นอกจากนี้ยังมีสาวสวยสวมชุดว่ายน้ำบิกินีและแว่นกันแดดยืนอยู่ข้างกายเธอ ดูจากอายุแล้วน่าจะอายุประมาณสามสิบห้าสามสิบหกปี เรียวขางดงามขาวนวลดุจหิมะสองข้างยิ่งดูขาวผ่องภายใต้แสงอาทิตย์ส่องสว่างเพียงแต่ว่าเนินอกอวบอิ่มยังด้อยกว่าหลี่จิงจิงอยู่หนึ่งระดับ แต่ถึงอย่างไรก็นับว่าเป็นสาวงามได้โดยไม่ต้องฝืน“คุณฉู่ ประธานฟาง ปล่อยให้พวกคุณรอนานแล้ว”เมื่อเรือยอร์ตเทียบท่า หลี่จิงจิงกลับทักทายฉู่เฉินกับฟางอวี่เจิ้งโดยไม่มีความลำบากใจเลยสักนิดเดียวสาวสวยในชุดว่ายน้ำที่อยู่ข้าง ๆ หลี่จิงจิงก็ทักทายฟางอวี่เจิ้งว่า “ประธานฟาง ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”ฟางอวี่เจิ้งหรี่ตา ค่อย ๆ เบนความสนใจจากร่องอกขาวนวลของสาวสวยในชุดว่ายน้ำมาที่ใบหน้า จากนั้นถึงค่อยฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “โอ้ จางหลิง” เมื่อเรือยอร์ตเทียบท่า ฉู่เฉินกับฟางอวี่เจิ้งก็ขึ้นไปบนเรือยอร์ตแม้ว่าเรือยอร์ตลำนี้ไม่ใหญ่มาก แต่ก็ถือว่ามีพื้นที่กว้างขวาง ด้านในยังมีห้องพักที่ตกแต่งไว้เรียบร้อยแล้วสองห้อง แม้ว่าการตกแต่งด้านในจะเรียบง่ายไปบ้าง แต่เครื่องครัวก็ครบครัน เมื่อเรือยอร์ตค่อย ๆ ออกตัว หลี่จิงจิงพาพวกฉู่เฉินเดินเข้าไปในห้องพักโดยสารท
“อื้อ...” จางหลิงกับฟางอวี่เจิ้งที่กำลังคุยเล่นกันอยู่ด้านในห้องพักโดยสารพลันได้ยินเสียงครางยาวออดอ้อนดังมาจากบนดาดฟ้าเรือ จึงมองไปทางด้านบนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย นี่คงไม่ใช่ว่าเริ่มกันแล้วนะ?ฟางอวี่เจิ้งกลืนน้ำลายหนัก ๆ เขารู้ดีถึงพละกำลังของฉู่เฉิน หลายวันก่อนเขาเพิ่งเปิดประตูต้อนรับฉู่เฉินเองชั่วขณะหนึ่ง ฟางอวี่เจิ้งพลันเกิดความรู้สึกดูถูกตัวเองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกแรกเริ่มเสียงนั้นยังไม่ชัดเจนมากนักเพราะเสียงเครื่องยนต์ของเรือยอร์ตแต่เมื่อเรือยอร์ตจอดอยู่บนผืนทะเลที่ห่างออกจากฝั่งหลายสิบไมค์ ไม่มีเสียงเครื่องยนต์รบกวน เสียงนั้นก็ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆฟังจนฟางอวี่เจิ้งรู้สึกเหมือนมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ภายในใจ! ดวงหน้าเล็กของจางหลิงก็แดงระเรื่อเช่นกัน ท้องน้อยกระเพื่อมขึ้นลง ค่อย ๆ หายใจถี่กระชั้นขึ้นมา .....เวลานี้ฉู่เฉินกำลังเอาเท้าเหยียบราวจับ ยืนอย่างองอาจอยู่บนหัวเรือ หลี่จิงจิงก็คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าฉู่เฉิน ปากเล็ก ๆ ขะมักเขม้นไม่หยุด แสงแดดสาดส่องบนผืนทะเล ภายใต้ฟ้าสีคราม ทั้งสองคนที่อยู่บนหัวเรือยอร์ตก็ค่อย ๆ เข้าสู่ภวังค์“ตึง ๆๆ!”เสียงกระแทกกระทั้นดัง
