ที่นี่ที่ไหน...เก้าเทียนรุ่ยได้แต่เหลียวมองไปรอบบริเวณที่ยืนอยู่ด้วยจำได้ว่าเมื่อครู่เขาถูกเสวียนลิ่วหลางอุ้มไว้นี่น่า หากด้วยการเดินทางที่ต้องรีบเร่งและหนทางที่ยาวไกล เมื่อได้พัก...เขาก็เผลองีบหลับไปโดยไม่รู้ตัว แต่หากจำมิผิดมันก็ไม่ได้นานมากจนเขาจะทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัวแล้วมาอยู่ที่แห่งนี้โดยไม่รู้ตัวย่อมเป็นไม่ได้สิที่แห่งนี้เต็มไปด้วยม่านหมอกสีขาวที่กระจายไปจนทั่ว หากไม่ไกลจากจุดที่เขายืนอยู่นั้นเหมือนจะมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ หากมันถูกปกป้องแต่ดูอีกครั้งก็เหมือนกับว่ามันห้อมล้อมด้วยม่านหมอกที่มีสีดำที่เก้าเทียนรุ่ยคิดว่ามันจะต้องเป็น...หมอกพิษ!เมื่อยังมิมั่นใจว่าใช่อย่างที่คิดหรือเปล่า เก้าเทียนรุ่ยรีบเดินเข้าไปหา แต่กลับยกเท้าไม่ได้และเมื่อก้มลงไปมองก็พบว่าที่ข้อเท้าของเขามีบางอย่างรัดอยู่นี่มันอะไรกัน ทำไมเขาถึงไม่รู้ตัว...หากเก้าเทียนรุ่ยยังมิทันจะได้ก้มลงไปแกะเถาวัลย์เชือกที่รัดขา หูก็ได้ยินคล้ายกับเสียงของงูที่ส่งเสียงขู่ศัตรูฟ่อ ๆ แล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็พบว่าตรงจุดที่เมื่อครู่รู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่นั้น แม้จะมีหมอกควันพิษห้อมล้อมแต่เขาก็เห็นว่า
“จะรีบร้อนไปใยกันเล่า ข้ายามนี้รู้สึกดีเป็นที่สุด” เสวียนลิ่วหลางลากไล้ปลายนิ้วไปบนแก้มใส“แต่...”“ข้าจะสบายดีกว่านี้ หากอาซวงจะเป็นคนของข้า...เสียตั้งแต่ยามนี้” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยเว้าวอนเสียงนุ่มทุ้มก่อนจะปิดปากอิ่มอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน หากความนุ่มละมุน...กลิ่นกายที่ผสมระหว่างผักกับสมุนไพร รวมถึงเสียงของเลือดที่ไหลเวียนอยู่ยั่วยุให้เสวียนลิ่วหลางขบเม้มกัดกลีบปากนุ่มด้วยความหนักหน่วงและรุนแรงด้วยความหิวกระหายอย่างที่ระงับเอาไว้มิได้หยุด! เขาต้องหยุดท่านแม่ทัพโดยเร็วที่สุด แต่...สัมผัสที่เต็มไปด้วยความหิวกระหายอยากอย่างรุนแรง แต่ขณะเดียวกันก็เว้าวอนที่เรียกร้องให้ตอบสนองทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก แล้วยังจะเผลอจูบตอบไปด้วย“จูบของอาซวงหวาน...ที่สุดเลย” เสวียนลิ่วหลางพึมพำก่อนจะเปิดแยกปากอิ่มส่งลิ้นเข้าไปกวาดไล้ความหวานนุ่มภายใน ขณะที่มือก็ลูบไล้ผิวกายเนียนเรียบ หยอกล้อกับหน้าท้องที่พอมีเนื้อให้ขยำเล่น“ท่านพี่...” เก้าเทียนรุ่ยร้องประท้วงเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระและเขาก็รีบจับมือเสวียนลิ่วหลางเอาไว้มิให้อีกฝ่ายพามือเคลื่อนต่ำไปกว่านี้“ข้ามิสบายใจหากมิได้ทำการรักษาท่านให้หาย”“ข้า...” จะบอกว
