“ยังมีผู้ที่มิยินยอม ยังเรียกเหล่าทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชามาเพื่อต่อสู้กับท่านแม่ทัพ แต่ก็ถูกบุรุษผู้ปิดหน้าไว้และทหารคนสนิทที่มาด้วยจัดการภายในเวลาอันรวดเร็ว”แวบหนึ่งที่เก้าเทียนรุ่ยคิดว่าผู้ที่ท่านแม่กล่าวถึง...บุรุษวรยุทธ์ล้ำเลิศที่ปกปิดใบหน้าไว้คือท่านพี่อ้ายฉีและผู้ที่เป็นโอรสสวรรค์คือผู้ที่ถูกเรียกว่า...เต่าน้อย แต่ช่างเถอะว่าเขาเหล่านั้นเป็นใคร ยามนี้เขาควรฟังท่านแม่เล่าให้จบ เพื่อจะได้ตัดสินใจ...จะยังคงรักษาท่านแม่ทัพต่อไปหรือจะหยุดเพียงแค่นี้และรีบหาทางไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด“เมื่อเห็นว่ามิมีผู้ใดคิดขัดขวาง ท่านแม่ทัพก็ส่งหลานชายของตนขึ้นสู่บัลลังก์มังกร แต่ก็กล่าวเตือนไว้...แม้ข้าจะให้เจ้านั่งบัลลังก์มังกร แต่ข้ากับทุกคนก็จะคอยดูการกระทำของเจ้า หากวันใดเจ้าหลงในอำนาจที่มี กดขี่ข่มเหงทำให้ราษฎรทุกข์ยาก มิดูแลให้อยู่เย็นเป็นสุขก็อย่าหวังว่าตนเองจะอยู่เป็นสุข”เท่าที่ฟังดูมันก็...ดีอยู่นะ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องมันจะง่ายไปหรือเปล่า แล้วเหมือนจะมีอะไรบางอย่างขาดหายไปเสียด้วยสิ“เรื่องมันไม่ได้ง่ายและจบลงอย่างมีความสุขอย่างที่แม่เล่าให้ฟังหรอก เรามิได้อยู่ในเหตุการณ์ มิล่วงรู้ว่
ในดวงตาที่เต็มไปด้วยความรัก ความอาลัยอาวรณ์ต่อมารดาผู้ให้กำเนิด ความเจ็บปวดและคับแค้นใจที่อัดแน่นอยู่ภายในเหมือนจะถ่ายทอดมาให้เขารับรู้ถึงความรู้สึกเหล่านั้น ก่อนจะมีเสียงหนึ่งก็ดังมากระทบหู…...ฝากดูแลท่านแม่ข้าด้วย!ครั้งนั้นเขาเป็นเพียงแค่คนดู หากยามนี้กลับกลายเป็นว่าเขาคือเก้าเทียนรุ่ยที่ข้างกายก็มีมารดายกสองแขนกางปีกปกป้องเขาจากโจรร้าย...มิใช่ ๆ เขากล่าวผิดไป ผู้ที่ล้อมรอบกายเราสองแม่ลูกอยู่ในยามนี้ มิใช่โจรร้ายหากคือนักฆ่าที่ถูกจ้างมาเพื่อสังหารเราสองคน ฆ่าทิ้งอย่าให้เหลือแม้แต่ศพกลับไปยังเรือนตระกูลเก้าได้อีก“มิเป็นไรขอรับท่านแม่ ข้ามิเป็นไร” ก็มิรู้หรอกนะว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้น จะเป็นเรื่องจริง หรือภาพลวงตาที่ทำให้เขามึนงง หากเมื่ออยู่ตรงนี้แล้วก็จะต้องรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ดีที่สุด...ปกป้องท่านแม่อย่างที่เจ้าของร่างนี้เคยขอร้องไว้“เจ้ามิต้องหลบซ่อน ออกมาเถอะ...ซิงเยียน” เพียงกล่าวนามนั้นออกไป ท่านแม่ก็สะดุ้งด้วยความหวาดผวาและหันมามองเขาอย่างรวดเร็ว “ข้ารู้มานานแล้วขอรับท่านแม่ สตรีผู้นี้นิสัยไม่ซื่อตรง เจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัด สตรีหน้าตางดงามแต่จิตใจโหดร้าย คอยหาทุกวิถีทางรังแ
