วยไอ้เชี่ยนี่ เฒ่าหัวงูถึงจะเป็นคนตัณหากลับ จริง ๆ เมื่อเห็นเฟอร์นิเจอร์ในห้องปรมาจารย์ว่านเจี้ยน หลิงเสวี่ยก็อดขมวดคิ้วไม่ได้พลางกล่าวว่า “ทำไมในห้องของปรมาจารย์ถึงจะมีหมอนสองใบล่ะ อีกอย่าง ทำไมหมอนใบนี้ดูไปแล้ว ไม่ค่อยเหมือนเลย?” หลิงเสวี่ยพูดพลางเอื้อมมือจะไปหยิบหมอนรองเอวใบนั้นขึ้นมา แต่โดนฉู่เฉินขวางไว้ทันที“อีกเดี๋ยวคุณก็จะรู้เองว่าหมอนใบนี้เอาไว้ใช้ทำอะไร เข้ามาสิ”ระหว่างที่พูด ฉู่เฉินก็ดึงหลิงเสวี่ยให้นั่งลงข้างเตียง
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ พวกว่านโซ่วเซียนเวิงก็ถอนหายใจติดต่อกันด้วยสีหน้าเสียดายในตอนนี้เอง แผ่นกระดาษสีขาวที่เขียนตำรับยาสร้างกล้ามเนื้อพลันลอยมาจากในวังเทียนเจี้ยน“ผู้อาวุโสทั้งหลาย ขอบคุณครับ”วินาทีต่อมา เสียงของฉู่เฉินดังออกมาจากห้องโถงใหญ่ของวังเทียนเจี้ยนพวกว่านโซ่วเซียนเวิงรับสูตรยาที่ฉู่เฉินส่งมา ก่อนจะมองไปทางตำหนักหลักของวังเทียนเจี้ยนอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง“พวกเราไปกันเถอะ”ว่านโซ่วเซียนเวิงคัดลอกสูตรยาไว้หนึ่งชุด แล้วก็พาลูกศิษย์แห่งสำนักว่านเซียนหันกายเดินจากไป“เหอะ ๆ... ไอ้หนูมีน้ำใจแล้ว ถือว่าฉันติดหนี้บุญคุณเธอแล้ว ไว้พบกันใหม่”ผู้เฒ่าเทียนเสวียนก็คว้าสูตรยามาเช่นกันก่อนจะคัดลอกทันที จากนั้นเขาก็หันกายพาหลินเจี้ยนเฟิงลอยจากไปไม่นานนัก ผู้คนที่มามุงดูความคึกคักรอบนอกวังเทียนเจี้ยนก็ทยอยกันแยกย้ายไปหมดฉู่เฉินมองปรมาจารย์ว่านเจี้ยนที่หน้าแดงก่ำดูอับอายอย่างยิ่งยวด ก่อนจะหัวเราะหยันแล้วพูดว่า “เมื่อกี้คุณบอกว่าใครใกล้ตายนะ?”ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนมองฉู่เฉินพลางกัดฟันกรอด แม้ว่าตอนนี้ภัยคุกคามของวังเทียนเจี้ยนจะถูกขจัดไปแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่กล้าแตะต้องฉู่เฉ