บทที่ 13ใครอีกคนที่เอาใจใส่กว่า กลับมาที่ปัจจุบัน “แสดงว่าที่แกหายหน้าไปเกือบเดือนเพราะแกโดนทำร้ายอย่างนั้นเหรอ” ญาณินถามย้ำอีกครั้งเพราะจำได้ดีว่าตอนนั้นมานิตาไม่ได้มางานศพของอลิซ แท้จริงแล้วเธอเข้ารับการรักษาจากการโดนทำร้ายเกือบเดือน “ทำไมแกไม่บอกฉัน ทำไมถึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้คนเดียว” “ฉันไม่อยากให้แกเป็นห่วง อีกอย่างตอนนั้นฉันก็ไม่ได้สติอยู่หลายวันจะเอาเวลาที่ไหนไปส่งข้อความหรือโทร.หาแกเล่า” “แต่ที่ฉันสงสัยทำไมแกไม่บอกเพไปตรงๆ ว่าไม่ได้ตั้งใจพาอลิซไปเจอพวกนั้น แกเข้าตาจน อีกอย่างแกก็เป็นคนพาอลิซออกมาจากที่นั่นด้วยซ้ำ “เมนี่ขู่ฉัน...” “ขู่...” “หลังจากฉันรู้ข่าวเรื่องของอลิซ ฉันตั้งใจจะไปบอกเรื่องที่อลิซโดนทำร้ายทั้งหมดกับเพทายและพี่แอชตัน แต่ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรเมนี่ก็มาหาฉันพร้อมบอกว่าถ้าฉันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้ใครฟัง มันจะทำร้ายแม่ของฉัน จะทำให้แม่ของฉันไม่มีลมหายใจอีกต่อไป” “มิลค์กี้” “ฉันกลัวจริงๆ นะ ฉันรู้ว่าเมนี่ทำได้ทุกอย่าง และแค่เมนี่คนเดียวไม่เท่าไหร่ แต่พ่อข
“ฉันไปด้วยได้ไหม อยากฝากตัวเป็นลูก...เขยบ้าง” “ไอ้บ้าวาโย ทะลึ่งละ มาเล่นอะไรเนี่ย ไม่ตลกนะ ไม่เห็นคู่เพทายกับมิลค์กี้เหรอ พอคบกันแล้วความสัมพันธ์เพื่อนเป็นยังไง” เมื่อญาณินพูดแบบนั้นใบหน้าหวานก็เจื่อนลงเพราะทุกอย่างมันพังทลายไปหมดแล้ว ความสัมพันธ์ของเพื่อนที่ดีไม่หลงเหลืออีกต่อไป “เอ่อ...ฉันขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ญาณินหน้าถอดสีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกมา “ไม่เป็นไร สิ่งที่แกพูดมามันคือความจริงทุกอย่าง ฉันต้องยอมรับความจริงข้อนี้ให้ได้ อีกอย่างต่อให้เราสองคนไม่ได้คบหรือมีความสัมพันธ์กัน สักวันเพก็ต้องเกลียดฉันเรื่องอลิซอยู่ดี” เสียงหวานบอกอย่างแผ่วเบา เธอรู้สึกเจ็บปวดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้กับเมื่อหลายคืนก่อน เพทายเกือบทำให้เธอต้องมีมลทิน ส่วนวันนี้เขายังทำให้เธออับอายคนทั้งคณะเพราะคำพูดที่แสนทุเรศและไม่ให้เกียรติเธอแบบนั้น “มิลค์กี้...” “พวกแกไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันเข้มแข็งแล้ว เรื่องก่อนหน้านี้มันหนักหนากว่านี้อีก” “ถ้าแกไม่ไหวเอาไหล่ฉันไปซบก็ได้นะ” วาโยบอกพร้อมขยับไหล่เข้ามาแต่โดนมือของญาณินตีผลัวะเข้าอย่