อีกทั้งยามนี้เจ้าตัวร้ายที่อยู่ในร่างกายของเขาก็ยังมีประโยชน์อยู่มาก ถึงมันจะคอยดูดเลือดและพลังปราณจากกายเขาไปล่อเลี้ยงเพื่อให้มีชีวิตอยู่ หากการเคลื่อนไหวของมันก็ช่วยทะลวงจุดลมปราณที่ติดขัดให้เขา อีกทั้งยังจะให้พลังปราณแก่เขาด้วยเช่นกัน“ให้มันอยู่ในกายข้าไปอีกสักหน่อย ก็คงจะมิเป็นอันใดมาก เอาไว้เมื่อถึงเวลา ข้าจะให้อาซวงเอามันออกไปนะ” คนป่วยที่รู้ตัวว่าป่วยจะเร่งรีบหาทางรักษาตนให้หาย แต่คนป่วยที่รู้ว่าตนเองป่วยหากมิยอมทำการรักษา มันยากที่เขาจะคิดหาเหตุผลมาบอกกล่าวให้เร่งรีบ เก้าเทียนรุ่ยคิดจนหัวหมุนแล้วก็ยังมิรู้ว่าจะยกเหตุผลใดขึ้นมา ยิ่งเมื่อถูกเสวียนลิ่วหลางแนบจูบลงมาพร้อมกับมือใหญ่ที่ลูบไล้สัมผัสผิวกายทำให้เขาปั่นป่วนจนสมองมันเบลอไปหมด“จะว่าไป วิธีที่จะทำให้ข้ารีบรักษาตนเองให้หายโดยเร็ว ก็มีอยู่นะ”“อย่างใดหรือขอรับ” ทั้งที่รู้ เสวียนลิ่วหลางหมายความอย่างไร หากเก้าเทียนรุ่ยก็ยินดีที่จะกระโดดลงไปในหลุมกับดักนั้นโดยมิคิดจะหลบเลี่ยงหนี“หากอาซวงจะเป็นของข้า”ถึงเขาจะยอมรับว่ารู้สึกดีกับเสวียนลิ่วหลางจนคิดได้ว่ามีใจให้อีกฝ่ายไปแล้ว มากเพียงพอที่จะอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายไปทั่วทุกหนแห่ง
“แต่ระหว่างคนที่พวกเจ้ากล่าวถึง...ที่คงจะมีแต่ข่มขู่ให้หวาดกลัว ที่มิคิดจะช่วยทำการรักษาพวกเจ้าให้หายดี กับคนที่เพิ่งจะมาถึงแต่สามารถทำให้พวกเจ้ามิต้องทรมานกับความเจ็บปวด หายจากโรคอะไรก็มิรู้นี้ได้ พวกเจ้าคิดว่าอะไรมันคุ้มค่าดีกว่ากันล่ะ” อานฉวนไถ่ถามออกไป“ถึงพวกเจ้าจะมิบอกกล่าว แต่คิดว่าพวกข้าจะมิรู้หรือว่าจะค้นหาว่านวารีไหลได้ที่ใด...หากคนของข้ามิเก่งจริง คงมิกล้ามาถึงที่นี่ อีกทั้งยังมิกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจเช่นนี้หรอกนะ”เสวียนลิ่วหลางตวัดสายตาที่เต็มไปด้วยเพลิงโทสะขณะมองอานฉวนอย่างตักเตือน...อาซวงเป็นคนของเขาผู้เดียว! หากคนถูกมองเตือนกลับทำเป็นมิสนใจและเมินเฉย“ข้าสามคนจะถอยไปสามจั้ง[1] เพื่อให้พวกท่านได้ปรึกษากัน จะเร่งรีบรักษาตนเองและคนที่รักให้หายหรือจะทนกับโรคนี้จนตายภายในเวลาไม่นาน” หลังจากกล่าวจบเก้าเทียนรุ่ยก็พยักหน้าให้กับอานฉวนและรีบดึงเสวียนลิ่วหลางที่ใบหน้าบ่งบอกให้รู้ว่ายามนี้เริ่มจะมีโทสะขึ้นมาอีกแล้วให้เดินตามมา“ดูท่าทางแล้ว ชาวบ้านพวกนั้นคงจะมิยอมตกลงตามที่อาซวงเสนอไปแน่” เพียงแค่ชาวบ้านที่มีแต่คนป่วยไม่กี่คน...จะขัดขวางเขาได้อย่างไรกัน“ถ้าอย่างไรเราไปหาว่านวา
