บทที่ 14เคลียร์ใจ เพทายจ้องมองเพื่อนตาไม่กะพริบเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าที่ออกมาจากปากของวาโย ยิ่งได้ฟังหัวใจชายหนุ่มยิ่งเต้นแรงเพราะไม่อยากจะเชื่อหู และไม่คิดว่ามานิตากำลังตกอยู่ในอันตรายมากแค่ไหน “ทำไมมิลค์กี้ไม่เล่าให้กูฟัง...กูจะตามไปจัดการมัน” “เพราะมึงเป็นอย่างงี้ไงวะเพ...มึงอารมณ์ร้อน มึงไม่ฟังใคร และอีกอย่างมิลค์กี้มันโดนขู่ ถ้าพวกนั้นมันรู้ว่ามิลค์กี้เล่าเรื่องทุกอย่างให้มึงฟังมันจะเกิดอะไรขึ้นวะเพ มิลค์กี้กับแม่มันจะเป็นอันตรายแค่ไหน” วาโยคิดว่าตอนนี้เพทายอาจจะมีสติมากกว่าเมื่อก่อน “กู...” “กูว่ามึงใจเย็นๆ นะ ช่วงนี้อย่าเพิ่งไปเซ้าซี้มิลค์กี้มันเลย ให้มันสบายใจบ้างเถอะ เรื่องที่มึงทำกับมันร้ายแรงเกินกว่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะรับไหวนะเพ” หัวใจของเพทายราวกับถูกบีบรัดเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เขาอยากจะเดินไปหามานิตาแต่ความรู้สึกผิดที่เกาะกินหัวใจมันเป็นกำแพงที่เขาไม่สามารถข้ามไปได้ “เรื่องไอ้ยิมกับเมนี่กูขอเวลา มึงอย่าเพิ่งวู่วามนะเว้ย!” “อืม...กูจะพยายาม” ทั้งๆ ที่ปากบอกแต่ดวงตากำลังลุกโชนไปด้วยความแค้
“ไม่เอา...ฉันนอนคนเดียวได้ ไม่ได้เป็นอะไรมากซะหน่อย พรุ่งนี้ก็ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว” “ไม่ได้ฉันอยากนอนเป็นเพื่อนแก” ญาณินพยายามยืนยันคำเดิม “ไม่...กลับบ้านไปทั้งคู่เลย ฉันไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ตอนนี้มันดึกมากแล้วแกจะมานอนเฝ้าได้ยังไง มีแค่โซฟาจะนอนเบียดกันสองคนหรือไง” มานิตามองวาโยและญาณินสลับกัน “งะ....งั้นก็ให้วาโยกลับไปส่วนฉันจะนอนเป็นเพื่อนแก” ญาณินทำท่าทางเลิกลั่กเพราะกำลังเขินกับการที่มานิตาแซวเรื่องการนอนบนโซฟาตัวเดียวกัน “อ้าวญาณิน...แล้วแกจะกลับยังไงวะ ฉันเป็นคนไปรับแกมาหามิลค์กี้นะ” “พรุ่งนี้เช้าฉันจะนั่งแท็กซี่พามิลค์กี้กลับหอเอง” “ไม่...ถ้าแกอยู่ฉันอยู่ด้วย” วาโยร้องโวยจนมานิตาส่ายหน้ากับความดื้อรั้นของหนุ่มสาวทั้งสองคน “กลับไปทั้งคู่นั่นแหละ พวกแกไม่ต้องห่วงฉันหรอก นี่มันโรงพยาบาลนะ ฉันนอนคนเดียวได้ มีอะไรฉันแค่เรียกพยาบาลไม่ต้องกลัวแทนฉันหรอกน่ะ” “แต่” “ไปเลย...เตียงโรงพยาบาลนอนสบายจะตาย ฉันอยู่ได้ ไว้พรุ่งนี้พวกแกค่อยมารับฉันสายๆ ก็ได้” สองหนุ่มสาวมองมานิตาสลับไปมา