กลิ่นอันคุ้นเคยที่เธอไม่ชอบลอยเตะจมูกเล็กอีกครั้งจนเธอต้องลืมตาตื่นขึ้นมา ภาพแรกที่เธอหวังคือใบหน้าของผู้ชายใจร้ายคนนั้น ทั้งๆ ที่เขาทำร้ายเธอสารพัดแต่หัวใจกลับมีแต่เพทายไม่เคยเปลี่ยนแปลง เธอเหมือนคนโง่ที่ปล่อยให้เขาหลอกซ้ำๆ อย่างไม่หลาบจำ “เป็นยังไงบ้างตัวเล็ก...” ร่างสูงโปร่งดีดตัวเองขึ้นจากโซฟาจากนั้นก็เดินเข้าไปกุมมือบางของมานิตาอย่างเป็นห่วง ในรอบอาทิตย์กว่าหญิงสาวต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองครั้งสองคราโดยที่เขาไม่รู้ว่าครั้งนี้เธอเป็นอะไรไป “พี่ซัน” เสียงหวานเรียกชื่อชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา “โอเคหรือเปล่า ทำไมเป็นลมไปอีกแล้วนะ” น้ำเสียงและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงทำเอามานิตาน้ำตาซึม ทำไมนะผู้ชายคนนี้ถึงได้ดีกับเธอขนาดนี้ แล้วทำไมเธอถึงทำใจรู้สึกดีๆ กับเขาไม่ได้ ทำไมเราถึงไม่รักคนที่เขารักเรา “มิลค์กี้นอนน้อยค่ะ เลยวูบ” “แบบนี้ไม่เอาแล้วนะ มีอะไรให้พี่ช่วยบอกพี่ได้เลยนะ เมื่อกี้ถ้าพี่คว้าตัวมิลค์กี้ไม่ทันมีหวังต้องถูกรถชนแน่ๆ” ตะวันฉายเอ็ดคนที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ วันนี้จริงๆ เขาไม่ได้มาหามานิตาแต่มาหาเพื่อนที่คณะแพทย์และบังเอิญเห็นหญ
“เหอะ...มึงคิดว่ากูจะปล่อยเมียกูให้นั่งหน้าระริกระรี้คุยกับผู้ชายคนอื่นอย่างนั้นเหรอ”แม้เสียงจะไม่ดังแต่มันก็หนักแน่นจนวาโยกลัวว่าตะวันฉายจะหันมามอง จนเขาต้องลากเพื่อนออกจากห้องพักฟื้นของมานิตาด้วยตัวเอง“มึงจะลากกูออกมาทำไม ปล่อยนะเว้ย!” เมื่อเดินออกจากมาห้องพักฟื้นของมานิตาแล้ว เพทายก็สะบัดข้อศอกที่วาโยจับแล้วดึงเขาออกมาอย่างแรง“กูว่ามึงกลับไปเถอะว่ะ มึงไม่ควรมาที่นี่”“ทำไม! มึงเข้าข้างไอ้เวรนั่นเหรอ” น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมของเพทายทำเอาวาโยถอนหายใจออกมาเพราะไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวายไปมากกว่านี้“เปล่า แต่มิลค์กี้มันคงไม่อยากเจอหน้ามึงตอนนี้ มึงกลับไปเถอะ” วาโยเอ่ยปากไล่“กูไม่กลับ!” “มึงต้องการอะไรวะเพ...มึงจะจองกรรมจองเวรอะไรมิลค์กี้มันหนักหนา กูว่ามึงควรเห็นใจมันบ้างเถอะ” กลายเป็นวาโยที่ขอพูดเรื่องนี้ด้วยตัวเองเพราะเขาไม่อยากให้มานิตาต้องโดนเพทายทำร้ายอีกแล้ว แค่นี้เธอก็บอบช้ำมามากเกินไปแล้ว“เรื่องของกู ถ้ากูไม่มีความสุขอย่าฝันว่ากูจะปล่อยมิลค์กี้ไปมีความสุข!” กรามแกร่งขบเข้าหากันอย่างรุนแรงพร้อมกับดวงตาที่วาวโรจน์น่ากลัว“พอได้ไหมวะเพ...มึงไม่เห็นสภาพมิลค์กี้มันเหรอ ที่มันเป
