แต่คนที่ยืนอยู่ข้างนอก กลับไม่ใช่หลิ่วหรูเยียน กลับเป็นไอ้เดรัจฉานฉู่เฉิน!“แหม เธอแต่งตัวเซ็กซี่มากเลยนะ”สายตาของฉู่เฉินกวาดมองเรือนร่างที่แทบจะเปลือยเปล่าของหลิ่วชิงเหอตั้งแต่หัวจรดเท้า เอื้อมมือไปจับหน้าอกของเธออย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง“ฉู่เฉิน ไอ้เดรัจฉาน แกบ้าไปแล้วเหรอ?”หลิ่วชิงเหอพยายามหลบมือของฉู่เฉิน เธอวิ่งเข้าไปในห้องรับแขก หยิบมีดปอกผลไม้ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาแต่เธอยังไม่ทันหันกลับมา ฝ่ามือใหญ่ที่ทรงพลังข้างหนึ่งก็รัดเอวเธอไปกอดจากด้านหลัง“ปล่อยฉันนะ!”หลิ่วชิงเหอพยายามดิ้นขัดขืน แต่จนใจที่ไม่ว่าจะขัดขืนขนาดไหน ก็ไม่สามารถหลุดพ้นพันธนาการจากมือใหญ่คู่นั้นได้“ฉู่เฉิน ฉันขอร้องแกล่ะ อย่าทำที่นี่ หรูเยียน…หรูเยียนใกล้จะกลับมาแล้ว อย่าให้เธอเห็นเด็ดขาด เรา…เราไปที่ห้องของฉันดีไหม?”หลิ่วชิงเหอเอ่ยด้วยสีหน้าอ้อนวอนความจริง ตั้งแต่วินาทีที่ฉู่เฉินรัดเอวเธอไปกอด เธอก็สังหรณ์ใจไม่ดีแล้วเพียงแต่ ความรู้สึกที่ทั้งกลัวและอยากนั่น แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่อาจใช้คำพูดมาบรรยายได้ราวกับว่าในใจของเธอ มีเปลวเพลิงขุมหนึ่งที่กำลังลุกไหม้แต่เธอก็กลัวอีกว่าเปลวไฟขุมนั้นจะแผดเผาเธอ
หลิ่วชิงเหอร้อนใจจนเกือบหลุดปากร้องออกมา แต่สุดท้ายก็ทนไว้ได้หลิ่วหรูเยียนเดินวนรอบห้องรับแขกหลายรอบ พอเห็นว่าในห้องรับแขกไม่มีใครอยู่เลย จึงโยนกระเป๋าลงบนโซฟา จากนั้นก็เดินบิดขี้เกียจขึ้นไปบนห้องนอนชั้นสองแม้จะผ่านไปเพียงไม่กี่นาที แต่สำหรับหลิ่วชิงเหอ มันกลับยาวนานเหมือนผ่านไปหลายปีก็ไม่ปานครั้งนี้ไม่เหมือนกับตอนนั้นที่หลิ่วหรูเยียนหมดสติ เพราะหลิ่วหรูเยียนในตอนนี้อยู่ในสภาวะมีสติครบถ้วน และพวกเขาทั้งสามคนก็อยู่บนโซฟาซึ่งห่างจากหลิ่วหรูเยียนไม่ถึงหนึ่งเมตรแม้หลิ่วหรูเยียนจะทำตัวเหมือนปกติ นั่งดูโทรทัศน์บนโซฟา ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความผิดปกติโดยรอบแล้วทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ?นี่มันอะไรกันแน่?ไอ้เดรัจฉานฉู่เฉิน!ป้าอู๋ที่อยู่ข้างๆ ตกใจจนหมดแรง นั่งตัวอ่อนอยู่บนโซฟาเมื่อกี้ตอนที่เสียงเรียกเข้าของเธอดัง เธอตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างโชคดีที่เธอไหวพริบดี รีบโยนโทรศัพท์ไปที่อีกฝั่งของโซฟา ถึงทำให้รอดไปได้อย่างหวุดหวิด……หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า เงาร่างของฉู่เฉินหายลับออกไปจากหน้าต่าง ป้าอู๋รีบเก็บกวาดสิ่งสกปรกบนพื้น ก่อนจะวิ่งเข้าห้องแม่บ้านไปเหมือนคนหนีตายส่วนหลิ