“เลิกยุ่งเรื่องนี้ได้แล้ว ฉันยังต้องพึ่งเงินพวกเขา ฉันไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว” ถ้าไม่เพราะว่าเธอต้องการเงินมารักษามารดาเธอคงไม่ปิดเงียบความลับนี้เอาไว้เป็นปีๆ หรอก แต่คนอย่างเธอจะเอาปัญหาที่ไหนไปหาเงินมาเพื่อเป็นค่าฟอกไตให้มารดาได้ทุกอาทิตย์ถ้าไม่ใช่เงินสกปรกพวกนั้น “ฉันอยากช่วยเธอนะ” “นายช่วยอะไรได้เพ เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน อีกอย่างนายไม่มีความจำเป็นที่ต้องช่วยฉันเลย” “ถ้าเรื่องเงินรักษาแม่ของเธอฉันช่วยได้นะ ฉันช่วยได้จริงๆ” เมื่อก่อนเพทายยอมรับว่าตัวเองไม่ได้มีอะไรเลย ขนาดเงินยังต้องรอพึ่งพาบิดามารดา แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เขามีเงินมากพอที่จะช่วยมานิตาได้ “อย่ามาวุ่นวายกับเรื่องของฉัน นายกลับไปได้แล้วฉันจะนอน” มานิตาบอกก่อนจะชักมือของตัวเองกลับแล้วเลือกจะหันตะแคงข้างเพราะไม่อยากเห็นหน้าของเพทายในตอนนี้ ยิ่งเห็นหน้าเขาหัวใจของเธอก็ยิ่งเจ็บ “มิลค์กี้” เพทายมองแผ่นหลังของมานิตาตาละห้อย เหตุการณ์ทุกอย่างมันไหลเข้ามาในสมองของเขาว่าที่ผ่านมาตัวเองทำร้ายเธอมากแค่ไหน “ฉันขอโทษ...” “ฉันรับคำขอโทษจากนาย แต่หลังจากนี้เราต่างคนต่างเด
“นั่นสินะ ใครก็อยากคบคนดีๆ ทั้งนั้น” ใจที่รุ่มร้อนอยากจะลุกขึ้นไปกระชากร่างบางมาไว้ในอ้อมกอด แต่เขาทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว มานิตาบอบบางเกินกว่าที่เขาจะทำร้ายเธออีก “สักวันนายจะเจอคนที่ดีเหมือนอลิซนะ” “นี่คือคำอวยพรใช่ไหม” เพทายเลิกคิ้วอย่างหงุดหงิดที่หญิงสาวทำราวกับจะผลักไสเขาให้กับคนอื่น “ใช่สิ...ใครๆ ก็อยากให้เพื่อนได้เจอคนดีๆ ทั้งนั้น” “แต่ฉันไม่อยากเจอใครแล้วว่ะมิลค์กี้ ฉันขอแค่เธอได้ไหม” มานิตาหันมามองคนตัวโตที่ยังคงจ้องเธออย่างไม่ละสายตา แววตาของเขามันชัดเจนแม้มีเพียงแสงจากดวงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา “ไม่ได้หรอก เราจบกันไปแล้ว เรื่องของเรามันจบลงไปแล้วเพ” ความรักความสัมพันธ์ของเธอและเพทายมันจบไปตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาไล่เธอออกจากบ้านแล้ว ถ้าเธอฉลาดสักนิดเธอคงจะต้องตัดใจจากผู้ชายคนนี้เสียที “ฉันขอโทษ...เธอจะให้ฉันชดใช้ยังไง...” ยังไม่ทันจะได้พูดจบเสียงหวานก็แทรกขึ้นมาก่อน “ความรู้สึกที่เสียไปมันไม่มีอะไรที่มาทดแทนได้หรอกเพ ขอร้อง...อย่าให้ฉันมองนายแย่ไปมากกว่านี้เลย” “งั้นขออย่างหนึ่งได้ไหม” “ว่า