“มึง...ปล่อยนะเว้ย!!” วาโยเข้าไปแกะมือหนาของเพทายออกจากคอเสื้อของตะวันฉายทันที เพราะกลัวทั้งสองจะมีเรื่องชกต่อยกันที่โรงพยาบาลวาโยดันอกเพื่อนให้ออกห่างตะวันฉายที่ตอนนี้กำลังหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธ ส่วนเพื่อนตัวดีของเขาก็กำลังขบกัดกรามเสียงดังน่ากลัว เขารู้ว่าเพทายบทจะดีมันก็ดีใจหาย ส่วนบทจะร้ายก็ยิ่งกว่าพายุเสียอีก“มึงอย่ามายุ่งไอ้วาโย กูจะไปต่อยหน้ามึงโทษฐานที่คิดจะมาแย่งเมียกู!!”“เมีย...เหอะ...ถ้าบอกตัวเองเป็นผัวจริงๆ วันนั้นที่มิลค์กี้เกือบโดนไอ้พวกขี้ยาข่มขืนทำไมมึงไม่มาช่วยล่ะ ถ้าไม่ได้กูป่านนี้มิลค์กี้จะเป็นยังไง!” ตะวันฉายบอกเสียงนิ่งและจ้องมองเพทายอย่างเหลืออด เขาจำเสียงแผ่วเบาของมานิตาได้ก่อนที่เธอจะสลบไป เธอเรียกชื่อผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่ทำร้ายร่างกายและจิตใจของเธอ‘เพ...มาช่วยมิลค์กี้ด้วย เพอย่าทำร้ายมิลค์กี้เลย’ คำสุดท้ายที่มานิตาพูดมันยังฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเขา และมันยิ่งทำให้เขาสงสารเธอมากขึ้นจนอยากจะทะนุถนอมไม่ให้เธอต้องเจ็บปวดอีกต่อไป “มึงว่าอะไรนะ” เพทายเม้มปากของตัวเองแน่น และหัวใจที่กำลังเต้นตุบๆ อย่างรุนแรง “กูไม่รู้นะว่าเมื่ออาท
บทที่ 14เคลียร์ใจ เพทายจ้องมองเพื่อนตาไม่กะพริบเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าที่ออกมาจากปากของวาโย ยิ่งได้ฟังหัวใจชายหนุ่มยิ่งเต้นแรงเพราะไม่อยากจะเชื่อหู และไม่คิดว่ามานิตากำลังตกอยู่ในอันตรายมากแค่ไหน “ทำไมมิลค์กี้ไม่เล่าให้กูฟัง...กูจะตามไปจัดการมัน” “เพราะมึงเป็นอย่างงี้ไงวะเพ...มึงอารมณ์ร้อน มึงไม่ฟังใคร และอีกอย่างมิลค์กี้มันโดนขู่ ถ้าพวกนั้นมันรู้ว่ามิลค์กี้เล่าเรื่องทุกอย่างให้มึงฟังมันจะเกิดอะไรขึ้นวะเพ มิลค์กี้กับแม่มันจะเป็นอันตรายแค่ไหน” วาโยคิดว่าตอนนี้เพทายอาจจะมีสติมากกว่าเมื่อก่อน “กู...” “กูว่ามึงใจเย็นๆ นะ ช่วงนี้อย่าเพิ่งไปเซ้าซี้มิลค์กี้มันเลย ให้มันสบายใจบ้างเถอะ เรื่องที่มึงทำกับมันร้ายแรงเกินกว่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะรับไหวนะเพ” หัวใจของเพทายราวกับถูกบีบรัดเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เขาอยากจะเดินไปหามานิตาแต่ความรู้สึกผิดที่เกาะกินหัวใจมันเป็นกำแพงที่เขาไม่สามารถข้ามไปได้ “เรื่องไอ้ยิมกับเมนี่กูขอเวลา มึงอย่าเพิ่งวู่วามนะเว้ย!” “อืม...กูจะพยายาม” ทั้งๆ ที่ปากบอกแต่ดวงตากำลังลุกโชนไปด้วยความแค้