“เทียนเอ๋อร์”“มิต้องห่วงขอรับท่านแม่ ทั้งท่านและข้าจะมิเป็นอันใด ตอนนี้ท่านแม่ไปหลบหลังต้นไม้ก่อนนะขอรับ”“แต่...”“หากท่านแม่เป็นห่วงอยากจะช่วยข้า ขอให้ทำตามที่ข้าบอกนะขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยตบลงไปบนมือมารดาเบา ๆ พลางคลี่ยิ้มเติมความมั่นใจให้กับมารดาและย้ำด้วยวาจาอีกครั้ง“ข้าปกป้องท่านแม่และสามารถดูแลตนเองได้ขอรับ คนเหล่านี้มิพอให้ข้าใช้ทดสอบฝีมือหรอกขอรับ” ใช่แล้ว! นี่คือการทดสอบฝีมือครั้งแรกของเขาที่อยู่ในร่างของเก้าเทียนรุ่ยที่ทุกอย่างจะต้องออกมาดีที่สุด“ดูแลท่านแม่ของข้าด้วย” เหมือนเขาจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า นักฆ่าล้วนแล้วแต่ไร้หัวใจ ยามสังหารคน ตาก็ไม่กะพริบ ไร้สิ้นความหวาดกลัว หากมิใช่ครั้งนี้ เพราะผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเขาต่างก็เหลียวมองหน้ากันด้วยความงุนงงระคนสงสัย เขากล่าวกับผู้ใดและเหตุใดเมื่อเขากล่าวจบใบไม้ก็เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ไหนจะแผ่นดินที่ยืนอยู่อีกเล่า คล้ายจะมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยด้วย มันทำให้เก้าเทียนรุ่ยคลี่ยิ้มด้วยความฮึกเหิม“ทำไมพวกเจ้าถึงยังไม่จัดการมันสองคนแม่ลูกเสียที”“ข้าเองก็รอพวกเจ้าลงมืออยู่เหมือนกัน” จากคนที่เคยอ่อนแอ เคยแต่ถูกผู้อื่นทำร้ายโดยม
เสียงนี้...มันเหมือนกับเป็นเสียงของใครสักคนที่เขาคุ้นเคยกำลังร้องเรียกเขาอยู่...“อาซวง! เจ้าเป็นอะไรไป อาซวง!”ใช่แล้ว เสียงนี้กำลังร้องเรียกเขาอยู่ เป็นเสียงของคนที่เขาคุ้นเคย แต่...แม้อยากจะไปหาเจ้าของเสียงที่ร้องเรียกด้วยความห่วงใย หากยามนี้รอบกายของเขาเปลี่ยนแปลงไป...ต้นไม้ที่เคยยืนต้นตระหง่านและมีใบเขียวชอุ่มกลับเหลือเพียงแค่ลำต้นที่ไร้ใบ พื้นดินที่เคยชุ่มชื่นยามนี้กลับแตกระแหง บางส่วนมีควันพวยพุ่งออกมา หากความร้อนที่อยู่รอบกายยังมิเท่ากับเสียงหัวเราะที่เป็นประหนึ่งมดที่ถูกเผาไฟกัดบนผิวกายจนมีแผลพุพอง“เจ้าช่างมิประมาณฝีมือตนเองเอาเสียเลยนะเก้าเทียนรุ่ย ถึงกับกล้าทำร้ายคนของข้า”เสียงเข้มที่แสนจะเยือกเย็นจนหนาวเหน็บไปทั้งกายดังมาก่อนที่จะมีบุรุษผู้หนึ่งในอาภรณ์สีแดงเข้มจนเกือบจะดำยืนอยู่บนสัตว์ตัวใหญ่ที่แรกเห็นทำให้นึกถึงแมงมุม เพราะว่ามันมีขาอยู่หลายขา แต่...มันก็มีหางที่กำลังฟาดลงบนพื้นดินเหมือนกับจระเข้ แล้วยังจะมีเกล็ดสีเขียวเข้มมันวาว ส่วนหน้าสั้นและมีเขี้ยวไม่สั้นแต่ก็ไม่ยาวมากที่แหลมคมขยับเข้าหากันจนมีเสียงแหลมเล็กที่ทำให้ปวดแสบแก้วหู“วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้รู้สำนึก ว
เสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนดังมาอีกครั้ง พร้อมกับสัมผัสที่แสนจะอบอุ่นและอ่อนโยนที่ทำให้เก้าเทียนรุ่ยรู้สึกเหมือนกับว่าได้รับการปลอบประโลม อีกทั้งยังขับไล่ความหวาดกลัวที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจ ไล่ความเจ็บปวดที่ร่างกายได้รับออกไป ยังทำให้เขาลืมเลือนสิ่งที่อยู่รอบกายไปเสียจนหมดสิ้นด้วย“อาซวง”“ท่านแม่ทัพ...ท่านพี่” เก้าเทียนรุ่ยร้องเรียกพลางกะพริบตามองบุรุษตรงหน้าด้วยความงุนงง ดูเหมือนว่าความร้อนที่แผดเผาร่างกายเขา เสียงหัวเราะแหลมเล็กราวกับคมกระบี่ที่บาดลงไปบนผิวเนื้อ เสียงของเขี้ยวแหลมคมของเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นจะหายไปจนหมดสิ้นราวกับเมื่อครู่มิได้เกิดเหตุการณ์ใดเลย“เกิดอะไรขึ้น” ความสงสัยถาโถมเข้าหาราวกับลมพายุที่โหมพัด สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อครู่...มันเป็นความจริง หรือว่าเรื่องหลอกลวง แต่เสียงของเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นยังคงดังก้องอยู่ในหูเลยนะ ไหนจะความร้อนที่เผาผลาญและความเจ็บปวดทางร่างกายที่ยังคงมีอยู่ ทำให้เชื่อได้ว่า...เขาถูกล่อลวงไปจริง“เป็นข้ามากกว่าที่จะต้องไถ่ถามเจ้า เกิดอันใดขึ้น ข้าร้องเรียกเจ้าหลายครั้ง หากเจ้ากลับมิตอบสนอง อีกทั้งใบหน้าก็บ่งบอกว่าเจอกับเรื่องร้าย แล้วก็ยังจะเต็ม
“เท่ากับสิ่งที่ข้าอยากรู้ก็ยังมิได้รับคำตอบนะสิ”“มีอะไรหรือเปล่าอาซวง” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยถามเมื่อเห็นใบหน้าของคนตัวเล็กดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่“ข้ากลัวนะขอรับ หากมีเรื่องวุ่นวายให้ขบคิด ข้าก็คงจะลืม จดจำมิได้ว่าจะไถ่ถามเรื่องใดจากท่านรองแม่ทัพ” ก็ความจำเขามันมิค่อยจะดีเอาเสียเลย ผ่านไปเพียงมินานก็ลืมแล้ว “มิเป็นไร จำได้ก็ดี จำไม่ได้ก็ช่าง”“แต่มันเกี่ยวกับอาการป่วยของท่านพี่นะขอรับ หากมิเร่งคิดหาต้นสายปลายเหตุ ก็กลัวจะรักษาได้ล่าช้า” มันจะมิเป็นการดีกับบ้านเมืองในด้วยนะสิ หากมีศัตรูล่วงรู้ข่าวคราว ท่านแม่ทัพของแผ่นดินป่วยไข้ มิอาจเป็นผู้นำกองทัพในการปกป้องแผ่นดินและมิอาจนำกองทัพไปปราบปรามศัตรูได้ ถึงการสู้รบจะไม่ได้ทำให้ผู้ใดมีความสุข มิมีผู้ใดเป็นผู้มีชัย หากทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นปราชัย เป็นฝ่ายสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินด้วยกันทั้งสิ้น...“ข้ารู้ว่าอาซวงมีความตั้งใจจริง ปรารถนาดีกับข้าเพียงใด” เสวียนลิ่วหลางจับมือเล็กเอาไว้พลางบีบเบา ๆ “แต่เชื่อว่าสวรรค์ย่อมมิโหดร้ายกับคนดี อาซวงจะต้องค้นพบวิธีรักษาข้าจนหายได้แน่นอน”“ถ้าเช่นนั้น...ข้าจะไปร้านยา” อย่างน้อยถึงเขาจะมิล่วงรู้...ยังหาสาเหต
