“ท่านทั้งสองเรียกข้าว่าเอ้อร์เอ๋อร์ก็ได้ขอรับ”“ขอรับคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์”“ไม่...ไม่ต้องใส่คุณชายขอรับ ข้าเป็นแค่ชาวสวนปลูกพืชผักธรรมดาเอง มิได้เป็นคุณชายจากตระกูลใดเลย”เสวียนลิ่วหลางพยักหน้าให้สองสหายทำตามความต้องการของเก้าเทียนรุ่ย“เป็นเช่นนี้แล้ว อาซวงมั่นใจแล้วใช่ไหม หากออกไปนอกเรือนกับข้า จะมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น อี้หานกับซื่อเตาคุ้มครองเราสองคนได้...อาซวงจะไปหาซื้อยามาใช้รักษาข้าให้หาย” เสวียนลิ่วหลางบอกกับจูอี้หานและซุนซื่อเตา“คิดว่าเรื่องที่ข้าป่วยจนมิอาจออกจากจวนได้คงแพร่ไปมากแล้ว แต่ที่ศัตรูยังมิทำสิ่งใดก็ด้วยชิงชวนและอ้ายฉีคอยจัดการอยู่ ข้าเลยคิดจะถือโอกาสนี้ออกไปเพื่อให้คนพวกนั้นสงสัย ข่าวที่ได้ไปเป็นของปลอม อีกทั้งอยากจะหาตัวเงาที่หลบซ่อนกายคอยเล่นงานข้าด้วย”“ท่านจะไปก็ได้” เมื่อทัดทานมิได้ เก้าเทียนรุ่ยก็คิดว่าเขาควรจะต้องคุยกับท่านแม่ทัพให้เข้าใจก่อน “แต่ท่านจะต้องฟังคำพูดของข้าด้วย มิเช่นนั้น ข้าจะมิยอมให้ไป”“ได้สิ...ขอเพียงแค่ได้ออกไปกับอาซวง ให้ทำอะไรข้าก็ยอมทั้งนั้น”“ถ้าเช่นนั้นข้าขอเวลาจัดเตรียมข้าวของบางอย่างก่อน เสร็จแล้วจะมาหาท่านที่ห้อง” เขาอยากจะอาบน้ำชำระกลิ
“ใช่ขอรับ...แม้มือเราจะเลอะดินโคลนไปบ้าง ถึงจะเหนื่อยกับการที่ต้องขุดดินยกร่อง ต้องใส่ปุ๋ยและตักน้ำมารดผัก กำจัดหนอนและแมลงที่จะมากินใบ แต่พอเห็นผักที่เราปลูกไว้เจริญเติบโตจนเก็บกินได้...มันดีมากเลยขอรับ”นั่นสินะ...ดูท่าจะมีความสุขมากจริง ๆ ใบหน้าของคนตัวเล็กถึงฉายความสุขจนล้นออกมา เสวียนลิ่วหลางยกมือแตะที่แก้มนุ่ม“เอาไว้...อาซวงสอนข้าปลูกผักบ้างนะ”“ได้สิขอรับ...ข้าเชื่อว่าท่านพี่จะต้องสนุกและมีความสุขเช่นเดียวกับข้า” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยขณะยื่นมือไปรับเนื้อที่ย่างจนส่งกลิ่นหอมมากิน แต่ท่านแม่ทัพกลับยื่นมันมาที่ปากเขา“เอ่อ...” เก้าเทียนรุ่ยได้แต่มองท่านแม่ทัพตาปริบ ๆ ยิ่งเมื่อถูกมือใหญ่ทาบมาระหว่างแก้มและใบหู ก็ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงเร็วจนแทบจะทะลุออกมาจากอก ไหนจะความรู้สึกวูบวาบในช่องท้อง มันเหมือนกับว่า...มีความรักที่อบอวลอยู่รายรอบกายอันตราย! ใจของเก้าเทียนรุ่ยบอกเช่นนั้น หากเขายังมิทันจะได้คิดอะไรก็มีสายลมแรงพัดมาพร้อมกับเศษไม้“อาซวง!”เก้าเทียนรุ่ยได้แต่งุนงง เมื่อถูกท่านแม่ทัพดึงเข้าหาและโอบกอดเอาไว้อย่างรวดเร็วเกินที่เขาจะตั้งตัวได้ทัน“มิบาดเจ็บใช่หรือไม่”“เอ่อ...”“อาซวง!”