นึกมาถึงตรงนี้ กู้รั่วเสวี่ยหัวเราะกับตัวเอง จากนั้นก็เดินออกจากห้อง ควานหาผ้ากันเปื้อนของสาวใช้มาสวมพอเห็นกู้รั่วเสวี่ยที่ปกติเย็นชาเย่อหยิ่ง หยิบผ้ากันเปื้อนมาใส่ ซ้ำยังฮัมเพลงเดินเข้าไปง่วนอยู่ในครัว แม้แต่เลขาสาวกับพวกคนรับใช้ต่างก็เบิกตากว้าง“คุณหนูคะ งานหยาบแบบนี้ให้พวกเราเป็นคนทำก็ได้ คุณหนูไปพักเถอะค่ะ”สาวรับใช้สองคนรีบเดินเข้ามาเกลี้ยกล่อมด้วยสีหน้ากังวลบอกตามตรง ลูกคุณหนูที่ไม่เคยทำอะไรด้วยตัวเองอย่างกู้รั่วเสวี่ย ไม่เหมาะกับภาพในตอนนี้เลยแค่ท่าทางที่เธอถือมีดไว้ในมือ ก็ทำให้พวกเธอตกใจกลัวจนเหงื่อท่วมได้แล้วทุกครั้งที่เธอสับมีดลงไป เหมือนส่งแรงสะเทือนถึงใจของทุกคนที่เฝ้าดูอยู่ไปด้วยถ้าหากคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลกู้สับโดนนิ้วมือของตัวเอง พวกเธอไม่อยากจะนึกถึงผลที่ตามมาเลยจริงๆ“คุณหนูคะ ท่าทางการจับมีดของคุณหนูได้มาตรฐานสุดๆ ไปเลย แต่งานแบบนี้ให้พวกเสี่ยวลี่เป็นคนทำเถอะ คุณหนูคอยยืนสั่งอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว”เลขาสาวชะโงกหน้าเข้ามาหว่านล้อมกู้รั่วเสวี่ย พยายามเกลี้ยกล่อมเธออย่างใจเย็น“พวกเธอจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ มื้อค่ำวันนี้ ฉันจะทำให้ฉู่เฉินด้วยตัวเอง”กู้รั่วเสวี่ยส
ถึงแม้ว่าฉู่เฉินอยากจะให้คำตอบที่น่าพึงพอใจกับกู้รั่วเสวี่ย แต่ว่า…แม่เอ็งเถอะ นี่มันจะเค็มเกินไปไหม?แม้แต่ปลาเค็มที่ฉู่เฉินเคยกินสมัยเด็กๆ ยังไม่ตราตรึงใจเท่ากับเนื้อปลาชิ้นนี้เลย“เป็นไงบ้าง อร่อยไหม?”กู้รั่วเสวี่ยกะพริบตาปริบๆ มองหน้าฉู่เฉินอย่างประหม่ากว่าปกติ“แค่ก…”ฉู่เฉินกระแอมเบาๆ วินาทีต่อมา เขาโอบลำคอยาวระหงของกู้รั่วเสวี่ย และประทับจูบลงไปบนปากเล็กๆ ของเธอระหว่างที่พัวพันกับลิ้นอันหอมหวาน ฉู่เฉินดันเนื้อปลาชิ้นนั้นเข้าไปในปากของกู้รั่วเสวี่ยโดยตรง“อื้อ!”พอเนื้อปลาเข้าไปในปาก กู้รั่วเสวี่ยเบิกตากว้างทันที เธอส่ายหน้าสุดชีวิต อยากจะหลุดพ้นจาก ‘กรงเล็บปีศาจ’ ของฉู่เฉิน แต่ฉู่เฉินกลับไม่เปิดโอกาสให้ขัดขืนแม้จูบนี้จะดำเนินไปเพียงสิบกว่าวินาที แต่สำหรับกู้รั่วเสวี่ย มันกลับยาวนานเหมือนชั่วชีวิต“ถุย!”พอกู้รั่วเสวี่ยดิ้นหลุดออกจากอ้อมแขนของฉู่เฉินอย่างยากลำบาก เธอคายเนื้อปลาชิ้นนั้นใส่ถังขยะทันที“ทำไมเค็มอย่างนี้ ฉัน…ฉันทำตามวีดิโอนี้แล้วแท้ๆ”กู้รั่วเสวี่ยเอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ พร้อมกับน้ำตาที่คลอเบ้าที่จริงเธออยากได้ยินคำชมจากฉู่เฉินมาก แต่ผลลัพธ์กลับต่า
=yjวขณะหนึ่ง กู้รั่วเสวี่ยเห็นแววตาเย็นชาไปถึงกระดูกจากดวงตาของฉู่เฉินเธอสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อสายลมยามกลางคืนพัดผ่านมา กู้รั่วเสวี่ยอดตัวสั่นไม่ได้ เธอขยับตัวแนบชิดกับร่างใหญ่ของฉู่เฉินกลิ่นหอมกลิ่นหนึ่งลอยเข้ามาในจมูกของฉู่เฉินพร้อมกับสายลมกลางคืน กอปรกับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากเรือนร่างของกู้รั่วเสวี่ยที่แนบชิดติดกับตัวเขา