“บอกมาสิว่าเธอจะมีผัวใหม่ เธอจะทิ้งฉัน” “อ๊ะ...เพอย่าทำอย่างนั้น” มานิตาร้องเสียงหลงเมื่อปลายนิ้วสอดเข้าลึกมากขึ้น จากหนึ่งนิ้วแปรเปลี่ยนเป็นสองนิ้วทั้งเจ็บและอึดอัดในเวลาเดียวกัน “บอกมามิลค์กี้!” ยิ่งเพทายถามปลายนิ้วของเขายิ่งขยับเร็วขึ้น “ไม่ไปๆ มิลค์กี้จะอยู่กับเพ อื้อ...กรี๊ด” ใบหน้าหวานบิดเบี้ยวเมื่อความเสียวซ่านเข้าครอบงำทั่วสรรพางค์ เพทายีจุดเสียวทุกจุดของร่างกายของเธอ ไม่ว่ามือหนาจะจับตรงไหนร่างกายสาวก็ร้อนอย่างกับไฟ “ดีมากคนสวย...ผัวอยู่ตรงนี้ อย่าคิดจะมีคนอื่นอีกเข้าใจไหม” เพทายใช้อีกมือจับที่คางเรียวเบาๆ จากนั้นก็ประกบจูบปากจิ้มลิ้มอย่างหิวกระหาย ยิ่งนับวันเธอยิ่งทำให้เขาเสพติดกับร่างกายของเธอราวกับสิ่งเสพติดที่ถ้าขาดไปวันไหนก็จะลงแดงวันนั้น “ไม่เอา...มันเสียว” “แค่นิ้วเล็กๆ ยังเสียวขนาดนี้ แล้วถ้าใหญ่กว่านี้ไม่ครางลั่นห้องเลยเหรอ” เพทายเหยียดยิ้มเมื่อเห็นร่างกายสั่นเครือของมานิตา เขารู้จุดอ่อนเธอทั้งหมด ในเมื่อพูดกันปกติแล้วหญิงสาวไม่ยอมคืนดี เรื่องนี้ก็ต้องคุยกันบนเตียงเท่านั้น และเขาจะเน้นย้ำให้เธอได้ร
“ชู่ว์...อย่าเสียงดังสิ” เสียงหวานกรีดร้องเมื่อเขากระทุ้งเอ็นร้อนเข้าไปจนสุดทาง “แน่น...” “อื้อ...แน่นเหมือนกัน” ใบหน้าหล่อเหลาเหยเกอย่างห้ามใจตัวเองไม่ได้ มันแน่นไปหมดและมีความตื่นเต้นผสมเจือปนด้วย การมามีอะไรนอกสถานที่แบบนี้มันทำให้เขารู้สึกวูบวาบไม่ได้ “เพ มิลค์กี้เสียวท้อง” มานิตาร้องอย่างออดอ้อนเมื่อเพทายเริ่มขยับตัวตนมากขึ้น ช่องทางรักที่แน่นขนัดมันทำให้ตัวตนแข็งร้อนขยับเข้าออกอย่างยากลำบาก แต่ยังดีที่มีน้ำหล่อลื่นที่ช่วยให้เขาขยับได้บ้าง “ไม่เสียวได้ไง เสียบคารูแบบนี้” เพทายมองช่องทางรักที่กำลังดูดกลืนความยิ่งใหญ่จากตัวของเขา ถ้าไม่ติดว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาลเขาคงได้กระแทกกระทั้นหญิงสาวด้วยท่าที่มันโลดโผนกว่านี้ แต่เพราะเธอยังป่วยเลยไม่อยากให้ออกแรงมากเกินไป “เพ! อย่าหยาบคาย!” มานิตารู้ดีว่าเวลามีเซ็กซ์กันเพทายชอบสบถหยาบๆ ออกมาเพราะมันคือรสนิยมของเขา “เธอก็บอกให้ฉันหยาบๆ แบบนี้ไม่ใช่เหรอ ตอนฉันหยาบทีไรตรงนั้นของเธอตอดถี่ๆ ทุกที” จะไม่ให้ทั้งรักทั้งหลงมานิตาได้อย่างไรในเมื่อเวลามีอะไรทีไรหญิงสาวก็ตอบสนองต่อสัมผั
บทที่ 15เลิกรัก หลังจากที่เสร็จกิจกรรมความสุขกันไปแล้ว เพทายก็กลับมาส่งคนตัวเล็กที่เตียง จากนั้นก็ห่มผ่าให้เธอได้นอนหลับพักผ่อน ส่วนตัวเขาก็นอนที่โซฟาข้างเตียงผู้ป่วยอย่างมีความสุข เมื่อคืนมานิตาน่ารักมาก มากเสียจนเขาใจเต้นแรง และวันนี้เขาจะสารภาพรักกับเธอ มันคงถึงเวลาที่ได้ทำตามหัวใจของตัวเองเสียที “คุณคะ...” นิ้วเรียวเล็กของใครบางคนสะกิดที่แขนของคนที่กำลังนอนอยู่บนโซฟา “เอ่อ...” เพทายลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับมองผู้หญิงตรงหน้าที่เป็นพยาบาล ตนถึงขยี้ตาเล็กน้อยแล้วกวาดสายตามองหาคนตัวเล็กที่เขาอุ้มมานอนเมื่อคืนนี้ “คุณเป็นญาติคนไข้ห้องนี้เหรอคะ” “ครับ...