“ท่านพี่!” เก้าเทียนรุ่ยจับแขนเสวียนลิ่วหลางที่เมื่อเดินใกล้กับสถานที่ซึ่งชาวบ้านบอกมาว่าลมหายใจของเสวียนลิ่วหลางก็หอบแรง ไหนจะใบหน้าที่เริ่มจะมีสีดำคล้ำ หากดวงตากลับเปล่งประกายลุกโชนราวกับเพลิงไฟ แล้วยังจะสะบัดศีรษะอยู่บ่อย ๆ เหมือนกับจะขับไล่ความมึนงงออกไป เพราะคนตัวใหญ่ตวัดแขนโอบรอบเอวเล็กดึงเข้าหาตัวก่อนจะเอนศีรษะลงมาวางบนไหล่เขา“ข้ามิเป็นไร เพียงแค่รู้สึกอึดอัด...ร้อนนิดหน่อย” อาภรณ์ที่สวมใส่มันรัดรึงจนอึดอัด หิวกระหายอย่างที่รับรู้ได้ว่า...มิได้ต้องการน้ำหากต้องการอย่างอื่นจากคนที่อยู่ใกล้ตัวที่หูเขาได้ยินเสียงเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกาย กลิ่นหอมอย่างรุนแรงที่กำลังกระตุ้นให้เขาอยากดูดกลืนจนหมดทั้งตัว เสวียนลิ่วหลางยื่นปลายลิ้นออกมาไล้เลียริมฝีปากก่อนจบแนบมันลงบนผิวเนื้อเนียนเรียบและขบกัดเบา ๆ“อื้อ...” เก้าเทียนรุ่ยจะผลักใบหน้าเข้มออก แต่ถ้าทำอย่างนั้น...ท่านแม่ทัพอาจจะล้มก็ได้ เขาก็เลยจำยอมให้อีกฝ่ายคลอเคลียใบหน้ากับซอกคอต่อไปด้วยความแปลกใจ“ข้าคิดว่า...หมอกควันพิษคงจะไปปลุกให้เจ้าหนอนตัวร้ายนั่นตื่นเป็นแน่ ไอ้เจ้านี่ถึงได้ออกอาการร้อนรุ่มจนแทบมิเหลือสติแล้ว” อานฉวนบอกกล่าวให้เ
นอกจากสติที่เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้ายแล้ว เสวียนลิ่วหลางกลับเต็มไปด้วยพลังอำนาจที่น่าเกรงกลัวอย่างรุนแรงจนเขายังจะต้องคิดให้มากหากจะมีเรื่องด้วย“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็รีบเข้าสิ” อานฉวนบอกพลางเตรียมตัวรับมือ เพราะเขาคิดว่าการเก็บว่านวารีไหลมันคงมิง่ายอย่างที่คิด ในเมื่อคนผู้นั้นห้ามมิให้ชาวบ้านบอกให้พวกเขารู้ เป็นไปได้หรือที่จะมิขัดขวางพวกเขา แต่...เสวียนลิ่วหลางกลับหัวเราะ“เจ้าคงกำลังคิด จะมีคนมาขัดขวางข้า...ก็มาสิ ข้ากำลังเบื่ออยากลิ้มรสเลือดอยู่พอดี”รอยยิ้มของเสวียนลิ่วหลางทำให้อานฉวนถึงกับเสียววาบ เผลอสาวเท้าถอยไปด้านหลังโดยมิทันจะรู้ตัว“ถ้าเช่นนั้นเรารีบจัดการให้เสร็จกันดีกว่าขอรับ...ข้าจะได้รีบปรุงยารักษาชาวบ้านให้หาย...เราจะได้รีบออกเดินทางไปหาตัวยาอื่นกันอีก”“ให้กำลังใจข้าก่อนสิ...เก็บว่านนั่นเหนื่อยอยู่นะ”“เอ่อ...” เก้าเทียนรุ่ยกะพริบตาปริบ ๆ ขณะมองเสวียนลิ่วหลางที่ในสายตาแม้จะอบอุ่นอ่อนโยนแต่ก็แฝงไว้ด้วยความร้อนแรงหิวกระหายที่ทำให้เขาเกิดอาการไหววูบขึ้นมาในช่องท้องเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด จะบอกว่าตอนนี้อานฉวนอยู่ด้วย แต่คิดว่าท่านแม่ทัพคงจะมิพอใจ เขาก็เลย...ส่งยิ้มเขินอา
เก้าเทียนรุ่ยรีบยื่นมือไปขอผ้าทั้งสองผืนที่เขาบอกให้อานฉวนนำมาด้วยเมื่อก่อนออกเดินทางมาปูบนพื้นดิน ผืนแรกนำเอาไม้แก้พิษไปวางแล้วห่อไว้อย่างดี ส่วนอีกผืนเขาก็ส่งยิ้มให้กับเสวียนลิ่วหลางพร้อมกับรับมาวางไว้พร้อมกับห่อเก็บไว้อย่างดีที่สุด“ถ้าอย่างนั้น...เรากลับเข้าไปในหมู่บ้านกันเถอะ ตอนนี้ทุกคนคงจะรอฟังข่าวกันอย่างร้อนอกร้อนใจแล้วล่ะ” เก้าเทียนรุ่ยออกเดินนำอานฉวนและเสวียนลิ่วหลางกลับหมู่บ้านแต่คนหลังกลับเดินมาเคียงข้างพลางจับมือเขาไว้ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง“ยังไม่ปลอดภัย”หือ...