ลมหายใจของฉู่เฉินเริ่มกระชั้นขึ้นมา“พวกเรา…กลับห้องกันเถอะ…”ปากเล็กๆ ของกู้รั่วเสวี่ยแนบชิดอยู่บนกลีบปากของฉู่เฉิน ก่อนจะกระซิบเสียงเบา พร้อมกับพ่นลมหายใจหอมๆ ออกมาไม่รู้ทำไม ตั้งแต่ที่เธอสัมผัสประสบการณ์ของการเป็นผู้หญิงที่น้ำพุร้อนครั้งนั้น กู้รั่วเสวี่ยรู้สึกราวกับตัวเองได้ถลำลึกจนไม่อาจถอนตัวแม้ไม่ได้เจอเพียงไม่กี่วัน แต่วินาทีที่ฉู่เฉินปรากฏตัวต่อหน้าเธอ หัวใจของเธอก็ราวกับมีเปลวเพลิงแห่งรักกำลังแผดเผาอยู่“อืม”ฉู่เฉินรับคำ เขาโอบเอวของกู้รั่วเสวี่ยขึ้นมาอุ้ม จากนั้นก็เดินขึ้นไปที่ห้องนอนบนชั้นสองภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เสียงครวญครางดังก้องไปทั่วทั้งคฤหาสน์สาวรับใช้บางคนที่ยังไม่นอน รวมถึงเลขาสาวของกู้รั่วเสวี่ยพ
ครืน!เมื่อหลี่เต้าผิงคำรามอย่างเกรี้ยวโกรธ ถ้ำภูเขาพลันสั่นสะเทือนด้วยแรงพิฆาตในตัวเขา!ฉินหล่างกัดฟันกรอด ก่อนจะพูดกับหลี่เต้าผิงว่า “อาจารย์ครับ จากที่ผมรู้มา นักสู้ยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงในเมืองเจียงจง มีแค่เจ้าคนแซ่จิน ที่ชื่อจินเจิ้นหลงคนเดียว”“ถ้าจะมีใครทำอันตรายศิษย์น้องได้ ก็มีแค่คนคนนี้เท่านั้น”ที่จริงหลายปีมานี้ ซ่งหู่ยังไม่เคยเปิดเผยเรื่องเกี่ยวกับสำนักเฟิ่งให้ใครฟัง เพราะครอบครัวของเขาตายอย่างน่าอนาถเกินไป แม้กระทั่งก่อนที่ซ่งหู่จะกลับไปที่เมืองเจียงจง เขาก็ยังไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ฉะนั้น แม้แต่หลี่เต้าผิงกับฉินหล่างก็รู้เพียงแค่ว่าซ่งหู่ต้องการกลับไปแก้แค้นที่เมืองเจียงจงแต่พวกเขาสองคนก็ไม่รู้ว่าศัตรูของเขาเป็นใครฉินหล่างเอง หลังจากที่เห็นคัมภีร์หยกที่เขียนฤกษ์ยามเกิดของซ่งหู่แตก ถึงได้ตรวจสอบเรื่องนักสู้ในเมืองเจียงจงคร่าวๆทั่วทั้งเมืองเจียงจง มีปรมาจารย์ยุทธ์เพียงคนเดียว นั่นก็คือจินเจิ้นหลง!อย่างไรเสียพลังของซ่งหู่ก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว ผู้บำเพ็ญพรตที่ฝึกกำลังภายในระดับสูงจนสำเร็จ เรียกได้ว่าในหมู่นักสู้ระดับเดียวกัน เขาคือผู้ไร้เทียมทานแล้ว!คนที่สามา
“เชี่ย นั่นมันกงล้อเพลิงใช่ไหม?”“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ฉันเชื่อในหลักวิทยาศาสตร์!”“วิทยาศาสตร์บ้านเอ็งสิวะ ไม่เห็นเหรอว่าคนเขาบินอยู่เหนือน้ำทะเลโน่นแล้วน่ะ!”เหล่านักท่องเที่ยวและพนักงานบนเรือต่างเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเจอเทพเซียนในตำนาน พวกเขาพากันคุกเข่าและโขกหัวไปทางหลี่เต้าผิงกับฉินหล่างอย่างต่อเนื่องหลี่เต้าผิงเหลือบมองผู้คนบนเรือที่กำลังโขกหัวด้วยความเลื่อมใสอย่างสุดใจแวบหนึ่ง ก่อนจะแค่นเสียงอย่างดูแคลนถ้าหากฉู่เฉินอยู่ในฝูงชนด้วย จะต้องเปิดโปงทริคหลอกสายตาง่ายๆ นี้ของหลี่เต้าผิงแน่นอนที่จริงวิชาที่หลี่เต้าผิงกำลังใช้อยู่นี้ ก็คือ ‘วิชาเหยียบคลื่น’ ที่หายสาบสูญไปแล้วนั่นเอง!