แล้วเธอไปไหนแล้ว” เพทายมองหาคนตัวเล็กแต่ก็ไม่เจอ “เธอออกไปก่อนคุณตื่นได้สักครู่แล้วค่ะ ดิฉันเลยมาปลุกเพราะเห็นว่าคุณกำลังหลับ” นางพยาบาลมองเพทายตาหยาดเยิ้มเพราะใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับดารา “อะไรนะครับ เธอไปไหนแล้ว” “ลงไปแล้วค่ะ เธอเคลียร์เรื่องค่าใช้จ่ายกับยาแล้วออกไปแล้วค่ะ” “เหรอครับ งั้นเดี๋ยวผมขอเข้าห้องน้ำสักครู่แล้วจะออกไปครับ” เพทายรีบเข้าไปจัดกา
เพทายขับรถออกมาแล้วเดินทางไปยังบ้านพี่เขยก่อน เพราะเขาไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้ว หัวใจของเขามันถูกบีบรัดจนแทบหายใจไม่ออก “อ้าวเพ...ไหงมาหาพี่ได้ล่ะ” ร่างอุ้ยอ้ายของพะแพรเดินเข้าไปหาเพทายที่เพิ่งเดินเข้ามาบ้านจากนั้นก็ล้มตัวลงนอนที่โซฟาหนานุ่มราวกับคนหมดแรง “เหนื่อยจังเจ้” “เป็นอะไร” พะแพรเดินเข้ามาจับไหล่หนาของน้องชายอย่างไม่เข้าใจว่าใครทำให้เพทายทุกข์ใจได้ขนาดนี้ ปกติน้องชายของเธอมันทะเล้นจะตายไป “อกหักว่ะพี่...” “หะ...แกเนี่ยนะอกหัก หนุ่มน้อยเจ้าเสน่ห์ของพี่อกหักได้ไง มิลค์กี้เหรอ” “อืม...หักไม่พอ เอาไปเหยียบเล่นอีก” เพทายนอนก่ายหน้าผากอย่างกลัดกลุ้มเพราะเขาจนปัญญาจริงๆ แม้อยากจะเข้าไปดึงตัวเธอกลับมา แต่รู้ดีว่าจะใช้วิธีนั้นกับมานิตาอีกไม่ได้แล้ว “สมน้ำหน้า” “อ้าว...เจ้ทำไมว่าผมแบบนี้ ผมน้องเจ้นะ” เพทายหน้าเจื่อนเมื่อพี่สาวหันมาหัวเราะเขามากกว่าปลอบใจ “ก็แกมันเพลย์บอยตัวพ่อ วันหนึ่งโดนผู้หญิงหักอกฉันก็เลยอยากจะสมน้ำหน้าไง” “เฮ้อ...งั้นเอาเต็มที่เลยเจ้ ใช่สิ...ชีวิตเจ้มันดี
“ไม่ดีตรงไหน ฉันทำอะไรผิดล่ะ” “นี่นายยังไม่รู้ตัวเลยเหรอ นายปล้ำฉันนะ นายยังมีหน้ามาบอกตัวเองไม่ผิดอีกเหรอ” ใบหน้าหวานแดงก่ำเพราะไม่เข้าใจคนตัวโตที่ไม่ยอมสำนึกอะไรเลย “ก็บอกจะรับผิดชอบเธอก็เล่นหนีหายหน้าไปเป็นอาทิตย์เนี่ย ตอนงานแต่งเพทายกับมิลค์กี้เธอก็เอาแต่หลบหน้าฉัน” วาโยไม่รู้ใจของผู้หญิงคนหนึ่ง การที่หญิงสาวหลบหน้าเขามันทำให้เขากระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก “ฉันบอกแล้วไงว่าถ้านายแค่อยากรับผิดชอบก็ลืมๆ เรื่องคืนนั้นไปเถอะ ฉันไม่ได้คิดอะไรแล้ว” หญิงสาวหันไปทางอื่นพร้อมกับความรู้สึกที่เจ็บลึก เธอไม่ต้องการแค่นั้น มันอาจจะดูโลภเกินไปแต่ใครจะทนอยู่กับผู้ชายที่แค่ต้องการรับผิดชอบเราแค่นั้นล่ะ “แล้วต้องการอะไรอีกหือ” เสียงเข้มบอกอย่างออดอ้อนเมื่อคนตัวเล็กกำลังทำเหมือนงอนเขาเสียนี่ “เปล่า” “ถ้างั้นบอกรักก่อนสิ ละเดี๋ยวจะให้อย่างอื่นด้วย” จู่ๆ ชายหนุ่มก็โพล่งบางอย่างออกมา ญาณินเลยเงยหน้ามองคนตัวโตอย่างสงสัยกับคำพูดของเขา “อะไรของนาย” “รักฉันไม่ใช่ไง ไม่คิดจะบอกรักผัวตัวเองหน่อยเหรอ” คำพูดของวาโยสร้างคว