“ท่านทั้งสองเรียกข้าว่าเอ้อร์เอ๋อร์ก็ได้ขอรับ”“ขอรับคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์”“ไม่...ไม่ต้องใส่คุณชายขอรับ ข้าเป็นแค่ชาวสวนปลูกพืชผักธรรมดาเอง มิได้เป็นคุณชายจากตระกูลใดเลย”เสวียนลิ่วหลางพยักหน้าให้สองสหายทำตามความต้องการของเก้าเทียนรุ่ย“เป็นเช่นนี้แล้ว อาซวงมั่นใจแล้วใช่ไหม หากออกไปนอกเรือนกับข้า จะมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น อี้หานกับซื่อเตาคุ้มครองเราสองคนได้...อาซวงจะไปหาซื้อยามาใช้รักษาข้าให้หาย” เสวียนลิ่วหลางบอกกับจูอี้หานและซุนซื่อเตา“คิดว่าเรื่องที่ข้าป่วยจนมิอาจออกจากจวนได้คงแพร่ไปมากแล้ว แต่ที่ศัตรูยังมิทำสิ่งใดก็ด้วยชิงชวนและอ้ายฉีคอยจัดการอยู่ ข้าเลยคิดจะถือโอกาสนี้ออกไปเพื่อให้คนพวกนั้นสงสัย ข่าวที่ได้ไปเป็นของปลอม อีกทั้งอยากจะหาตัวเงาที่หลบซ่อนกายคอยเล่นงานข้าด้วย”“ท่านจะไปก็ได้” เมื่อทัดทานมิได้ เก้าเทียนรุ่ยก็คิดว่าเขาควรจะต้องคุยกับท่านแม่ทัพให้เข้าใจก่อน “แต่ท่านจะต้องฟังคำพูดของข้าด้วย มิเช่นนั้น ข้าจะมิยอมให้ไป”“ได้สิ...ขอเพียงแค่ได้ออกไปกับอาซวง ให้ทำอะไรข้าก็ยอมทั้งนั้น”“ถ้าเช่นนั้นข้าขอเวลาจัดเตรียมข้าวของบางอย่างก่อน เสร็จแล้วจะมาหาท่านที่ห้อง” เขาอยากจะอาบน้ำชำระกลิ
“ใช่ขอรับ...แม้มือเราจะเลอะดินโคลนไปบ้าง ถึงจะเหนื่อยกับการที่ต้องขุดดินยกร่อง ต้องใส่ปุ๋ยและตักน้ำมารดผัก กำจัดหนอนและแมลงที่จะมากินใบ แต่พอเห็นผักที่เราปลูกไว้เจริญเติบโตจนเก็บกินได้...มันดีมากเลยขอรับ”นั่นสินะ...ดูท่าจะมีความสุขมากจริง ๆ ใบหน้าของคนตัวเล็กถึงฉายความสุขจนล้นออกมา เสวียนลิ่วหลางยกมือแตะที่แก้มนุ่ม“เอาไว้...อาซวงสอนข้าปลูกผักบ้างนะ”“ได้สิขอรับ...ข้าเชื่อว่าท่านพี่จะต้องสนุกและมีความสุขเช่นเดียวกับข้า” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยขณะยื่นมือไปรับเนื้อที่ย่างจนส่งกลิ่นหอมมากิน แต่ท่านแม่ทัพกลับยื่นมันมาที่ปากเขา“เอ่อ...” เก้าเทียนรุ่ยได้แต่มองท่านแม่ทัพตาปริบ ๆ ยิ่งเมื่อถูกมือใหญ่ทาบมาระหว่างแก้มและใบหู ก็ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงเร็วจนแทบจะทะลุออกมาจากอก ไหนจะความรู้สึกวูบวาบในช่องท้อง มันเหมือนกับว่า...มีความรักที่อบอวลอยู่รายรอบกายอันตราย! ใจของเก้าเทียนรุ่ยบอกเช่นนั้น หากเขายังมิทันจะได้คิดอะไรก็มีสายลมแรงพัดมาพร้อมกับเศษไม้“อาซวง!”เก้าเทียนรุ่ยได้แต่งุนงง เมื่อถูกท่านแม่ทัพดึงเข้าหาและโอบกอดเอาไว้อย่างรวดเร็วเกินที่เขาจะตั้งตัวได้ทัน“มิบาดเจ็บใช่หรือไม่”“เอ่อ...”“อาซวง!”