“อาซวง” เสวียนลิ่วหลางจับแขนของคนที่เดินเข้าไปหาสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กขนสีขาวราวกับหิมะไม่ยอมหยุด“มันบาดเจ็บ...หนักด้วย” เหตุที่รู้เพราะตรงส่วนท้องและขาหลังข้างหนึ่งถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดง แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นท่าทางการแสดงออกของมันก็บ่งบอกให้รู้ หากคิดจะเข้าไปรบกวน มันก็พร้อมสู้ไม่ถอย “มันคงจะกลัวมากเลย” เก้าเทียนรุ่ยมองสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กด้วยความกังวลไม่วางตา“มันคงหลุดออกมาจากกรงของพรานป่าที่ยามนี้คงจะกำลังตามหาตัวอยู่” เสวียนลิ่วหลางบอกพลางมองไปยังเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กที่ยามนี้รู้ตัวว่ามิควรอยู่ที่แห่งนี้นานไปกว่านี้ มันพยายามยันตัวเองลุกขึ้น แต่ด้วยว่าแผลที่ได้รับคงจะหนักหนาอยู่ ทำให้ลุกยืนไม่ได้ จึงทำได้เพียงแค่ขู่คนที่จะเข้าไปใกล้ ๆ“พี่ชาย...อย่าเข้าไปใกล้มันนะเจ้าคะ เดี๋ยวมันกัดเอา”“ไม่เป็นไรหรอก มันแค่เจ็บและกลัว ที่ทำอยู่เพื่อปกป้องตนเองเท่านั้นเอง” เก้าเทียนรุ่ยบอกกับเด็กหญิงที่เอ่ยเตือนตนเองขณะที่สายตาของเขามิละจากเจ้าสุนัขจิ้งจอกเลย“พี่ชาย” เด็กหญิงยื่นมือไปจะจับแขนเก้าเทียนรุ่ยหากต้องหยุดชะงักและรีบวิ่งหนีไปหาสหายอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่ามีบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ใบหน้าเข้มด
“แต่ข้าไม่อยากให้อาซวงเหนื่อยนะ” ไม่อยากให้ทำสิ่งใดนอกเหนือจากการอยู่ใกล้ชิดกับเขา แต่ก็คงจะมิได้ เพราะดูเหมือนว่ายามที่กล่าวถึงการปลูก ในดวงตากลมโตจะกระจ่างสดใส ใบหน้าของอาซวงก็จะเต็มไปรอยยิ้มของความสุขฉายชัดอยู่ ที่เขาไม่ต้องการให้ความสดใส...รอยยิ้มนี้หายไป“เหนื่อยกายพักผ่อนไม่นานก็หายแล้วขอรับ แต่เราจะมีความสุขถ้าหากคนกินผักของเราแล้วมีสุขภาพที่ดี ยิ่งท่านพี่จะต้องกินให้เยอะ ๆ ดูสิ...ผิวหนังยังหุ้มกระดูกอยู่เลย ข้าจะต้องขุนท่านให้มีเนื้อมีหนังมากกว่านี้ ต้องไปปรึกษาท่านแม่เรื่องทำอาหารด้วย คือข้า...ทำอาหารได้เพียงแค่นิดหน่อย”“ข้ารู้ว่าอาซวงหวังดี แต่จะเหนื่อยมากเกินไปหรือไม่”“ข้ายินดีทำให้ท่านพี่ทานนะขอรับ”น้ำเสียง...ออดอ้อน รอยยิ้มจากริมฝีปากและดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวังดีอย่างจริงใจ ทำให้เสวียนลิ่วหลางยกมือขึ้นแตะบนใบหน้านวลใสที่เป็นสีชมพูระเรื่ออย่างเผลอไผล“ฮื่อ...เมื่อเป็นความต้องการของอาซวง มีหรือที่ข้าจะกล้าขัดใจนะ ทำได้ทุกอย่างแต่ต้องไม่เหนื่อยมากจนเกินไป เข้าใจหรือไม่”“ขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้ารับก่อนดวงตากลมโตจะวามวาวเมื่อสายตาไปปะทะกับบางสิ่งบางอย่างที่เมื่อได้เห