“ถ้านายต้องการแค่รับผิดชอบฉันไม่เอาหรอก เพราะฉันไม่อยากอยู่กับคนที่ไม่ได้รักฉัน ปล่อยนะ ฉันโทร.ให้ที่บ้านมารับแล้ว ฉันจะไม่รบกวนคนอย่างนายอีกต่อไป!” ก่อนจากวาโยเห็นว่าญาณินมีน้ำตาที่ขอบตาจนอยากจะเอามือหนาไปปาดคราบน้ำตาของคนตัวเล็ก แต่ก็ต้องชะงักมือกลับเพราะถ้าทำอะไรมากกว่านี้เธออาจจะโกรธ วาโยมองญาณินที่เดินออกจากห้องด้วยหัวใจที่หดหู่ ไม่รู้ทำไมคำพูดของเธอมันฉายเข้ามาในความคิดซ้ำๆ ถ้าเธอไม่ต้องการความรับผิดชอบแล้วต้องการอะไรกันแน่ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันนั้นญาณินก็แทบไม่ได้ออกไปไหน จนกระทั่งเพิ่งผ่านพ้นงานแต่งของเพื่อนรักอย่างมานิตายิ่งได้เห็นว่าเพื่อนมีความสุขเธอก็ยินดี แต่สักพักก็รู้สึกหดหู่ใจเมื่อหันมามองความรักของตัวเอง เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี ความบริสุทธิ์ก็ถูกวาโยช่วงชิงไปจนไม่เหลือชิ้นดี ถามว่ารู้สึกดีไหมคงตอบว่าใช่ มันไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ทางกายแต่มันมากกว่านั้น เธอชอบวาโยมาตั้งนานแล้ว นานจนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเริ่มชอบตอนไหน ตลอดระยะเวลาการเป็นเพื่อนกันเธอพยายามไม่สนิทกับชายหนุ่มมากไปกว่าเพื่อนคนอื่นในกลุ่มเพราะกลัวว่าสักวันความรู้ส
ลำกายหนากระเสือกกระสนเข้ามาในโพรงสาวอย่างรุนแรงจนเขารับรู้ว่าคนตัวเล็กกำลังกระตุกอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงกรีดร้องเป็นทางยาวที่บ่งบอกถึงความสุข “กรี๊ด” มือน้อยที่จับที่ต้นแขนแกร่งที่เอื้อมมาบีบเคล้นอกอิ่ม “เสร็จแล้วเหรอ ตอดแรงขนาดนี้” วาโยกระหยิ่มยิ้มเมื่อเห็นคนตัวเล็กสุขสมแล้ว ต่อไปถึงตาของเขาบ้าง และคืนนี้มันจะไม่จบเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน วาโยเปลี่ยนท่าให้คนตัวเล็กนอนคว่ำ จากนั้นเขาก็จัดการยกสะโพกสวยขึ้นเพื่อรับกับเอ็นร้อนที่เยิ้มไปด้วยคราบน้ำรักของเธอ จากนั้นก็สวนมันเข้าไปในโพรงสาวที่ยังคงแน่นหนึบอย่างแรง “อ๊า...เจ็บ” “ทั้งเจ็บทั้งเสียวเลย” วาโยคุกเข่าแล้วเสยตัวตนร้องเข้าไปอย่างแรงจนใบหน้าหวานลู่แนบกับที่นอนหนานุ่มเพราะหมดเรี่ยวแรงจะทำอะไรต่อไป “อ๊ะ...