“ถึงหมอกพิษเหล่านั้นจะจางหายไปบ้างแล้ว แต่มันก็น้อยมาก มันยังทำอันตรายอาซวงได้ อยู่ใกล้ข้าไว้ก่อนจะดีกว่านะ”นั่นสิ...เมื่อครู่เขาก็รู้สึกอยู่ว่ามีบางอย่างแปลกไป เมื่อเสวียนลิ่วหลางเอ่ยออกมาแล้วเขาก็กวาดสายตามองก็ได้เห็นว่าพื้นดินที่ถูกม่านหมองพิษสีคล้ำซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วจนสุดสายตาเริ่มจางไปบ้างแล้วจริง ๆ นั่นแหละ ตอนนี้ถึงจะยังมิชัดเจนมากแต่เห็นร่องรอยว่าที่นี่เคยเกิดเรื่องมิดีขึ้นด้วยว่าพื้นดินไร้ต้นหญ้าและต้นไม้ทั้งหลายก็แห้งเหี่ยวเฉา“ขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้ารับขณะเดินกลับหมู่บ้านพร้อมกับพยายามขบคิดว่
ความรู้สึกของอ้ายฉีที่มอบให้เขารับรู้แก่ใจเป็นอย่างดี เป็นห่วงอีกฝ่ายมิได้น้อยไปกว่าเสวียนลิ่วหลางเลยสักนิด หากว่ามีบางเรื่องที่ทำให้เขามิอาจตัดสินใจเกี่ยวกับบุรุษตรงหน้าได้อย่างเด็ดขาด ที่เมื่อก่อนนั้นเขามิคิดจะบอกกล่าวให้ล่วงรู้ แต่ยามนี้เมื่ออ้ายฉีรุกหนัก...เรื่องนี้ก็จำเป็นต้องกล่าวออกไป แม้ว่านับจากนี้ไปมันอาจจะทำให้ถูกโกรธจนมิอาจเป็นสหายกันได้อีกแล้วก็ตาม“เจ้าน่าจะรู้นะอ้ายฉี ข้ากับเจ้า มิอาจเป็นเช่นนั้นได้”“เพราะเจ้ากับข้าเป็นบุรุษทั้งคู่นะหรือชิงชวน”“เจ้าน่าจะรู้นะอ้ายฉี ข้ากล่าวเรื่องใด” หากเขามิไปได้ยินเรื่องของอ้ายฉีในวันนั้น เขาคงจะตัดสินใจได้ไม่ยาก ในดวงตาของชิงชวนเต็มไปด้วยความปวดร้าว ใบหน้าก็หม่นหมองเศร้าอ้ายฉีทำหน้าเคร่งขรึม ขมวดคิ้วเข้าหากัน ขณะมองชิงชวนด้วยสายตาที่กดดัน เขารับรู้มาหลายครั้งแล้วว่าชิงชวนคล้ายจะเปิดใจรับ แต่ในความเป็นจริงที่เขารับรู้ก็คือมีอะไรบางอย่างมาขวางกั้นเขาสองคนไว้เสมอ“เจ้ากล่าวถึงเรื่องใดอยู่ชิงชวน...หากรังเกียจข้า ก็บอกกล่าวกันมาตรง ๆ ดีกว่า มิจำเป็นต้องหาข้ออ้างแต่อย่างใด”อ้ายฉีมองชิงชวนที่ทำราวกับว่ามิรู้เรื่องใดทั้งสิ้น ทั้งที่เขาเคย
“แล้วเด็กสองคนนั้น” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยถามเพราะหนานชวนส่งข่าวให้รู้บ้างแล้ว“ดูเป็นเด็กดีอยู่ขอรับ” นับตั้งแต่ที่เขาอยู่กับเสวียนลิ่วหลางมา มิเพียงแค่ร่างกายที่เปลี่ยนไป หากรับรู้ว่าภายในกายเริ่มมีพลังลมปราณมากพอที่จะสัมผัสได้ว่าใครมีวรยุทธ์และพอจะมองออกว่าผู้ใดมาดีหรือร้าย ทำให้มองออกว่าเด็กน้อยสองคนเป็นเด็กดีจริง ๆ จึงยินดีเป็นอย่างมากที่มารดามีคนดี ๆ มาคอยดูแล“แล้วท่านพี่ละขอรับ พบเจอเรื่องใดหรือไม่”หากเสวียนลิ่วหลางมิทันจะได้บอกกล่าวเรื่องที่ได้ไปตรวจสอบมา...มิได้มีสิ่งใดร้ายแรง ก็เป็นพวกมารปลายแถวกับเผ่าปีศาจที่มิชอบหน้ากันมาทะเลาะกัน แล้วกลุ่มจอมยุทธ์รุ่นใหม่เขาอยากแสดงว่าตนมีฝีมือเท่านั้น ก็มีบางคนเดินเข้ามา“มาทำไม” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยเสียงเข้มดุ หากเด็กน้อยตรงหน้ากลับมิสนใจแล้วยังจะส่งยิ้มให้กับเก้าเทียนรุ่ยเพื่อยั่วโทสะยักษ์ใหญ่ตรงหน้าอีกด้วย“มิได้มาหาเจ้าเสียหน่อย มาหานั่น...” ปากเล็กสีแดงสดบุ้ยใบ้ไปทางเก้าเทียนรุ่ย “ต่างหากล่ะ...