“ดูเหมือนว่าอาซวงจะชื่นชอบเจ้าตัวขาวนี่มากเลยนะ”“ท่านพี่อย่าน้อยใจสิขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยรีบเอ่ยพลางทาบมือบนหลังมือที่ยามนี้ผิวหนังยังแห้งติดกระดูกลูบไล้แผ่วเบา“ข้าแค่รู้สึกว่าสงสารที่เห็นมันถูกคนไม่ดีรังแกเอา เลยอยากจะรีบช่วยรักษาให้มันหายดี ให้มันได้กลับบ้านไปหาพี่น้องโดยเร็ว...ข้าคิดว่าท่านพี่คงจะรู้สึกไม่ค่อยดีกับกลิ่นเลือดที่ยังคงติดอยู่บนขนของมันนะขอรับ” จะว่าไปมันก็น่าแปลกใจยิ่งนักที่บาดแผลของไป๋เล่อดีขึ้นอย่างรวดเร็ว...มาก ยามนี้บนร่างกายของมันหลงเหลือร่องรอยว่ามันเคยบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง“ก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีนะ เพียงแค่คิดว่ามัน...น่าสนใจมากเท่านั้นเอง” น่าสนใจมาก หากอยู่ไม่เป็นก็...ขนของเจ้าไป๋เล่อฟูขึ้นเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีเย็นยะเยือกบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างรุนแรงจากคนตัวใหญ่ที่หิ้วคอมันอยู่ มันเหลือบตาขึ้นมองผู้ที่จับคอหิ้วเอาไว้ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพื่อทำการรักษาตัวต่อไป หากว่า...หูของมันกลับตั้งขึ้นพร้อมกับเสียงขู่คำราม สองขาหน้ารวมถึงสองขาหลังเริ่มกวัดแกว่งเช่นเดียวกับลำตัวเพื่อให้หลุดจากมือที่จับต้นคอไว้ตอนแรกคิ้วของเก้าเทียนรุ่ยขมวดเข้าหากันด้ว
“ข้ามิเป็นไร เพียงแค่...แมลงสามสี่ตัว ข้าอยากเร่งจัดการให้มันจบ ๆ ไป จะได้มีเวลาไปเที่ยวกับอาซวงให้นานสักหน่อย...มิดีหรือ” ยามเสวียนลิ่วหลางเอ่ยกับเก้าเทียนรุ่ยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน หากเมื่อเอ่ยกับผู้อื่น...มันคือกระบี่ที่เคลือบด้วยน้ำแข็งพร้อมที่จะกลายเป็นเข็มทิ่มแทงไปในผิวเนื้อ“สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นเป็นของนายข้า...ท่านคืนพวกเรามาดีกว่า อย่าให้ต้องลงมือกันเลย”“หือ...แน่ใจได้อย่างไรว่ามันเป็นของนายเจ้า ทำป้ายห้อยผูกคอมันไว้” คิ้วของเสวียนลิ่วหลางเลิกขึ้น ขณะยื่นมือไปควานหาป้ายห้อยคอ “ก็ไม่เห็นมีเลย”“เจ้านั่นเป็นของนายข้าจริง ๆ มันหลุดออกมาจากกรง พวกเราวิ่งไล่ตามจับมาจนถึงที่นี่”“ใช่แล้ว...ตอนมันหนีออกมา มันบาดเจ็บด้วย”“บาดเจ็บ...” เสวียนลิ่วหลางมั่นใจว่ายามนี้บนร่างกายของเจ้าไป๋เล่อมิมีบาดแผลใด ๆ ให้เห็นอีกแล้ว หากจะมีก็คงจะเป็นร่องรอยของการเคย...บาดเจ็บกับเลือดที่ยังติดตามขนอยู่ ด้วยว่าเก้าหยุนเหลียงยังมิได้จัดการทำความสะอาดให้มันเสวียนลิ่วหลางยกมุมปากขึ้น ขณะยื่นมือไปคว้าเอาเจ้าตัวขาวที่พยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดรอด“อยู่นิ่ง ๆ หากมิอยากถูกข้าถลกหนังโยนให้ไอ้เจ้าพ
