“แม่ส้มขา!” ร่างเพรียวระหงผงะเซถอยหลังไปสองสามก้าวเมื่อถูกโถมเข้ากอดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว วิศราก้มมองเจ้าตัวต้นเหตุที่ทำเธอเกือบหงายหลังล้มอย่างตกใจระคนตื่นเต้นดีใจ“อลิศ! มาได้ไงลูก!”เจ้าตัวน้อยเงยหน้ายิ้มตาหยีให้มารดาสุดที่รัก ก่อนบุ้ยใบ้ไปทางร่างสูงสง่าที่เดินตามมาติดๆ “ผมพาแกมาเอง เพราะทนฟังเสียงใครบางคนรบเร้าคิดถึงคุณทั้งวันทั้งคืนไม่ไหว” อลันที่ก้าวตามมาเป็นฝ่ายตอบแทนแม่ตัวยุ่งด้วยรอยยิ้มอบอุ่นที่แสนจะคุ้นตา เขาฉวยโอกาสรีบกวาดมองสำรวจความผิดปกติของคนตรงหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความห่วงใย หลังจากที่ขาดการติดต่อกับเธอไปแบบดื้อๆ เมื่อวาน เขาก็เฝ้าเป็นห่วงมาตลอดทางว่าเธอจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงอะไรหรือเปล่า พอได้เห็นกับตาว่าเธอไม่ได้บาดเจ็บอย่างที่คิดก็พลอยโล่งอก ก่อนที่นัยน์ตาสีเทาจะมาสะดุดลงที่แก้มนวลซึ่งมีรอยนิ้วมือประดับเป็นปื้น“นั่นแก้มคุณไปโดนอะไรมาวีวี่”วิศราสะดุ้งวาบ รีบกุมแก้มที่โดนตบโดยอัตโนมัติ แต่พอหันไปเห็นแววตาของชายหนุ่มที่มองมา เธอก็รู้ว่าไม่อาจปกปิดความจริงต่อคนตรงหน้าได้ และอีกฝ่ายคงไม่ยอมปล่อยผ่านง่ายๆ“มีเรื่องนิดหน่อยค่ะ แต่เดี๋ยวฉันค่อยเล่าให้ฟังนะคะ ไหนคะอลิศ เจอ
“คุณรอตรงนี้นะคะ เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องกระเป๋าก่อน อลิศอยู่กับอังเคิลอลันตรงนี้ก่อนนะลูก แล้วก็ห้ามซนล่ะ”“โอเคค่า รีบๆ มานะคะแม่ส้มขา” ว่าแล้วหญิงสาวก็เดินไปสั่งการทางเคาน์เตอร์ต้อนรับอีกครั้ง ทว่าตอนจะเดินกลับไปหาคนทั้งสองนั้นเอง จู่ๆ เธอก็รู้สึกเสียววาบที่ท้ายทอยแปลกๆ ราวกับกำลังถูกจ้องมองจากทางด้านหลังจึงหันขวับไปมอง แล้วก็ได้พบกับสายตาของใครคนหนึ่งกำลังจ้องเขม็งมาที่เธออยู่ หญิงสาวใจหล่นวูบไม่จริงน่า! เขาสะกดรอยตามมาอีกแล้ว หมอนั่นจะตามราวีเธอไปถึงไหนกันนะ ทำไมไม่ไปผุดไปเกิดสักที “แม่ส้มขา...”ร่างระหงแข็งทื่อ หน้าถอดสี ช็อกจนหัวใจแทบหยุดเต้น เมื่อเห็นร่างเล็กวิ่งตรงเข้ามาหา“คุณเป็นอะไรไปวีวี่ ทำไมหน้าซีดแบบนั้น”“ปะ...เปล่าค่ะ เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่เพลียนิดหน่อย เรารีบขึ้นไปพักผ่อนกันดีกว่านะคะ” หญิงสาวรีบเอ่ยปากคอสั่น แอบเห็นทางหางตาว่าศัตรูตัวร้ายนั่นยังคงปักหลักมองอยู่ และเธอไม่ไว้ใจเขาคนบ้าเลือดอย่างปราบดาทำได้ทุกอย่าง เธอจะไม่แปลกใจหากเขาพุ่งเข้ามาหาเรื่องกันกลางล็อบบีโรงแรมนี่ ลำพังเธอคนเดียววิศราคงไม่หวั่นเกรง เธอพร้อมจะสู้เขายิบตา ไม่ยอมโดนรังแกง่ายๆ ตอนนี้เธอไม