ฉู่เฉินส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ไม่เคยครับ นี่น่าจะเป็นการออกทะเลครั้งแรกของผม”“จริงเหรอคะ?”จางหลิงดูเหมือนค้นพบทวีปใหม่ก็ไม่ปาน เธอจับแขนของฉู่เฉินขึ้นมาทันทีแล้วพูดว่า “คุณฉู่คะ อยากลองสัมผัสความรู้สึกว่ายน้ำในทะเลอย่างเต็มที่ไหมคะ?” แต่ยังไม่ทันที่ฉู่เฉินจะตอบ มือน้อย ๆ ของจางหลิงก็ออกแรงผลักฉู่เฉินลงไปในทะเลทันทีเสียงดังตูม คลื่นสาดกระเซ็นขึ้นมา ฉู่เฉินผุดขึ้นมาจากในน้ำ มองไปทางหัวเรือเวรเอ๊ย!ยัยนี่รีบร้อนมากขนาดไหนในขณะที่ฉู่เฉินเงยหน้าขึ้นมา ร่างขาวเนียนก็กระโดดลงมาในทะเล หลังจากที่จางหลิงว่ายน้ำมาอยู่ตรงหน้าฉู่เฉิน ฉู่เฉินพลันรู้สึกได้ว่าเหมือนมีมือเล็ก ๆ จับเขาเอาไว้ เธอแม่งมีเครื่องตรวจจับใต้น้ำหรือไง? จับได้แม่นยำขนาดนี้เชียวซ่า ๆ!คลื่นทะเลซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า จางหลิงเหมือนกับปลาหมึก พัวพันร่างกายของฉู่เฉินไว้อย่างแน่นหนาไม่มีพิธีรีตองเลยสักนิดเดียวจริง ๆ นี่มันโจมตีเข้าเป้าไปเลย?ฉู่เฉินทำหน้ามึนงงเช่นกันความจริงแล้วเขาอยากเอากลับมามาก ๆ แต่ว่าร่างกายอยู่ในน้ำ ควบคุมไม่ได้เลย คลื่นใต้น้ำในทะเลผลักเขาไปข้างหน้าซ่า ๆๆผ่านไปไม่นาน เสียงน
เมื่อเห็นว่านายท่านใหญ่ตกอยู่ในวิกฤติแล้ว ไม่ว่าคนแซ่ฉู่จะพูดถูกต้องหรือไม่ เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือช่วยปลุกนายท่านใหญ่ให้ฟื้นขึ้นมาโดยเร็วที่สุด เฉียวเทียนฉี่ไม่สนใจอะไรมากมายแล้ว จะอยู่หรือจะตาย ได้แต่ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้วต่อให้ตอนนี้ส่งนายท่านใหญ่ไปที่เมืองเอกของมณฑล นายท่านใหญ่อาจจะทนรับการเดินทางที่โคลงเคลงไม่ไหว มีเพียงวิธีการเดียวก็คือเชิญฉู่เฉินกลับมา แล้วลองทำตามวิธีการของเขาหลูไคซานเห็นเฉียวเทียนฉี่ร้อนใจจนตาแดงแล้ว เขาก็รีบล้วงโทรศัพท์ออกมาโทรหาเจียงไห่ตง“อธิบดีเจียง ตอนนี้นายท่านใหญ่ตกอยู่ในวิกฤติแล้ว รีบให้คนแซ่ฉู่คนนั้นกลับมาเดี๋ยวนี้เลยครับ”ทันทีที่รับสาย หลูไคซานก็ตะโกนเสียงดังใส่เจียงไห่ตงที่อยู่ปลายสายเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหลูไคซาน เจียงไห่ตงก็อึ้งไปก่อน จากนั้นถึงค่อยเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “เลขาหลู คุณคิดว่าคุณฉู่จะเชื่อฟังคำพูดของผมเหรอครับ?” “เฮ้อ คนที่ไล่เขาไปคือผู้ว่าการเฉียว ผมจะมีสิทธิอะไรให้คุณฉู่กลับไปอีก?” คำพูดนี้ทั้งพูดให้หลูไคซานฟัง และพูดให้เฉียวเทียนฉี่ฟัง ฉู่เฉินมาถึงบ้านตระกูลเฉียวตั้งแต่เช้าแล้ว เป็นคนตระกูลเฉียวของพวกคุณที่ด
เมื่อได้ยินเสียงปังในโทรศัพท์ ฟางอวี่เจิ้งก็สะดุ้งเช่นกัน เขารีบวางสายแล้วหันตัววิ่งกลับไปยังห้องพักโดยสาร“น้องฉู่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”ฟางอวี่เจิ้งเล่าคำพูดของเฉียวเทียนฉี่เมื่อครู่นี้ออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ฉู่เฉินหัวเราะหยันแล้วเอ่ยว่า “ฮึ ถ้าเกิดผมเดาไม่ผิด ตอนนี้ผู้อาวุโสเฉียวน่าจะมีเลือดไหลออกจากปากแล้ว”เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ฉู่เฉินก็หันหน้าไปมองสีท้องฟ้าอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยอย่างใคร่ครวญว่า “อย่างมากอีกหนึ่งชั่วโมงก็จะกระแกเลือดคำใหญ่แล้ว”“ก่อนพลบค่ำพระอาทิตย์ตกดิน ถ้าเกิดไม่ดำเนินการช่วยเหลืออย่างถูกต้อง ขอเพียงตะวันลับฟ้าก็สามารถฝังนายท่านใหญ่ลงดินไปสู่สุคติได้เลย” ซี้ด!