“ไม่เอา...ฉันนอนคนเดียวได้ ไม่ได้เป็นอะไรมากซะหน่อย พรุ่งนี้ก็ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว” “ไม่ได้ฉันอยากนอนเป็นเพื่อนแก” ญาณินพยายามยืนยันคำเดิม “ไม่...กลับบ้านไปทั้งคู่เลย ฉันไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ตอนนี้มันดึกมากแล้วแกจะมานอนเฝ้าได้ยังไง มีแค่โซฟาจะนอนเบียดกันสองคนหรือไง” มานิตามองวาโยและญาณินสลับกัน “งะ....งั้นก็ให้วาโยกลับไปส่วนฉันจะนอนเป็นเพื่อนแก” ญาณินทำท่าทางเลิกลั่กเพราะกำลังเขินกับการที่มานิตาแซวเรื่องการนอนบนโซฟาตัวเดียวกัน “อ้าวญาณิน...แล้วแกจะกลับยังไงวะ ฉันเป็นคนไปรับแกมาหามิลค์กี้นะ” “พรุ่งนี้เช้าฉันจะนั่งแท็กซี่พามิลค์กี้กลับหอเอง” “ไม่...ถ้าแกอยู่ฉันอยู่ด้วย” วาโยร้องโวยจนมานิตาส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของหนุ่มสาวทั้งสองคน “กลับไปทั้งคู่นั่นแหละ พวกแกไม่ต้องห่วงฉันหรอก นี่มันโรงพยาบาลนะ ฉันนอนคนเดียวได้ มีอะไรฉันแค่เรียกพยาบาลไม่ต้องกลัวแทนฉันหรอกน่ะ” “แต่” “ไปเลย...เตียงโรงพยาบาลนอนสบายจะตาย ฉันอยู่ได้ ไว้พรุ่งนี้พวกแกค่อยมารับฉันสายๆ ก็ได้” สองหนุ่มสาวมองมานิตาสลับไปมา
“เลิกยุ่งเรื่องนี้ได้แล้ว ฉันยังต้องพึ่งเงินพวกเขา ฉันไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว” ถ้าไม่เพราะว่าเธอต้องการเงินมารักษามารดาเธอคงไม่ปิดเงียบความลับนี้เอาไว้เป็นปีๆ หรอก แต่คนอย่างเธอจะเอาปัญหาที่ไหนไปหาเงินมาเพื่อเป็นค่าฟอกไตให้มารดาได้ทุกอาทิตย์ถ้าไม่ใช่เงินสกปรกพวกนั้น “ฉันอยากช่วยเธอนะ” “นายช่วยอะไรได้เพ เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน อีกอย่างนายไม่มีความจำเป็นที่ต้องช่วยฉันเลย” “ถ้าเรื่องเงินรักษาแม่ของเธอฉันช่วยได้นะ ฉันช่วยได้จริงๆ” เมื่อก่อนเพทายยอมรับว่าตัวเองไม่ได้มีอะไรเลย ขนาดเงินยังต้องรอพึ่งพาบิดามารดา แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เขามีเงินมากพอที่จะช่วยมานิตาได้ “อย่ามาวุ่นวายกับเรื่องของฉัน นายกลับไปได้แล้วฉันจะนอน” มานิตาบอกก่อนจะชักมือของตัวเองกลับแล้วเลือกจะหันตะแคงข้างเพราะไม่อยากเห็นหน้าของเพทายในตอนนี้ ยิ่งเห็นหน้าเขาหัวใจของเธอก็ยิ่งเจ็บ “มิลค์กี้” เพทายมองแผ่นหลังของมานิตาตาละห้อย เหตุการณ์ทุกอย่างมันไหลเข้ามาในสมองของเขาว่าที่ผ่านมาตัวเองทำร้ายเธอมากแค่ไหน “ฉันขอโทษ...” “ฉันรับคำขอโทษจากนาย แต่หลังจากนี้เราต่างคนต่างเด
“ไม่ดีตรงไหน ฉันทำอะไรผิดล่ะ” “นี่นายยังไม่รู้ตัวเลยเหรอ นายปล้ำฉันนะ นายยังมีหน้ามาบอกตัวเองไม่ผิดอีกเหรอ” ใบหน้าหวานแดงก่ำเพราะไม่เข้าใจคนตัวโตที่ไม่ยอมสำนึกอะไรเลย “ก็บอกจะรับผิดชอบเธอก็เล่นหนีหายหน้าไปเป็นอาทิตย์เนี่ย ตอนงานแต่งเพทายกับมิลค์กี้เธอก็เอาแต่หลบหน้าฉัน” วาโยไม่รู้ใจของผู้หญิงคนหนึ่ง การที่หญิงสาวหลบหน้าเขามันทำให้เขากระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก “ฉันบอกแล้วไงว่าถ้านายแค่อยากรับผิดชอบก็ลืมๆ เรื่องคืนนั้นไปเถอะ ฉันไม่ได้คิดอะไรแล้ว” หญิงสาวหันไปทางอื่นพร้อมกับความรู้สึกที่เจ็บลึก เธอไม่ต้องการแค่นั้น มันอาจจะดูโลภเกินไปแต่ใครจะทนอยู่กับผู้ชายที่แค่ต้องการรับผิดชอบเราแค่นั้นล่ะ “แล้วต้องการอะไรอีกหือ” เสียงเข้มบอกอย่างออดอ้อนเมื่อคนตัวเล็กกำลังทำเหมือนงอนเขาเสียนี่ “เปล่า” “ถ้างั้นบอกรักก่อนสิ ละเดี๋ยวจะให้อย่างอื่นด้วย” จู่ๆ ชายหนุ่มก็โพล่งบางอย่างออกมา ญาณินเลยเงยหน้ามองคนตัวโตอย่างสงสัยกับคำพูดของเขา “อะไรของนาย” “รักฉันไม่ใช่ไง ไม่คิดจะบอกรักผัวตัวเองหน่อยเหรอ” คำพูดของวาโยสร้างคว
“ถ้านายต้องการแค่รับผิดชอบฉันไม่เอาหรอก เพราะฉันไม่อยากอยู่กับคนที่ไม่ได้รักฉัน ปล่อยนะ ฉันโทร.ให้ที่บ้านมารับแล้ว ฉันจะไม่รบกวนคนอย่างนายอีกต่อไป!” ก่อนจากวาโยเห็นว่าญาณินมีน้ำตาที่ขอบตาจนอยากจะเอามือหนาไปปาดคราบน้ำตาของคนตัวเล็ก แต่ก็ต้องชะงักมือกลับเพราะถ้าทำอะไรมากกว่านี้เธออาจจะโกรธ วาโยมองญาณินที่เดินออกจากห้องด้วยหัวใจที่หดหู่ ไม่รู้ทำไมคำพูดของเธอมันฉายเข้ามาในความคิดซ้ำๆ ถ้าเธอไม่ต้องการความรับผิดชอบแล้วต้องการอะไรกันแน่ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันนั้นญาณินก็แทบไม่ได้ออกไปไหน จนกระทั่งเพิ่งผ่านพ้นงานแต่งของเพื่อนรักอย่างมานิตายิ่งได้เห็นว่าเพื่อนมีความสุขเธอก็ยินดี แต่สักพักก็รู้สึกหดหู่ใจเมื่อหันมามองความรักของตัวเอง เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี ความบริสุทธิ์ก็ถูกวาโยช่วงชิงไปจนไม่เหลือชิ้นดี ถามว่ารู้สึกดีไหมคงตอบว่าใช่ มันไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ทางกายแต่มันมากกว่านั้น เธอชอบวาโยมาตั้งนานแล้ว นานจนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเริ่มชอบตอนไหน ตลอดระยะเวลาการเป็นเพื่อนกันเธอพยายามไม่สนิทกับชายหนุ่มมากไปกว่าเพื่อนคนอื่นในกลุ่มเพราะกลัวว่าสักวันความรู้ส
ลำกายหนากระเสือกกระสนเข้ามาในโพรงสาวอย่างรุนแรงจนเขารับรู้ว่าคนตัวเล็กกำลังกระตุกอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงกรีดร้องเป็นทางยาวที่บ่งบอกถึงความสุข “กรี๊ด” มือน้อยที่จับที่ต้นแขนแกร่งที่เอื้อมมาบีบเคล้นอกอิ่ม “เสร็จแล้วเหรอ ตอดแรงขนาดนี้” วาโยกระหยิ่มยิ้มเมื่อเห็นคนตัวเล็กสุขสมแล้ว ต่อไปถึงตาของเขาบ้าง และคืนนี้มันจะไม่จบเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน วาโยเปลี่ยนท่าให้คนตัวเล็กนอนคว่ำ จากนั้นเขาก็จัดการยกสะโพกสวยขึ้นเพื่อรับกับเอ็นร้อนที่เยิ้มไปด้วยคราบน้ำรักของเธอ จากนั้นก็สวนมันเข้าไปในโพรงสาวที่ยังคงแน่นหนึบอย่างแรง “อ๊า...