จะทำอะไรโย” “ท่าหมาไง คราวก่อนเธอบอกฉันปากหมา วันนี้ฉันเลยจะเอาท่าหมาให้เธอดู” วาโยมองเอ็นร้อนที่ผลุบเข้าออกมาโพรงสาวจากทางด้านหลัง มันยิ่งทำให้เขาซาบซ่านอย่างไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน การที่ได้กระแทกเข้าไปในกายสาวที่ตัวเองชอบมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ก็เพิ่มความดุ
“หึหึ...ทำตัวน่ายั่วขนาดนี้ผู้ชายที่ไหนจะทนได้” “แต่นายเป็นเพื่อนฉัน นายต้องทนได้สิ เพื่อนกันใครเขาทำแบบนี้” “ไอ้เพมันยังทำกับมิลค์กี้ ทำไมฉันจะทำกับเธอไม่ได้วะ เลิกเอาคำว่าเพื่อนมาพูดได้แล้วไหม เข้าไปอยู่ในตัวแบบนี้คำว่าเพื่อนมันขาดสะบั้นไปตั้งนานแล้ว” วาโยตะโกนบอกที่คนตัวเล็กชอบย้ำคำว่าเพื่อนกับเขายิ่งนัก อยากเป็นอะไรหนักหนาเพื่อนเนี่ย “อยากเป็นอะไรหนักหนากับคำว่าเพื่อน ให้เป็นผัวเหอะ เดี๋ยวจะเลี้ยงอย่างดีเลย” “ไอ้วาโย” “เปลี่ยนจากเรียกไอ้ไปเรียกผัวแทนได้ไหม นับตั้งแต่นี้เธอเป็นเมียฉันละ ถ้ายังพูดเพื่อนๆ อะไรอีก เดี๋ยวจับปล้ำไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย” วาโยร้องขู่เพราะจะจัดการคนตัวเล็กที่ชอบเอาคำว่าเพื่อนมาอ้างตลอด ตอนนี้หญิงสาวได้สติแล้ว แต่ร่างกายเบื้องล่างตอดขนาดนี้ คำว่าเพื่อนมันก็ไม่ต้องจำเป็นแล้วไหม ญาณินรีบหุบปากของตัวเองทันทีเมื่อเจอคำขู่ของวาโย แถมชายหนุ่มยังกระหน่ำสะโพกสอบเข้ามาอย่างรุนแรง มือบางทั้งสองข้างจิกลงบนที่นอนหนานุ่ม ส่วนใบหน้าหวานหลับพริ้มเมื่อความเจ็บแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านไปทั่วเรือนร่าง
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอหอมกรุ่นจากนั้นปากหยักก็ทำรอยที่ต้นคอหญิงสาวอยู่หลายจุด ก่อนจะมาหยุดที่อกอิ่มชูชันท้าทายปากของเขาเหลือเกิน จ๊วบ!! มือหนาของวาโยรวบอกอิ่มเอาไว้ในมือแล้วใช้ปากหยักเข้าครอบครองป้านสีหวานที่ล่อตาล่อใจของเขาเหลือเกิน เม็ดเล็กแต่ชูชันรับกับปากหนาได้เป็นอย่างดี “อ๊า...อย่ากัดนะ” ญาณินร้องเสียงลงเมื่อวาโยใช้ฟันคมๆ งับลงไปด้วยแรงที่ไม่มากไม่น้อยเกินจนคนตัวเล็กที่รับรู้ถึงสัมผัสรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์ “แม่งโคตรชอบเลยรู้ไหม เด้งรับปากฉิบหายเลย” ตอนนี้วาโยสลัดความคิดว่าที่เพื่อนไม่ควรเล่นเพื่อน แต่วันนี้มันอดใจไม่ไหวจริงๆ ในเมื่อญาณินสวยสดเหลือเกิน “อ๊า...อ๊ะ...โย” “หือ อะไรจ๊ะ” วาโยเหลือบตามองคนตัวเล็กที่กำลังร้องครวญครางราวกับกำลังจะขาดใจ “เสียว” “เดี๋ยวได้เสียวกว่านี้แน่ๆ เลยคนสวย” ว่าจบวาโยก็ชันร่างกายสูงของตัวเองขึ้นเพื่อจัดการเผด็จศึกคนตัวเล็กสักที เสียเพื่อนเขาก็เอาถ้ามันทำให้ได้ตัวของหญิงสาวมาไว้ในครอบครอง ถ้ารู้ว่าเธอสวยขนาดนี้ไม่ให้เป็นเพื่อนหรอก