เมื่อคำพูดนี้ออกมา จางหลิงที่เพิ่งเอนตัวนอนเข้าไปอยู่ในสนามเพลาะเดียวกับฉู่เฉินก็มองไปทางฉู่เฉินด้วยความไม่อยากจะเชื่อจริง ๆถ้าเกิดบอกว่าวิชาแพทย์ของคนเรามีระดับ ฉู่เฉินจะต้องอยู่ระดับสูงสุดอย่างแน่นอน ควบคุมการเกิดแก่เจ็บตายของคนได้ในพริบตา เป็นตัวตนที่เหมือนกับเทพเซียนจริง ๆ หลี่จิงจิงเองก็มองฉู่เฉินด้วยความไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “คุณฉู่ คุณคาดการณ์อาการป่วยของผู้อาวุโสเฉียวได้เป็น
“ฉู่เฉิน นายท่านใหญ่ใกล้จะไม่ไหวแล้ว ไม่ว่าตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่ ผมให้เวลาคุณยี่สิบนาที รีบกลับมารักษานายท่านใหญ่เดี๋ยวนี้!”เฉียวเทียนฉี่ใช้น้ำเสียงที่ไม่อนุญาตให้สงสัยออกคำสั่งอย่างเย็นชา“ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ว่าง”ฉู่เฉินพูดจบก็โอบเอวบางของหลี่จิงจิงอีกครั้ง ก่อนจะพูดกับเนื้อขาปูในจานข้าง ๆ ว่า “ผมอยากกินปูที่มือเรียวสวยถือให้” “แหม คุณนี่แย่จริง ๆ ฉันกำลังถือโทรศัพท์อยู่ ยังมีมือที่สามมาแกะขาปูให้คุณที่ไหนกัน?” หลี่จิงจิงกล่าวพลางแค่นเสียงอย่างแง่งอน“งั้นก็วางสายสิ”ฉู่เฉินเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจวินาทีต่อมา เฉียวเทียนฉี่ที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟยังไม่ทันได้ระบายโทสะออกมา ก็มีเสียงสายไม่ว่างดังมาจากปลายสาย ตัดสายของเขาจริง ๆ เหรอเนี่ย?!ดวงหน้าของเฉียวเทียนฉี่แดงฉานเพราะความโกรธจัด!“บังอาจ! บังอาจ!”เฉียวเทียนฉี่ปากสั่น ตวาดอย่างเกรี้ยวกราดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “แค่แพทย์แผนจีนตัวเล็ก ๆ กล้าตัดสายฉันเนี่ยนะ?!”วินาทีถัดมา เฉียวเทียนฉี่โทรศัพท์ไปอีกครั้ง“พูดมา!” ฉู่เฉินกินเนื้อขาปูไปด้วย เอ่ยพลางเคี้ยวเสียงดังไปด้วย “เมื่อกี้คุณได้ยินที่ผมพูดไหม ผมบอกว่านายท่านใหญ่ของบ้านเ
นั่นคือเฉียวเทียนฉี่เลยนะฉู่เฉินสามารถทำให้เฉียวเทียนฉี่พูดจาอ่อนน้อมได้ แถมยังแล่นมาตั้งหลายสิบกิโลเมตรเพื่อมารับเขาด้วยตัวเอง นี่เป็นปาฏิหาริย์จริง ๆ หลี่จิงจิงกับจางหลิงยิ่งนับถือฉู่เฉินราวกับมีตัวตนประหนึ่งเทพเจ้าต้องรู้เอาไว้ว่าในสายตาของพวกเธอ ฟางอวี่เจิ้งก็สูงเกินเอื้อมแล้ว เป็นตัวตนที่เหมือนกับท้องฟ้าแล้ว ส่วนเฉียวเทียนฉี่ นั่นเป็นตัวตนที่พวกเขาไม่มีวันได้สัมผัสไปชั่วชีวิต ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่เฉิน คนแบบนี้ก็ถูกขัดเกลาจนต้องยอมจำนนส่วนฉู่เฉินตอนนี้เพิ่งอายุยี่สิบกว่าปี อนาคตของเขาในวันข้างหน้าไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นเพียงคนรักข้างกายเขา ผลประโยชน์ที่ตนได้รับก็นับไม่หวาดไม่ไหวแล้ว.....