เพียงแต่ เทียบกับซ่งหู่แล้ว แต่วิทยายุทธ์ของเขานั้นลึกล้ำกว่า คลื่นที่อยู่ใต้เท้าจึงยิ่งควบคุมได้อย่างใจส่วนฉินหล่าง เขาก็แค่อาศัยยันต์เพลิงวายุ ถึงสามารถเหินอยู่เหนือน่านน้ำได้ ความจริงแค่ยิงฉี่ใส่ลูกไฟนั่น ฉินหล่างก็จะร่วงลงมาในพริบตาไม่มีเหตุผลอื่นใดเลย นอกเสียจากว่าของจำพวกยันต์ ล้วนกลัวสิ่งสกปรกแต่คาถายันต์ที่ฉู่เฉินฝึกอยู่นั้น กลับไม่จำเป็นต้องใช้แผ่นยันต์ ฉะนั้นไม่ว่าสิ่งสกป
ตั้งแต่เช้า ทุกครั้งที่มีคนผ่านบ้านเก่าของตระกูลฉู่ อินซู่ซู่จะเปิดประตูรั้วดูว่าฉู่เฉินกลับมาแล้วใช่หรือเปล่าอินซู่ซู่ใช้ความคิดอย่างมากเพื่อที่จะมอบเซอร์ไพรส์ที่น่าตื่นตกใจให้ฉู่เฉินเธอตั้งใจนั่งเฝ้าแพลตฟอร์มไลฟ์สดอยู่หลายวัน เจาะจงเลือกช่องไลฟ์สดของสาว ๆ ที่เต้นเซ็กซี่ยั่วยวน ตั้งแต่แต่งตัวไปจนถึงแต่งหน้า ศึกษาอย่างละเอียดมาสิบกว่าวัน หลังจากนั้นถึงค่อยรีบกลับมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม บอกตามตรง สิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากสาว ๆ เหล่านั้นมีประโยชน์มากจริง ๆ เมื่อก่อนพวกผู้ชายมักจะเดินผ่านไหล่เธอไปโดยที่ไม่หันหน้ากลับมามอง คราวนี้เกรงว่าแค่เดินผ่านตัวเธอก็อดหันหน้ากลับมามองหลายครั้งไม่ได้ถึงขนาดที่ยังมีหนุ่มเดลิเวอรี่ชนเข้ากับเสาไฟฟ้าเพราะว่ามองเพลินมากเกินไป จนอาหารตรงเบาะหลังรถกระจายเต็มพื้นเมื่อเห็นอัตราการหันหน้ากลับมามองของตัวเองพุ่งพรวดพราด อินซู่ซู่ก็คิดอย่างมั่นใจว่าฉู่เฉินจะต้องกระโจนเข้ามาเหมือนผึ้งเห็นดอกไม้อย่างแน่นอน ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉู่เฉินจ้องเธอไม่ถึงสามวินาทีด้วยซ้ำ แถมเวลาสองวินาทีครึ่งจากในนั้นยังทอดมองมายังลูกท้อสองลูกตรงหน้าอกของเ
นี่ก็คือสาเหตุสำคัญว่าทำไมแก๊งมังกรถึงได้โดดเดี่ยวไร้พันธมิตรมานานขนาดนี้ถ้าพูดให้ละเอียด ซ่งหนิงซวงก็เป็นคนของโลกแห่งการหยั่งรู้เช่นกันไม่ว่าเธอจะเป็นหนึ่งในขุนพลใหญ่ทั้งแปด หรือว่าเป็นขุนพลเทพพิทักษ์ชาติก็เปลี่ยนแปลงภูมิหลังไม่ได้ว่าเธอเป็นศิษย์ของวังจื่อเซียวเมื่อคิดถึงตรงนี้ ซ่งหนิงซวงพลันมองไปทางฉู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนจะขมวดคิ้วกล่าวว่า “หัวหน้าใหญ่ถาน คุณคงไม่ได้คิดจะบอกว่าคุณฉู่คนนี้ก็จะเข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ด้วยหรอกใช่ไหม?” ถานเฟยหันตัวไปมองฉู่เฉินแวบหนึ่ง เมื่อเห็นฝ่ายหลังพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย ถานเฟยถึงค่อยเอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “พูดตามตรง คุณฉู่เป็นคนแรกที่ให้แหล่งกบดานของสำนักว่านเซี๋ยกับแก๊งมังกรก่อนครับ” “ดังนั้น ปฏิบัติการในครั้งนี้ย่อมต้องมีคุณฉู่อย่างแน่นอน ทำไมครับ? ท่านขุนพลมีความเห็นอะไรเหรอครับ?”