“ไว้ญาณินตื่นขึ้นมากูจะบอกความเลวของพวกมึงให้หมดเลย ให้เลิกคบพวกมึงซะ” ว่าจบวาโยก็พาคนตัวเล็กออกมาจากโต๊ะ จากนั้นก็พาเดินเข้าไปหลังร้านที่มีห้องพักรับรองที่เวลล์สร้างเอาไว้ มีอยู่สามสี่ห้องเพื่อเอาไว้รองรับเพื่อนๆ ที่อาจจะเมาแล้วกลับไม่ไหว “เกิดอะไรขึ้นวะวาโย” เวลล์ที่เพิ่งไปรับลูกค้ามาเดินมาเจอวาโยกำลังโอบญาณินเข้ามาข้างในด้วยสภาพราวกับกำลังละเมอ “ไม่รู้ว่าเพื่อนของญาณินเอาอะไรให้เธอกิน เธอเลยมีสภาพนี้ ผมขอยืมห้องก่อนได้ไหมจะให้ไอ้ตัวเล็กมันเข้าไปพักก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน” “เออได้ดิ จัดการเองได้ไหม เฮียมีรับลูกค้าเยอะวันนี้” “ครับไม่เป็นไร แค่ให้ยืมห้องผมก็ซึ้งน้ำใจละ” วาโยกล่าวขอบคุณเวลล์ที่เป็นเพื่อนพี่ชายคนหนึ่ง วาโยลากคนตัวเล็กเข้าไปพักผ่อนในห้องเพราะหวังให้หญิงสาวคืนสติโดยไว ไม่รู้พวกนั้นมันเอาอะไรให้ญาณินกินกันแน่ทำไมอาการของหญิงสาวถึงแปลกๆ อย่างนี้ “นอนก่อนนะญาณิน เดี๋ยวหาผ้ามาเช็ดให้” ร่างกายของหญิงสาวเริ่มร้อนขึ้นจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหนมือน้อยๆ ก็คว้าหมับที่ข้อมือทันที “วาโ
ทั้งสองเดินทางมายังคลับของเวลล์ที่ตอนนี้หนาแน่นไปด้วยผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ ไม่แปลกใจว่าช่วงหลังๆ กิจการของคลับเป็นไปได้อย่างดี “ไหนเพื่อนเธอเหรอ” วาโยมองไปรอบๆ เพื่อหาเพื่อนของญาณินและก็พบกับกลุ่มเพื่อนสามสี่คน และมีผู้ชายอยู่ประมาณสองคน ส่วนที่เหลือเป็นผู้หญิง “ไหนนายบอกจะไปหาพี่เวลล์ จะไปกับฉันทำไม” ญาณินหันมาแว้ดใส่เพื่อนสนิทที่เหมือนจะเดินตามไป “เฮียคงกำลังยุ่งๆ รับลูกค้า ขอไปนั่งด้วยได้ไหม” เวลล์บอกคนตัวเล็กเพราะจากสายตาที่เขาประเมินกลุ่มเพื่อนของญาณินดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่ ถ้าปล่อยให้หญิงสาวไปคนเดียวมันคงไม่ดีแน่ “โหย...อะไรของนาย” “ถ้าให้ไปเดี๋ยวเลี้ยงเหล้าด้วย โอเคไหม” ข้อเสนอของวาโยน่าสนใจ จนญาณินคลี่ยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ มีคนเลี้ยงเหล้าใครบ้างจะไม่สนใจ ทำให้ตอนนี้ทั้งสองหนุ่มสาวเดินตรงไปยังโต๊ะที่มีกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมนั่งรออยู่ก่อนแล้ว “เฮ้...ญาณิน” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งยกมือขึ้นเรียกเพื่อนสาว “ดีใจจังได้เจอพวกแก” ญาณินยิ้มให้กับเพื่อนที่กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์กรึ่มๆ เพราะดื่มกันก่อนท