“แต่ถึงยังไงผมก็ไม่อยากเห็นคุณต้องเจ็บตัวแบบนี้อีก”แววตาอ่อนหวานยามที่เขามองมาทำให้แก้มคนถูกมองร้อนผ่าว ต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง“จริงสิคะ! ฉันยังไม่ได้ขอบคุณคุณเลยที่ช่วยดูอลิศให้ แล้วก็ต้องขอโทษคุณด้วยที่ทำให้ลำบาก ต้องคอยดูยายจอมซนให้ตั้งหลายวัน แล้วนี่คุณยังต้องลำบากหอบหิ้วลูกมาหาฉันถึงเมืองไทยอีก ทั้งๆ ที่งานคุณก็ยุ่งขนาดนั้น บอกตามตรงว่าฉันเกรงใจคุณมาก...อุ๊ย!” วิศราชะงักกึกเมื่ออีกฝ่ายยื่นปลายนิ้วมาแตะที่ริมฝีปาก“ชู่...ถ้าคุณพูดออกมาอีกคำเดียว ผมจะไม่เกรงใจคุณแล้วนะ!” ดวงตาสีเทาที่ทรงอานุภาพทำลายล้างสูงมองสบตาอย่างมีนัย จนวิศราต้องเสหลบตาคู่นั้นด้วยหัวใจที่หวั่นไหวใช่ว่าเธอจะไม่รู้ความในใจที่อีกฝ่ายมีให้มาตลอด แต่กระนั้นเธอก็ไม่อยากเอาเปรียบให้เขาเข้าใจว่าเธอกำลังให้ความหวัง หรือหลอกใช้ความหวังดีของเขาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองฝ่ายเดียว“อลันคะ...อย่าทำแบบนี้ คุณก็รู้ใช่ไหมว่าระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้ และตอนนี้ฉันไม่เหลือหัวใจที่จะรักใครได้อีกนอกจากลูก สิ่งที่ฉันให้คุณได้ก็มีเพียงแค่ความปรารถนาดีอย่างจริงใจเท่านั้น ยังมีผู้หญิงอีกมากมายที่เหมาะสมกับคุณมากกว่าผู้หญิงที่เต็มไปด้วยบา
“มากับใครเนี่ยลูก”“ก็มากับคนที่แกก็รู้ว่าใครไงเล่า” วิศราตอบแทนลูกสาว พลางบุ้ยใบ้ไปที่ร่างสูงสง่างามที่ยืนกอดอกมองคู่ซี้ต่างวัยกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์“ตายแล้ว! มิสเตอร์บอสของฉันก็มาด้วยเหรอนี่!” หนุ่มตี๋ทำตาโตดี๊ด๊า ก่อนตวัดค้อนใส่อย่างหมั่นไส้เมื่อเห็นอลันแกล้งขยับกายหลบด้านหลังแม่เพื่อนสาวทันควัน เพราะกลัวถูกเขากอดฟัดเหมือนที่ทำกับอลิศ“เชอะ...ทำมาเป็นหวงตัวกับเรา ใช่ซิ ฉันมันแค่ตัวสำรอง ไหนเลยจะสู้คนบางคนได้...” คนพูดแกล้งชายตามองหน้าแม่เพื่อนสาวที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อย่างหมั่นไส้ “แล้วนี่มากันเมื่อไหร่ ทำไมแกไม่โทร. บอกฉันก่อนล่ะ”“ก็มาเจอตอนที่แกมาส่งฉันแล้วกลับบ้านไปเอาเสื้อผ้านั่นแหละ ฉันก็เพิ่งรู้เหมือนกันเลยไม่ได้โทร. บอก” วิศราตอบพลางต้อนทุกคนไปที่ห้องนั่งเล่น โดยมีแม่หนูอลิศเดินตามติดมานั่งเบียดกระแซะเพื่อนรักของมารดาไม่ห่างราวกับเป็นปาท่องโก๋“มิน่าล่ะ โทร. หาทั้งวันก็ไม่ติด ที่แท้ก็แอบดอดพาหลานฉันมาหาสาวแถวนี้นี่เอง ชิ ร้ายจริงๆ”“ใครว่าผมมาหาสาวอย่างเดียว” อลันกลั้นหัวเราะแกล้งเก๊กหน้าขรึมวางมาดบอสใหญ่น่าเกรงขาม “ผมจะมาตรวจงานของ ‘พวกคุณ’ ด้วยต่างหากเล่า