“มันคือสหายสนิทที่ท่านผู้นี้มอบให้ข้า มันจะเป็นของผู้ใดไปมิได้ เพราะมันมีชีวิตที่เป็นของมันเอง แม้แต่ตัวข้าเองก็เป็นได้เพียงแค่สหายของมันเท่าไหร่ พวกเจ้า...” เก้าเทียนรุ่ยมิรู้เลยว่ายามที่ตนเองมองไปยังเหล่าคนตรงหน้า ใบหน้านั้นเรียบเฉยจนติดจะเย็นชา อีกทั้งดวงตาก็เหมือนจะเปล่งประกายสีเขียวเรืองรองที่สามารถสังหารผู้คนได้เช่นกัน“อย่าคิดจะเอามันไปจากข้าอีก ยิ่งคิดจะทำร้ายมัน ไม่ว่าเมื่อไหร่ ที่ใด...ข้ามิปล่อยพวกเจ้าไว้แน่!” เก้าเทียนรุ่ยแอบผ่อนลมหายใจออกจากปอดอย่างโล่งอกเมื่อกล่าวไปอย่างที่ใจคิดได้แล้ว เขารู้เลยว่าตนเองกลัวมาก สองขาถึงได้สั่นเทาเช่นเดียวกับมือที่เย็นจัด“หากมันไม่มีขาหน้า...พวกเจ้าก็ไร้แขน หากมันไม่มีขาหลัง...พวกเจ้าก็ไร้ขาไว้เดิน หรือหากมันไม่มีชีวิต...หัวและตัวของพวกเจ้าก็จะแยกห่างออกจากกันเช่นเดียวกับมัน” หรือหากคิดจะเอามันไป ก็อย่าให้เหลือร่องรอยแล้วกันไป๋เล่อรีบมุดตัวเองกับอกของบุรุษน้อยที่กล่าวว่ามันคือสหายอย่างรวดเร็วเมื่อรับรู้ถึงสายตาที่ประสงค์ร้ายของเจ้าตัวใหญ่ที่มองมา ขณะที่พวกอันธพาลเจอคำขู่เช่นไปก็รีบลุกขึ้นวิ่งหนีกันอย่างรวดเร็ว“มิมีสิ่งใดแล้ว เราไปเดินเที
“อาซวงมีสิ่งใดที่ต้องนำพาไปเป็นพิเศษหรือไม่ รีบจัดเตรียมให้เสร็จภายในครึ่งชั่วยามได้หรือไม่”“มีเรื่องอะไรที่ข้าควรรู้หรือไม่ขอรับ” ดูเหมือนในวาจาของท่านแม่ทัพจะมีความร้อนอกร้อนใจอยู่มิน้อย“ข้าก็ยังมิแน่ใจสักเท่าไหร่ แต่การที่อ้ายฉีส่งข่าวมาว่าให้เรารออยู่ก่อนแล้วจะรีบไปสมทบที่หมู่บ้านเซี่ยเหมิน อย่างช้ามิเกินเช้าวันพรุ่งนี้ยามอู่[1] ข้าคิดว่ามันมิใช่เรื่องปกติสักเท่าไหร่...แม้ข้าจะเพิ่งฟื้น แต่อย่างไรก็คนฝึกยุทธ์ ร่างกายย่อมฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ยังจะมีอี้หาน ซื่อเตาและทหารที่อาซวงเห็น ทุกคนเป็นสหายที่อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่เยาว์วัย ฝีมือทุกคนล้วนมิธรรมดา แต่การที่อ้ายฉีกับชิงชวนจะไปสมทบ ข้าคิดว่ามันมิปกติ”“ถ้าเช่นนั้นข้าเห็นควรจะต้องรีบไปขอรับ ขอเวลาเพียงแค่หนึ่งก้านธูปสำหรับการเตรียมของที่จำเป็น” ความจริงแล้วเขาเตรียมไว้บ้างแล้วแต่สำหรับตนเองเท่านั้น ยามนี้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง คนที่จะร่วมเดินทางมากขึ้น อาหาร...คนของท่านแม่ทัพย่อมเตรียมไปเผื่อเขาแล้ว หากก็ยังมียากับผักบางส่วนที่จำเป็นต้องพกพาไปให้เพียงพอกับคนที่จะใช้“อาซวงเตรียมข้าวของเสร็จก็รีบมานะ ข้าจะพาไปเลือกอาวุ
“แล้วเด็กสองคนนั้น” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยถามเพราะหนานชวนส่งข่าวให้รู้บ้างแล้ว“ดูเป็นเด็กดีอยู่ขอรับ” นับตั้งแต่ที่เขาอยู่กับเสวียนลิ่วหลางมา มิเพียงแค่ร่างกายที่เปลี่ยนไป หากรับรู้ว่าภายในกายเริ่มมีพลังลมปราณมากพอที่จะสัมผัสได้ว่าใครมีวรยุทธ์และพอจะมองออกว่าผู้ใดมาดีหรือร้าย ทำให้มองออกว่าเด็กน้อยสองคนเป็นเด็กดีจริง ๆ จึงยินดีเป็นอย่างมากที่มารดามีคนดี ๆ มาคอยดูแล“แล้วท่านพี่ละขอรับ พบเจอเรื่องใดหรือไม่”หากเสวียนลิ่วหลางมิทันจะได้บอกกล่าวเรื่องที่ได้ไปตรวจสอบมา...