ตอนพิเศษYanin X Wayoขอเป็นมากกว่าเพื่อน ชีวิตที่แสนเรียบง่ายของญาณินเป็นอันต้องพังทลายลงเมื่อบิดาประกาศกร้าวให้เธอไปดูตัวคู่หมั้นของตัวเอง คู่หมั้นที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นอย่างไร วันนั้นเธอร้องห่มร้องไห้ไปหามานิตาเพื่อให้เพื่อนช่วยคิดแผนการล้มเลิกการดูตัวในครั้งนี้ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่กล้าที่จะไปขอความช่วยเหลือจากวาโย เพราะมันเป็นเรื่องน่าอายที่จะบอกให้วาโยมาแกล้งเป็นแฟน “เฮ้อ...” “เป็นอะไรไปญาณิน” วาโยที่นั่งกินข้าวเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนของตัวเองที่เอาแต่นั่งหน้าเศร้าตีหน้ามึนทำเอาคนที่กำลังกินอาหารอยู่รู้สึกกร่อยขึ้นมาทันที “ไม่มีอะไร” “เอ้า!! ไม่มีอะไรได้ไง แกเอาแต่ทำหน้าซึมแบบนี้” วาโยมองเพื่อนอย่างสงสัย เพราะช่วงหลังๆ มานี่ทั้งสองไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้นเพราะเพทายกับมานิตาตัวติดกันราวกับปลาท่องโก๋ พวกเขาเลยกลายเป็นส่วนเกินที่ต้องมากอดคอร้องไห้เมื่อโดนเพื่อนทิ้งไปจู๋จี๋กัน “คิดๆ อะไรนิดหน่อย” “คิดอะไรวะ” วาโยที่กำลังคีบเนื้อเข้าปากมองคนตัวเล็กซึ่งกำลังสะบัดผมไปข้างหลัง จนทำให้เขามองเห็นร่องหน้าอกขอ
“รีบเปลี่ยนนะครับ ไว้ถ้ากลับมาจากทะเล เพขอจัดหนักสักน้ำนะ” ชายหนุ่มบอกอย่างมีเลศนัย จนมานิตาได้แต่หน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย “ค่ะ” เมื่อทั้งสี่เปลี่ยนชุดแล้ว พวกเขาก็เดินไปยังทะเลที่อยู่หน้ารีสอร์ต เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยทำเอาพวกเขาต่างมีความสุข “คุณแม่ขา...มาช่วยหนูก่อกองทรายหน่อยค่ะ” เสียงหวานๆ ของลูกสาวบอก จากนั้นมานิตาที่เพิ่งเป็นแบบถ่ายรูปให้กับเพทายต้องละความสนใจแล้วเดินไปหาลูกสาวลูกชายทันที “ไปช่วยลูกก่อกองทรายกันค่ะเพ...” เพทายเดินมากุมมือของมานิตาแล้วพาเดินตรงไปหาลูกสาวที่นั่งที่ทรายทันที “คุณแม่ครับ อันนี้เป็นเครื่องบินน้องมิกซ์วาดเอง” เสียงของลูกชายบอกอย่างเจี๊ยวจ๊าว ผู้ใหญ่ทั้งสองคนหันไปมอง ก็พบกับภาพเครื่องบินในจินตนาการของลูกชาย “วาดเองเหรอครับ” “ครับ” เพทายและมิลค์กี้มองหน้ากันเมื่อเห็นภาพที่ลูกชายวาด มันสวยเกินกว่าที่เด็ก 5 ขวบจะวาดด้วยซ้ำ แสดงว่าลูกชายของพวกเขาอาจจะมีพรสวรรค์ด้านนี้ “สวยจังเลย คนเก่งของแม่”มานิตาทำการหอมหัวของลูกชายหนึ่งที พร้อมที่จะมองเพทายแล้วยิ้มอ