อีกทางด้านหนึ่ง เฉียวเทียนฉี่กำลังจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย พูดกับหลูไคซานว่า “ เตรียมรถ ไปที่ท่าเรือตะวันออก!” หลูไคซานพยักหน้าหนัก ๆ แล้วพูดว่า “ครับ!”ผ่านไปไม่นาน เฉียวเทียนฉี่ก็เข้าไปนั่งในรถ เมื่อรถค่อย ๆ แล่นออกไป หลิ่วหรูเยียนกับมารดาที่รอคอยอยู่ตรงหน้าประตูด้วยความวิตกกังวลกำลังคิดจะเข้ามาขวางรถของเฉียวเทียนฉี่ หลูไคซานที่นั่งอยู่บนที่นั่งข้างคนขับก็ตวาดอย่
ฉู่เฉินงั้นเหรอ?ไม่มีทางเด็ดขาด นั่นมันคือรถของผู้ว่าการเฉียวนะ ฉู่เฉินมีสิทธิ์อะไรมานั่ง?“ลูกคงตาฝาดไปเอง ลูกลองคิดดูให้ดีรถของผู้ว่าการใครจะนั่งก็ได้งั้นเหรอ?”หลิ่วชิงเหอจ้องมองไปยังไฟท้ายรถ กล่าวขึ้นมาด้วยความคิดเมื่อได้ยินดังนั้น หลิ่วชิงเหอก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมาด้วยความโล่งใจ เธอน่าจะมองผิดไปจริงๆ ใช่ไหม?......อีกด้านหนึ่ง รถเคลื่อนที่ไปถึงข้างในประตูของบ้านใหญ่จึงจะหยุดลง หลังจากลงจากรถแล้ว เฉียวเทียนฉี่ก็พูดอย่างเกรงอกเกรงใจกับฉู่เฉินว่า “คุณฉู่เชิญทางนี้ครับ”ฉู่เฉินพยักหน้าลงเล็กน้อย ย่างก้าวเดินไปยังห้องนอนของนายท่านใหญ่เมื่อเห็นว่าเฉียวเทียนฉี่เชิญฉู่เฉินกลับมาอีกครั้ง เฉียวซูอวี่ก็ยังคงกอดอกมีสีหน้าที่ไม่พอใจ พร้อมทั้งจ้องเขม็งไปที่ฉู่เฉิน คนที่ไม่เคยแม้แต่เรียนการแพทย์มา จะมีความสามารถมากมายขนาดไหนกันเชียว?มันเป็นเพียงกลอุบายของนักต้มตุ๋น เธอไม่เชื่อหรอกนะว่าฉู่เฉินจะช่วยชีวิตนายท่านใหญ่ไว้ได้เนื่องจากมีเฉียวเทียนฉี่อยู่ข้างๆ เธอจึงไม่มีได้พูดอะไรให้มากความ และทำได้เพียงจ้องมองอย่างเย็นชาจากด้านข้างเท่านั้น“คุณฉู่ครับ พ่อผมเขา...”ระหว่างที่เฉียวเทีย
สิ้นเสียง คนในตระกูลหลินต่างก้าวเท้าไปข้างหน้าและล้อมจ้าวเต๋อฉวนไว้ดูเหมือนว่าถ้าพูดไม่ถูกใจก็จะลงมือทันทีจ้าวเต๋อฉวนโกรธจนหัวเราะกับคนตระกูลหลิน มองสำรวจหลินเจิ้งไท่และกล่าวอย่างเย็นชา “ให้คำอธิบายกับคุณน่ะเหรอ? ผมจะอธิบายอะไรให้คุณล่ะ”หลินเจิ้งไท่สีหน้ามืดมน กัดฟันกล่าวว่า “พวกเราดักฆ่าฉู่เฉินที่นี่แล้วผิดอะไร? เจ้าสำนักก็เคยกล่าวไว้ ถ้าได้หยกโลหิตกิเลนมาก็เป็นประโยชน์ต่อสำนักชิงอวิ๋นของเราอย่างยิ่ง หัวหน้าจ้าวไม่รู้เหรอครับ?”“หึ ดักฆ่าฉู่เฉิน?”จ้าวเต๋อฉวนกัดฟันกรอดจนฟันแทบแตก มองหลินเจิ้งไท่อย่างเย็นชาและกล่าวว่า “พวกคุณคิดว่ามีแค่พวกคุณที่ได้รับข่าวว่าฉู่เฉินนำหยกโลหิตกิเลนเข้าสู่โลกแห่งการหยั่งรู้งั้นเหรอ?”“จนถึงตอนนี้ ฉู่เฉินยังคงปลอดภัยดี พวกคุณไม่คิดบ้างเหรอว่าทำไม?”หมายความว่ายังไง?เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินเจิ้งไท่ก็มองไปที่จ้าวเต๋อฉวนด้วยความไม่เข้าใจ“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าสำนักดูถูกพวกคุณตระกูลหลิน พวกคุณสร้างปัญหาให้เจ้าสำนักเก่งจริงๆ”ตอนนี้จ้าวเต๋อฉวนโกรธจนอยากจะด่าคน ไม่เคยเจอใครโง่งมขนาดนี้มาก่อน“หัวหน้าจ้าว หวังว่าคุณจะอธิบายให้ชัดเจนครับ”หลินเจิ้งไท่