มิได้มีสิ่งใดร้ายแรง ก็เป็นพวกมารปลายแถวกับเผ่าปีศาจที่มิชอบหน้ากันมาทะเลาะกัน แล้วกลุ่มจอมยุทธ์รุ่นใหม่เขาอยากแสดงว่าตนมีฝีมือเท่านั้น ก็มีบางคนเดินเข้ามา“มาทำไม” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยเสียงเข้มดุ หากเด็กน้อยตรงหน้ากลับมิสนใจแล้วยังจะส่งยิ้มให้กับเก้าเทียนรุ่ยเพื่อยั่วโทสะยักษ์ใหญ่ตรงหน้าอีกด้วย“มิได้มาหาเจ้าเสียหน่อย มาหานั่น...” ปากเล็กสีแดงสดบุ้ยใบ้ไปทางเก้าเทียนรุ่ย “ต่างหากล่ะ...คิดถึงมากเลย”“ที่นี่เรือนข้า...ไปคิดถึงไกล ๆ หากมิอยากถูกจับโยนออกไป”“กล้ารึ...ข้าพี่ชายสองนะ เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายเมียเจ้ารึ”“ฮึ! พี่ชายที่นอก
“อึก...อ้ายฉี!” ชิงชวนร้องเรียกด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะยังมิทันได้เตรียมกายรับอ้ายฉีก็แทรกแท่งใหญ่ร้อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยังจะหัวเราะร่าพร้อมกับกลั่นแกล้งเขาด้วยการขยับกายออกแล้วเคลื่อนกลับเข้าไปใหม่จนสุด“ไอ้เจ้าบ้าอ้ายฉี!”“อา...ข้ามันคนบ้านี่น่า เขาว่าคนบ้าทำอะไรก็มิผิด” ว่าแล้วอ้ายฉีก็เร่งเคลื่อนกายจู่โจมเข้าในพื้นที่เร้นลับของชิงชวนอย่างหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จากนุ่มนวลกลับเป็นรุนแรงเมื่อถูกผนังอ่อนนุ่มบีบรัด“เจ้าว่า...ข้าจะบ้าได้มากกว่านี้ไหมอาชวน”“หยุดทำอย่างที่เจ้าคิดเลยนะอ้ายฉี” ชิงชวนห้ามปรามเมื่อพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดทำการสิ่งใด เขามิอยากเดินออกจากห้องพักอย่างอับอายเพราะถูกอีกฝ่ายจับกดจนเตียงพังอย่างเช่นโรงเตี้ยมที่ก่อนหน้าอ้ายฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าวออกไป “ข้ายังมิได้คิดอะไรสักหน่อย”“ฮึ! เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะมิล่วงรู้ ข้าอยู่กับเจ้ามานานเท่าใดแล้ว ยามนี้หากมิใช่เพราะคิดว่าเดินทางกันพอแล้วกับในยุทธภพมีเรื่องมากมายชวนปวดหัว คิดว่าเจ้ากับข้าจะคิดกลับไปหาท่านแม่ทัพ...นายท่านกับคุณชายหรือไงกัน”“ครั้งนี้ข้ายอมก็ได้” หากมิใช่เพราะจะทำให้ชิงชวนอับอาย แต่เขาสัมผัสได้ว
“ใบหน้าเมียข้ายามนี้ช่างงดงามเหลือเกิน เร่งอีกหน่อยสิท่านพี่ ข้าอยากได้ยินเสียงร้องของอาเหว่ย” จวินต้าเกอเอ่ยยามทอดสายตามองใบหน้าที่แสดงออกถึงความสุขสมยามถูกกระแทกด้วยความต้องการ“ได้สิน้องข้า” เฮยต้าเกอตอบรับ ผนังอ่อนนุ่มช่างบีบรัดเสียจนเขาถึงหายใจหอบแรงทำให้เขาขยับโยกกายด้วยความหนักหน่วงรุนแรงตามความต้องการที่มันเพิ่มมากขึ้น...