“แล้วเด็กสองคนนั้น” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยถามเพราะหนานชวนส่งข่าวให้รู้บ้างแล้ว“ดูเป็นเด็กดีอยู่ขอรับ” นับตั้งแต่ที่เขาอยู่กับเสวียนลิ่วหลางมา มิเพียงแค่ร่างกายที่เปลี่ยนไป หากรับรู้ว่าภายในกายเริ่มมีพลังลมปราณมากพอที่จะสัมผัสได้ว่าใครมีวรยุทธ์และพอจะมองออกว่าผู้ใดมาดีหรือร้าย ทำให้มองออกว่าเด็กน้อยสองคนเป็นเด็กดีจริง ๆ จึงยินดีเป็นอย่างมากที่มารดามีคนดี ๆ มาคอยดูแล“แล้วท่านพี่ละขอรับ พบเจอเรื่องใดหรือไม่”หากเสวียนลิ่วหลางมิทันจะได้บอกกล่าวเรื่องที่ได้ไปตรวจสอบมา...มิได้มีสิ่งใดร้ายแรง ก็เป็นพวกมารปลายแถวกับเผ่าปีศาจที่มิชอบหน้ากันมาทะเลาะกัน แล้วกลุ่มจอมยุทธ์รุ่นใหม่เขาอยากแสดงว่าตนมีฝีมือเท่านั้น ก็มีบางคนเดินเข้ามา“มาทำไม” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยเสียงเข้มดุ หากเด็กน้อยตรงหน้ากลับมิสนใจแล้วยังจะส่งยิ้มให้กับเก้าเทียนรุ่ยเพื่อยั่วโทสะยักษ์ใหญ่ตรงหน้าอีกด้วย“มิได้มาหาเจ้าเสียหน่อย มาหานั่น...” ปากเล็กสีแดงสดบุ้ยใบ้ไปทางเก้าเทียนรุ่ย “ต่างหากล่ะ...คิดถึงมากเลย”“ที่นี่เรือนข้า...ไปคิดถึงไกล ๆ หากมิอยากถูกจับโยนออกไป”“กล้ารึ...ข้าพี่ชายสองนะ เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายเมียเจ้ารึ”“ฮึ! พี่ชายที่นอก
“อึก...อ้ายฉี!” ชิงชวนร้องเรียกด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะยังมิทันได้เตรียมกายรับอ้ายฉีก็แทรกแท่งใหญ่ร้อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยังจะหัวเราะร่าพร้อมกับกลั่นแกล้งเขาด้วยการขยับกายออกแล้วเคลื่อนกลับเข้าไปใหม่จนสุด“ไอ้เจ้าบ้าอ้ายฉี!”“อา...ข้ามันคนบ้านี่น่า เขาว่าคนบ้าทำอะไรก็มิผิด” ว่าแล้วอ้ายฉีก็เร่งเคลื่อนกายจู่โจมเข้าในพื้นที่เร้นลับของชิงชวนอย่างหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จากนุ่มนวลกลับเป็นรุนแรงเมื่อถูกผนังอ่อนนุ่มบีบรัด“เจ้าว่า...ข้าจะบ้าได้มากกว่านี้ไหมอาชวน”“หยุดทำอย่างที่เจ้าคิดเลยนะอ้ายฉี” ชิงชวนห้ามปรามเมื่อพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดทำการสิ่งใด เขามิอยากเดินออกจากห้องพักอย่างอับอายเพราะถูกอีกฝ่ายจับกดจนเตียงพังอย่างเช่นโรงเตี้ยมที่ก่อนหน้าอ้ายฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าวออกไป “ข้ายังมิได้คิดอะไรสักหน่อย”“ฮึ! เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะมิล่วงรู้ ข้าอยู่กับเจ้ามานานเท่าใดแล้ว ยามนี้หากมิใช่เพราะคิดว่าเดินทางกันพอแล้วกับในยุทธภพมีเรื่องมากมายชวนปวดหัว คิดว่าเจ้ากับข้าจะคิดกลับไปหาท่านแม่ทัพ...นายท่านกับคุณชายหรือไงกัน”“ครั้งนี้ข้ายอมก็ได้” หากมิใช่เพราะจะทำให้ชิงชวนอับอาย แต่เขาสัมผัสได้ว