คิดถึงมากเลย”“ที่นี่เรือนข้า...ไปคิดถึงไกล ๆ หากมิอยากถูกจับโยนออกไป”“กล้ารึ...ข้าพี่ชายสองนะ เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายเมียเจ้ารึ”“ฮึ! พี่ชายที่นอก
“อึก...อ้ายฉี!” ชิงชวนร้องเรียกด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะยังมิทันได้เตรียมกายรับอ้ายฉีก็แทรกแท่งใหญ่ร้อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยังจะหัวเราะร่าพร้อมกับกลั่นแกล้งเขาด้วยการขยับกายออกแล้วเคลื่อนกลับเข้าไปใหม่จนสุด“ไอ้เจ้าบ้าอ้ายฉี!”“อา...ข้ามันคนบ้านี่น่า เขาว่าคนบ้าทำอะไรก็มิผิด” ว่าแล้วอ้ายฉีก็เร่งเคลื่อนกายจู่โจมเข้าในพื้นที่เร้นลับของชิงชวนอย่างหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จากนุ่มนวลกลับเป็นรุนแรงเมื่อถูกผนังอ่อนนุ่มบีบรัด“เจ้าว่า...ข้าจะบ้าได้มากกว่านี้ไหมอาชวน”“หยุดทำอย่างที่เจ้าคิดเลยนะอ้ายฉี” ชิงชวนห้ามปรามเมื่อพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดทำการสิ่งใด เขามิอยากเดินออกจากห้องพักอย่างอับอายเพราะถูกอีกฝ่ายจับกดจนเตียงพังอย่างเช่นโรงเตี้ยมที่ก่อนหน้าอ้ายฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าวออกไป “ข้ายังมิได้คิดอะไรสักหน่อย”“ฮึ! เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะมิล่วงรู้ ข้าอยู่กับเจ้ามานานเท่าใดแล้ว ยามนี้หากมิใช่เพราะคิดว่าเดินทางกันพอแล้วกับในยุทธภพมีเรื่องมากมายชวนปวดหัว คิดว่าเจ้ากับข้าจะคิดกลับไปหาท่านแม่ทัพ...นายท่านกับคุณชายหรือไงกัน”“ครั้งนี้ข้ายอมก็ได้” หากมิใช่เพราะจะทำให้ชิงชวนอับอาย แต่เขาสัมผัสได้ว
“ใบหน้าเมียข้ายามนี้ช่างงดงามเหลือเกิน เร่งอีกหน่อยสิท่านพี่ ข้าอยากได้ยินเสียงร้องของอาเหว่ย” จวินต้าเกอเอ่ยยามทอดสายตามองใบหน้าที่แสดงออกถึงความสุขสมยามถูกกระแทกด้วยความต้องการ“ได้สิน้องข้า” เฮยต้าเกอตอบรับ ผนังอ่อนนุ่มช่างบีบรัดเสียจนเขาถึงหายใจหอบแรงทำให้เขาขยับโยกกายด้วยความหนักหน่วงรุนแรงตามความต้องการที่มันเพิ่มมากขึ้น...และมากขึ้นจางเหว่ยสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนที่ไหลพุ่งเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับเสียงครางของเฮยต้าเกอ ก่อนคลื่นความร้อนครั้งใหม่จะถาโถมเข้าหา“ข้าถูกพี่ใหญ่กลั่นแกล้ง แล้วยังจะต้องพาหมูป่ากลับมา ระหว่างทางก็ยังจะพลัดตกลงไปในแม่น้ำด้วย กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยมิใช่น้อย เมียข้าช่วยปลอบโยนข้าหน่อยนะ” จวินต้าเกอเอ่ยขณะสองมือใหญ่ลูบคลำไปทั่วร่างกายพร้อมกับใช้แท่งใหญ่ยักษ์ของตนเองกดรุกล้ำเข้าไปในร่องทางด้านหลังของจางเหว่ยยามถูกผนังอบอุ่นห่อหุ้มและรัด ความต้องการของจวินต้าเกอก็เพิ่มมากขึ้น เขาขยับกายตัวราวกับพายุฝนที่กำลังกระหน่ำสาดซัดอย่างรุนแรง“หากเมียข้ายังจะทำสีหน้าเช่นนั้น...