และมากขึ้นจางเหว่ยสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนที่ไหลพุ่งเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับเสียงครางของเฮยต้าเกอ ก่อนคลื่นความร้อนครั้งใหม่จะถาโถมเข้าหา“ข้าถูกพี่ใหญ่กลั่นแกล้ง แล้วยังจะต้องพาหมูป่ากลับมา ระหว่างทางก็ยังจะพลัดตกลงไปในแม่น้ำด้วย กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยมิใช่น้อย เมียข้าช่วยปลอบโยนข้าหน่อยนะ” จวินต้าเกอเอ่ยขณะสองมือใหญ่ลูบคลำไปทั่วร่างกายพร้อมกับใช้แท่งใหญ่ยักษ์ของตนเองกดรุกล้ำเข้าไปในร่องทางด้านหลังของจางเหว่ยยามถูกผนังอบอุ่นห่อหุ้มและรัด ความต้องการของจวินต้าเกอก็เพิ่มมากขึ้น เขาขยับกายตัวราวกับพายุฝนที่กำลังกระหน่ำสาดซัดอย่างรุนแรง“หากเมียข้ายังจะทำสีหน้าเช่นนั้น...วันนี้เราคงจะมิได้ไปหานายท่านกับคุณชายเป็นแน่” เฮยต้าเกอกล่าวขณะวางมือลูบไล้บนอกเมียรัก“ข้า
“ท่าน...ท่านพี่” จางเหว่ยเอ่ยทักสองบุรุษที่เดินเข้ามาในบ้านเสียงแผ่วเบา ด้วยอย่างไรเขาก็ยังมิชินกับการเป็นฟูเหรินของบุรุษด้วยกัน แต่มิใช่เพราะเขาจำต้องผูกพันธสัญญาหรือมิเต็มใจอยู่กับกระทิงสองพี่น้องหรอกนะ แต่เพราะใจของเขาก็รู้สึกดีกับทั้งสองคนอยู่มิน้อย ยิ่งเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนผูกพันธสัญญาไปแล้ว เฮยต้าเกอและจวินต้าเกอก็ดูแลเขาอย่างดี“มิสบายหรือเมียข้า” เฮยต้าเกอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามิได้เป็นอะไร หากแต่ท่านพี่กับท่านพี่จวิน เหตุใดถึงได้กลับมาเรือนเร็วเช่นนี้ ยังมิทันจะเที่ยงเลย ท่านมิสบาย...บาดเจ็บใช่หรือไม่” จางเหว่ยเอ่ยถามพลางมองดูว่าบุรุษตรงหน้ามีบาดแผลที่ส่วนใดของร่างกายบ้าง“มิได้เป็นเช่นนั้น วันนี้โชคดี ได้หมูป่าตัวใหญ่มา เลยคิดกันว่ารีบกลับบ้านจะดีกว่า หมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ถ้าได้นั่งล้อมวงกินกันหลาย ๆ คนคงจะดีมิใช่น้อย อาเหว่ยอยากพามันไปกินกับนายท่านกับคุณชายหรือไม่” เฮยต้าเกอกล่าวถึงเสวียนลิ่วหลางกับเก้าเทียนรุ่ย“แต่กว่าท่านพี่จะจับมันได้...มิง่ายเลยนะขอรับ” แม้จะดีใจที่กระทิงสองพี่น้องยังคิดถึงความรู้สึกของเขา“สัตว์มีอยู่เต็มป่า จะจับเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายที่ดีอย่างนายท่
“อ่า...รอค่ำคืนนี้ก่อนนะเมียรักของข้า รุ่งสางแล้วเราต้องเร่งทำเวลา” ยามนี้จวนแม่ทัพยังมีงานให้เขาทำอยู่ อีกทั้งยังบางคนที่มิอยากให้เขาออกไปใช้ชีวิตที่อื่นก็มาคอยอ้อนวอนขอร้อง“อื้อ...” เก้าเทียนรุ่ยรับคำก่อนจะยกตนเองขึ้นเพื่อตอบรับเจ้ายักษ์ใหญ่ที่ค่อย ๆ สอดดันเข้ามาในร่างก่อนจะถอนออกอย่างเชื่องช้า แล้วย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งจะลึกขึ้นเรื่อย ๆร่างเล็กบางไหวโยกตามแรงเคลื่อนไหว ผนังด้านในรับรู้สึกแท่งร้อนที่บุกรุกเข้ามาในกายครั้งแล้วครั้งเล่า บ้างก็เชื่องช้า บ้างก็รวดเร็ว“ท่านพี่”ใบหน้าแดงระเรื่อของเก้าเทียนรุ่ย ดวงตากลมใสที่ยามนี้ฉายแววปรารถนาอย่างชัดเจนทำให้เสวียนลิ่วหลางยิ่งถาโถมแท่งร้อนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามด้วยความปรารถนาที่รุนแรง