ในขณะนี้ หลิงเสวี่ยก็รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยเช่นกันเพราะไม่ใช่แค่หลินเจิ้งไท่เท่านั้น รวมถึงยอดฝีมือของตระกูลหลินทั้งสามที่อยู่เบื้องหลังเขาต่างก็ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแม้ว่าตอนนี้หลิงเสวี่ยจะอยู่ระดับสร้างรากฐานขั้นแปด แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินเจิ้งไท่อย่างแน่นอนยิ่งกว่านั้น เหล่าคนที่อยู่เบื้องหลังหลินเจิ้งไท่ก็ล้วนมีพลังระดับสร้างรากฐานขั้นสูงสุด ถ้าลงมือขึ้นมาจริงๆ เธอและฉู่เฉินก็ไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย“ฉู่เฉิน ฉันบอกคุณนานแล้วว่าอย่าอยู่ในโลกแห่งการหยั่งรู้นานเกินไป คุณก็ไม่ฟัง”หลิงเสวี่ยกระซิบตำหนิฉู่เฉินไปพลาง มองไปรอบๆ อย่างกระวนกระวายไปพลางเมื่อเห็นว่าหลิงเสวี่ยเริ่มลนลานแล้ว หลินฮ่าวที่กำลังเอามือกุมหน้าก็ปาดเลือดที่มุมปากออก ก้าวไปข้างหน้าและมองสำรวจฉู่เฉินด้วยความดูถูกพลางกล่าวว่า “ไอ้คนแซ่ฉู่ ตอนนี้รู้แล้วหรือยังล่ะ?”ขณะกล่าว ก็กวาดตามองไปยังเหล่ายอดฝีมือของตระกูลหลินและกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนี้ จงส่งหยกโลหิตกิเลนมาซะ และทิ้งผู้หญิงข้างๆ แกไว้ ไม่งั้น ตาย!”ทันทีที่คำว่าตายหลุดออกมา คนในตระกูลหลินแทบจะก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกันแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว
ในขณะที่คนในตระกูลหลินกำลังหัวเราะเยาะอยู่ในใจ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ คนแซ่ฉู่คนนี้ช่างมีดวงผู้หญิงของผู้หญิงจริงๆ“ผมเอง มีอะไรเหรอครับ?”ฉู่เฉินเหลือบมองหลินฮ่าวและคนอื่นๆ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย“เหอะๆ มีอะไรงั้นเหรอ?”หลินฮ่าวหัวเราะอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ฉู่เฉิน แกคงไม่รู้ตัวว่าใกล้ถึงวาระสุดท้ายของแกแล้วสินะ?”ฉู่เฉินขมวดคิ้ว มองสำรวจหลินฮ่าวและคนอื่นๆ พร้อมกับสงสัยว่า “ใกล้ถึงวาระสุดท้าย? ดูเหมือนว่าเราจะไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันนะครับ?”