วันนี้เราคงจะมิได้ไปหานายท่านกับคุณชายเป็นแน่” เฮยต้าเกอกล่าวขณะวางมือลูบไล้บนอกเมียรัก“ข้า
“ท่าน...ท่านพี่” จางเหว่ยเอ่ยทักสองบุรุษที่เดินเข้ามาในบ้านเสียงแผ่วเบา ด้วยอย่างไรเขาก็ยังมิชินกับการเป็นฟูเหรินของบุรุษด้วยกัน แต่มิใช่เพราะเขาจำต้องผูกพันธสัญญาหรือมิเต็มใจอยู่กับกระทิงสองพี่น้องหรอกนะ แต่เพราะใจของเขาก็รู้สึกดีกับทั้งสองคนอยู่มิน้อย ยิ่งเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนผูกพันธสัญญาไปแล้ว เฮยต้าเกอและจวินต้าเกอก็ดูแลเขาอย่างดี“มิสบายหรือเมียข้า” เฮยต้าเกอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามิได้เป็นอะไร หากแต่ท่านพี่กับท่านพี่จวิน เหตุใดถึงได้กลับมาเรือนเร็วเช่นนี้ ยังมิทันจะเที่ยงเลย ท่านมิสบาย...บาดเจ็บใช่หรือไม่” จางเหว่ยเอ่ยถามพลางมองดูว่าบุรุษตรงหน้ามีบาดแผลที่ส่วนใดของร่างกายบ้าง“มิได้เป็นเช่นนั้น วันนี้โชคดี ได้หมูป่าตัวใหญ่มา เลยคิดกันว่ารีบกลับบ้านจะดีกว่า หมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ถ้าได้นั่งล้อมวงกินกันหลาย ๆ คนคงจะดีมิใช่น้อย อาเหว่ยอยากพามันไปกินกับนายท่านกับคุณชายหรือไม่” เฮยต้าเกอกล่าวถึงเสวียนลิ่วหลางกับเก้าเทียนรุ่ย“แต่กว่าท่านพี่จะจับมันได้...มิง่ายเลยนะขอรับ” แม้จะดีใจที่กระทิงสองพี่น้องยังคิดถึงความรู้สึกของเขา“สัตว์มีอยู่เต็มป่า จะจับเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายที่ดีอย่างนายท่
“อ่า...รอค่ำคืนนี้ก่อนนะเมียรักของข้า รุ่งสางแล้วเราต้องเร่งทำเวลา” ยามนี้จวนแม่ทัพยังมีงานให้เขาทำอยู่ อีกทั้งยังบางคนที่มิอยากให้เขาออกไปใช้ชีวิตที่อื่นก็มาคอยอ้อนวอนขอร้อง“อื้อ...” เก้าเทียนรุ่ยรับคำก่อนจะยกตนเองขึ้นเพื่อตอบรับเจ้ายักษ์ใหญ่ที่ค่อย ๆ สอดดันเข้ามาในร่างก่อนจะถอนออกอย่างเชื่องช้า แล้วย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งจะลึกขึ้นเรื่อย ๆร่างเล็กบางไหวโยกตามแรงเคลื่อนไหว ผนังด้านในรับรู้สึกแท่งร้อนที่บุกรุกเข้ามาในกายครั้งแล้วครั้งเล่า บ้างก็เชื่องช้า บ้างก็รวดเร็ว“ท่านพี่”ใบหน้าแดงระเรื่อของเก้าเทียนรุ่ย ดวงตากลมใสที่ยามนี้ฉายแววปรารถนาอย่างชัดเจนทำให้เสวียนลิ่วหลางยิ่งถาโถมแท่งร้อนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามด้วยความปรารถนาที่รุนแรง เสียงสะท้อนของร่างกายที่กระทบกันดังทั่วห้องเช่นเดียวกับเสียงหอบของสองคนที่ดำดิ่งกับความใกล้ชิดเสวียนลิ่วหลางพลิกกายบางให้ลงนอนคว่ำ ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยแนบกับหมอนหนุน แขนแกร่งสอดรัดเอวเล็กขณะกดสะโพกพาแท่งเหล็กร้อนให้ดำดิ่งสอดแทรกไปในช่องทางที่อ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนเสียงคำรามจะแผดดังขึ้นพร้อมกระแสความร้อนไหลพุ่งเข้าสู่