“เริ่ด! มันต้องอย่างนี้สิเพื่อน!” ยุทธนาดีดนิ้วเปาะ ก่อนหันไปเปิดกระเป๋าหยิบแฟ้มมายื่นให้ “ไม่ต้องห่วงนะ เรื่องเตรียมงานฉันเริ่มไปบางส่วนแล้ว ตอนนี้ฉันได้คัดโพรไฟล์นางแบบมาคร่าวๆ แล้วอยู่ในแฟ้มนี่ เหลือแค่เลือกขั้นสุดท้าย แล้วก็เรียกมาเซ็นสัญญาและนัดซ้อมเดินแบบ ส่วนแบบดีไซน์ต่างๆ ฉันมีที่ออกแบบไว้บ้างแล้ว ส่วนของแกจะออกแบบใหม่ทั้งหมดหรือใช้แบบร่างดีไซที่เคยวาดมาปรับเอาก็ตามใจ เรื่องธีมโชว์เดี๋ยวเราค่อยมาคุยกันอีกที เวลากระชั้นก็จริงแต่ฉันคิดว่าไม่น่ามีปัญหา ฉันเชื่อว่าเราทำได้”“แต่เรื่องเครื่องมือกับสถานที่ทำงานล่ะ ฉันคิดว่าทำที่โรงแรมนี่คงไม่สะดวก” วิศราหันไปถามความเห็น เธอไม่ต้องการเสียสมาธิเพราะใครบางคนที่อาจบุกมาหาเรื่องเธอได้ทุกเมื่อที่ต้องการ และเธอไม่ไว้ใจผู้ชายคนนั้นเลย ไหนจะเป็นห่วงลูกสาวตัวน้อยอีก“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมให้คนของเราเตรียมเซฟเฮาส์และอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ให้แล้ว ขาดเหลืออะไรพวกคุณก็บอกได้ พร้อมเมื่อไหร่ก็ย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่นได้เลย ช่วงนี้ผมได้เวเคชันยาว พอมีเวลาช่วยเป็นที่ปรึกษาให้พวกคุณได้ แถมระหว่างนี้คุณก็ยังได้อยู่ใกล้ชิดคอยดูแลอาการพ่อคุณได้ด้ว
ปราบดาตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงสลัดภาพวิศรากับเด็กน้อยคนนั้นออกจากหัวไม่ได้เลย ทุกอย่างที่เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นตามกวนใจเขาตลอดเวลา ไหนจะภาพเจ้าหนุ่มหน้าตี๋ที่เข้ามาพัวพัน หรือภาพที่ผู้ชายต่างชาติคนนั้นผวากอดเธอกลางล็อบบีนั่นอีก วิศรานั้นเป็นคนหยิ่งและถือตัวมาแต่ไหนแต่ไร การที่เธอไม่ได้ต่อว่าอีกฝ่ายที่เข้ามากอดกลางที่สาธารณะนั่นก็พอจะบ่งบอกให้รู้ถึงระดับความสนิทสนมที่ไม่ธรรมดา แล้วไหนจะเด็กที่ชื่ออลิศคนนั้น ที่ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ แต่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก มันเหมือนกับเขาถูกชะตา รู้สึกเอ็นดูตั้งแต่แรกพบ ยิ่งยามที่เห็นหนูน้อยใกล้ชิดสนิทสนมกับหนุ่มฝรั่งตัวโตที่มาด้วยกันเป็นพิเศษ เขาก็แอบใจหาย บังเกิดความหวงแหนเล็กๆ ขึ้นมาในใจ อยากเป็นคนที่เดินจูงมือน้อยๆ นั่นแทนผู้ชายคนนั้น“เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงทำให้คนแอบยืนสังเกตอาการอยู่นานประหลาดใจ“ปราบจ๊ะ!” มือที่แตะลงมาทำให้คนใจลอยคืนสติ“ค...ครับ พี่ปูว่าอะไรนะครับ!”“ใจลอยไปไหนจ๊ะ ไม่สบายหรือเปล่า” ปุริมามองท่าทางของน้องชายอย่างเป็นห่วง“เปล่านี่ครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร แค่เพลียๆ นิดหน่อยเท่านั้น”“งั้นก็แล้วไป พี่ก็เป็นห่วง”
“ทำไมพี่ปูถามอย่างนั้นล่ะครับ”“ไม่รู้สิ พี่แค่รู้สึกว่าปราบเหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในใจ ไม่ก็กำลังรอใครสักคนอยู่” ปุริมาเอ่ยตามความรู้สึกโดยหารู้ไม่ว่าคำถามนั้นกระแทกใจคนฟังเข้าอย่างจัง จนเขาหน้าเปลี่ยนสีไปวูบหนึ่ง ก่อนที่จะข่มอารมณ์ปรับสีหน้าให้กลับเป็นปกติ“พี่ปูอย่าคิดมากไปเลยครับ ผมก็แค่ยังหวงชีวิตหนุ่มโสดตามประสาเท่านั้นเอง