เสียงสะท้อนของร่างกายที่กระทบกันดังทั่วห้องเช่นเดียวกับเสียงหอบของสองคนที่ดำดิ่งกับความใกล้ชิดเสวียนลิ่วหลางพลิกกายบางให้ลงนอนคว่ำ ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยแนบกับหมอนหนุน แขนแกร่งสอดรัดเอวเล็กขณะกดสะโพกพาแท่งเหล็กร้อนให้ดำดิ่งสอดแทรกไปในช่องทางที่อ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนเสียงคำรามจะแผดดังขึ้นพร้อมกระแสความร้อนไหลพุ่งเข้าสู่
“เอาเป็นข้า...” เด็กน้อยเคลื่อนไหวกายเพียงเล็กน้อยแต่กลับรวดเร็วเสียจนแทบจะมองมิทัน เพียงแค่มิถึงหนึ่งจิบชาดูเหมือนว่าทุกคนที่ยังคงอ่อนแรงยกเว้นเสวียนลิ่วหลางก็ดีขึ้น“ข้าช่วยพวกเจ้าได้เพียงแค่นี้ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าเองแล้ว”“เดี๋ยว!” เก้าเทียนรุ่ยร้องเรียกเด็กน้อยตรงหน้าที่หันกายจะจากไป“มีอะไรอีก ข้ามิได้คิดร้ายกับพวกเจ้านะ”“เปล่า ข้ามิได้คิดเช่นนั้น แต่...” เก้าเทียนรุ่ยขบเม้มปากเข้าหากัน มิรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกของเขาเองหรือเปล่าที่รู้สึกคุ้นเคยกับเด็กน้อยตรงหน้าประมาณหนึ่ง จนมันอดที่จะคิดมิได้“หากเจ้ามิพูดอะไร ข้าจะไปแล้วนะ”“เจ้า...คุณเป็นหนึ่ง” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบา“หือ...” คิ้วของเด็กน้อยเลิกขึ้น“ใช่หรือไม่”เด็กน้อยคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “จะใช่หรือมิใช่ จะมีสิ่งใดแตกต่างไปล่ะ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว เจ้านั่นแหละ...ได้โอกาสแล้วก็ใช้ชีวิตนับจากนี้ไปให้มีความสุขเถอะ” กล่าวจบเด็กน้อยที่มิบอกกล่าวให้ทุกคนรู้เป็นผู้ใดจากไปพร้อมกับร่างของเสวียนลิ่วหลางที่ทรุดล้มลงศีรษะแนบชิดกับลำคอเก้าเทียนรุ่ย“ท่านพี่!”“ท่านแม่ทัพ!”
“พวกท่านทุกคนต่างก็ทำกันอย่างดีที่สุดแล้ว นับจากนี้ก็ปล่อยให้ท่านพี่เป็นคนลงมือเถอะขอรับ...ฤทธิ์จากยาที่ท่านพี่กินเข้าไป...พลังที่มากเกินหากมิได้ถ่ายเทออกเพื่อปรับให้เหมาะสมจะทำร้ายเจ้าของร่าง ยามนี้หากท่านพี่ได้โคจรพลังรับมือกับคนพวกนั้น...ย่อมจะเป็นการดีมากขอรับ”เมื่อเก้าเทียนรุ่ยบอกเช่นนั้น ชิงชวนก็ปล่อยอาวุธในมือและทรุดกายลงเคียงข้างกับสหายทุกคนที่ต่างก็บาดเจ็บจนยืนมิไหวแต่มิวายเอ่ยกับเสวียนลิ่วหลางไปว่า “แต่หากท่านมิไหว ต้องรีบบอกพวกข้านะขอรับ” เสวียนลิ่วหลางพยักหน้ารับพลางกางอาณาเขตพลังปกป้องคนที่อยู่เบื้องหลังมิให้ได้รับผลกระทบ ก่อนที่ตนเองจะเข้าห้ำหั่นกับคนที่ถูกควบคุมอย่างรวดเร็วจนแม้กระทั่งซูเหย้าที่กว่าจะรู้ตัวก็ยามที่ได้เห็นลูกน้องฝีมือสูงของตนถูกปราณของเสวียนลิ่วหลางแยกร่างกายออกจากกัน“เจ้า!” ซูเหย้าโกรธจนหน้าเป็นสีเลือด เพราะมิว่าเขาจะสั่งการอย่างไร ลูกน้องของเขาก็มิอาจลุกมาเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างที่เคยเป็น“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้เจ้าคะนายท่าน” ซิงเยียนที่มั่นใจเสมอมา มิว่าอย่างไรก็จะมิมีผู้ใดจัดการกับคนที่ถูกหนอนพิษเพลิงพิรุณได้ถามอย่างตื่นตระหนก จะเป