“เอาเป็นข้า...” เด็กน้อยเคลื่อนไหวกายเพียงเล็กน้อยแต่กลับรวดเร็วเสียจนแทบจะมองมิทัน เพียงแค่มิถึงหนึ่งจิบชาดูเหมือนว่าทุกคนที่ยังคงอ่อนแรงยกเว้นเสวียนลิ่วหลางก็ดีขึ้น“ข้าช่วยพวกเจ้าได้เพียงแค่นี้ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าเองแล้ว”“เดี๋ยว!” เก้าเทียนรุ่ยร้องเรียกเด็กน้อยตรงหน้าที่หันกายจะจากไป“มีอะไรอีก ข้ามิได้คิดร้ายกับพวกเจ้านะ”“เปล่า ข้ามิได้คิดเช่นนั้น แต่...” เก้าเทียนรุ่ยขบเม้มปากเข้าหากัน มิรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกของเขาเองหรือเปล่าที่รู้สึกคุ้นเคยกับเด็กน้อยตรงหน้าประมาณหนึ่ง จนมันอดที่จะคิดมิได้“หากเจ้ามิพูดอะไร ข้าจะไปแล้วนะ”“เจ้า...คุณเป็นหนึ่ง” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบา“หือ...” คิ้วของเด็กน้อยเลิกขึ้น“ใช่หรือไม่”เด็กน้อยคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “จะใช่หรือมิใช่ จะมีสิ่งใดแตกต่างไปล่ะ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว เจ้านั่นแหละ...ได้โอกาสแล้วก็ใช้ชีวิตนับจากนี้ไปให้มีความสุขเถอะ” กล่าวจบเด็กน้อยที่มิบอกกล่าวให้ทุกคนรู้เป็นผู้ใดจากไปพร้อมกับร่างของเสวียนลิ่วหลางที่ทรุดล้มลงศีรษะแนบชิดกับลำคอเก้าเทียนรุ่ย“ท่านพี่!”“ท่านแม่ทัพ!”
“พวกท่านทุกคนต่างก็ทำกันอย่างดีที่สุดแล้ว นับจากนี้ก็ปล่อยให้ท่านพี่เป็นคนลงมือเถอะขอรับ...ฤทธิ์จากยาที่ท่านพี่กินเข้าไป...พลังที่มากเกินหากมิได้ถ่ายเทออกเพื่อปรับให้เหมาะสมจะทำร้ายเจ้าของร่าง ยามนี้หากท่านพี่ได้โคจรพลังรับมือกับคนพวกนั้น...ย่อมจะเป็นการดีมากขอรับ”เมื่อเก้าเทียนรุ่ยบอกเช่นนั้น ชิงชวนก็ปล่อยอาวุธในมือและทรุดกายลงเคียงข้างกับสหายทุกคนที่ต่างก็บาดเจ็บจนยืนมิไหวแต่มิวายเอ่ยกับเสวียนลิ่วหลางไปว่า “แต่หากท่านมิไหว ต้องรีบบอกพวกข้านะขอรับ” เสวียนลิ่วหลางพยักหน้ารับพลางกางอาณาเขตพลังปกป้องคนที่อยู่เบื้องหลังมิให้ได้รับผลกระทบ ก่อนที่ตนเองจะเข้าห้ำหั่นกับคนที่ถูกควบคุมอย่างรวดเร็วจนแม้กระทั่งซูเหย้าที่กว่าจะรู้ตัวก็ยามที่ได้เห็นลูกน้องฝีมือสูงของตนถูกปราณของเสวียนลิ่วหลางแยกร่างกายออกจากกัน“เจ้า!” ซูเหย้าโกรธจนหน้าเป็นสีเลือด เพราะมิว่าเขาจะสั่งการอย่างไร ลูกน้องของเขาก็มิอาจลุกมาเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างที่เคยเป็น“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้เจ้าคะนายท่าน” ซิงเยียนที่มั่นใจเสมอมา มิว่าอย่างไรก็จะมิมีผู้ใดจัดการกับคนที่ถูกหนอนพิษเพลิงพิรุณได้ถามอย่างตื่นตระหนก จะเป