ไม่แน่นะครับ บางทีถ้าผมเห็นยัยตัวเล็กของพี่บ่อยๆ ก็อาจจะอยากมีเป็นของตัวเองบ้างสักวันก็ได้ใครจะไปรู้”“ให้มันจริงเถอะจ้ะ อย่าให้พี่กับหลานรอจนเหงือกแห้งแล้วกัน” ปุริมากระเซ้าน้องชาย โดยหารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดหนักที่ผ่านมาเขาไม่เคยจินตนาการเรื่องการมีลูกของตัวเองมาก่อนไม่ว่ากับใคร แม้แต่กับพรีมโรส ผู้หญิงที่เขาคบหาดูใจคนปัจจุบัน จะเป็นอย่างไรนะ ถ้ามีใครสักคนมาเรียกเขาว่า ‘พ่อปราบ’ บ้าง เพียงแค่คิดหัวใจก็พองโตคับอกแล้ว ภาพเด็กน้อยแก้มยุ้ยคนนั้นโผล่แวบเข้ามาในสมองถ้าหนูน้อยอลิศนั่นเป็นลูกของหนึ่งในสองหนุ่มที่ใกล้ชิดกับวิศราจริงๆ เขาก็คงทำใจปล่อยวางยอมให้เธอไปตามทางที่เธอต้องการ ส่วนเขาก็จะฝังกลบความทรงจำในอดีตให้หมดเสีย อย่างน้อยก็ไม่ต้องรู้สึกทรมา
“ส่วนสถานที่แคสติงหรือนัดฟิตติงนางแบบ ผมให้ทีมงานเราที่ประจำอยู่ที่นี่จัดเตรียมสถานที่ไว้ให้แล้ว ถ้ามีอะไรขาดเหลือหรือต้องการอะไรก็บอกมาได้เลยนะ ผมจะได้ให้เขาหามาเพิ่มให้”ยุทธนาทำเมินสายตาจับผิดของเพื่อนสาวแล้วหันไปมองบุรุษรูปงามด้วยแววตาเป็นประกายวิบวับ“เอ...ถ้าขาดคนรักคอยเอาใจ บอสจะหาเพิ่มให้สักคนสองคนได้ไหมครับ”“ขอโทษนะยอร์ชชี่ ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมคงช่วยคุณไม่ได้จริงๆ” คนถูกถามแกล้งทำหน้าขรึม ปรายตามองไปที่หญิงสาวข้างกาย “เพราะตัวผมเองก็ยังขาด...เหมือนกัน”“หูยยย...เดี๋ยวนี้หยอดเก๊งเก่งนะครับบอส หยอดเก่งแบบนี้น่าพาไปเรียนทำขนมครกเอาไว้จีบสาวไทย หน้าตาหล่อชวนฝันอย่างบอสนี่ รับรองว่าสาวๆ เดินตามกันเป็นพรวนแน่ จริงไหมวีวี่” คนพูดลอยหน้าลอยตาถามยั่วคนใจแข็ง ก่อนสะบัดค้อนใส่อย่างหมั่นไส้เมื่อได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมาหน้าตาย“ไม่รู้สิ ฉันไม่ชอบกินขนมครกนี่” “ขนมครกเป็นยังไงเหรอคะแม่ส้ม” เจ้าของเสียงใสๆ ถามตามประสาคนช่างสงสัยแต่กลับช่วยให้คนเป็นแม่หายใจหายคอคล่องขึ้น“ขนมครกเป็นขนมไทยที่ทำจากแป้งค่ะ เขาจะเอาแป้งมาหยอดใส่ในพิมพ์ที่ทำเป็นหลุมๆ พอสุกก็จะใช้ช้อนแคะออกมาจากพิมพ์ เอาไว้ว่างๆ แม
“สะ...โซ้ม...หะหา...พ่อ”หญิงสาวมีอาการลังเล ตอนนี้เธอยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้าหรือตอบคำถามบิดา“แม่รู้จักกับคุณตาคนนั้นด้วยเหรอคะ” คนช่างเจรจาหันมาถามโดยหารู้ไม่ว่ากำลังทำให้คนเป็นแม่กระอักกระอ่วนใจแค่ไหน“เอ่อ...รู้จักซีลูก ก็นั่นคือ...” ตอบได้เท่านั้นคนตอบก็สะเทือนใจจนพูดไม่ออก กระบอกตาปวดแสบปวดร้อนจนแทบกลั้นน้ำตาต่อไปไม่ไหว อลันมองอาการอ้ำอึ้งของหญิงสาวอย่างเข้าใจ มือใหญ่เอื้อมมาบีบมือของเธอเบาๆ ให้รู้ว่าเธอไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว“อลันคะ คุณช่วยพาลูกไปรอที่รถก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะรีบตามไป”“อืม...