เจ็บ” “ทั้งเจ็บทั้งเสียวเลย” วาโยคุกเข่าแล้วเสยตัวตนร้องเข้าไปอย่างแรงจนใบหน้าหวานลู่แนบกับที่นอนหนานุ่มเพราะหมดเรี่ยวแรงจะทำอะไรต่อไป “อ๊ะ...จะทำอะไรโย” “ท่าหมาไง คราวก่อนเธอบอกฉันปากหมา วันนี้ฉันเลยจะเอาท่าหมาให้เธอดู” วาโยมองเอ็นร้อนที่ผลุบเข้าออกมาโพรงสาวจากทางด้านหลัง มันยิ่งทำให้เขาซาบซ่านอย่างไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน การที่ได้กระแทกเข้าไปในกายสาวที่ตัวเองชอบมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ก็เพิ่มความดุ
“หึหึ...ทำตัวน่ายั่วขนาดนี้ผู้ชายที่ไหนจะทนได้” “แต่นายเป็นเพื่อนฉัน นายต้องทนได้สิ เพื่อนกันใครเขาทำแบบนี้” “ไอ้เพมันยังทำกับมิลค์กี้ ทำไมฉันจะทำกับเธอไม่ได้วะ เลิกเอาคำว่าเพื่อนมาพูดได้แล้วไหม เข้าไปอยู่ในตัวแบบนี้คำว่าเพื่อนมันขาดสะบั้นไปตั้งนานแล้ว” วาโยตะโกนบอกที่คนตัวเล็กชอบย้ำคำว่าเพื่อนกับเขายิ่งนัก อยากเป็นอะไรหนักหนาเพื่อนเนี่ย “อยากเป็นอะไรหนักหนากับคำว่าเพื่อน ให้เป็นผัวเหอะ เดี๋ยวจะเลี้ยงอย่างดีเลย” “ไอ้วาโย” “เปลี่ยนจากเรียกไอ้ไปเรียกผัวแทนได้ไหม นับตั้งแต่นี้เธอเป็นเมียฉันละ ถ้ายังพูดเพื่อนๆ อะไรอีก เดี๋ยวจับปล้ำไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย” วาโยร้องขู่เพราะจะจัดการคนตัวเล็กที่ชอบเอาคำว่าเพื่อนมาอ้างตลอด ตอนนี้หญิงสาวได้สติแล้ว แต่ร่างกายเบื้องล่างตอดขนาดนี้ คำว่าเพื่อนมันก็ไม่ต้องจำเป็นแล้วไหม ญาณินรีบหุบปากของตัวเองทันทีเมื่อเจอคำขู่ของวาโย แถมชายหนุ่มยังกระหน่ำสะโพกสอบเข้ามาอย่างรุนแรง มือบางทั้งสองข้างจิกลงบนที่นอนหนานุ่ม ส่วนใบหน้าหวานหลับพริ้มเมื่อความเจ็บแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านไปทั่วเรือนร่าง
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอหอมกรุ่นจากนั้นปากหยักก็ทำรอยที่ต้นคอหญิงสาวอยู่หลายจุด ก่อนจะมาหยุดที่อกอิ่มชูชันท้าทายปากของเขาเหลือเกิน จ๊วบ!! มือหนาของวาโยรวบอกอิ่มเอาไว้ในมือแล้วใช้ปากหยักเข้าครอบครองป้านสีหวานที่ล่อตาล่อใจของเขาเหลือเกิน เม็ดเล็กแต่ชูชันรับกับปากหนาได้เป็นอย่างดี “อ๊า...อย่ากัดนะ” ญาณินร้องเสียงลงเมื่อวาโยใช้ฟันคมๆ งับลงไปด้วยแรงที่ไม่มากไม่น้อยเกินจนคนตัวเล็กที่รับรู้ถึงสัมผัสรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์ “แม่งโคตรชอบเลยรู้ไหม เด้งรับปากฉิบหายเลย” ตอนนี้วาโยสลัดความคิดว่าที่เพื่อนไม่ควรเล่นเพื่อน แต่วันนี้มันอดใจไม่ไหวจริงๆ ในเมื่อญาณินสวยสดเหลือเกิน “อ๊า...อ๊ะ...โย” “หือ อะไรจ๊ะ” วาโยเหลือบตามองคนตัวเล็กที่กำลังร้องครวญครางราวกับกำลังจะขาดใจ “เสียว” “เดี๋ยวได้เสียวกว่านี้แน่ๆ เลยคนสวย” ว่าจบวาโยก็ชันร่างกายสูงของตัวเองขึ้นเพื่อจัดการเผด็จศึกคนตัวเล็กสักที เสียเพื่อนเขาก็เอาถ้ามันทำให้ได้ตัวของหญิงสาวมาไว้ในครอบครอง ถ้ารู้ว่าเธอสวยขนาดนี้ไม่ให้เป็นเพื่อนหรอก