ขณะกล่าว ฉู่เฉินและหลิงเสวี่ยต่างก็มองไปที่สมาชิกตระกูลหลินด้วยความระแวดระวังแม้ว่าคนเหล่านี้จะอยู่ในระดับสร้างรากฐานขั้นหกเท่านั้น แต่ฉู่เฉินกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ายอดฝีมือจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้เมื่อหลินฮ่าวได้ยินเช่นนี้ ก็แค่นเสียงเย็นและกล่าวว่า “คนแซ่ฉู่ แกจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไปทำไม เจ้าสำนักให้เวลาแกสามวันเพื่อไปรับโทษตายที่สำนักชิงอวิ๋น แกคิดว่าแกซ่อนตัวอยู่ในโลกแห่งการหยั่งรู้แล้วจะไม่มีใครหาแกเจองั้นเหรอ?”“ฉันแนะนำให้แกส่งหยกโลหิตกิเลนมาจะดีที่สุด แล้วทิ้งผู้หญิงข้างๆ แกไว้ ไม่งั้นฉันจะฆ่าแกให้ตายอย่างไม่เหลือซาก
ในความเป็นจริงทั้งเมืองชิงหลง แทบจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของสำนักชิงอวิ๋นตระกูลจ้าวและตระกูลสวี่ก็ล้วนเป็นศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นเช่นกันถ้าตระกูลหลินเป็นฝ่ายเริ่มเสนอการสังหารฉู่เฉินพื่อแย่งชิงสมบัติ จากนั้นนำหยกโลหิตกิเลนไปมอบให้กับธรรมมาจารย์สำนักชิงอวิ๋น ดูเหมือนว่าตระกูลหลินของพวกเขาก็คงจะได้ความดีความชอบเป็นอันดับแรกสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจ้าวเต๋อฉวนเป็นทายาทรุ่นที่สองของตระกูลจ้าวและยังเป็นเจ้าสำนักชิงอวิ๋นอีกด้วยถ้าใจร้อนอยากได้ความดีความชอบโดยปกปิดตระกูลจ้าว ทันทีที่เป็นศัตรูกับตระกูลจ้าว ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าในอนาคตจะไม่ถูกจ้าวเต๋อฉวนกีดกันดังนั้น ข้อเสนอของหลินฮ่าวจึงได้รับการเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์จากบรรดาผู้เฒ่าตระกูลหลินอย่างรวดเร็วในไม่ช้า ตระกูลหลินก็เริ่มดำเนินการ โดยส่งยอดฝีมือจำนวนมากติดตามหลินฮ่าวไปดักรอฉู่เฉินนอกเมืองชิงหลงอีกด้านหนึ่ง ยังได้ส่งลูกหลานตระกูลหลินไปจำนวนไม่น้อยไปแจ้งตระกูลจ้าวและตระกูลสวี่แค่ยอดฝีมือระดับสร้างรากฐานขั้นที่หกของตระกูลหลิน ก็มีมากถึงสิบกว่าคนแล้วเมื่อรวมกับตระกูลจ้าวและตระกูลสวี่ ภายใต้การร่วมมือของสามตระกูล ไม่ต้องพูดถึง
แม้ว่าจะไม่มีตึกสูง แต่ที่นี่ก็มีสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่บางชนิดจำหน่ายด้วยเหมือนกันหลังจากฟังคำแนะนำของหลิงเสวี่ย ฉู่เฉินก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ได้ งั้นไปที่เมืองชิงหลงกันก่อน”อันที่จริง ในด้านหนึ่งฉู่เฉินต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกแห่งการหยั่งรู้ และในอีกด้านหนึ่งก็ต้องการค้นหาวัตถุดิบยาในเมืองชิงหลงด้วยอย่างไรก็ตาม ตอนนี้เจ้าทึ่มก็ถึงคอขวดแล้ว และจำเป็นต้องคิดหาวิธีที่จะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นผีดิบเหินฟ้าโดยเร็วที่สุดไม่อย่างนั้น ฉู่เฉินก็คงจะขาดคู่ซ้อมที่แข็งแกร่งไปคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ“คุณจะไปเมืองชิงหลงจริงๆ เหรอ? คุณควรรู้ไว้ว่าตอนนี้คุณในโลกแห่งการหยั่งรู้ก็เหมือนกับเป็นสมบัติที่มีชีวิต ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไหร่ที่กำลังเล็งคุณอยู่”หลิงเสวี่ยกล่าวพลางขมวดคิ้วแน่นไม่ใช่ว่าเธอเป็นห่วงฉู่เฉินมากขนาดนั้น แต่ถ้าฉู่เฉินตกอยู่ในอันตราย เธอก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย“เมื่อวานเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ยังมีใครกล้าคิดร้ายกับผมอีกงั้นเหรอ?”