“ใบหน้าเมียข้ายามนี้ช่างงดงามเหลือเกิน เร่งอีกหน่อยสิท่านพี่ ข้าอยากได้ยินเสียงร้องของอาเหว่ย” จวินต้าเกอเอ่ยยามทอดสายตามองใบหน้าที่แสดงออกถึงความสุขสมยามถูกกระแทกด้วยความต้องการ“ได้สิน้องข้า” เฮยต้าเกอตอบรับ ผนังอ่อนนุ่มช่างบีบรัดเสียจนเขาถึงหายใจหอบแรงทำให้เขาขยับโยกกายด้วยความหนักหน่วงรุนแรงตามความต้องการที่มันเพิ่มมากขึ้น...และมากขึ้นจางเหว่ยสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนที่ไหลพุ่งเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับเสียงครางของเฮยต้าเกอ ก่อนคลื่นความร้อนครั้งใหม่จะถาโถมเข้าหา“ข้าถูกพี่ใหญ่กลั่นแกล้ง แล้วยังจะต้องพาหมูป่ากลับมา ระหว่างทางก็ยังจะพลัดตกลงไปในแม่น้ำด้วย กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยมิใช่น้อย เมียข้าช่วยปลอบโยนข้าหน่อยนะ” จวินต้าเกอเอ่ยขณะสองมือใหญ่ลูบคลำไปทั่วร่างกายพร้อมกับใช้แท่งใหญ่ยักษ์ของตนเองกดรุกล้ำเข้าไปในร่องทางด้านหลังของจางเหว่ยยามถูกผนังอบอุ่นห่อหุ้มและรัด ความต้องการของจวินต้าเกอก็เพิ่มมากขึ้น เขาขยับกายตัวราวกับพายุฝนที่กำลังกระหน่ำสาดซัดอย่างรุนแรง“หากเมียข้ายังจะทำสีหน้าเช่นนั้น...วันนี้เราคงจะมิได้ไปหานายท่านกับคุณชายเป็นแน่” เฮยต้าเกอกล่าวขณะวางมือลูบไล้บนอกเมียรัก“ข้า
“ท่าน...ท่านพี่” จางเหว่ยเอ่ยทักสองบุรุษที่เดินเข้ามาในบ้านเสียงแผ่วเบา ด้วยอย่างไรเขาก็ยังมิชินกับการเป็นฟูเหรินของบุรุษด้วยกัน แต่มิใช่เพราะเขาจำต้องผูกพันธสัญญาหรือมิเต็มใจอยู่กับกระทิงสองพี่น้องหรอกนะ แต่เพราะใจของเขาก็รู้สึกดีกับทั้งสองคนอยู่มิน้อย ยิ่งเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนผูกพันธสัญญาไปแล้ว เฮยต้าเกอและจวินต้าเกอก็ดูแลเขาอย่างดี“มิสบายหรือเมียข้า” เฮยต้าเกอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามิได้เป็นอะไร หากแต่ท่านพี่กับท่านพี่จวิน เหตุใดถึงได้กลับมาเรือนเร็วเช่นนี้ ยังมิทันจะเที่ยงเลย ท่านมิสบาย...บาดเจ็บใช่หรือไม่” จางเหว่ยเอ่ยถามพลางมองดูว่าบุรุษตรงหน้ามีบาดแผลที่ส่วนใดของร่างกายบ้าง“มิได้เป็นเช่นนั้น วันนี้โชคดี ได้หมูป่าตัวใหญ่มา เลยคิดกันว่ารีบกลับบ้านจะดีกว่า หมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ถ้าได้นั่งล้อมวงกินกันหลาย ๆ คนคงจะดีมิใช่น้อย อาเหว่ยอยากพามันไปกินกับนายท่านกับคุณชายหรือไม่” เฮยต้าเกอกล่าวถึงเสวียนลิ่วหลางกับเก้าเทียนรุ่ย“แต่กว่าท่านพี่จะจับมันได้...มิง่ายเลยนะขอรับ” แม้จะดีใจที่กระทิงสองพี่น้องยังคิดถึงความรู้สึกของเขา“สัตว์มีอยู่เต็มป่า จะจับเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายที่ดีอย่างนายท่
“อ่า...รอค่ำคืนนี้ก่อนนะเมียรักของข้า รุ่งสางแล้วเราต้องเร่งทำเวลา” ยามนี้จวนแม่ทัพยังมีงานให้เขาทำอยู่ อีกทั้งยังบางคนที่มิอยากให้เขาออกไปใช้ชีวิตที่อื่นก็มาคอยอ้อนวอนขอร้อง“อื้อ...” เก้าเทียนรุ่ยรับคำก่อนจะยกตนเองขึ้นเพื่อตอบรับเจ้ายักษ์ใหญ่ที่ค่อย ๆ สอดดันเข้ามาในร่างก่อนจะถอนออกอย่างเชื่องช้า แล้วย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งจะลึกขึ้นเรื่อย ๆร่างเล็กบางไหวโยกตามแรงเคลื่อนไหว ผนังด้านในรับรู้สึกแท่งร้อนที่บุกรุกเข้ามาในกายครั้งแล้วครั้งเล่า