“ไว้ญาณินตื่นขึ้นมากูจะบอกความเลวของพวกมึงให้หมดเลย ให้เลิกคบพวกมึงซะ” ว่าจบวาโยก็พาคนตัวเล็กออกมาจากโต๊ะ จากนั้นก็พาเดินเข้าไปหลังร้านที่มีห้องพักรับรองที่เวลล์สร้างเอาไว้ มีอยู่สามสี่ห้องเพื่อเอาไว้รองรับเพื่อนๆ ที่อาจจะเมาแล้วกลับไม่ไหว “เกิดอะไรขึ้นวะวาโย” เวลล์ที่เพิ่งไปรับลูกค้ามาเดินมาเจอวาโยกำลังโอบญาณินเข้ามาข้างในด้วยสภาพราวกับกำลังละเมอ “ไม่รู้ว่าเพื่อนของญาณินเอาอะไรให้เธอกิน เธอเลยมีสภาพนี้ ผมขอยืมห้องก่อนได้ไหมจะให้ไอ้ตัวเล็กมันเข้าไปพักก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน” “เออได้ดิ จัดการเองได้ไหม เฮียมีรับลูกค้าเยอะวันนี้” “ครับไม่เป็นไร แค่ให้ยืมห้องผมก็ซึ้งน้ำใจละ” วาโยกล่าวขอบคุณเวลล์ที่เป็นเพื่อนพี่ชายคนหนึ่ง วาโยลากคนตัวเล็กเข้าไปพักผ่อนในห้องเพราะหวังให้หญิงสาวคืนสติโดยไว ไม่รู้พวกนั้นมันเอาอะไรให้ญาณินกินกันแน่ทำไมอาการของหญิงสาวถึงแปลกๆ อย่างนี้ “นอนก่อนนะญาณิน เดี๋ยวหาผ้ามาเช็ดให้” ร่างกายของหญิงสาวเริ่มร้อนขึ้นจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหนมือน้อยๆ ก็คว้าหมับที่ข้อมือทันที “วาโ
ทั้งสองเดินทางมายังคลับของเวลล์ที่ตอนนี้หนาแน่นไปด้วยผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ ไม่แปลกใจว่าช่วงหลังๆ กิจการของคลับเป็นไปได้อย่างดี “ไหนเพื่อนเธอเหรอ” วาโยมองไปรอบๆ เพื่อหาเพื่อนของญาณินและก็พบกับกลุ่มเพื่อนสามสี่คน และมีผู้ชายอยู่ประมาณสองคน ส่วนที่เหลือเป็นผู้หญิง “ไหนนายบอกจะไปหาพี่เวลล์ จะไปกับฉันทำไม” ญาณินหันมาแว้ดใส่เพื่อนสนิทที่เหมือนจะเดินตามไป “เฮียคงกำลังยุ่งๆ รับลูกค้า ขอไปนั่งด้วยได้ไหม” เวลล์บอกคนตัวเล็กเพราะจากสายตาที่เขาประเมินกลุ่มเพื่อนของญาณินดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่ ถ้าปล่อยให้หญิงสาวไปคนเดียวมันคงไม่ดีแน่ “โหย...อะไรของนาย” “ถ้าให้ไปเดี๋ยวเลี้ยงเหล้าด้วย โอเคไหม” ข้อเสนอของวาโยน่าสนใจ จนญาณินคลี่ยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ มีคนเลี้ยงเหล้าใครบ้างจะไม่สนใจ ทำให้ตอนนี้ทั้งสองหนุ่มสาวเดินตรงไปยังโต๊ะที่มีกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมนั่งรออยู่ก่อนแล้ว “เฮ้...ญาณิน” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งยกมือขึ้นเรียกเพื่อนสาว “ดีใจจังได้เจอพวกแก” ญาณินยิ้มให้กับเพื่อนที่กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์กรึ่มๆ เพราะดื่มกันก่อนท