ซ่งหนิงซวงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเฉยชา “ไม่มีความเห็นอะไรค่ะ เพียงแต่ว่าเมื่อกี้คุณฉู่คนนี้พูดเอาไว้ไม่ใช่เหรอ? ตัวเขาก็คือที่พึ่งที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้น ปฏิบัติการในครั้งนี้น่าจะไม่ต้องให้ฉันไปลงมือทำอะไรเกินความจำเป็นแล้วสินะ”เมื่อคำพูดนี้ออกมา ทั่วทั้งงา
เมื่อทุกคนได้ยินคำกล่าวก็พากันมองไปทางหน้าประตูจากนั้นก็เห็นเพียงถานเฟยนำเซียวเฟิงและสมาชิกแก๊งมังกรอีกแปดคนเดินเข้ามาในโถงจัดเลี้ยงอย่างองอาจผึ่งผาย“ถานเฟย?”ซ่งหนิงซวงกำหมัด กัดฟันแน่นก่อนจะหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วพูดกับฉู่เฉินว่า “นี่ก็คือที่พึ่งของคุณในการท้าทายฉันเหรอ?”ฉู่เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ผมไม่เคยพึ่งพาใครทั้งนั้น ผมเป็นที่พึ่งของตัวผมเอง”บ้า!แม่งบ้าเกินไปแล้ว!ซ่งหนิงซวงรู้สึกแค่ว่าในหน้าอกเหมือนซ่อนภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุเอาไว้ หน้าอกอวบอิ่มกระเพื่อมติดต่อกัน“ขุนพลเทียนเฟิ่ง ผมหวังว่าคุณใจเย็นลงได้นะครับ”ถานเฟยก้าวมาข้างหน้า ขวางอยู่ระหว่างซ่งหนิงซวงกับฉู่เฉิน ก่อนจะมองซ่งหนิงซวงอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ในฐานะที่เป็นหนึ่งในขุนพลทั้งแปด ผมหวังว่าคุณจะสำรวมตัวเองด้วยนะครับ”“ยาโลหิตวิญญาณคืออะไร คุณรู้ดีแก่ใจตัวเอง คุณฉู่ปฏิเสธคุณก็สมเหตุสมผลแล้ว” เมื่อคำพูดนี้ออกมาก็เหมือนกับมีไฟลุกโชนอยู่ภายในดวงตางดงามของซ่งหนิงซวงถึงแม้ถานเฟยจะไม่ได้พูดชัดเจน แต่คำพูดของเขายืนยันคำพูดของฉู่เฉินทางอ้อม นี่ไม่เท่ากับบอกว่าเธอเกิดอารมณ์ตัณหาจนควบคุมไม่ไหวแล
เมื่อสิ้นเสียงพูด ฉู่เฉินค่อย ๆ วางถ้วยชาลง ฟึบ!จากนั้นก็เห็นน้ำชาในถ้วยชาก่อตัวเป็นน้ำวน ต่อมาหยดน้ำที่สาดกระเซ็นออกมาหนึ่งหยดพลันพุ่งไปหาเฉินเยว่เอ๋อร์ราวกับลูกกระสุนผัวะ!เฉินเยว่เอ๋อร์ยังไม่ทันได้สติกลับมา น้ำชาหยดนั้นก็กระแทกหมวกของเธอจนกระเด็นออกไปทันที หยดน้ำทะลวงหิน ใบไม้สังหารคนนี่คือสัญลักษณ์ของระดับสร้างรากฐานชั้นห้าแม้แต่นัยน์ตางดงามของซ่งหนิงซวงก็แข็งทื่อไปในพริบตาฉู่เฉินเป็นยอดฝีมือระดับสร้างรากฐานชั้นห้าเหรอเนี่ย?“ตอนนี้เข้าใจหรือยัง?”ฉู่เฉินมองเฉินเยว่เอ๋อร์ที่ตกใจกลัวจนดวงหน้าสวยขาวซีดเล็กน้อย หลั่งเหงื่อเย็น ๆ ราวกับสายฝนตอนนี้เธอไม่สงสัยคำพูดของฉู่เฉินแม้แต่น้อยแล้ว เมื่อกี้ขอเพียงเธอกล้าชักปืนออกมา ฉู่เฉินย่อมมีวิธีการมากกว่าร้อยแบบที่จะสังหารเธอให้ตายดวงตางดงามของซ่งหนิงซวงหรี่ลงเล็กน้อย มองฉู่เฉินด้วยสายตาเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “ฉู่เฉิน คุณทำให้คนรู้สึกประหลาดใจมากจริง ๆ แต่คุณต้องเข้าใจว่าสิ่งที่คุณต่อต้านด้วยในตอนนี้ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นกองทัพของประเทศจีน”“ยาพวกนี้ ทางกองทัพ...”ไม่รอให้ซ่งหนิงซวงพูดจบ ฉู่เฉินก็แค่นเสียงเย็นแล้วโบกมือเอ่ยตัดบทว่