ฉู่เฉินถามด้วยความสงสัยชิ!หลิงเสวี่ยกลอกตามองฉู่เฉินและกล่าวด้วยสีหน้าจนใจ “คุณคิดว่าเหตุการณ์เมื่อวานนี้จะสร้างความฮือฮาได้มากขนาดไหน แม้ว่า
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนอดหน้ามืดไม่ได้ แทบจะเป็นลมคาที่นี่ไม่อาจใช้คำว่ามากเกินไปมาบรรยายฉู่เฉินได้แล้ว ปรมาจารย์ฝืนข่มกลั้นโทสะในใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ ว่า “คุณฉู่ คุณไม่คิดว่าข้อเรียกร้องของคุณมันมากเกินไปเลยหรือไง?”“ฆ่าคนก็แค่เอาหัวโขกพื้น คะ...คุณเห็นวังเทียนเจี้ยนของผมรังแกง่ายจริง ๆ เหรอ?” ฉู่เฉินหัวเราะหยัน กวาดตามองปรมารจารย์ว่านเจี้ยนแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “รังแกคุณแล้วยังไง? เอาของตามใบรายการนี้มา แล้วผมจะหันกายจากไปโดยไม่พูดอะไรเลย”“ถ้าคุณกล้าพูดคำว่าไม่สักคำละก็ ผมก็มีวิธีทำให้วังเทียนเจี้ยนของคุณหายวับไปกับตา” ข่มขู่ ข่มขู่กันอย่างโจ่งแจ้ง“ไอ้คนแซ่ฉู่ แกเหิมเกริมไปแล้ว...” ไม่รอให้ศิษย์ของวังเทียนเจี้ยนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่เอ่ยปาก ปรมารจารย์ว่านเจี้ยนก็รีบยกมือห้ามเอ่ยว่า “หุบปากให้หมด!” หลังจากผ่านเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เวลานี้ปรมารจารย์ว่านเจี้ยรไม่สงสัยความสามารถของฉู่เฉินเลยสักนิดเดียวอย่างแย่ที่สุด ฉู่เฉินก็สามารถลากวังเทียนเจี้ยนให้ตายตกตามกันได้ต้องรีบไล่ตัวซวยคนนี้ออกไปโดยเร็วที่สุดถุงจะถูกเมื่อคิดได้ดังนั้น ปรมาจ
ไม่อย่างนั้น เธอก็คงไม่มีทางกระโดดจากสาวใช้ธรรมดา ๆ กลายเป็นสุดยอดฝีมือระดับสร้างรากฐานชั้นแปดภายในระยะเวลาห้าปีสั้น ๆ หรอก แต่ว่าฉู่เฉินรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?เมื่อเห็นหลิงเสวี่ยตะลึงจนพูดไม่ออก ฉู่เฉินก็แหงนหน้าหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “ดูท่าจะตรงตามที่ผมเดาไว้จริง ๆ ปรมาจารย์คนดีของคุณอยากเลี้ยงคุณจนสมบูรณ์แล้วค่อยดูดกลืนคุณจนแห้งไงละ” เมื่อหลิงเสวี่ยได้ยินคำพูดนี้ พลันร้อนใจขึ้น ถลึงตามองฉู่เฉินอย่างเย็นชาและกล่าว “ฉู่เฉิน ห้ามคุณพูดจาเหลวไหลนะ”ถึงแม้ว่าปรมาจารย์ว่านเจี้ยนจะเห็นเธอเป็นของชิ้นหนึ่ง มอบเธอให้ฉู่เฉิน แต่ว่าสำนักเคยมีบุญคุณกับเธอจริง ๆ“พูดจาเหลวไหล? กลัวว่าคุณโดนคนอื่นขายแล้ว ยังช่วยเขานับเงินด้วยละมั้ง?”ฉู่เฉินหัวเราะหยัน จากนั้นก็อธิบายวิชาบำเพ็ญคู่ให้ฟังสั้น ๆ และบอกเรื่องคุณสมบัติร่างกายพิเศษอย่างร่างธาตุสวรรค์บริสุทธิ์ว่ามีประโยชน์มากเท่าไหร่ต่อผู้ฝึกวิชาบำเพ็ญคู่ให้ฟังตามความเป็นจริง หลังจากฟังคำพูดนี้ของฉู่เฉินจบก็ทำลายสามมุมมองของหลิงเสวี่ยอย่างแท้จริง “เป็นไปไม่ได้ ต้องไม่ใช่ความจริงแน่นอน ท่านปรมาจารย์มักจะสอนพวกเราว่าผู้บำเพ็ญเพียนต้องทำ