ได้สิ!” อลันพยักหน้ารับ พร้อมกับหันมาเอ่ยกับคนตัวเล็ก “กลับบ้านเรากันนะอลิศคนเก่ง”“โอเคค่ะ แต่ขออลิศไปสวัสดีคุณตา คุณยาย พี่ลูกปลา แล้วก็ลุงปราบก่อนนะคะ”“ลุงปราบ!” วิศราขมวดคิ้วเอะใจ หรือว่าหมอนั่นจะยังไม่รู้...“คุณตา คุณยายคะ พี่ลูกปลา ลุงปราบขา อลิศจะกลับบ้านแล้วนะคะ สวัสดีค่า...”“น้องอลิศจะกลับแล้วเหรอ เรายังเล่นไล่จับกันสนุกๆ อยู่เลย” คนไม่เคยมีน้องสาวถามเสียงละห้อย“นั่นสิ! ไหนๆ คุณก็ไม่ได้กลับบ้านมาตั้งหลายปี นี่พ่อคุณก็เพิ่งออกจากโรงพยาบาล ทำไมไม่อยู่ดูแลท่านก่อนล่ะ”ดวงตาเขียวปั๊ดตวั
ถึงเขาจะไม่ใช่คนดีเด่แต่เขาก็ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นพ่อที่เลวของเด็กคนนี้ หากต้องยกเมียและลูกตัวเองให้ชายอื่นไปง่ายๆ นายปราบดาคนนี้ก็ขอตายเสียดีกว่า!พอรู้ตัวอีกที ชายหนุ่มก็พาเจ้าตัวน้อยหนีมาอยู่ที่นี่เสียแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ ชายหนุ่มยังถือวิสาสะพาพี่เขยออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้านด้วย เพราะรู้ดีว่าหากเขาขอร้องดีๆ เธอคงไม่ฟังกัน เผลอๆ อาจจะหอบลูกหนีเขาไปเลยก็เป็นได้ ในเมื่อหาทางออกที่ดีกว่านี้ไม่ได้ มันก็ต้องทำแบบนี้แหละเขาแน่ใจว่าคนสองคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของวิศราจะทำให้เธอต้องกลับมาที่นี่แน่นอน และเมื่อเธอกลับมาเขาก็จะขอโทษในสิ่งที่เคยทำผิดต่อเธอในวันนั้น และขอรับผิดชอบเธอกับลูกอย่างที่ควรทำมาตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้ว หากเธอยังไม่ยอมอีก เขาก็จะยอมเสี่ยงหัวแตก กราบเท้าสารภาพบาปกับพี่เขย เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจปล่อยเธอและลูกไปจากเขาได้อีกแล้วแม้ว่าการเริ่มต้นของเขาและเธอจะเลวร้าย แต่เขาจะขอโอกาสสุดท้ายจากเธออีกครั้ง เพื่อกลับตัวใหม่ให้กลายเป็นสามีและพ่อที่แสนดีของเธอกับลูกให้ได้ ไม่ว่าจะต้องทนกับการลงโทษจากแม่ของลูกมากมายเท่าไรเขาก็จะทำเขาจะทวงคืนหัวใจสองดวงนี้กลับมาเป็นข
เสียงเด็กวิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวในสนามหญ้าหน้าบ้านทำให้บ้านอาภาพิพัฒน์ที่เคยเงียบเหงามานานปีสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวาขึ้นทันตา แล้วไหนจะยังมีข่าวดีเรื่องที่ประมุขของบ้านมีอาการดีขึ้นมาก จนได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ ยิ่งทำให้ทุกคนในบ้านมีความสุขมาก“ลูกปลาพาน้องมากินขนมก่อนลูก” ปุริมาร้องตะโกนบอกลูกสาวที่กำลังจูงมือเด็กหญิงวัยไล่เลี่ยกันอีกคนวิ่งเล่นไล่จับกับเจ้าเด็กโข่งตัวโตอย่างสนุกสนานนึกแล้วก็ให้อดแปลกใจไม่ได้ ที่จู่ๆ ก็เห็นน้องชายของเธออุ้มเด็กหญิงแปลกหน้าท่าทางน่าเอ็นดูคนนี้เข้าบ้านมา