กระบี่แหลมคมออกจากฝัก ปราณกระบี่ราวกับสายรุ้ง!ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อแม้แต่เฉียวเทียนฉี่กับโฮ่วเจี้ยนอิงก็คิดไม่ถึงว่าเฉินเยว่เอ๋อร์จะลงมือสังหารฉู่เฉินถึงแม้ว่าเฉินเยว่เอ๋อร์จะเป็นเพียงรองขุนพลของซ่งหนิงซวง แต่รองขุนพลของขุนพลใหญ่จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร?ลมปราณของผู้แข็งแกร่งระดับสร้างรากฐานชั้นสาม แผ่ออกมาผ่านคมกระบี่ ตรงไปที่จุดตายของฉู่เฉิน“คุณฉู่...”“น้องฉู่...”ปฏิกิริยาของพวกเฉียวเทียนฉี่กับฟางอวี่เจิ้งทำให้ซ่งหนิงซวงขมวดคิ้วขึ้นมาเธอคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าฉู่เฉินจะมีอิทธิพลมากขนาดนี้ในเจียงจง ทุกคนรวมไปถึงผู้ว่าการยืนอยู่ฝั่งฉู่เฉินอย่างเห็นได้ชัดเวลานี้เธอนึกเสียใจภายหลังนิดหน่อยแล้วถ้าเกิดเฉินเยว่เอ๋อร์สังหารฉู่เฉินในกระบี่เดียว เช่นนั้นไม่ใช่แค่โลหิตโอสถศักดิ์สิทธิ์กำลังจะหมดไปเฉย ๆ เท่านั้น พวกเฉียวเทียนฉี่จะต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งแน่นอนถ้าเกิดรายงานไปถึงเมืองหลงจิงก็จะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเธอถึงขนาดที่จะส่งผลกระทบต่อคุณสมบัติในการเข้าร่วมการแข่งขันชิงตำแหน่งขุนพลเทพพิทักษ์ชาติของเธอด้วยหลิ่วชิงเหอที่นั่งอยู่ทางด้านข้างก็ตกใจ
คนที่มีคุณสมบัตินั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนี้ มีเพียงเฉียวเทียนฉี่และโฮ่วเจี้ยนอิงสองคนเท่านั้นแม้แต่โจวอวี้หมิงก็ได้แต่นั่งดื่มเป็นเพื่อนที่โต๊ะด้านข้างเท่านั้นเมื่อนับรวมเฉินเยว่เอ๋อร์ที่เป็นรองขุนพลของซ่งหนิงซวง ทั้งโต๊ะก็มีแค่สี่คนเท่านั้นฉู่เฉินไม่เกรงใจเช่นกัน เขานั่งลงตรงข้ามซ่งหนิงซวงทันที ก่อนจะยิ้มให้ซ่งหนิงซวงแล้วพูดว่า “คิดว่าถึงยังไงวันนี้ขุนพลหญิงเรียกผมมา คงไม่ได้เชิญผมมาเพื่อดื่มเหล้าแน่นอนหรอกใช่ไหม?”“ผมเป็นคนชอบพูดจาตรงไปตรงมา มีเรื่องอะไรก็ขอให้ขุนพลหญิงพูดให้ชัดเจน”ถึงแม้ว่าฉู่เฉินจะเอ่ยคำพูดนี้ด้วยความเกรงใจมาก แต่ใบหน้ากลับไม่ได้ดูเอาอกเอาใจเลยแม้แต่น้อยซ่งหนิงซวงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “ฉันก็ชอบพูดคุยกับคนฉลาดเหมือนกัน” ซ่งหนิงซวงพูดพลางล้วงใบสั่งยาแผ่นหนึ่งออกมาจากในอก แล้วส่งให้เฉินเยว่เอ๋อร์เฉินเยว่เอ๋อร์รับใบสั่งยาก่อนจะลุกขึ้นมาเดินไปหาฉู่เฉิน จากนั้นก็กางใบสั่งยาออกแล้ววางไว้ตรงหน้าฉู่เฉิน“ฉันได้ยินว่าคุณฉู่ค่อนข้างเชี่ยวชาญด้านวิชาแพทย์ ฉันคิดว่าคุณฉู่จะต้องเข้าใจใบสั่งยานี้แน่นอนเลยใช่ไหม”ซ่งหนิงซวงพูดพลางดื่มน้ำชา ฉู่เฉินกวาดตามองใบส