ตอนพิเศษYanin X Wayoขอเป็นมากกว่าเพื่อน ชีวิตที่แสนเรียบง่ายของญาณินเป็นอันต้องพังทลายลงเมื่อบิดาประกาศกร้าวให้เธอไปดูตัวคู่หมั้นของตัวเอง คู่หมั้นที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นอย่างไร วันนั้นเธอร้องห่มร้องไห้ไปหามานิตาเพื่อให้เพื่อนช่วยคิดแผนการล้มเลิกการดูตัวในครั้งนี้ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่กล้าที่จะไปขอความช่วยเหลือจากวาโย เพราะมันเป็นเรื่องน่าอายที่จะบอกให้วาโยมาแกล้งเป็นแฟน “เฮ้อ...” “เป็นอะไรไปญาณิน” วาโยที่นั่งกินข้าวเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนของตัวเองที่เอาแต่นั่งหน้าเศร้าตีหน้ามึนทำเอาคนที่กำลังกินอาหารอยู่รู้สึกกร่อยขึ้นมาทันที “ไม่มีอะไร” “เอ้า!! ไม่มีอะไรได้ไง แกเอาแต่ทำหน้าซึมแบบนี้” วาโยมองเพื่อนอย่างสงสัย เพราะช่วงหลังๆ มานี่ทั้งสองไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้นเพราะเพทายกับมานิตาตัวติดกันราวกับปลาท่องโก๋ พวกเขาเลยกลายเป็นส่วนเกินที่ต้องมากอดคอร้องไห้เมื่อโดนเพื่อนทิ้งไปจู๋จี๋กัน “คิดๆ อะไรนิดหน่อย” “คิดอะไรวะ” วาโยที่กำลังคีบเนื้อเข้าปากมองคนตัวเล็กซึ่งกำลังสะบัดผมไปข้างหลัง จนทำให้เขามองเห็นร่องหน้าอกขอ
“รีบเปลี่ยนนะครับ ไว้ถ้ากลับมาจากทะเล เพขอจัดหนักสักน้ำนะ” ชายหนุ่มบอกอย่างมีเลศนัย จนมานิตาได้แต่หน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย “ค่ะ” เมื่อทั้งสี่เปลี่ยนชุดแล้ว พวกเขาก็เดินไปยังทะเลที่อยู่หน้ารีสอร์ต เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยทำเอาพวกเขาต่างมีความสุข “คุณแม่ขา...มาช่วยหนูก่อกองทรายหน่อยค่ะ” เสียงหวานๆ ของลูกสาวบอก จากนั้นมานิตาที่เพิ่งเป็นแบบถ่ายรูปให้กับเพทายต้องละความสนใจแล้วเดินไปหาลูกสาวลูกชายทันที “ไปช่วยลูกก่อกองทรายกันค่ะเพ...” เพทายเดินมากุมมือของมานิตาแล้วพาเดินตรงไปหาลูกสาวที่นั่งที่ทรายทันที “คุณแม่ครับ อันนี้เป็นเครื่องบินน้องมิกซ์วาดเอง” เสียงของลูกชายบอกอย่างเจี๊ยวจ๊าว ผู้ใหญ่ทั้งสองคนหันไปมอง ก็พบกับภาพเครื่องบินในจินตนาการของลูกชาย “วาดเองเหรอครับ” “ครับ” เพทายและมิลค์กี้มองหน้ากันเมื่อเห็นภาพที่ลูกชายวาด มันสวยเกินกว่าที่เด็ก 5 ขวบจะวาดด้วยซ้ำ แสดงว่าลูกชายของพวกเขาอาจจะมีพรสวรรค์ด้านนี้ “สวยจังเลย คนเก่งของแม่”มานิตาทำการหอมหัวของลูกชายหนึ่งที พร้อมที่จะมองเพทายแล้วยิ้มอ