ครั้นพอเธอถามถึงพ่อแม่ของเด็กน้อย เจ้าตัวดีก็ทำเฉไฉตอบอ้อมแอ้มไม่ได้ความกระจ่าง พอซักหนักเข้าก็บอกส่งๆ ว่าเป็นลูกคนรู้จักฝากเลี้ยงสักสองสามวันก่อนเดินหนี นี่ถ้าไม่ใช่น้องนุ่งที่คลานตามกันมา ปุริมาคงนึกว่าปราบดาไปลักพาตัวลูกชาวบ้านที่ไหนมา หรือไม่ก็ไข่ทิ้งไว้กับสาวที่ไหนแม้ปราบดาจะไม่ให้ความกระจ่าง แต่ความน่ารักช่างเจรจาของเด็กน้อยก็ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งบ้านหลง ‘คุณหนูอลิศ’ กันยกใหญ่ แต่คนที่ดูเหมือนจะหลงเด็กที่สุดเห็นจะเป็นพ่อน้องชายตัวดีของเธอนี่เอง ปราบดาทั้งหลงทั้งหวงกันจนถ้
วิศราไม่รู้ตัวเลยว่าผ่านคืนวันอันแสนโหดร้ายและบีบหัวใจนั้นมาได้อย่างไร จนถึงวันนี้ก็ก็ไม่มีวี่แววหรือได้ข่าวคราวของลูกสาวตัวน้อยเลย หญิงสาวตัดสินใจเข้าแจ้งความตั้งแต่วันแรกที่ลูกหาย แต่ก็ทำได้แค่ลงบันทึกประจำวันไว้ก่อน เพราะต้องรอให้ครบกำหนดเวลาตามกฎหมายจึงจะรับแจ้งความคนหายได้ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น หญิงสาวใช้ความหวังอันริบหรี่และยึดอลันที่อยู่เคียงข้างมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจไปวันๆ ตื่นนอนก็ออกไปตระเวนตามหาลูกกับอลันในที่ที่คิดว่าลูกอาจจะไป กลับมาบ้านค่ำมืดก็รอฟังข่าวความคืบหน้าจากทีมช่วยเหลือ และผล็อยหลับไปทั้งน้ำตาจวบจนวันที่สามที่หนูน้อยอลิศหายไป...หญิงสาวสะดุ้งตกใจตื่นเพราะฝันร้ายซ้ำๆ ทว่าตอนจะลุกขึ้น ก็พบว่าตัวเองกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของใครบางคน วิศราก้มมองท่อนแขนแข็งแรงที่พาดโอบกอดร่างเธอไว้ แรกที่เห็นก็ตกใจจะปลุกอีกฝ่ายให้ตื่น แต่พอเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่หลับตาพริ้มอย่างผ่อนคลายจึงเปลี่ยนใจ เพราะรู้ว่าเขาเองก็เหน็ดเหนื่อยในการช่วยเธอตามหาลูกมาหลายวัน ยอมเป็นหมอนข้างให้เขากอดเพื่อจะได้หลับสบายขึ้นอีกสักเล็กน้อยเป็นการตอบแทนก็คงไม่หนักหนาอ
คุณพ่อ...พ่อปราบ ฟังแล้วช่างไพเราะรื่นหูและดีต่อใจเหลือเกิน โดยเฉพาะการได้เป็นพ่อของเด็กน้อยแสนน่ารักคนนั้น เพียงแค่คิดหัวใจก็พองโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเคยได้ยินเด็กหญิงเรียกขานวิศราอย่างน่ารักน่าเอ็นดูว่า...แม่ส้มขา คงจะดีถ้าเด็กคนนี้เรียกเขาด้วยคำนี้บ้าง...พ่อปราบขา!“ถ้าไม่มีอะไรแล้วงั้นหมอขอตัวก่อนนะคะ ส่วนเรื่องห้องเดี๋ยวรบกวนคุณไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ทางนั้นได้เลยค่ะ”“เดี๋ยวครับคุณหมอ”แพทย์สาวหันขวับ ก่อนอึ้งกับคำถามที่ฝ่ายนั้นยิงกลับมาว่า...“ถ้าผมต้องการขอตรวจดีเอ็นเอต้องทำยังไงบ้างครับ!”///////////////////////“ว่าไงนะ! ใครหายตัวไป!” วิศรารู้สึกราวกับเสียงแหบโหยนั่นไม่ใช่เสียงของตัวเอง ร่างระหงชาดิกราวกับถูกใครเอาค้อนมาทุบศีรษะ มันมึนๆ งงๆ จากนั้นก็เริ่มตัวสั่นระริกสะบัดร้อนสะบัดหนาว แข้งขาที่ยืนก็ร่ำๆ จะอ่อนยวบจนทรุดฮวบลงเหมือนเรี่ยวแรงที่มีเหือดหายสูญสิ้นไปจากร่าง อาการพวกนี้เกิดขึ้นหลังจากได้ยินสิ่งที่เพิ่งออกจากปากพี่เลี้ยงของลูกสาว“คุณว่าใครหายไปนะ พูดใหม่ซิ ใคร...”“ฮือ...คะ...คุณหนูอลิศค่ะ”คราวนี้คนฟังแทบล้มทั้งยืน ยังดีที่มีมือของอลันเข้ามาช่วยประคองร่างไว