เมื่อคำพูดนี้ออกมา โฮ่วเจี้ยนอิงกับเฉียวเทียนฉี่ รวมไปถึงทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนทอดสายตาไปยังฉู่เฉิน“น้องฉู่ การมองท่านขุนพลตรง ๆ มันเป็นการไม่เคารพอย่างมากเลยนะ รีบ...” ฉู่เฉินไม่รอให้ฟางอวี่เจิ้งกล่าวจบก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมป่วยเป็นโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบ โค้งตัวไม่ได้ อีกอย่าง คุณให้พวกเขาโทรเชิญผมมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ใช่ผมอยากมาเองนะครับ” “คุณคงไม่ได้เชิญผมมาเพื่อให้ผมกราบไหว้หรอกใช่ไหม? คุณไม่ใช่เจ้าพ่อหลักเมืองเสียหน่อย”เชี่ย!เมื่อฉู่เฉินเอ่ยคำพูดนี้ออกม ทุกคนในงานต่างตกตะลึงจนตาค้าง เฉียวเทียนฉี่กับโฮ่วเจี้ยนอิงหลั่งเหงื่อเย็น ๆ ออกมาแล้ว ส่วนหลิ่วชิงเหอที่ยืนอยู่ข้างหลังซ่งหนิงซวงก็ตกใจกลัวจนดวงหน้าเล็กซีดเผือด กระทืบเท้าไม่หยุด ฉู่เฉินบุ่มบ่ามเกินไปแล้วมั้ง?กล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับขุนพลเทียนเฟิ่งได้อย่างไร?ฟางอวี่เจิ้งที่อยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินยิ่งตกใจกลัวจนขาสองข้างอ่อนแรง กระตุกชายเสื้อของฉู่เฉินไม่หยุดซ่งหนิงซวงหรี่นัยน์ตาหงส์ลงเล็กน้อย จ้องมองฉู่เฉินอย่างพิจารณาก่อนจะเอ่ยว่า “คุณก็คือฉู่เฉินสินะ?” “ถูกต้อง”ฉู่เฉินยืดหลังตรง ตอบ
ฉู่เฉินก้าวเข้ามาใกล้ฟางอวี่เจิ้ง จับมือกับฟางอวี่เจิ้ง หลังจากนั่งลงจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ประธานฟาง เรื่องยาบำรุงสวรรค์หลี่จิงจิงทางนั้นจัดการให้เรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ?”ฟางอวี่เจิ้งยิ้มประจบ รินน้ำชาให้ฉู่เฉินไปพลาง พยักหน้าและกล่าวไปพลาง “เรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เดือนสิบปีนี้ ฉันก็อาจได้เลื่อนตำแหน่งไปที่ที่ว่าการมณฑลแล้ว”“เรื่องนี้ ต้องขอบคุณน้องฉู่ที่ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ต่อไป ถ้ามีอะไรที่ฉันฟางอวี่เจิ้งช่วยได้ น้องฉู่แค่เอ่ยปากมา”ทั้งสองพูดคุยกันไปพลาง ฉู่เฉินมองไปรอบๆ ไปพลาง ก่อนจะกล่าวว่า “ประธานฟางครับ งานเลี้ยงคืนนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาเลย ขุนพลเทียนเฟิ่งคนนี้มีที่มายังไงกันแน่ครับ?”พอได้ยินคำนี้ ฟางอวี่เจิ้งรีบยกนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้วแล้วกล่าวว่า “ชู่... เบาเสียงหน่อย”“ขุนพลเทียนเฟิ่งไม่ธรรมดาเลย นับตั้งแต่เข้ากองทัพเมื่อห้าปีก่อน ก็สร้างผลงานทางการรบมานับครั้งไม่ถ้วน และยังเป็นหนึ่งในแปดยอดขุนพลดินแดนมังกร ฉันได้ยินมาว่าอีกสามเดือนให้หลัง เธอยังต้องเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ของสี่ยอดขุนพลพิทักษ์ชาติด้วย”“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เธอควรจะเป็นคนรุ่นใหม่เพียงค