“เจ้าสองคนฉลาดมิใช่น้อย หากเป็นสหายกัน งานที่ข้าทำคงจะสำเร็จไปแล้ว น่าเสียดายยิ่งนักที่คนฉลาดเช่นเจ้าสองคนจะต้องสิ้นชีพในวันนี้” ซูเหย้ามองเสวียนลิ่วหลางตาวาว หากเขาดึงเอาหนอนพิษอีกสองตัวที่อยู่ในร่างอีกฝ่ายออกมาได้ ยามนั้นท่านประมุขก็จะต้องแข็งแกร่งจนมิอาจมีใครทำอันตรายได้อีกแล้ว“ผิดแล้วละซูเหย้า วันนี้หากจะมีคนไหนต้องจากไป ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น”ยามแรกซูเหย้าจะถกเถียงว่า...เจ้าที่ร่างกายยังอ่อนแอจากการถูกหนอนพิษเล่นงาน กับเจ้าเด็กน้อยที่ถือตนว่าเก่งกล้าแต่ไร้วรยุทธ์จะสู้ข้าได้อย่างไร...หากเมื่อเขาได้เห็นประกายในดวงตาเป็นสีแดงเจิดจ้ากับพลังปราณอย่างรุนแรงที่แผ่ซ่านมาของเสวียนลิ่วหลางทำให้คิดไปว่า...หากมิใช่หนอนพิษที่ยังหลงเหลืออยู่ในกายเสวียนลิ่วหลางได้ถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ก็แสดงว่าอีกฝ่ายได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมัน...เป็นไปมิได้!เสวียนลิ่วหลางหัวเราะก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “คิดว่าเจ้าก็คงจะพอคาดเดาได้แล้ว...ข้าสามารถบังคับเจ้าหนอนร้ายนั้นได้แล้ว”“แล้วอย่างไรเล่า เจ้าก็ทำได้เพียงแค่ในยามนี้เท่านั้น อีกประเดี๋ยวทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นของข้าเช่นเดิม” มิใช่ว่าหนอนพิษของเขาใครจะบัง
“อาซวง!” เสวียนลิ่วหลางร้องเรียกสติเก้าเทียนรุ่ยที่ปล่อยให้เสียงจากภายนอกมามีผลกระทบกับการปรุงยาที่ใกล้จะสำเร็จอยู่มิช้ามินานนี้แล้ว “หากอยากช่วยทุกคนเจ้าจะต้องปรุงยาให้เสร็จนะ อีกมินานแล้ว...เราจะได้ไปดูด้วยอย่างไรเล่า ใครเป็นคนทำเรื่องเลวร้ายนี้”ถึงเขาจะพยายามข่มใจทำตามคำบอกกล่าวของเสวียนลิ่วหลาง เบื้องหน้าเตาปรุงยาลอยอยู่ระดับเดียวกับอก ภายในถูกปราณที่ถูกส่งจากสองกายก่อเกิดเป็นไฟเพื่อหลอมตัวยาทั้งหลายให้รวมเป็นหนึ่ง หากในหัวกลับได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและขอความช่วยเหลือดังมิยอมหยุด“ด้านนอกอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดอยู่ก็ได้นะ ในเมื่อทุกคนทุ่มเทปกป้องเราอย่างเต็มกำลัง…หากอยากช่วยทุกคน อาซวงก็ต้องปรุงโอสถให้สำเร็จ...ข้าเชื่อมั่นในตัวอาซวงนะ” เสวียนลิ่วหลางบีบกระชับมือเล็กดึงเก้าเทียนรุ่ยให้หลุดออกมาจากความกังวล“อาซวงสัญญากับข้าแล้วมิใช่หรือ จะเป็นฟูเหรินของข้า หากปรุงยารักษาข้ามิสำเร็จ แล้วจะเป็นฟูเหรินของข้าได้อย่างไรเล่า” เพราะวาจาของเสวียนลิ่วหลางที่ทำให้เก้าเทียนรุ่ยก็คิดขึ้นมาได้ มิใช่เพียงแค่บุรุษที่ยืนเคียงข้างในยามนี้ หากเขายังมีสหายที่ดีและท่านแม่ที่จะต้องดูแลด้ว