“ถ้าพ่อฉันออกจากโรงพยาบาลและมีอาการดีขึ้นกว่านี้อีกนิด เรากลับลอนดอนกันเสียทีดีไหมคะ”อลันมองคนถามอย่างแปลกใจ แต่พอเห็นน้ำตาบางๆ ที่เคลือบบนลูกแก้วคู่งามของคนที่เขารัก ชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ“ได้สิ กลับเสียทีก็ดีเหมือนกัน”วิศราเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนเดินเข้าไปซบหน้ากับอกของเขาราวกับต้องการซึมซับกำลังใจจากอีกฝ่ายมาชโลมหัวใจที่อ่อนล้าให้เข้มแข็งดังเดิม ชายหนุ่มมองอากัปกิริยานั้นอย่างเข้าใจ วงแขนอันอบอุ่นโอบล้อมร่างคนที่เขารักไว้แนบแน่น “กลับบ้านเถอะค่ะ ฉันคิดถึงอลิศแล้ว”“อืม...ไปสิ ไปหาลูกของเรากัน” อลันส่งยิ้มให้คนในอ้อมแขนยามที่นึกถึงคนอันเป็นที่รักอีกคน ป่านนี้คงชะเง้อคอยเขาและเธออยู่ที่บ้าน การได้รักใครและได้มีคนที่รักอยู่เคียงข้างคือความสุขที่แท้จริงร่างสูงใหญ่เดินวนไปวนมาหน้าห้องฉุกเฉินอย่างร้อนรนกระวนกระวายใจ ตรงที่นั่งหน้าห้องมีพี่เลี้ยงวัยกลางคนที่มาด้วยนั่งหน้าเครียดไม่แพ้กัน หลังจากคนตัวเล็กถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดในเวลาต่อมา ตลอดเวลาตั้งแต่มาถึงชายหนุ่มก็ไม่ยอมอยู่ห่างกายของคนเจ็บตัวน้อย จนกระทั่งถูกกันให้ออกไปรอนอกห้อง เขาก็ยังยืนกรานให้หมอตรวจ
คนไข้บนเตียงรีบพลิกกายนอนหันหลังให้ทันทีที่เห็นว่าใครเดินเข้ามา ในขณะที่นางลาวัณย์ที่นั่งข้างๆ เตียงด้วยท่าทีอิดโรยถึงไม่ได้ทำตาม แต่สายตาที่มองมาก็ดูปวดร้าวผิดหวังไม่น้อยเลย ยิ่งเมื่อเห็นหน้าสตรีสาวสวยที่เคยหมายมั่นว่าจะได้มาเป็นศรีสะใภ้ด้วยแล้ว นางก็ลอบถอนหายใจออกมาอย่างแสนเสียดายลูกหนอลูก ลูกชายสุดที่รักที่หวังฝากผีฝากไข้ ทำไมถึงมากลายเป็นแบบนี้ได้ ขืนคนอื่นในวงศ์ตระกูลรู้คงได้อับอายขายขี้หน้าเขา รู้ถึงไหนอายเขาถึงนั่น อุตส่าห์มีลูกชายทั้งคนก็ดันมากลายเป็นเกย์เสียได้ มันช่างน่าช้ำใจจนสุดจะบรรยาย“ป๊า...ม้า...” ยุทธนากลืนน้ำลายเหนียวคอยามที่ต้องเอ่ย “เป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”“เจ็บที่ใจไง!” คนเป็นแม่สะบัดเสียงเขียวตอบกลับมาทำให้คนฟังหน้าหดเหลือสองนิ้ว จนวิศราต้องบีบมือให้กำลังใจเพื่อน“พวกเราเลี้ยงลูกผิดตรงไหนเหรอ ไหนตอบมาซิอายุทธ ม้าเลี้ยงลื้อไม่ดีตรงไหน ถึงทำให้ลูกชายของม้ากลายเป็น...” คนเป็นมารดาชะงักยามที่ต้องกล่าวคำที่ทำให้ยอกแสยง “เป็น...พวกผิดเพศแบบนี้ไปได้ อั๊วกับป๊าลื้อทำผิดไปตอนไหนกัน ฮือ...”เสียงสะอื้นปานจะขาดใจทำให้คนเป็นลูกแทบจะเข่าอ่อนทรุดแปะลงไปตรงนั