บ้างก็เชื่องช้า บ้างก็รวดเร็ว“ท่านพี่”ใบหน้าแดงระเรื่อของเก้าเทียนรุ่ย ดวงตากลมใสที่ยามนี้ฉายแววปรารถนาอย่างชัดเจนทำให้เสวียนลิ่วหลางยิ่งถาโถมแท่งร้อนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามด้วยความปรารถนาที่รุนแรง เสียงสะท้อนของร่างกายที่กระทบกันดังทั่วห้องเช่นเดียวกับเสียงหอบของสองคนที่ดำดิ่งกับความใกล้ชิดเสวียนลิ่วหลางพลิกกายบางให้ลงนอนคว่ำ ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยแนบกับหมอนหนุน แขนแกร่งสอดรัดเอวเล็กขณะกดสะโพกพาแท่งเหล็กร้อนให้ดำดิ่งสอดแทรกไปในช่องทางที่อ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนเสียงคำรามจะแผดดังขึ้นพร้อมกระแสความร้อนไหลพุ่งเข้าสู่
“เอาเป็นข้า...” เด็กน้อยเคลื่อนไหวกายเพียงเล็กน้อยแต่กลับรวดเร็วเสียจนแทบจะมองมิทัน เพียงแค่มิถึงหนึ่งจิบชาดูเหมือนว่าทุกคนที่ยังคงอ่อนแรงยกเว้นเสวียนลิ่วหลางก็ดีขึ้น“ข้าช่วยพวกเจ้าได้เพียงแค่นี้ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าเองแล้ว”“เดี๋ยว!” เก้าเทียนรุ่ยร้องเรียกเด็กน้อยตรงหน้าที่หันกายจะจากไป“มีอะไรอีก ข้ามิได้คิดร้ายกับพวกเจ้านะ”“เปล่า ข้ามิได้คิดเช่นนั้น แต่...” เก้าเทียนรุ่ยขบเม้มปากเข้าหากัน มิรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกของเขาเองหรือเปล่าที่รู้สึกคุ้นเคยกับเด็กน้อยตรงหน้าประมาณหนึ่ง จนมันอดที่จะคิดมิได้“หากเจ้ามิพูดอะไร ข้าจะไปแล้วนะ”“เจ้า...คุณเป็นหนึ่ง” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบา“หือ...” คิ้วของเด็กน้อยเลิกขึ้น“ใช่หรือไม่”เด็กน้อยคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “จะใช่หรือมิใช่ จะมีสิ่งใดแตกต่างไปล่ะ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว เจ้านั่นแหละ...ได้โอกาสแล้วก็ใช้ชีวิตนับจากนี้ไปให้มีความสุขเถอะ” กล่าวจบเด็กน้อยที่มิบอกกล่าวให้ทุกคนรู้เป็นผู้ใดจากไปพร้อมกับร่างของเสวียนลิ่วหลางที่ทรุดล้มลงศีรษะแนบชิดกับลำคอเก้าเทียนรุ่ย“ท่านพี่!”“ท่านแม่ทัพ!”
“พวกท่านทุกคนต่างก็ทำกันอย่างดีที่สุดแล้ว นับจากนี้ก็ปล่อยให้ท่านพี่เป็นคนลงมือเถอะขอรับ...ฤทธิ์จากยาที่ท่านพี่กินเข้าไป...พลังที่มากเกินหากมิได้ถ่ายเทออกเพื่อปรับให้เหมาะสมจะทำร้ายเจ้าของร่าง ยามนี้หากท่านพี่ได้โคจรพลังรับมือกับคนพวกนั้น...ย่อมจะเป็นการดีมากขอรับ”เมื่อเก้าเทียนรุ่ยบอกเช่นนั้น ชิงชวนก็ปล่อยอาวุธในมือและทรุดกายลงเคียงข้างกับสหายทุกคนที่ต่างก็บาดเจ็บจนยืนมิไหวแต่มิวายเอ่ยกับเสวียนลิ่วหลางไปว่า “แต่หากท่านมิไหว ต้องรีบบอกพวกข้านะขอรับ” เสวียนลิ่วหลางพยักหน้ารับพลางกางอาณาเขตพลังปกป้องคนที่อยู่เบื้องหลังมิให้ได้รับผลกระทบ ก่อนที่ตนเองจะเข้าห้ำหั่นกับคนที่ถูกควบคุมอย่างรวดเร็วจนแม้กระทั่งซูเหย้าที่กว่าจะรู้ตัวก็ยามที่ได้เห็นลูกน้องฝีมือสูงของตนถูกปราณของเสวียนลิ่วหลางแยกร่างกายออกจากกัน“เจ้า!” ซูเหย้าโกรธจนหน้าเป็นสีเลือด เพราะมิว่าเขาจะสั่งการอย่างไร ลูกน้องของเขาก็มิอาจลุกมาเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างที่เคยเป็น“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้เจ้าคะนายท่าน” ซิงเยียนที่มั่นใจเสมอมา มิว่าอย่างไรก็จะมิมีผู้ใดจัดการกับคนที่ถูกหนอนพิษเพลิงพิรุณได้ถามอย่างตื่นตระหนก จะเป