ถึงแม้ว่าในใจของปรมาจารย์ว่านเจี้ยนจะไม่เต็มใจอย่างยิ่ง แต่ก็ทำได้เพียงปล่อยให้ฉู่เฉินจูงมือหลิงเสวี่ยเดินเข้าไปในเรือนเจ้าสำนักที่เขาอาศัยอยู่ ในตอนที่ฉู่เฉินปิดประตูห้องจนสนิท พวกศิษย์ของวังเทียนเจี้ยนต่างก็เผยสีหน้าเจ็บปวดและไม่ยินยอมออกมาจบแล้ว!เทพธิดาในใจของพวกเขา น้องศิษย์เล็กที่พวกเขาเฝ้าปรารถนา โดนไอ้เดรัจฉานฉู่เฉินย่ำยีแบบนี้แล้วเมื่อผลักประตูเดินเข้าไปในห้องนอนด้านใน ฉู่เฉินก็อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ไอ้แก่ตายยากอย่างปรมาจารย์ว่านเจี้ยนคนนี้เสพสุขเก่งจริง ๆ บนเตียงหยกน้ำแข็งมีอุปกรณ์ของเล่นต่าง ๆ ครบครัน นอกจากนี้ยังมีหมอนรองเอวโดยเฉพาะอีกด้วยไอ้เชี่ยนี่ เฒ่าหัวงูถึงจะเป็นคนตัณหากลับ จริง ๆ เมื่อเห็นเฟอร์นิเจอร์ในห้องปรมาจารย์ว่านเจี้ยน หลิงเสวี่ยก็อดขมวดคิ้วไม่ได้พลางกล่าวว่า “ทำไมในห้องของปรมาจารย์ถึงจะมีหมอนสองใบล่ะ อีกอย่าง ทำไมหมอนใบนี้ดูไปแล้ว ไม่ค่อยเหมือนเลย?” หลิงเสวี่ยพูดพลางเอื้อมมือจะไปหยิบหมอนรองเอวใบนั้นขึ้นมา แต่โดนฉู่เฉินขวางไว้ทันที“อีกเดี๋ยวคุณก็จะรู้เองว่าหมอนใบนี้เอาไว้ใช้ทำอะไร เข้ามาสิ”ระหว่างที่พูด ฉู่เฉินก็ดึงหลิงเสวี่ยให้นั่งลงข้างเตียง
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ พวกว่านโซ่วเซียนเวิงก็ถอนหายใจติดต่อกันด้วยสีหน้าเสียดายในตอนนี้เอง แผ่นกระดาษสีขาวที่เขียนตำรับยาสร้างกล้ามเนื้อพลันลอยมาจากในวังเทียนเจี้ยน“ผู้อาวุโสทั้งหลาย ขอบคุณครับ”วินาทีต่อมา เสียงของฉู่เฉินดังออกมาจากห้องโถงใหญ่ของวังเทียนเจี้ยนพวกว่านโซ่วเซียนเวิงรับสูตรยาที่ฉู่เฉินส่งมา ก่อนจะมองไปทางตำหนักหลักของวังเทียนเจี้ยนอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง“พวกเราไปกันเถอะ”ว่านโซ่วเซียนเวิงคัดลอกสูตรยาไว้หนึ่งชุด แล้วก็พาลูกศิษย์แห่งสำนักว่านเซียนหันกายเดินจากไป“เหอะ ๆ... ไอ้หนูมีน้ำใจแล้ว ถือว่าฉันติดหนี้บุญคุณเธอแล้ว ไว้พบกันใหม่”ผู้เฒ่าเทียนเสวียนก็คว้าสูตรยามาเช่นกันก่อนจะคัดลอกทันที จากนั้นเขาก็หันกายพาหลินเจี้ยนเฟิงลอยจากไปไม่นานนัก ผู้คนที่มามุงดูความคึกคักรอบนอกวังเทียนเจี้ยนก็ทยอยกันแยกย้ายไปหมดฉู่เฉินมองปรมาจารย์ว่านเจี้ยนที่หน้าแดงก่ำดูอับอายอย่างยิ่งยวด ก่อนจะหัวเราะหยันแล้วพูดว่า “เมื่อกี้คุณบอกว่าใครใกล้ตายนะ?”ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนมองฉู่เฉินพลางกัดฟันกรอด แม้ว่าตอนนี้ภัยคุกคามของวังเทียนเจี้ยนจะถูกขจัดไปแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่กล้าแตะต้องฉู่เฉ