“ผมจะพาเด็กไปโรงพยาบาล ถ้าจะไปด้วยก็รีบขึ้นมา!” ร่างสูงรีบอุ้มคนเจ็บตัวน้อยขึ้นรถ ไม่สนใจคนเป็นพี่เลี้ยงที่ยืนละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก เธอควรบอกแม่ของเด็กก่อนตามหน้าที่ แต่อารามตกใจทำให้ไม่ได้หยิบโทรศัพท์ออกมาด้วย ครั้นจะเข้าไปหยิบก็ไม่กล้าทิ้งหนูน้อยไว้กับคนแปลกหน้า พอเห็นทีท่าเร่งร้อนของหนุ่มคู่กรณี สุดท้ายพี่เลี้ยงของอลิศจึงตัดสินใจตามขึ้นมานั่งบนรถเพื่อดูแลคนตัวเล็กที่นอนสลบไม่ได้สติปราบดายอมปล่อยร่างป้อมให้พี่เลี้ยงดูแล ก่อนรีบกระโจนขึ้นรถและบึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว นาทีนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาห่วง นัยน์ตาคมเข้มคอยเหลือบมองร่างในอ้อมแขนพี่เลี้ยงเป็นระยะๆ พลางภาวนาในใจ อลิศ...อลิศตื่นสิ อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะลูก...วิศราใจหายวาบ เมื่อได้เห็นสภาพที่เรียกว่าเกือบสะบักสะบอมของเพื่อนรักตอนที่มาถึงหน้าห้องฉุกเฉินแห่งนั้น คนที่อยู่ตรงหน้าดวงตาแดงก่ำ มีรอยช้ำสีเขียวจางๆ บริเวณหางตา มุมปากแตกยับยังมีเลือดซึม เสื้อผ้ายับเยินยู่ยี่เหมือนคว้ามาใส่มั่วๆ ถ้าจะบอกว่าชายหนุ่มที่นั่งเบื้องหน้าวิศราคือดีไซเนอร์มีฝีมือคงยากที่ใครจะเชื่อลง ปกติยุทธนาไม่ใช่คนที่ชอบใช้กำลังตัดสินปัญหา แต่ดูจากสภาพตอนนี้เ
“โอ...นี่ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม” ชายหนุ่มยิ้มกว้างก่อนดึงร่างเพรียวบางเข้ามากอดอย่างมีความสุขที่สุดวิศรายอมอิงซบอกแกร่งของอีกฝ่าย พลางครุ่นคิดในใจ...ในเมื่อคนสร้างตราบาปให้ชีวิตเธอยังมีความสุขกับคนที่เขารักได้โดยไม่ทุกข์ร้อนหรือแคร์ใคร แล้วจะเป็นไรไปถ้าเธอจะให้โอกาสตัวเองและคนดีๆ ได้เข้ามาในชีวิตสักครั้งเล่าค่ำคืนที่เหมือนฝันของวิศราผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความเหนื่อยที่สะสมมาตลอดหลายสัปดาห์ทำให้เธอเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือกรีดร้องดังลั่น หญิงสาวงัวเงียควานหาต้นตอที่ปลุกเธอจากฝันดีอย่างงุ่มง่าม ก่อนที่ใครบางคนจะอดไม่ได้คว้ามันมายื่นให้ถึงมือเสียเอง“ขอบคุณจ้ะอลิศ...หืม?”“หึๆ”คนขี้เซากะพริบตาถี่ๆ ไล่ความง่วงงุน ก่อนเบิกตาค้างเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะข้างหูที่ไม่ใช่เสียงใสๆ ของลูกสาวสุดที่รัก แต่เป็นเสียงทุ้มๆ ของผู้ชาย และตอนนี้ใบหน้าของอีกฝ่ายก็ลอยเด่นอยู่ใกล้แค่เอื้อม ก่อนที่เธอจะทันรู้ตัวปลายจมูกโด่งก็กดฝังลงมาที่แก้มใสๆ ของเธอเสียแล้ว“มอร์นิงครับที่รัก...”“อุ๊ย! บอส!” เสียงหวานเอะอะ แก้มข้างที่โดน ‘จูบรับอรุณ’ ร้อนฉ่าเหมื