ฉู่เฉินหัวเราะเบาๆ หนึ่งเสียง ก่อนจะฟาดฝ่ามือลงบนก้นของหลี่จิงจิงอย่างแรงครั้ง จากนั้นเปิดหน้าต่างระบายอากาศออกและจะกระโดดลงไปทันทีซี้ด!หลี่จิงจิงเห็นฉู่เฉินกระโดดลงจากหน้าต่าง ทันใดนั้นก็ตกใจจนใบหน้าเล็กซีดเผือดนี่ชั้นหกเลยนะ!แต่ในวินาทีถัดมา เมื่อฉู่เฉินเดินไปที่ลานจอดรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลี่จิงจิงจึงเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา“ปัง!”ขณะที่หลี่จิงจิงยังตกใจจนพูดไม่ออก ประตูห้องทำงานก็ถูกคนผลักเปิดอย่างแรงชายวัยกลางคนอายุราวสามสิบสี่หรือสามสิบห้าปี ทันทีที่ผลักประตูเข้ามา คนทั้งคนก็ชะงักไปทั่วทั้งห้องทำงานอบอวลไปด้วยกลิ่นฮอร์โมน และหลี่จิงจิงสวมเพียงกางเกงชั้นในตัวเล็กตัวเดียว กำลังยืนอยู่ริมหน้าต่างชะเง้อมองออกไปด้านนอกภาพนี้ทำให้ชายวัยกลางคนพลันสัมผัสได้ถึงลางร้าย เหมือนกับถูกคนสวมเขาโดยเฉพาะในห้องทำงาน เครื่องออกกำลังกายที่แม้แต่เขายังไม่รู้จักชื่อ และเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนนั้น ยิ่งทำให้ความคิดในใจเขาชัดเจนขึ้น“จิงจิง! คุณกำลังทำอะไรอยู่!”ชายวัยกลางคนโกรธจัด รีบก้าวไปที่ริมหน้าต่าง ก่อนจะยื่นมือผลักเปิดหน้าต่างระบายอากาศออก แล้วโผล่ตัวออกไปชะเง
......อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องทำงานของผู้อำนวยการหลี่จิงจิงย้ายเครื่องออกกำลังกายที่ตนจัดเตรียมไว้อย่างดีออกมา ขณะเดียวกันก็หยิบรองเท้าบาเลนเซียกาคู่ใหม่สองคู่จากลิ้นชักเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ นี่ก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ทำไมฉู่เฉินยังไม่มาสักที?เธอร้อนใจมากจริงๆเวลาเป็นเงินเป็นทอง เวลาคือชีวิตสิ่งสำคัญก็คือบ่ายวันนี้สามีของเธอจะมารับเธอไปร่วมงานเลี้ยงของตระกูลอีกด้วยรอไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง หลี่จิงจิงรีบร้อนจนรอไม่ไหว สุดท้ายจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรไปหาฉู่เฉินผ่านไปเกือบครึ่งนาที ฉู่เฉินถึงจะรับสาย แต่ในวินาทีถัดมา หลี่จิงจิงก็ได้ยินเสียงหอบหายใจคุ้นเคย และเสียงการปะทะที่รุนแรงคงไม่ใช่มั้ง?ร่างของหลี่จิงจิงแทบจะกลายเป็นหิน เพื่อการพบกันครั้งนี้ เธออุตส่าห์ตั้งใจเตรียมตัวอย่างดีมาแล้วหลายวัน แต่กลับถูกลีน่าชิงตัดหน้าไปก่อน?“รอผมอยู่ในออฟฟิศ อีกเดี๋ยวก็ถึง”ฉู่เฉินพูดจบ โดยไม่รอให้หลี่จิงจิงเอ่ยปาก ก็ตัดสายโทรศัพท์ไปขณะที่หลี่จิงจิงรออย่างกระวนกระวายใจ ทันใดนั้นประตูห้องทำงานก็ถูกผลักเปิดออก และฉู่เฉินก็ผลักประตูก้าวเข้ามา“คุณก็กล้าเกินไปแล้ว ในห้องผู้ป่วยก็..