“เจ้าสองคนฉลาดมิใช่น้อย หากเป็นสหายกัน งานที่ข้าทำคงจะสำเร็จไปแล้ว น่าเสียดายยิ่งนักที่คนฉลาดเช่นเจ้าสองคนจะต้องสิ้นชีพในวันนี้” ซูเหย้ามองเสวียนลิ่วหลางตาวาว หากเขาดึงเอาหนอนพิษอีกสองตัวที่อยู่ในร่างอีกฝ่ายออกมาได้ ยามนั้นท่านประมุขก็จะต้องแข็งแกร่งจนมิอาจมีใครทำอันตรายได้อีกแล้ว“ผิดแล้วละซูเหย้า วันนี้หากจะมีคนไหนต้องจากไป ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น”ยามแรกซูเหย้าจะถกเถียงว่า...เจ้าที่ร่างกายยังอ่อนแอจากการถูกหนอนพิษเล่นงาน กับเจ้าเด็กน้อยที่ถือตนว่าเก่งกล้าแต่ไร้วรยุทธ์จะสู้ข้าได้อย่างไร...หากเมื่อเขาได้เห็นประกายในดวงตาเป็นสีแดงเจิดจ้ากับพลังปราณอย่างรุนแรงที่แผ่ซ่านมาของเสวียนลิ่วหลางทำให้คิดไปว่า...หากมิใช่หนอนพิษที่ยังหลงเหลืออยู่ในกายเสวียนลิ่วหลางได้ถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ก็แสดงว่าอีกฝ่ายได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมัน...เป็นไปมิได้!เสวียนลิ่วหลางหัวเราะก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “คิดว่าเจ้าก็คงจะพอคาดเดาได้แล้ว...ข้าสามารถบังคับเจ้าหนอนร้ายนั้นได้แล้ว”“แล้วอย่างไรเล่า เจ้าก็ทำได้เพียงแค่ในยามนี้เท่านั้น อีกประเดี๋ยวทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นของข้าเช่นเดิม” มิใช่ว่าหนอนพิษของเขาใครจะบัง
“อาซวง!” เสวียนลิ่วหลางร้องเรียกสติเก้าเทียนรุ่ยที่ปล่อยให้เสียงจากภายนอกมามีผลกระทบกับการปรุงยาที่ใกล้จะสำเร็จอยู่มิช้ามินานนี้แล้ว “หากอยากช่วยทุกคนเจ้าจะต้องปรุงยาให้เสร็จนะ อีกมินานแล้ว...เราจะได้ไปดูด้วยอย่างไรเล่า ใครเป็นคนทำเรื่องเลวร้ายนี้”ถึงเขาจะพยายามข่มใจทำตามคำบอกกล่าวของเสวียนลิ่วหลาง เบื้องหน้าเตาปรุงยาลอยอยู่ระดับเดียวกับอก ภายในถูกปราณที่ถูกส่งจากสองกายก่อเกิดเป็นไฟเพื่อหลอมตัวยาทั้งหลายให้รวมเป็นหนึ่ง หากในหัวกลับได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและขอความช่วยเหลือดังมิยอมหยุด“ด้านนอกอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดอยู่ก็ได้นะ ในเมื่อทุกคนทุ่มเทปกป้องเราอย่างเต็มกำลัง…หากอยากช่วยทุกคน อาซวงก็ต้องปรุงโอสถให้สำเร็จ...ข้าเชื่อมั่นในตัวอาซวงนะ” เสวียนลิ่วหลางบีบกระชับมือเล็กดึงเก้าเทียนรุ่ยให้หลุดออกมาจากความกังวล“อาซวงสัญญากับข้าแล้วมิใช่หรือ จะเป็นฟูเหรินของข้า หากปรุงยารักษาข้ามิสำเร็จ แล้วจะเป็นฟูเหรินของข้าได้อย่างไรเล่า” เพราะวาจาของเสวียนลิ่วหลางที่ทำให้เก้าเทียนรุ่ยก็คิดขึ้นมาได้ มิใช่เพียงแค่บุรุษที่ยืนเคียงข้างในยามนี้ หากเขายังมีสหายที่ดีและท่านแม่ที่จะต้องดูแลด้ว