“เจ้าสองคนฉลาดมิใช่น้อย หากเป็นสหายกัน งานที่ข้าทำคงจะสำเร็จไปแล้ว น่าเสียดายยิ่งนักที่คนฉลาดเช่นเจ้าสองคนจะต้องสิ้นชีพในวันนี้” ซูเหย้ามองเสวียนลิ่วหลางตาวาว หากเขาดึงเอาหนอนพิษอีกสองตัวที่อยู่ในร่างอีกฝ่ายออกมาได้ ยามนั้นท่านประมุขก็จะต้องแข็งแกร่งจนมิอาจมีใครทำอันตรายได้อีกแล้ว“ผิดแล้วละซูเหย้า วันนี้หากจะมีคนไหนต้องจากไป ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น”ยามแรกซูเหย้าจะถกเถียงว่า...เจ้าที่ร่างกายยังอ่อนแอจากการถูกหนอนพิษเล่นงาน กับเจ้าเด็กน้อยที่ถือตนว่าเก่งกล้าแต่ไร้วรยุทธ์จะสู้ข้าได้อย่างไร...หากเมื่อเขาได้เห็นประกายในดวงตาเป็นสีแดงเจิดจ้ากับพลังปราณอย่างรุนแรงที่แผ่ซ่านมาของเสวียนลิ่วหลางทำให้คิดไปว่า...หากมิใช่หนอนพิษที่ยังหลงเหลืออยู่ในกายเสวียนลิ่วหลางได้ถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ก็แสดงว่าอีกฝ่ายได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมัน...เป็นไปมิได้!เสวียนลิ่วหลางหัวเราะก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “คิดว่าเจ้าก็คงจะพอคาดเดาได้แล้ว...ข้าสามารถบังคับเจ้าหนอนร้ายนั้นได้แล้ว”“แล้วอย่างไรเล่า เจ้าก็ทำได้เพียงแค่ในยามนี้เท่านั้น อีกประเดี๋ยวทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นของข้าเช่นเดิม” มิใช่ว่าหนอนพิษของเขาใครจะบัง
“อาซวง!” เสวียนลิ่วหลางร้องเรียกสติเก้าเทียนรุ่ยที่ปล่อยให้เสียงจากภายนอกมามีผลกระทบกับการปรุงยาที่ใกล้จะสำเร็จอยู่มิช้ามินานนี้แล้ว “หากอยากช่วยทุกคนเจ้าจะต้องปรุงยาให้เสร็จนะ อีกมินานแล้ว...เราจะได้ไปดูด้วยอย่างไรเล่า ใครเป็นคนทำเรื่องเลวร้ายนี้”ถึงเขาจะพยายามข่มใจทำตามคำบอกกล่าวของเสวียนลิ่วหลาง เบื้องหน้าเตาปรุงยาลอยอยู่ระดับเดียวกับอก ภายในถูกปราณที่ถูกส่งจากสองกายก่อเกิดเป็นไฟเพื่อหลอมตัวยาทั้งหลายให้รวมเป็นหนึ่ง หากในหัวกลับได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและขอความช่วยเหลือดังมิยอมหยุด“ด้านนอกอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดอยู่ก็ได้นะ ในเมื่อทุกคนทุ่มเทปกป้องเราอย่างเต็มกำลัง…หากอยากช่วยทุกคน อาซวงก็ต้องปรุงโอสถให้สำเร็จ...ข้าเชื่อมั่นในตัวอาซวงนะ” เสวียนลิ่วหลางบีบกระชับมือเล็กดึงเก้าเทียนรุ่ยให้หลุดออกมาจากความกังวล“อาซวงสัญญากับข้าแล้วมิใช่หรือ จะเป็นฟูเหรินของข้า หากปรุงยารักษาข้ามิสำเร็จ แล้วจะเป็นฟูเหรินของข้าได้อย่างไรเล่า” เพราะวาจาของเสวียนลิ่วหลางที่ทำให้เก้าเทียนรุ่ยก็คิดขึ้นมาได้ มิใช่เพียงแค่บุรุษที่ยืนเคียงข้างในยามนี้ หากเขายังมีสหายที่ดีและท่านแม่ที่จะต้องดูแลด้ว